คณะกรรมการและอนุกรรมการ (2532)
Children categories
ครั้งที่ 60 - วันพฤหัสบดี ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2554 (ครั้งที่ 60)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การจัดหาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า
2. การเก็บภาษีบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัด สำหรับการจำหน่ายก๊าซ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การจัดหาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า
สรุปสาระสำคัญ
1. ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ปริมาณการจัดหาเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 484 พันตันต่อเดือน โดยเป็นการจัดหาในประเทศที่ระดับ 358 พันตันต่อเดือน และมีความต้องการใช้ก๊าซ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 483 พันตันต่อเดือน ทำให้ต้องมีการนำเข้าเฉลี่ยอยู่ในระดับ 127 พันตันต่อเดือน ในปี 2554 คาดว่าโรงแยกก๊าซธรรมชาติ 6 จะเริ่มดำเนินการผลิตจะส่งผลให้การผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 96,000 ตันต่อเดือน แต่จะจำหน่ายให้ปิโตรเคมี ซึ่งเป็นไปตามสัญญาในการสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ 6 จึงเหลือมาจำหน่ายให้ภาคครัวเรือน/ขนส่ง/อุตสาหกรรม ไตรมาส 1- 2 ที่ระดับ 60,000 ตัน/เดือน และไตรมาส 3-4 อยู่ที่ระดับ 30,000 ตัน/เดือน เนื่องจากความต้องการใช้ในส่วนปิโตรเคมีได้เพิ่มขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องนำเข้าเฉลี่ย 123 พันตันต่อเดือน ในขณะที่ ปตท. มีความจำเป็นต้องหยุดใช้งานถังโพรเพนเหลวและบิวเทนเหลวจำนวน 2 ถัง ขนาดความจุถังละ 10,000 ตัน ที่ใช้ในการนำเข้า LPG ทำให้ถังก๊าซของ ปตท. ไม่สามารถรองรับการนำเข้า LPG ได้ อีกทั้งในช่วงมกราคม - มิถุนายน 2554 ปตท. มีแผนซ่อมท่อส่งก๊าซ LPG จากเรือขึ้นถังเก็บ และหากต้องหยุดซ่อมทั้งคลังและท่อส่งก๊าซ LPG ท่าเรือจะสามารถรองรับเรือได้เพียง 3 ลำต่อเดือน ทำให้ต้องเพิ่มคลังลอยน้ำจำนวน 2 ลำ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับการจัดหาเรือให้เพียงพอในการรองรับการขนถ่ายก๊าซ LPG และทำให้มีค่าใช้จ่ายในการใช้เรือเป็นคลังลอยน้ำลำละ 30,000 เหรียญสหรัฐฯต่อวัน คาดว่าจะมีค่าใช้จ่าย 52 ล้านบาทต่อเดือน
2. เพื่อให้ปริมาณก๊าซ LPG เพียงพอกับความต้องการใช้ รัฐต้องเพิ่มแรงจูงใจให้โรงกลั่นน้ำมันนำก๊าซ LPG ในส่วนที่ใช้เองในโรงกลั่น (Own Used) มาขายให้กับประชาชน โดยรัฐจะต้องให้ราคาก๊าซ LPG สูงกว่าราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ทดแทน LPG และในส่วนก๊าซ LPG ที่ขายให้ปิโตรเคมี รัฐจะต้องให้ราคาที่เท่ากับหรือสูงกว่าราคาที่จำหน่ายให้ภาคปิโตรเคมี เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ผลิตนำมาจำหน่าย ให้แก่ภาคประชาชน โดยปริมาณการจำหน่ายในส่วนนี้ควรกำหนดราคา ณ โรงกลั่นอ้างอิงกับราคาในตลาดโลกคือราคาปิโตรมิน (CP) ซึ่งหากมีการดำเนินการเพิ่มแรงจูงใจดังกล่าวจะทำให้ลดการนำเข้าในปี 2554 ได้ประมาณ 638,000 ตันต่อปี
3. เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบการจัดหาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยเพิ่มแรงจูงใจให้โรงกลั่นน้ำมันนำก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และใช้ในกระบวนการกลั่น (Own Used) มาจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงให้กับประชาชนและเพิ่มการผลิตก๊าซ LPG ให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการพิจารณาในรายละเอียดต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและ ปตท. รับไปดำเนินการศึกษาจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการนำเข้า LPG ในอนาคต เช่น ท่าเรือ คลัง และระบบขนส่ง เป็นต้น
4. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2554 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมธุรกิจพลังงาน กรมสรรพสามิต และกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อจัดทำร่างประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ เพื่อให้สามารถจ่ายชดเชยให้กับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงในประเทศได้
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอเพื่อขอความเห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยให้กับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อจำหน่าย LPG เป็นเชื้อเพลิงในประเทศ ตามหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่น และขอความเห็นชอบร่างประกาศ กบง. โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยให้กับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงในประเทศ ตามหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่นดังนี้
หลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่น
LPGWT = | (333 × Q1) + (CP × Q2) |
(Q1 + Q2) |
โดยที่
LPGWT คือ ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นของโรงกลั่น (เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) ราคาเป็นรายเดือน
CP คือ ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทน 60 ต่อ 40 (เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) ราคาเป็นรายเดือน
Q1 คือ ปริมาณที่จำหน่ายให้กับภาคครัวเรือน/ขนส่ง/อุตสาหกรรม กำหนดให้คงที่ 34,069 ตันต่อเดือน
Q2 คือ ปริมาณที่จำหน่ายให้กับปิโตรเคมีและ Own Used กำหนดให้คงที่ 107,977 ตันต่อเดือน
หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่น
X = | ( LPGWT - 333 ) × Ex |
1,000 |
โดยที่
X คือ อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่น (บาทต่อกิโลกรัม)
Ex คือ อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลังในเดือนที่ผ่านมา
โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับไปดำเนินการศึกษาจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการนำเข้าก๊าซ LPG ในอนาคต เช่น ท่าเรือ คลัง และระบบขนส่ง เป็นต้น
2. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2554
เรื่องที่ 2 การเก็บภาษีบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัด สำหรับการจำหน่ายก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2545 อนุมัติในเรื่องมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคการขนส่งในช่วงปี 2546-2551 โดยกำหนดราคาจำหน่าย NGV ไว้ ดังนี้
ปี 2546-2549 : ราคา NGV = 50% ของราคาน้ำมันดีเซล
ปี 2550 : ราคา NGV = 55% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
ปี 2551 : ราคา NGV = 60% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
ปี 2552 เป็นต้นไป : ราคา NGV = 65% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
ทั้งนี้ ได้กำหนดเพดานราคาขายปลีก NGV ภายในประเทศไว้ที่ระดับไม่เกิน 10.34 บาทต่อกิโลกรัม แม้ว่าน้ำมันจะมีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นในระดับใดก็ตาม
2. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 กพช. ได้เห็นชอบในหลักการของการกำหนดราคา NGV ตามต้นทุน โดยให้ใช้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ณ ราคาก๊าซเฉลี่ย POOL 2 บวกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ซึ่งรวมค่าการตลาดแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552 ที่เห็นชอบให้ปรับสูตรการคำนวณและแนวทางการกำกับดูแลราคาขายปลีก NGV โดยให้ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ (P) = [(WHPool 2) × (1+0.0175)] + TdZone 1+3 + Tc โดยสูตรต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาตินี้ถูกกำกับดูแลโดย กพช. เช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงแยกก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้า ในส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินการ ซึ่งประกอบด้วย ต้นทุนสถานีแม่ ต้นทุนสถานีลูก ค่าขนส่ง และค่าการตลาดให้กำกับดูแลโดย กบง. โดย กบง. จะเป็นผู้พิจารณาหลักเกณฑ์การคำนวณราคาขายปลีก NGV ต่อไป
3. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้มีมติให้นำภาษีบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) บวกเพิ่มในราคาขายปลีก NGV ได้ตามข้อบัญญัติ อบจ. ของจังหวัดนั้นๆ แต่ต้องไม่สูงกว่าเพดานราคา NGV ที่กำหนดไว้ที่ 10.34 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป ทั้งนี้ หากการเก็บภาษีบำรุง อบจ. มีผลทำให้ราคาขายปลีก NGV สูงกว่าเพดานราคาที่กำหนดไว้ ให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
4. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2554 บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่า อบจ. จังหวัดแพร่ ได้ขอเก็บภาษีบำรุง อบจ. จากสถานีบริการ NGV ในจังหวัดแพร่ ซึ่งปัจจุบันมี 1 สถานี ในอัตรา 0.051 บาทต่อกิโลกรัม และภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ของภาษี อบจ. ในอัตรา 0.004 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เมื่อบวกเพิ่มในราคาขายปลีก NGV ที่ขายอยู่ที่จังหวัดแพร่ที่ 10.34 บาทต่อกิโลกรัม จะเพิ่มขึ้นเป็น 10.395 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าเพดานราคาที่กำหนดไว้ ปัจจุบันจังหวัดแพร่มีปริมาณการขายก๊าซ NGV อยู่ที่ประมาณ 8 ตันต่อวัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ปรับเพดานราคาขายปลีก NGV ของสถานีบริการ NGV จังหวัดแพร่เพิ่มขึ้นจาก 10.34 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.395 บาทต่อกิโลกรัม
มติของที่ประชุม
1. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปศึกษาต้นทุน NGV ที่เหมาะสมและนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเรื่องการขอยกเลิกเพดานราคาขายปลีก NGV ที่ระดับไม่เกิน 10.34 บาทต่อกิโลกรัม เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
เรื่องที่ 3 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 กพช. มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายให้ กบง. รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
2. การดำเนินการที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2553 ได้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.50 บาทต่อลิตร จาก 0.65 บาทต่อลิตร เป็น 0.15 บาทต่อลิตร ทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกลง 0.30 บาทต่อลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลง อยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร การดำเนินการดังกล่าวทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบประมาณ 17.3 ล้านบาทต่อวัน เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2553 ได้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลง 0.50 บาทต่อลิตร จาก 0.15 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 0.35 บาทต่อลิตร และชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่ม 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร ซึ่งทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกลง 0.30 บาทต่อลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลง อยู่ที่ 29.69 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลดลง อยู่ที่ 29.09 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบประมาณ 40.5 ล้านบาทต่อวัน และเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2554 เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 0.85 บาทต่อลิตร และชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.50 บาทต่อลิตร โดยผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลง 0.20 บาทต่อลิตร อยู่ที่ 29.39 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบประมาณ 63.77 ล้านบาทต่อวัน
3. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 13 มกราคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบประมาณ 1,321 ล้านบาท โดยเป็นภาระชดเชยในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลประมาณ 1,241 ล้านบาท และถ้าหากไม่มีการดำเนินการลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 จะอยู่ที่ 31.49 บาทต่อลิตร
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 11 มกราคม 2554 มีเงินสดในบัญชี 36,313 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 8,696 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 8,405 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 291 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 27,617 ล้านบาท
5. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 93.94 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 107.17 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ระดับ 108.91 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันขายปลีกน้ำมัน ณ วันที่ 13 มกราคม 2554 น้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ระดับ 38.64 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 34.34 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 อยู่ที่ระดับราคา 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดอยู่ที่ 0.7592 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับราคา 29.39 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดอยู่ที่ 0.5521 บาทต่อลิตร (ค่าการตลาดที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 1.50 บาทต่อลิตร) ซึ่งอาจจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ปรับขึ้นเกิน 30.00 บาทต่อลิตร ได้
6. จากปัญหาค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำ เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เพิ่มขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร จากชดเชย 0.85 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.65 บาทต่อลิตร และอัตราเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 2.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และ บี5 อยู่ในระดับ 1.5592 และ 1.5521 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงจากติดลบ 63.8 ล้านบาทต่อวัน เป็น ติดลบ 104.4 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เพิ่มขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร จากชดเชย 0.85 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.65 บาทต่อลิตร และอัตราเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 2.50 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2554 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 59 - วันพุธ ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2554 (ครั้งที่ 59)
เมื่อวันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. ขอขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลง 0.50 บาท/ลิตร จาก 0.65 บาท/ลิตร เป็น 0.15 บาท/ลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2553 ทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกลง 0.30 บาท/ลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลงอยู่ที่ 29.99 บาท/ลิตร การดำเนินการดังกล่าวทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลออกเพิ่มขึ้นจาก 89 ล้านบาท/เดือน เป็น 537 ล้านบาท/เดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และ บี5 ลงชนิดละ 0.50 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.35 และ 1.00 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ซึ่งทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกลง 0.30 บาท/ลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และ บี5 ลดลงอยู่ที่ 29.69 และ 29.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบประมาณ 40.5 ล้านบาท/วัน หรือ 1,257 ล้านบาท/เดือน
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายให้ กบง. รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ได้ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2553 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้นอีก 0.50 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ปรับเพิ่มขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 ขึ้นอีก 0.50 บาท/ลิตร ต่อมา ณ 4 มกราคม 2554 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ระดับ 91.58, 105.39 และ 106.37 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศปรับตัวสูงตาม และ ณ วันที่ 5 มกราคม 2554 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 38.64 และ 34.34 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 อยู่ที่ระดับ 29.99 บาท/ลิตร มีค่าการตลาด 1.0239 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับ 29.59 บาท/ลิตร มีค่าการตลาด 1.0217 บาท/ลิตร (ค่าการตลาดที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 1.50 บาท/ลิตร) จากการที่ค่าการตลาดอยู่ในระดับต่ำ อาจทำให้ผู้ค้าปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ขึ้นเกิน 30 บาท/ลิตร ได้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2553 มีเงินสดในบัญชี 36,267 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 8,536 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 8,234 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 303 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 27,731 ล้านบาท และจากการดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2554 กองทุนน้ำมันฯได้ใช้เงินเพื่อรักษาระดับราคาไปแล้วประมาณ 770 ล้านบาท
5. จากปัญหาค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำข้างต้น เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาท/ลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และ บี5 อยู่ในระดับ 1.5239 และ 1.5217 บาท/ลิตร ตามลำดับ และกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลง จากติดลบ 1,257 ล้านบาท/เดือน เป็น ติดลบ 1,977 ล้านบาท/เดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จากชดเชย 0.35 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.85 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จากชดเชย 1.00 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 1.50 บาท/ลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 ขอขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2553
2. จากหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลโดยใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1, 2 และ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5 โดยที่ราคากากน้ำตาลเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลเดือนธันวาคมอยู่ที่ 7.79 บาท/กิโลกรัม คำนวณจากราคาเฉลี่ยของราคากากน้ำตาลเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม ที่ 5.89 4.52 และ 12.96 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ ส่งผลให้ราคาอ้างอิงเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลอยู่ที่ระดับ 38.61 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 12.18 บาท/ลิตร โดยมีสาเหตุจากเดือนตุลาคม 2553 มีการส่งออกกากน้ำตาลเพียง 40,584 กิโลกรัม แต่มีมูลค่าส่งออก 526,061 บาท ส่งผลให้ราคากากน้ำตาลในเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าจาก 4.52 บาท/กิโลกรัม เป็น 12.96 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ เนื่องจากวิธีการคำนวณเป็นการนำราคา 3 เดือน มาหารเฉลี่ย ดังนั้น ถ้ามีเดือนที่ราคาปรับสูงหรือต่ำผิดปกติจะมีผลทำให้ราคาเอทานอลอ้างอิงผันผวนอย่างมาก
3. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณการส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลของเดือนธันวาคม 2553 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (คณะอนุกรรมการฯ) ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงของสาเหตุความผิดปกติของราคากากน้ำตาลพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
4. สาเหตุที่ราคาอ้างอิงเอทานอลของเดือนธันวาคมสูงผิดปกติ เกิดจากราคาส่งออกกากน้ำตาลเฉลี่ยในเดือนตุลาคมสูงขึ้นมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทน้ำตาลกุมภวาปี มีการส่งออกกากน้ำตาลชนิด Hi test molasses ซึ่งสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้และมีราคาสูงกว่าชนิดอื่นโดยมีราคาประมาณ 12-14 บาท/กิโลกรัม มีการส่งออกประมาณ 20 ตัน/เดือน เมื่อเทียบกับปริมาณการส่งออกกากน้ำตาลทั้งหมดเฉลี่ยประมาณ 8,000 ตัน/เดือน ที่ระดับราคา 4-5 บาท/กิโลกรัม จึงทำให้ราคาส่งออกในช่วงก่อนหน้าไม่มีความผิดปกติ แต่ในเดือนตุลาคม 2553 มีการส่งออกเฉพาะบริษัทน้ำตาลกุมภวาปีเพียงบริษัทเดียว จึงส่งผลให้ราคากากน้ำตาลในเดือนตุลาคมสูงมากผิดปกติ
5. เพื่อให้การประกาศราคาอ้างอิงเอทานอล ถูกต้องเหมาะสมและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอความเห็นชอบขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตเป็นการชั่วคราว โดยให้มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือน มีนาคม 2554 โดยขอใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร เฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลในเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม 2554 และขอให้ กบง. มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการปรับปรุงราคากากน้ำตาลส่งออกให้สะท้อนต้นทุนในการผลิตเอทานอล โดยประสานกรมศุลกากร เพื่อขอแยก Hi Test Molasses ออกจากพิกัดส่งออกกากน้ำตาล หรือขอข้อมูลมาใช้ในการตัดออกจากการคำนวณ โดยนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอโครงสร้างฯ ใหม่ต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) โดยให้มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม 2554
2. เห็นชอบให้ใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร เฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลังที่มีการส่งออก ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลในเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม 2554 ทั้งนี้ ให้แยกกากน้ำตาลส่งออกที่ไม่ได้ใช้ในการผลิตเอทานอล อาทิ Hi Test Molasses ออกจากการคำนวณ
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการปรับปรุงราคากากน้ำตาลส่งออกให้สะท้อนต้นทุนในการผลิตเอทานอล โดยประสานกับกรมศุลกากร เพื่อขอแยก Hi Test Molasses ออกจากพิกัดส่งออกกากน้ำตาล หรือขอข้อมูลมาใช้ในการตัดออกจากการคำนวณ และให้นำเสนอคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลใหม่ต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
ครั้งที่ 58 - วันพฤหัสบดี ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2553 (ครั้งที่ 58)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน(นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2553 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 88.65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 100.26 และ 101.52 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ในเดือนมกราคม 2554 คาดว่าแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับสูง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับประมาณ 88 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับประมาณ 102 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตาม โดย ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับ 33.84, 29.99 และ 29.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ และหากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ผู้ค้าน้ำมันก็จะปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เกิน 30.00 บาท/ลิตร
2. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2553 มีเงินสดในบัญชี 36,843 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 9,227 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 8,922 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 304 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 27,617 ล้านบาท
3. เนื่องจากน้ำมันดีเซลเป็นน้ำมันพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจ หากมีการปรับราคาขายปลีกเกิน 30 บาท/ลิตร จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าและบริการ รวมทั้งค่าครองชีพของประชาชน ดังนั้นควรปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และเพิ่มการอุดหนุนน้ำมันดีเซลเพื่อมิให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงเกิน 30 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราวก่อนในระยะ 1 - 2 เดือน โดยมี 2 แนวทาง ดังนี้
3.1 แนวทางที่ 1 ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เฉพาะน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล บี3 ลดลง 0.30 บาท/ลิตร แนวทางนี้มีผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับต่ำกว่า บี3 ดังนั้นผู้ค้าน้ำมันอาจปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ประมาณ 0.30 บาท/ลิตร เพื่อให้ค่าการตลาดใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 จะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เท่ากับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ซึ่งอาจจะเป็นการไม่สนับสนุนนโยบายการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงจากติดลบ 537 ล้านบาท/เดือน เป็นติดลบ 986 ล้านบาท/เดือน
3.2 แนวทางที่ 2 ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล บี3 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ปรับลดลง 0.30 บาท/ลิตร โดยที่ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 กับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ 0.60 บาท/ลิตร และกองทุนน้ำมันฯ จะมีสภาพคล่องลดลงจากติดลบ 537 ล้านบาท/เดือน เป็นติดลบ 1,257 ล้านบาท/เดือน
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้ง 2 แนวทางแล้ว และได้มีข้อเสนอดังนี้
4.1 ขอความเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามแนวทางที่ 2 โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร จาก 0.15 บาท/ลิตร เป็น -0.35 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร จาก -0.50 บาท/ลิตร เป็น -1.00 บาท/ลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
4.2 เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน จึงเห็นควรให้คณะกรรมการฯ เห็นชอบในหลักการและมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม โดยให้สามารถปรับลด/เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ได้อีกไม่เกิน 1.00 บาท/ลิตร แล้วรายงานให้ กบง. ทราบในภายหลัง
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามแนวทางที่ 2
หน่วย : บาท/ลิตร | ULG95 | ULG91 | E10,95 | E10,91 | B3 | B5 |
ราคา ณ โรงกลั่น | 19.4212 | 19.0054 | 20.3630 | 20.1597 | 20.4217 | 20.8951 |
ภาษีสรรพสามิต | 7.0000 | 7.0000 | 6.3000 | 6.3000 | 5.3100 | 5.0400 |
ภาษีเทศบาล | 0.7000 | 0.7000 | 0.6300 | 0.6300 | 0.5310 | 0.5040 |
กองทุนน้ำมันฯ | 7.5000 | 6.7000 | 2.4000 | 0.1000 | -0.3500 | -1.0000 |
กองทุนอนุรักษ์ฯ | 0.2500 | 0.2500 | 0.2500 | 0.2500 | 0.2500 | 0.2500 |
ภาษีมูลค่าเพิ่ม | 2.4410 | 2.3559 | 2.0960 | 1.9208 | 1.8314 | 1.7982 |
ราคาขายส่ง | 37.3122 | 36.0113 | 32.0390 | 29.3605 | 27.9941 | 27.4873 |
ค่าการตลาด | 4.9793 | 1.5222 | 1.6832 | 1.8500 | 1.5850 | 1.4978 |
ภาษีค่าการตลาด | 0.3485 | 0.1066 | 0.1178 | 0.1295 | 0.1109 | 0.1048 |
ราคาขายปลีก | 42.64 | 37.64 | 33.84 | 31.34 | 29.69 | 29.09 |
กองทุนน้ำมันฯ เปลี่ยนแปลง | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | -0.50 | -0.50 |
ค่าการตลาด เปลี่ยนแปลง | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.22 | 0.22 |
ราคาขายปลีก เปลี่ยนแปลง | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | -0.30 | -0.30 |
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร จาก 0.15 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.35 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร จากชดเชย 0.50 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 1.00 บาท/ลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 57 - วันพุธ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2553 (ครั้งที่ 57)
เมื่อวันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 8.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศปรับตัวสูงขึ้นเกิน 30 บาท/ลิตร ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2553 นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานไปหามาตรการเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน จึงจำเป็นต้องขอนัดประชุมฯ เร่งด่วนในวันนี้
เรื่องที่ 1 : การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2553 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 88.66 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 102.66 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 103.21 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศปรับตัวสูงตาม โดยที่ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 อยู่ที่ระดับ 33.34, 30.29 และ 29.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ และหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงอยู่ที่ระดับนี้ คาดว่าผู้ค้าน้ำมันอาจต้องปรับขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ
2. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2553 มีเงินสดในบัญชี 35,703 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 7,029 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 6,717 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 311 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 28,674 ล้านบาท
3. เนื่องจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นต้นทุนในการขนส่งสินค้า เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน เห็นควรลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.50 บาท/ลิตร เพื่อทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.60 บาท/ลิตร โดยที่ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลงจาก 1.20 บาท/ลิตร เป็น 0.60 บาท/ลิตร อย่างไรก็ตามเนื่องจากค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในครั้งนี้ ผู้ค้าอาจไม่ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันตาม แต่เป็นการชะลอการปรับเพิ่มราคาขายปลีกของผู้ค้าน้ำมัน และหากเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ลง 0.50 บาท/ลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลง จากติดลบ 89 ล้านบาท/เดือน เป็นติดลบ 537 ล้านบาท/เดือน
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
หน่วย : บาท/ลิตร | ULG 91 | E10, 95 | E10, 91 | HSD | B5 |
ราคา ณ โรงกลั่น | 19.2818 | 20.6113 | 20.4083 | 20.4671 | 20.9181 |
ภาษีสรรพสามิต | 7.0000 | 6.3000 | 6.3000 | 5.3100 | 5.0400 |
ภาษีเทศบาล | 0.7000 | 0.6300 | 0.6300 | 0.5310 | 0.5040 |
กองทุนน้ำมันฯ | 6.7000 | 2.4000 | 0.1000 | 0.1500 | -0.5000 |
กองทุนอนุรักษ์ฯ | 0.2500 | 0.2500 | 0.2500 | 0.2500 | 0.2500 |
ภาษีมูลค่าเพิ่ม | 2.3752 | 2.1134 | 1.9382 | 1.8696 | 1.8348 |
ราคาขายส่ง | 36.3070 | 32.3047 | 29.6265 | 28.5777 | 28.0469 |
ค่าการตลาด | 0.7785 | 0.9676 | 1.1341 | 1.0396 | 0.9748 |
ภาษีค่าการตลาด | 0.0545 | 0.0677 | 0.0794 | 0.0728 | 0.0682 |
ราคาขายปลีก | 37.14 | 33.34 | 30.84 | 29.69 | 29.09 |
กองทุนน้ำมันฯ เปลี่ยนแปลง | 0.00 | 0.00 | 0.00 | -0.50 | 0.00 |
ค่าการตลาด เปลี่ยนแปลง | 0.00 | 0.00 | 0.00 | -0.06 | 0.00 |
ราคาขายปลีก เปลี่ยนแปลง | 0.00 | 0.00 | 0.00 | -0.60 | 0.00 |
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.50 บาท/ลิตร จาก 0.65 บาท/ลิตร เป็น 0.15 บาท/ลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 56 - วันพฤหัสบดี ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2553 (ครั้งที่ 56)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล(B100) เป็นการชั่วคราว
2. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
4. สรุปผลการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง)
5. ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน
6. การทบทวนหลักเกณฑ์เพื่อคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ที่สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซลซึ่งคำนึงถึงวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล 3 ชนิด คือ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์และสเตียรีน ดังนี้
B100 | = | (B100CPO x QCPO)+(B100RBD x QRBD)+(B100ST x QST) |
QTotal |
ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) | B100CPO = 0.94CPO + 0.1MtOH + 3.82 |
ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากสเตียรีน | B100ST = 0.86ST + 0.09MtOH + 2.69 |
ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBD) | B100RBD = 0.93RBD + 0.1MtOH + 2.69 |
โดยที่
CPO | คือ | ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาท/กิโลกรัม) ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 3 บาท/กิโลกรัม โดยใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ย สัปดาห์ก่อนหน้า เช่น ใช้ราคาในสัปดาห์ที่ 1 นำไปคำนวณราคาในสัปดาห์ที่ 2 |
ST | คือ | ราคาขายสเตียรีนบริสุทธิ์ในเขตกรุงเทพมหานคร (บาท/กิโลกรัม) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้ราคาสเตียรีนบริสุทธิ์เฉลี่ยสัปดาห์ก่อนหน้า เช่น ใช้ราคาในสัปดาห์ที่ 1 นำไปคำนวณราคาในสัปดาห์ที่ 2 |
RBD | คือ | ราคาน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBD) ใช้ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาท/กิโลกรัม) สัปดาห์ก่อนหน้า บวกค่าแปรสภาพ 3 บาท/กิโลกรัม จนกว่ากรมการค้าภายในจะประกาศราคาน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBD) |
จากหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล โดยราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ใช้คำนวณให้เป็นไปตามราคาที่สำรวจโดยกรมการค้าภายใน แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม ในการคำนวณราคาไบโอดีเซลอ้างอิง โดยผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ค้าน้ำมันจะใช้ราคานี้ในการอ้างอิงการซื้อขายไบโอดีเซล
2. ปัจจุบันสถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับสถานการณ์อุทกภัยรวมถึงเป็นช่วงปลายฤดูกาล ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบของประเทศไทยตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม 2553 เป็นต้นมา สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย และเกินราคาตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม (MPOB+3) และมีแนวโน้มที่ราคา CPO จะสูงกว่า MPOB+3 ซึ่งเป็นเดือนที่ผลผลิตภายในประเทศเริ่มออกมาก จนถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมันในช่วงเดือนมีนาคม 2554
3. เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2553 สมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทยได้ขอให้พิจารณาปรับโครงสร้างราคาประกาศไบโอดีเซลอย่างเร่งด่วน เนื่องจากราคาประกาศไบโอดีเซลต่ำกว่าต้นทุนการผลิตจริงประมาณ 2-5 บาท/ลิตร โดยให้พิจารณายกเลิกเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบไม่เกินตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/ เป็นการชั่วคราว ซึ่งจากราคาอ้างอิงที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตมากจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม ดังนี้
1) ผู้ผลิต B100 จากวัตถุดิบ CPO จะขาดทุน ซึ่งอาจทำให้การผลิตลดลงและหยุดผลิตได้ 2) การผลักดันนโยบายความมั่นคงด้านพลังงาน และแผนพลังงานทดแทน 15 ปี นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอาจมีอุปสรรค 3) การบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดเดียว (B5) เดือนมกราคม 2554 อาจไม่เป็นไปตามแผนฯ และ 4) เกษตรกรขายผลผลิตได้น้อยลง
4. เพื่อให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลสามารถที่จะผลิตไบโอดีเซล (B100) จำหน่ายให้กับผู้ค้ามาตรา 7 โดยสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซล จึงขอเสนอปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เป็นการชั่วคราว จากเดิมราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) คือ ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาท/กิโลกรัม) ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 3 บาท/กิโลกรัม เป็นราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) คือ ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาท/กิโลกรัม) ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาท/กิโลกรัม เป็นการชั่วคราวถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 หลังจากนั้นให้กลับมาใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ตามเดิม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) โดยใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาท/กิโลกรัม) ชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาท/กิโลกรัม เป็นการชั่วคราวถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 หลังจากนั้นให้กลับมาใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานมีมติให้ความเห็นชอบจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554
2. มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้กระทบต่อน้ำมันพืชบริโภค
เรื่องที่ 2 : แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2553 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล โดยเห็นชอบให้ทยอยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน 91 ให้ถึงระดับเพดาน 7.50 บาท/ลิตร โดยให้ส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ในระดับ 1.50 บาท/ลิตร และให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 มากกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ในระดับ 3.00 บาท/ลิตร โดยรักษาระดับค่าการตลาดและส่วนต่างราคาขายปลีกกับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
2. เมื่อพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันฯ ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 91 สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ประมาณ 0.30 บาท/ลิตร ค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากราคาเอทานอลปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนั้น ส่วนต่างราคาขายปลีกยังไม่จูงใจผู้ใช้น้ำมันให้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ซึ่งส่งผลให้ยอดจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลไม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ยอดจำหน่ายคงที่ในระดับ 4.0 - 4.3 ล้านลิตร/เดือน
3. เพื่อให้โครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบันเอื้อต่อการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล จึงขอเสนอแนวทางปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน โดยปรับราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 จาก 1.50 บาท/ลิตร เป็น 2.50 บาท/ลิตร และให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ถูกกว่าแก๊สโซฮอล 91 ในระดับ 0.90 บาท/ลิตร เพื่อจูงใจผู้ใช้น้ำมัน พร้อมทั้งปรับค่าการตลาดให้น้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลมากได้รับค่าการตลาดที่สูงกว่าน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลน้อย เพื่อเป็นการจูงใจผู้ค้าน้ำมันให้จำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลมากขึ้น โดยมีแนวทางปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ชนิด | อัตราเดิม | ลด | อัตราใหม่ |
แก๊สโซฮอล 95 E10 | 2.80 | -0.40 | 2.40 |
แก๊สโซฮอล 91 | 1.40 | -1.30 | 0.10 |
แก๊สโซฮอล E20 | -0.40 | -0.90 | -1.30 |
แก๊สโซฮอล E85 | -11.00 | -2.50 | -13.50 |
จากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามแนวทางดังกล่าว ถ้าจะรักษาระดับค่าการตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งเพิ่มส่วนต่างราคาขายปลีก จะส่งผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ลดลง 1.00 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล E20 ลดลง 1.10 บาท/ลิตร และจากการประมาณการ กองทุนน้ำมันฯ จะมีสภาพคล่องลดลง 247 ล้านบาท/เดือน จาก 816 ล้านบาท/เดือนเป็น 569 ล้านบาท/เดือน
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามข้อ 3 และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
ชนิด | อัตราเดิม | ลด | อัตราใหม่ |
แก๊สโซฮอล 95 E10 | 2.80 | -0.40 | 2.40 |
แก๊สโซฮอล 91 | 1.40 | -1.30 | 0.10 |
แก๊สโซฮอล E20 | -0.40 | -0.90 | -1.30 |
แก๊สโซฮอล E85 | -11.00 | -2.50 | -13.50 |
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2553 ต่อไป
เรื่องที่ 3 : สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส ในเดือนพฤศจิกายน 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 83.59 และ 84.20 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3.38 และ 2.31 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จาก National Weather Service พยากรณ์อากาศบริเวณตอนเหนือของสหรัฐฯ ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน - ต้นเดือนธันวาคม 2553 จะหนาวเย็นกว่าปกติ ประกอบกับรอยเตอร์รายงานปริมาณผลิตน้ำมันดิบจากแหล่งใหญ่บริเวณทะเลเหนือในเดือนธันวาคม ลดลง 0.06 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดือนก่อน อยู่ที่ 2.07 ล้านบาร์เรล/วัน อีกทั้งบริษัท Abu Dhabi National Oil Company ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประกาศลดปริมาณส่งมอบน้ำมันดิบในเดือนมกราคม 2554 ลงร้อยละ 10 รวมทั้งปริมาณส่งออกน้ำมันดิบของอิรักเดือนตุลาคม 2553 อยู่ที่ระดับ 1.89 ล้านบาร์เรล/วัน จากความต้องการใช้ภายในประเทศมากขึ้น
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนพฤศจิกายน 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 93.07, 91.01 และ 96.47 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3.36, 3.35 และ 3.60 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากกรมศุลกากรจีนรายงานปริมาณส่งออกเบนซินและดีเซลเดือนตุลาคม 2553 ที่ระดับ 3.15 และ 2.70 ล้านบาร์เรล ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้า อีกทั้ง Sinopec ของจีนงดส่งออกน้ำมันดีเซลตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 และมีแผนนำเข้าปริมาณรวม 1.5 ล้านบาร์เรล ในช่วงพฤศจิกายน - ธันวาคม 2553 และ PAJ รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดีเซลของญี่ปุ่นสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 พฤศจิกายน 2553 ลดลง 12,000 บาร์เรล อยู่ที่ 11.38 ล้านบาร์เรล
3. เดือนพฤศจิกายน 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.30 บาท/ลิตร, เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล 95 E10 , E20 , แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.10 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล 95 E85 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.42 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.23 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85 , แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 อยู่ที่ระดับ 41.64, 36.24, 32.44, 30.14, 19.32, 30.94, 29.79 และ 28.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนพฤศจิกายน 2553 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 782 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบและเรือขนส่งLPG จำนวน 41 ลำ ไม่สามารถขนส่ง LPG ได้โดยจอดอยู่ที่ ท่าเรือ Fos and Lavera ประเทศฝรั่งเศส สถานการณ์ราคา LPG ที่ผลิตในประเทศ โดยรัฐได้กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นไว้ที่ระดับ 332.75 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน 2553 อยู่ที่ระดับ 10.6101, 10.3079 และ 10.0196 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ และจากการที่รัฐกำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ระดับ 18.13 บาท/กิโลกรัม สถานการณ์การนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - 25 พฤศจิกายน 2553 มีการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 2,531,675 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 32,337 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนกันยายน 2553 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอล 19 ราย กำลังการผลิตรวม 2.93 ล้านลิตร/วัน แต่มีการผลิตเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 13 ราย ปริมาณการผลิตจริง 1.13 ล้านลิตร/วัน โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนพฤศจิกายน 2553 อยู่ที่ 26.51 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม 2553 มีปริมาณจำหน่าย 11.7 ล้านลิตร/วัน มีสถานีบริการ 4,333 แห่ง ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 3.80 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 5.30 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม 2553 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีปริมาณการจำหน่าย 0.39 ล้านลิตร/วัน มีสถานีบริการฯ 432 แห่ง ทั้งนี้ ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ต่ำกว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 2.30 บาท/ลิตร ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ในเดือนตุลาคม 2553 อยู่ที่ 0.0076 ลิตร/วัน มีสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 8 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 13.12 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล ในเดือนพฤศจิกายน 2553 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 14 ราย กำลังการผลิตรวม 6.00 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลในเดือนตุลาคม 2553 อยู่ที่ 1.79 ล้านลิตร/วัน ราคาเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2553 อยู่ที่ 32.29 บาท/ลิตร การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในเดือนตุลาคม อยู่ที่ 18.05 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการฯ 3,803 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 0.50 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.20 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 มีเงินสดในบัญชี 35,486 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 6,792 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 6,481 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 311 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 28,694 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 : สรุปผลการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 และวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้มีการจำหน่ายน้ำมันในสถานีบริการบนฝั่งให้กับชาวประมงชายฝั่ง ปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ไม่เกิน 15 ล้านลิตร/เดือน รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพลังงาน พิจารณาความเหมาะสมในการขยายเวลาการดำเนินโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ในกรณีที่ปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลาย
2. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) ออกไปอีก 6 เดือน (15 พฤษภาคม 2552 - 14 พฤศจิกายน 2552) โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในโครงการฯ ราคาต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ 2 บาท/ลิตร แต่เนื่องจากรัฐบาลสนับสนุนเชื้อเพลิงทดแทนจึงมีการจำหน่ายน้ำมันดีเซล B5 ราคาต่ำกว่าดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาท/ลิตร ทำให้ไม่มีการจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้นำน้ำมันดีเซล B5 มาใช้แทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการฯ โดยกำหนดให้ราคาน้ำมันดีเซล B5 ในโครงการฯ ต่ำกว่าน้ำมันดีเซล B5 ปกติ 2 บาท/ลิตร โดยตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม - 14 พฤศจิกายน 2552 ปริมาณจำหน่ายน้ำมันรวม 223,000 ลิตร เรือประมงเข้าร่วมโครงการฯ 3,339 ลำ สถานีบริการฯ เข้าร่วมโครงการฯ 7 สถานี (มีการจำหน่ายน้ำมัน 3 สถานี) ในพื้นที่ 2 จังหวัด คือจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และพังงา และเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 กบง. ได้เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก 6 เดือน (3 มีนาคม 2553 - 2 กันยายน 2553) และเป็นการช่วยเหลือครั้งสุดท้าย
3. กรมประมงได้สรุปผลการดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2553 - 2 กันยายน 2553 ดังนี้ 1) มีชาวประมงเข้าร่วมโครงการ 18 จังหวัด มีเรือประมงเข้าร่วมโครงการ 3,339 ลำ 2) บริษัทน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการ 2 บริษัท คือ ปตท. และ บริษัท พี ซี สยามปิโตรเลียม จำกัด (สุราษฎร์ธานี) 3) สถานีบริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ใน 6 จังหวัด รวม 10 แห่ง 4) องค์การสะพานปลามีผลกำไรจากการดำเนินโครงการฯ 252,000 บาท และ 5) ปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายรวม 176,000 ลิตร (มีการจำหน่ายน้ำมันที่สถานีบริการของนางเกิด ชาญสมุทรสกุล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 1 แห่ง)
4. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ มีดังนี้ 1) ราคาน้ำมันเขียวถูกกว่าประมาณ 6.61 - 7.49 บาท/ลิตร และชาวประมงสามารถเดินทางไปซื้อน้ำมันเขียวมาใช้ได้ 2) การจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ ได้รับค่าการตลาด 0.80 -1.10 บาท/ลิตร ต่ำกว่าการจำหน่ายน้ำมันปกติที่ได้รับค่าการตลาด 1.50 บาท/ลิตร 3) ความต้องการใช้น้ำมันของชาวประมงพื้นบ้านมีปริมาณน้อย ทำให้ไม่คุ้มค่าในการลงทุนเปิดสถานีบริการฯ 4) สถานีบริการต้องสั่งซื้อน้ำมันตามปริมาณที่กรมประมงกำหนด การดำเนินงานจึงไม่คล่องตัว และ 5) ปริมาณการสั่งซื้อน้ำมันองค์การสะพานปลากำหนดให้สั่งซื้อครั้งละไม่น้อยกว่า 9,000 ลิตร และต้องจ่ายเงินสด หากเป็นการจำหน่ายน้ำมันตามปกติสามารถสั่งซื้อได้ครั้งละ 3,000 ลิตร และสามารถขอเครดิตเงินเชื่อได้
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 : ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) มีอำนาจหน้าที่ ในการกำกับ ดูแลและส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พลังงานของประเทศ การกำหนดระดับค่ามาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด โดย พพ. ได้จัดทำกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนด เครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน กำหนดค่ามาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง (High Energy Performance Standards : HEPS) นอกจากนี้ ได้จัดทำร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ด้านประสิทธิภาพพลังงานหรือร่างมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ (Minimum Energy Performance Standards) ทั้งนี้ พพ. และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้มีบันทึกความเข้าใจในการร่วมมือด้านการกำหนดมาตรฐาน และการส่งเสริมเผยแพร่ระบบมาตรฐาน โดยร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำของเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
2. ปี 2550-2554 พพ. มีแผนจัดทำร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนด เครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน หรือกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง และร่างมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ ประมาณ 54 ผลิตภัณฑ์ และ 50 ผลิตภัณฑ์ ตามลำดับ หากมีการประกาศใช้กฎกระทรวงฯ มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ และการส่งเสริมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้มีการผลิต จำหน่ายและใช้ผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูง รวมทั้งการติดฉลากประสิทธิภาพสูง ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแผนที่กำหนดไว้ คาดว่าจะประหยัดพลังงานได้เทียบเท่าน้ำมันดิบ 280 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 7,500 ล้านบาท/ปี
3. เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 กบง. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนะแนวทางกำหนด และปรับปรุงมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง และขั้นต่ำ รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการผลิต จำหน่ายและใช้เครื่องจักร วัสดุ อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงฯ โดยได้มีการจัดประชุม 5 ครั้ง ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติโดยสรุปได้ดังนี้ 1) เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน หรือการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง 30 ผลิตภัณฑ์ 2) เห็นชอบร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเฉพาะด้านประสิทธิภาพพลังงาน หรือร่างมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ 28 ผลิตภัณฑ์ 3) เห็นชอบให้มีการนำร่องติดฉลากประสิทธิภาพสูงสำหรับอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงในโครงการส่งเสริมเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และ 4) เรื่องอื่นๆ ได้แก่ การคัดเลือก กำหนดรูปแบบ และการปรับเปลี่ยนขนาดของฉลากประสิทธิภาพสูงให้เหมาะสมกับเครื่องจักร วัสดุ อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง การแต่งตั้งคณะทำงานด้านวิชาการเครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง ที่อยู่นอกขอบข่ายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศสำหรับห้อง มอก.1155 และพิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องปรับอากาศที่อยู่นอกข่าย มอก.1155 ซึ่งส่วนมากมีขนาดใหญ่ และการศึกษาจัดทำหลักเกณฑ์ การสนับสนุนและการดำเนินการส่งเสริมการจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ และตู้เย็น Premium เบอร์5
4. ความก้าวหน้าของการจัดทำมาตรฐาน ในการจัดทำร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน หรือร่างมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง (HEPS) และร่างมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ (MEPS) รวมทั้งการติดฉลากประสิทธิภาพสูง ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว มีผลการดำเนินงานโดยสรุปดังนี้
4.1 ร่างกฎกระทรวงฯ หรือกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง (HEPS) แบ่งเป็น 1) จัดทำร่างกฎกระทรวงฯ โดยคณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบแล้ว 30 ฉบับ (30 ผลิตภัณฑ์) โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 8 ฉบับ (8 ผลิตภัณฑ์) คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย พพ. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงฯ เรียบร้อยแล้ว 9 ฉบับ (8 ผลิตภัณฑ์) คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบร่างกฎกระทรวงฯ แล้ว 13 ผลิตภัณฑ์ และ 2) แผนปี 2554 - 2555 มีร่างกฎกระทรวงฯ จะนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ 18 ผลิตภัณฑ์ โดยอยู่ระหว่างสรุปร่างกฎกระทรวงฯ 7 ผลิตภัณฑ์ และอยู่ในระหว่างศึกษาจัดทำร่างกฎกระทรวงฯ 11 ผลิตภัณฑ์
4.2 ร่างมาตรฐานฯประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ (MEPS) แบ่งเป็น 1) จัดทำร่างมาตรฐานฯ โดยคณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบแล้ว 28 ผลิตภัณฑ์ โดย สมอ. ประกาศใช้แล้ว 7 ผลิตภัณฑ์ อยู่ระหว่างจัดทำเป็นกฎหมาย มีการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบ กว. รายผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งได้จัดประชุมคณะกรรมการวิชาการแล้ว 6 ผลิตภัณฑ์ และที่ยังมิได้จัดประชุมคณะกรรมการวิชาการ 11 ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้มีร่างมาตรฐานฯ ที่คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบแล้ว และพร้อมนำส่ง สมอ. 4 ผลิตภัณฑ์ และ 2) แผนปี 2554 - 2555 มีร่างมาตรฐานฯ จะนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ 18 ผลิตภัณฑ์ โดยอยู่ระหว่างสรุปร่างมาตรฐานฯ 7 ผลิตภัณฑ์ และอยู่ในระหว่างศึกษาจัดทำร่างมาตรฐานฯ 11 ผลิตภัณฑ์
4.3 การมอบฉลากประสิทธิภาพสูง ปี 2551 - 2553 โดยโครงการส่งเสริมเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานนำร่องติดฉลากประสิทธิภาพสูงไปแล้ว 4 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย เตาแก๊ส อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบมอเตอร์ กระจก และฉนวนใยแก้ว มีการติดฉลากประสิทธิภาพสูงรวมประมาณ 2.5 ล้านใบ โดยคาดว่าจะมีผลประหยัดพลังงาน 38.8 ktoe/ปี คิดเป็นเงิน 1,145 ล้านบาท/ปี คาดว่า CO2 จะลดลง 187.7 พันตัน/ปี
5. ในปี 2554 - 2555 พพ. มีแผนจะดำเนินการนำเสนอร่างกฎกระทรวงฯ และร่างมาตรฐานฯ ที่ได้มีการศึกษาจัดทำแล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ประกอบด้วยร่างกฎกระทรวงฯ 18 ผลิตภัณฑ์ และร่างมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ 18 ผลิตภัณฑ์
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 : การทบทวนหลักเกณฑ์เพื่อคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาใช้หลักเกณฑ์เพื่อกำหนดราคาเอทานอลจากต้นทุนการผลิตชั่วคราวตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2553 โดยมีหลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอล ดังนี้
PEth = | (PMol x QMol) + (PCas x QCas) |
QTotal |
โดยที่
โดยที่
PEth คือ ราคาเอทานอลอ้างอิง (บาท/ลิตร) ประกาศราคาเป็นรายเดือนทุกเดือน
PMol คือ ราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาล (บาท/ลิตร)
PCas คือ ราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง (บาท/ลิตร)
QMol คือ ปริมาณการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือน เช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
QCas คือ ปริมาณการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือน เช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
QTotal คือ ปริมาณการผลิตเอทานอลทั้งหมด (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือน เช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
PMol = RMol + CMol
โดยที่
RMol คือ ต้นทุนกากน้ำตาลที่ใช้ในการผลิตเอทานอล (บาท/ลิตร)
CMol คือ ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล (บาท/ลิตร) เท่ากับ 6.125 บาท/ลิตร
หมายเหตุ :
1) ราคากากน้ำตาล เป็นราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรโดยใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1, 2 และ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
2) กากน้ำตาล 4.17 กก. ที่ค่าความหวาน 50% เท่ากับเอทานอล 1 ลิตร อ้างอิงรายงานจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
PCas = RCas + CCas
โดยที่
RCasอ ต้นทุนมันสำปะหลังที่ใช้ในการผลิตเอทานอล (บาท/ลิตร)
CCasอ ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง (บาท/ลิตร) เท่ากับ 7.107 บาท/ลิตร
หมายเหตุ :
1) ใช้ราคามันสด เชื้อแป้ง 25% ตามประกาศเผยแพร่โดยกรมการค้าภายใน เฉลี่ย 1 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคามันสดเฉลี่ยวันที่ 16 เดือน 3 ถึงวันที่ 15 เดือน 4 นำไปคำนวณราคา ในเดือนที่ 5 2) มันเส้น 2.63 กิโลกรัม เปอร์เซนต์แป้งไม่น้อยกว่า 65 เท่ากับเอทานอล 1 ลิตร อ้างอิงรายงานจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย 3) หัวมันสด 2.38 กิโลกรัม ที่เชื้อแป้ง 25% แปรสภาพเป็นมันเส้น 1 กิโลกรัม ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ และ 4) ค่าใช้จ่ายในการแปลงสภาพจากหัวมันสดเป็นมันเส้น 300 บาท/ตันมันเส้น ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์
2. จากหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาล ในปัจจุบันใช้ราคากากน้ำตาลส่งออกประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรโดยใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1, 2 และ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5 ราคากากน้ำตาลที่ใช้ในการคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงเดือนธันวาคมอยู่ที่ 7.79 บาท/กิโลกรัม คำนวณจากราคาเฉลี่ยของราคากากน้ำตาลเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม อยู่ที่ 5.89, 4.52 และ 12.96 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ ส่งผลให้ราคาเอทานอลอ้างอิงที่ผลิตจากกากน้ำตาล ในเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 38.61 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 12.18 บาท/ลิตร โดยมีสาเหตุจากการส่งออกกากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร พบว่าในเดือนตุลาคม 2553 มีการส่งออกกากน้ำตาล 40,584 กิโลกรัม ซึ่งลดลงจากเดือนกันยายน 2553 ที่ส่งออก 8,020,332 กิโลกรัม ส่งผลให้ราคากากน้ำตาลในเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าจาก 4.52 บาท/กิโลกรัม เป็น 12.96 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ เนื่องจากวิธีการคำนวณเป็นการนำราคา 3 เดือน มาหารเฉลี่ย ดังนั้น ถ้ามีเดือนที่ราคาปรับสูงหรือต่ำผิดปกติจะมีผลทำให้ราคาเอทานอลอ้างอิงผันผวนอย่างมาก
3. เพื่อลดความผันผวนของราคาเอทานอลอ้างอิงที่ผลิตจากกากน้ำตาล มีแนวทางการแก้ไขปัญหา 2 แนวทาง ดังนี้
3.1 แนวทางที่ 1 ใช้ราคากากน้ำตาล เป็นราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรโดยใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1, 2 และ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5 ทั้งนี้ในกรณีที่บางเดือนราคากากน้ำตาลผิดปกติโดยอาจสูงหรือต่ำกว่าราคาของเดือนก่อนเกินร้อยละ 50 ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน สามารถพิจารณาใช้ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 2 มาใช้แทนเดือนที่ 3 ในการนำมาคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลได้
3.2 แนวทางที่ 2 ใช้ราคากากน้ำตาล เป็นราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร โดยใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณการส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เช่น มูลค่าการส่งออกเดือนที่ 1 บวก มูลค่าการส่งออกเดือนที่ 2 บวก มูลค่าการส่งออกเดือนที่ 3 หารด้วย ปริมาณส่งออกเดือนที่ 1 บวก ปริมาณส่งออกเดือนที่ 2 บวก ปริมาณส่งออกเดือนที่ 3 เพื่อนำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เปรียบเทียบราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลตามแนวทางที่ 1 และ 2 แล้ว เห็นควรปรับปรุงราคากากน้ำตาลที่ใช้ในการคำนวณราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลตามแนวทางที่ 2
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณการส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาเอทานอลของเดือนธันวาคม 2553 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงไปหาข้อเท็จจริงของสาเหตุความผิดปกติของราคากากน้ำตาลพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาต่อไป