Super User
การขึ้นบัญชีและการยกเลิกบัญชีผู้ได้รับการคัดเลือก ตำแหน่ง นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ วันที่ 9 ตุลาคม 2557
กพช. ครั้งที่ 55 - วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2539
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 1/2539 (ครั้งที่ 55)
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
2.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.การดำเนินการในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
4.การจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
5.แนวทางในการปรับโครงสร้างและการแปรรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศ
6.แนวทางการควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซิน และการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
ในช่วงที่ผ่านมาราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลได้สูงขึ้นมาก ประธานฯ จึงได้สอบถามเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งเลขาธิการฯ ได้ชี้แจงว่าการปรับตัวของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลภายในประเทศเป็นผลมา จากราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกมีราคาสูงขึ้น ทั้งนี้ เพราะฤดูหนาวในปีนี้อากาศหนาวเย็นมาก จึงทำให้ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในช่วงกลางเดือน มกราคมราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกเริ่มอ่อนตัวลง แต่หลังจากนั้นราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม เมื่ออากาศเริ่มอุ่นขึ้นคาดว่าราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกจะลดลง อันจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศมีแนวโน้มลดลงด้วย
ประธานฯ ได้แสดงความยินดีกับคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่สามารถผลักดันให้นโยบายการลดช่องว่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดประสบผลสำเร็จ และหวังว่าในอนาคตนโยบายน้ำมันราคาเดียวทั่วประเทศจะสามารถดำเนินการได้ผลดี มากขึ้น
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทย และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่อง ความร่วมมือด้านการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2536 ณ กรุงเวียงจันทน์ โดยทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมและร่วมมือกันพัฒนาไฟฟ้าให้ได้ประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2545 เพื่อจำหน่ายให้กับประเทศไทย ซึ่งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ.-ล) ประกอบด้วย ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นประธาน และกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ อธิบดีกรมเศรษฐกิจ กระทรวงการต่างประเทศ รองอธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน และผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรัฐบาล สปป. ลาว ได้แต่งตั้ง Committee for Energy and Electric Power (CEEP) เพื่อประสานความร่วมมือในการพัฒนาโครงการดังกล่าว เช่นกัน
2. ความคืบหน้าของการเจรจาซื้อไฟฟ้า สปป. ลาว มีโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาเพื่อผลิตและขายไฟฟ้าให้แก่การ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทั้งสิ้น 11 โครงการ รวมกำลังการผลิตประมาณ 4,300 เมกะวัตต์ ปัจจุบันการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ามีโครงการที่สามารถตกลงอัตราค่าไฟฟ้าและอยู่ ระหว่างการเจรจาจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 4 โครงการ โครงการที่ได้เสนออัตราค่าไฟฟ้าแล้ว 4 โครงการ และโครงการที่อยู่ระหว่างเสนอผลการศึกษา 3 โครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
2.1 โครงการที่ตกลงอัตราค่าไฟฟ้าแล้ว
2.1.1 โครงการน้ำเทิน-หินบุน มีกำลังผลิตติดตั้ง 210 เมกะวัตต์ กำหนดจะแล้วเสร็จปี 2541 ได้มีพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่าง กฟผ. กับกลุ่มผู้พัฒนาโครงการไฟฟ้า (ประกอบด้วยรัฐบาล สปป. ลาว กลุ่ม NORDIC แห่งประเทศสวีเดน/นอร์เวย์ และบริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน)/ประเทศไทย) โดย กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าในอัตรา 4.30 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่ง คปฟ.-ล และกลุ่มผู้ลงทุนได้ตกลงรายละเอียดของร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement-PPA) แล้ว และตกลงกันว่าทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนของทั้ง 2 ฝ่ายต่อไป อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ทางฝ่ายไทยต้องการการยืนยันจากรัฐบาลลาว 2 ประเด็น คือ
(1) หนังสือยืนยันจากรัฐบาลลาวว่ารัฐบาลลาวจะยกเว้น Sovereign Immunity ให้แก่ผู้พัฒนาโครงการ
(2) เรื่องการยอมรับผลการตัดสินของ Arbitrators ซึ่งฝ่ายลาวได้ออกหนังสือยอมรับผลการตัดสินของ Arbitrators ลงนามโดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ฝ่ายไทยไม่แน่ใจว่ารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการออก หนังสือดังกล่าวได้หรือไม่ จึงขอหนังสือซึ่งลงนามโดยนายกรัฐมนตรี เพื่อมอบอำนาจให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงนามในหนังสือยอมรับผลการตัดสินของ Arbitrators ดังกล่าว
2.1.2 โครงการน้ำเทิน 2 มีกำลังผลิตติดตั้ง 681 เมกะวัตต์ กำหนดจะแล้วเสร็จปี 2543 ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่าง กฟผ. และกลุ่มผู้พัฒนาโครงการ (ประกอบด้วยรัฐบาล สปป. ลาว บริษัท Transfield/ออสเตรเลีย การไฟฟ้าฝรั่งเศส และกลุ่มบริษัทอิตาเลียน-ไทย/จัสมิน/ภัทรธนกิจ) โดย กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าในอัตรา 4.55 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง คปฟ.-ล และกลุ่มผู้พัฒนาโครงการ คาดว่าจะหาข้อยุติได้ประมาณเดือนมีนาคม 2539
2.1.3 โครงการห้วยเฮาะ มีกำลังผลิตจ่ายกระแสไฟฟ้า ณ จุดส่งมอบ 126 เมกะวัตต์ กำหนดจะแล้วเสร็จปี 2541 ได้มีพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่าง กฟผ. และกลุ่มผู้พัฒนาโครงการ (ประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว บริษัท แดวูแห่งประเทศไทย จำกัด/เกาหลีใต้ และบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน)/ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2539 โดย กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าในอัตรา 4.22 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
2.1.4 โครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา มีกำลังผลิตติดตั้ง 720 เมกะวัตต์ กำหนดจะแล้วเสร็จปี 2543 โดยมีบริษัท ไทยลาวลิกไนท์ จำกัด เป็นผู้พัฒนาโครงการ ขณะนี้ กฟผ. ได้เจรจากับกลุ่มผู้พัฒนาโครงการแล้ว เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2539 และสามารถตกลงราคาไฟฟ้าที่จะรับซื้อได้ ดังนี้
ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นโครงการผลิตไฟฟ้า ขนาด 600 เมกะวัตต์ กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดโครงการในช่วงเวลา 25 ปี (Levelized) ที่อัตรา 5.70 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
ระยะที่ 2 เป็นโครงการผลิตไฟฟ้าขนาด 600 เมกะวัตต์ กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดโครงการในช่วงเวลา 25 ปี (Levelized) ที่อัตรา 5.60 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งถ้าคิด 2 โครงการรวมกัน 1,200 เมกะวัตต์ จะได้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ 5.65 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
2.2 โครงการอื่นๆ
2.2.1 โครงการน้ำงึม 2 มีกำลังผลิตติดตั้ง 465 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการประกอบด้วย Shlapak Development Company, Bilfinger & Berger, J.M. Voith GmbH, Noell GmbH, Siemens AG, บริษัท ช. การช่าง จำกัด, และบริษัทศรีอู่ทอง จำกัด ขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้เสนออัตราค่าไฟฟ้าเท่ากับ 5.47 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปี (อยู่ระหว่างก่อสร้าง) นับจากวันเดินเครื่องจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นปีละ ร้อยละ 1.75
2.2.2 โครงการน้ำงึม 3 มีกำลังผลิตติดตั้ง 400 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว และบริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน)/ประเทศไทย ขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการเสนออัตราค่าไฟฟ้า (ปี 2537) เท่ากับ 4.51 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปีจนถึงวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้า นับจากวันเดินเครื่องจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 ต่อปีของอัตราการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐและไทย ในสัดส่วนที่เท่ากัน
2.2.3 โครงการเซคามาน 1 มีกำลังผลิตติดตั้ง 468 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการ ประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว บริษัท Hydro Electric Commission Enterprises Corporation/ออสเตรเลีย และบริษัทศรีอู่ทอง จำกัด ขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้เสนออัตราค่าไฟฟ้า (ปี 2537) เท่ากับ 4.99 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปี (อยู่ระหว่างก่อสร้าง) นับจากวันเดินเครื่องจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้ ร้อยละ 1.5 ต่อปี
2.2.4 โครงการเซเปียน-เซน้ำน้อย กำลังผลิตติดตั้ง 395 เมกะวัตต์ หรือ 465 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว Dong Ah Construction Industrial Company/เกาหลีใต้ และ Electrowatt Engineering Services Ltd./สวิสเซอร์แลนด์ ขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้เสนออัตราค่าไฟฟ้าโดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 กำลังผลิตติดตั้ง 395 เมกะวัตต์ อัตราค่าไฟฟ้า Firm Energy เท่ากับ 5.02 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และอัตราค่าไฟฟ้า Secondary Energy เท่ากับ 2.27 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปี (อยู่ระหว่างก่อสร้าง) แต่ไม่เกิน 6 ปี นับจากวันเดินเครื่องจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 1 ต่อปี
กรณีที่ 2 กำลังผลิตติดตั้ง 465 เมกะวัตต์ อัตราค่าไฟฟ้า Firm Energy เท่ากับ 5.21 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และอัตราค่าไฟฟ้า Secondary Energy เท่ากับ 2.27 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปี (อยู่ระหว่างก่อสร้าง) แต่ไม่เกิน 6 ปี นับจากวันเดินเครื่องจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 1 ต่อปี
2.2.5 โครงการน้ำเทิน 3 มีกำลังผลิตติดตั้ง 190 เมกะวัตต์ โดยมีบริษัท Heard Energy Corporation/สหรัฐอเมริกา เป็นผู้พัฒนาโครงการ ขณะนี้ผู้พัฒนาโครงการได้ศึกษาความเหมาะสมแล้วเสร็จ
2.2.6 โครงการน้ำเทิน 1 มีกำลังผลิตติดตั้ง 540 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการ ประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว และบริษัทสยามสหบริการ จำกัด (SUSCO) ขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้เสนอรายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2538 และจะเสนออัตราค่าไฟฟ้าให้พิจารณาเร็วๆ นี้
2.2.7 โครงการน้ำเลิก กำลังผลิตติดตั้ง 60 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการ ประกอบด้วย บริษัทไฟฟ้าลาว SIDA/สวีเดน OECF/ญี่ปุ่น ขณะนี้บริษัทไฟฟ้าลาว ได้เสนอรายงานการศึกษามาให้ กฟผ. พิจารณาแล้ว
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าในการเจรจาซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว
2.มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กระทรวงการ"ต่างประเทศ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย" เร่งพิจารณาหาข้อยุติเรื่องการยอมรับผลการตัดสิน Arbitrators ที่ยังเป็นประเด็นต้องการการยืนยันจากรัฐบาล สปป.ลาว เพื่อจะได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการน้ำเทิน-หินบุน โดยเร็วต่อไป
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. นับตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2538 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบได้ทยอยปรับราคาขึ้นโดยเฉลี่ย 2 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ทำให้ราคาน้ำมันดิบในเดือน มกราคมอยู่ในระดับ 16.5-20.5 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ตามชนิดของน้ำมันดิบ สาเหตุที่ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากฤดูหนาวของปีนี้อากาศหนาวเย็นมาก และปริมาณสำรองน้ำมันดิบของโรงกลั่นมีระดับต่ำ ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบเพื่อกลั่น น้ำมันและเพื่อสร้างความอบอุ่นเพิ่มขึ้น ในขณะที่การผลิตน้ำมันดิบไม่สามารถเพิ่มการผลิตได้เต็มที่เพราะอากาศที่หนาว จัด นอกจากนี้ ข่าวที่อิรัคยังคงยืนกรานที่จะไม่ส่งออกน้ำมันภายใต้เงื่อนไขของสหประชาชาติ มีผลทำให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากกลางเดือน มกราคมเป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบ ได้เริ่มอ่อนตัวลง
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา ได้สูงขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ปริมาณการผลิตต้องถูกจำกัด เพราะโรงกลั่นน้ำมัน 4 แห่ง ในย่านเอเซียต้องปิดลงคือ โรงกลั่นในอินโดนีเซียเกิดฟ้าผ่า โรงกลั่นในอินเดีย 2 แห่ง เกิดอุบัติเหตุ และโรงกลั่นในสิงคโปร์เกิดไฟไหม้ มีผลให้ราคาน้ำมันก๊าดสูงขึ้น 8 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ทำให้ราคาอยู่ในระดับ 30.96 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นประมาณ 5 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ทำให้ราคาอยู่ในระดับ 25.36 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ราคาน้ำมันเตาสูงขึ้นประมาณ 4 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ทำให้ราคาอยู่ในระดับ 18.09 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ส่วนราคาน้ำมันเบนซินได้ลดลง เนื่องจากมีความต้องการใช้น้อยลงในช่วงฤดูหนาว ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษอยู่ในระดับ 21.88 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล และราคาน้ำมันเบนซินธรรมดาอยู่ในระดับ 19.86 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล
3. การเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกน้ำมันเขื้อเพลิงในประเทศจะสอดคล้องกับการเปลี่ยน แปลง ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น และจะปรับตัวตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเปลี่ยนแปลงตามราคาน้ำมันในตลาดจรสิงคโปร์ประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในตลาดจรสิงคโปร์ และนับตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2538 เป็นต้นมา ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยราคาน้ำมันเบนซินได้ทยอยปรับตัวลงตามราคาในตลาดจรสิงคโปร์ส่วนราคาขาย ปลีกน้ำมันดีเซลได้เพิ่มสูงขึ้น ตามราคาในตลาดโลกที่ได้ปรับตัวขึ้น แต่ต่อมาราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวลดลงในช่วงปลายเดือนมกราคม และต้นเดือนกุมภาพันธ์ รวม 15 สตางค์/ลิตร ตามราคาในตลาดจรสิงคโปร์ซึ่งเริ่มอ่อนตัวลงในช่วงกลางเดือน มกราคม
4. แนวโน้มของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในอนาคต ราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มทรงตัวและจะอ่อนตัวลงเป็นลำดับตามอากาศสภาพที่อบอุ่นขึ้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การดำเนินการในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. หน่วยงานต่างๆ ได้รายงานผลการดำเนินการตามมาตรการการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยสรุป ดังนี้
1.1 กรมสรรพสามิต ได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องมือวัดพร้อมอุปกรณ์ควบคุมปริมาณรับ-จ่ายน้ำมัน ของคลังน้ำมันบริษัท คอสโมออยล์ จำกัด จังหวัดระยองเสร็จแล้ว ส่วนคลังของบริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิง จำกัด จังหวัดตรัง คาดว่าการติดตั้งจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2539 นี้ และคลังทั้งหมดจะติดตั้งเครื่องมือดังกล่าวแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2539 นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สรรพสามิตทุกจังหวัดออกตรวจสอบสถานีบริการ จำหน่ายน้ำมัน โดยเฉพาะกรณีที่มีการจำหน่ายน้ำมันในราคาต่ำกว่าปกติ
1.2 กรมสรรพากร ได้ดำเนินการตรวจสอบภาษีเงินได้ของผู้เช่าและผู้ให้เช่าเรือประมงดัดแปลงที่ ลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งถูกจับกุมได้ จำนวนทั้งสิ้น 15 ราย และได้ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปแล้ว จำนวน 4 ราย อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบภาษีเงินได้จำนวน 11 ราย นอกจากนี้ได้เข้าตรวจคลังน้ำมันที่กรมสรรพสามิตไม่มีอำนาจติดตั้งมิเตอร์ ปรากฎว่า มีผู้ให้ความร่วมมือขอให้ทางกรมสรรพสามิตเข้าไปติดมิเตอร์ จำนวน 2 คลัง ส่วนคลังน้ำมันที่เหลือยังไม่ให้ความร่วมมือ อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากรจะได้พิจารณาวิธีตรวจการปฏิบัติของสถานีบริการและคลังน้ำมันที่มี พฤติการณ์น่าสงสัย โดยใช้ใบกำกับภาษีซื้อและใบกำกับการขนส่งน้ำมันที่ไม่ได้ใช้ระบบภาษีมูลค่า เพิ่ม เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าสถานีบริการน้ำมันเหล่านี้รับน้ำมันมาจากคลังน้ำมัน ใดบ้าง แล้วจึงเข้าตรวจคลังน้ำมันนั้นต่อไป
1.3 กรมตำรวจ ได้จัดให้มีการประชุมชี้แจงและกำกับการปฏิบัติการของกองกำกับการต่างๆ" ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี" รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากศูนย์ป้องกันและปราบปรามการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดย มิชอบด้วยกฎหมาย (ศปน.) เพื่อให้มีการจัดเรือตรวจการณ์เฝ้า ณ จุดต่างๆ เช่น ปากน้ำประแสร์ และบางปะกง ปากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และบริเวณหน้าคลังต่างๆ และแจ้งให้กองกำกับการต่าง ๆ ให้ความร่วมมือแก่เจ้าหน้าที่จาก ศปน. ด้วย นอกจากนี้"ได้เข้าร่วมประชุมหารือและดูงานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อุตสาหกรรม (นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์) และรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงการคลัง (นายประภัทร โพธิสุธน) ในการปราบปรามน้ำมันลักลอบ การดำเนินการปราบปรามได้เข้าตรวจสอบคลังน้ำมัน รวม 15 แห่ง ซึ่งไม่พบการกระทำความผิดแต่ได้มีการจับกุมผู้กระทำผิดในการลักลอบนำเข้า น้ำมันเชื้อเพลิง รวม 7 ราย
1.4 กองทัพเรือ การดำเนินการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ทหารเรือปรากฎว่า ในช่วงวันที่ 27 ธันวาคม 2538 - 8 กุมภาพันธ์ 2539 ไม่พบเรือที่มีพฤติกรรมลักลอบนำน้ำมันเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ผ่านพิธีศุลกากรแต่อย่างใด
1.5 กรมทะเบียนการค้า" ได้หารือเป็นการภายในกับผู้ค้าน้ำมันและผู้ตรวจวัดอิสระที่ประกอบการอยู่ใน ประเทศไทยเกี่ยวกับขอบเขตการตรวจสอบ และหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ตรวจวัดอิสระ โดยทางผู้ค้าน้ำมันยินดีให้ความร่วมมือกับทางราชการอย่างเต็มที่ และเชื่อว่าหากกำหนดระเบียบบังคับนี้ ขึ้นมา ทางด้านผู้ตรวจวัดอิสระมีขีดความสามารถเพียงพอที่จะดำเนินการตรวจสอบให้ผู้ ค้าน้ำมันได้
2. การกำหนดมาตรการเพิ่มเติมและศูนย์ประสานงาน
2.1 ปัจจุบันได้มีการลักลอบนำผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมที่ได้รับการยกเว้นภาษี สรรพสามิตตามประกาศกระทรวงการคลัง เช่น แนฟทา และ NGL (Natural Gas Liguid) ออกจำหน่ายโดยผสมกับน้ำมันเบนซินที่จำหน่ายตามสถานีบริการต่างๆ โดยในปีงบประมาณ 2538 สามารถตรวจพบ จำนวน 77 ตัวอย่าง
2.2 คณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2539 ได้มีมติอนุมัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 6/2538 (ครั้งที่ 54) มอบหมายให้ สพช. รับไปพิจารณาจัดตั้งองค์กรกลางในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิง เพื่อให้เกิดเอกภาพในการดำเนินงาน โดยให้พิจารณากำหนดรูปแบบและขอบเขตอำนาจหน้าที่ขององค์กรดังกล่าว สพช. ได้ดำเนินการหารือร่วมกับกองทัพเรือ กรมศุลกากร กรมตำรวจ กรมสรรพสามิต และสำนักงบประมาณ โดยได้ข้อสรุป คือ
ปัญหาด้านความพร้อมของการปราบปรามทางทะเล ไม่มีหน่วยงานใดเป็นศูนย์รวมการประสานข้อมูลและการปฏิบัติการในทะเล จึงทำให้เรือลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถขนน้ำมันลักลอบเข้าสู่ฝั่ง ได้โดยไม่มีหน่วยงานใดทราบ
ปัญหาด้านการประสานงานของหน่วยงานต่างๆ ขาดการประสานข้อมูลและข่าว ขาดการอำนวยการให้มีการรับช่วงงานหรือช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างหน่วย งาน
ปัญหางบประมาณไม่เพียงพอในการปฏิบัติงาน
ปัญหาขาดการประชาสัมพันธ์ที่เพียงพอ
2.3 สพช. ได้เสนอแนวทางการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการกำหนดมาตรการเพิ่มเติมและการกำหนดศูนย์ประสานงาน ดังนี้
(1) ข้อเสนอการกำหนดมาตรการเพิ่มเติม
(1.1) มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปพิจารณาปรับปรุงแนวทางการควบคุมการนำผลิตภัณฑ์ เคมีปิโตรเลียมที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตที่ออกจากโรงอุตสาหกรรมให้ รัดกุมยิ่งขึ้น
(1.2) มอบหมายให้ สพช. และกรมสรรพสามิต รับไปพิจารณากำหนดให้มีการเติมสาร Marker ในผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมที่ได้รับการยกเว้นภาษีในระยะต่อไป
(2) ข้อเสนอการกำหนดศูนย์ประสานงาน
(2.1) มอบหมายให้กองทัพเรือเป็นศูนย์กลางในการจัดทำแผนงานปราบปรามควบคุม ประสานการปฏิบัติงานกับกรมศุลกากรและกรมตำรวจ ในการปราบปรามทางทะเลให้เป็นเอกภาพ รวมทั้งเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลข่าวสารในการปราบปรามทางทะเล ประเมินผลการปฏิบัติงานตลอดจนปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะการปฏิบัติงานใน พื้นที่ทางทะเลจนถึงชายฝั่ง ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมืออำนวยความสะดวก เพื่อประสานการปฏิบัติงานแก่กองทัพเรือโดยตรง
(2.2) ให้ สพช. ทำหน้าที่ศูนย์รวมการประสานงาน ทั้งหน่วยปราบปรามทางบกและทางทะเล โดยจัดให้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานตามความเหมาะ สมเพื่อประโยชน์ ดังนี้
ประสานข้อมูลข่าวสารระหว่างหน่วยงานปราบปรามและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีการแลกเปลี่ยน และนำส่งข้อมูลกันโดยตรง รวมทั้งประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรค รวบรวมข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
อำนวยการให้มีการกำหนดแผนงานการปราบปรามของหน่วยงานปราบปรามทาง ทะเลและบนบกให้สอดคล้องกัน และอำนวยการให้มีการรับช่วงงานระหว่างหน่วยจับกุมและหน่วยที่จะดำเนินคดี เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และสามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย รวมทั้ง กำจัดเรือที่ใช้เป็นพาหนะในการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงให้หมดไป
ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงาน รวมทั้ง เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงาน การปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงของทุกหน่วยงานให้เป็นเอกภาพ เดียวกัน
(2.3) ให้ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../2539 เรื่อง การกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ .... พ.ศ. 2539 เพื่อให้สามารถนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินการ ของหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ต่อไป ทั้งนี้ โดยมอบหมายให้ สพช. และกรมบัญชีกลางรับไปดำเนินการในรายละเอียด
มติของที่ประชุม
1.รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงของหน่วยงานต่างๆ
2.เห็นชอบข้อเสนอกำหนดมาตรการเพิ่มเติม ข้อ 2.3 (1)
3.เห็นชอบข้อเสนอการให้กำหนดศูนย์ประสานงาน ข้อ 2.3 (2)
เรื่องที่ 4 การจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
สรุปสาระสำคัญ
1. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้ขอซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในเบื้องต้น จำนวน 3 จุด ในบริเวณพื้นที่ต่อไปนี้
(1) เชียงของ-ห้วยทราย ประมาณ 5 เมกะวัตต์
(2) เชียงแสน-ต้นผึ้ง ประมาณ 2 เมกะวัตต์
(3) ท่าลี่-แก่นท้าว ประมาณ 2 เมกะวัตต์
2. กฟภ. ได้ชี้แจงให้คณะกรรมการประสานงานของบริษัทไฟฟ้าลาว สปป.ลาว ทราบว่า กฟภ. จะจำหน่ายกระแสไฟฟ้าในราคามิตรภาพ เป็นราคาเดียวกับที่จำหน่ายให้สหภาพพม่าที่เมืองท่าขี้เหล็ก คือ ในระดับแรงดัน 11-33 KV ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) 210 บาท/กิโลวัตต์ และค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Charge) 1.07 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง
3. สปป.ลาว ต้องการซื้อไฟฟ้า โดยมีอัตราค่าไฟฟ้าเป็นแบบ Flat Rate คือคิดเฉพาะค่าพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าที่บริษัทไฟฟ้าลาว จำหน่ายให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศและอัตราค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย จำหน่ายให้บริษัทไฟฟ้าลาว กำหนดคิดเฉพาะค่าพลังงานไฟฟ้า
4. เพื่อให้อัตราค่าไฟฟ้าเป็นแบบ Flat Rate ตามที่ สปป.ลาว ร้องขอ และ กฟภ. ไม่เสียประโยชน์จากการไม่คิดค่าความต้องการพลังไฟฟ้า และค่า Ft กฟภ. จึงกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่จะจำหน่ายให้บริษัท ไฟฟ้าลาว สปป.ลาว ตามราคาค่าเฉลี่ยของปีงบประมาณ 2538 ที่จำหน่ายให้ประเทศสหภาพพม่า ที่เมืองท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นราคาที่รวมค่าความต้องการพลังไฟฟ้า ค่าพลังงานไฟฟ้า และค่า Ft ไว้แล้ว คือ 1.90 บาท/หน่วย ซึ่งอัตราดังกล่าวคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2538
5. กฟภ. สามารถจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านได้ ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2535 แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ สปป. ลาว ใน 3 จุด ในบริเวณ ดังนี้
เชียงของ-ห้วยทราย ประมาณ 5 เมกะวัตต์
เชียงแสน-ต้นผึ้ง ประมาณ 2 เมกะวัตต์
ท่าลี่-แก่นท้าว ประมาณ 2 เมกะวัตต์
2.เห็นชอบในหลักการให้ราคาจำหน่ายกระแสไฟฟ้าที่ กฟภ. จำหน่ายให้ สปป. ลาว และที่จะจำหน่ายให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านในแต่ละจุดเป็นอัตราที่อยู่ในระดับ เดียวกันกับอัตราที่จำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ไฟในประเทศ ตามโครงสร้างประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าของ กฟภ. ทั้งนี้ ให้ กฟภ. มีความยืดหยุ่นที่จะสามารถเจรจา และกำหนดรูปแบบราคาจำหน่ายไฟฟ้าในลักษณะที่อาจแตกต่างจากโครงสร้างค่าไฟฟ้า ของประเทศไทยได้ภายใต้หลักการดังกล่าว เช่น อาจกำหนดเป็นอัตราคงที่ (Flat Rate) เป็นต้น
3.เห็นชอบในหลักการให้ กฟภ. ขายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณหมู่บ้านที่ใกล้กับเขตชายแดนของประเทศ ไทย โดยไม่ต้องขออนุมัติในระดับนโยบายอีก แต่ทั้งนี้ให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อทราบ ยกเว้นจะมีประเด็นนโยบายที่สำคัญให้เสนอเพื่อพิจารณา
4.ที่ประชุมได้มีมติเพิ่มเติม เกี่ยวกับการดำเนินการของ กฟภ. ในการขยายเขตจำหน่ายไฟฟ้า โดยมอบหมายให้ กฟภ. ขยายเขตจำหน่ายไฟฟ้าให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านที่มีจำนวนหลังคาเรือนมากกว่า 10 หลังคาเรือน ภายในปี 2539 ซึ่งปัจจุบันเขตจำหน่ายไฟฟ้าครอบคลุมจำนวนหมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 98 ของจำนวนหมู่บ้านทั้งหมดแล้ว
เรื่องที่ 5 แนวทางในการปรับโครงสร้างและการแปรรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 4 ขั้นตอน เริ่มจากปี 2535 และสิ้นสุดในปี 2539 ซึ่งการดำเนินการมีความก้าวหน้าหลายประการ เช่น การแปลงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นรัฐวิสาหกิจที่ดี การจัดตั้งบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด และกระจายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น แต่ยังมีกิจกรรมที่ยังมิได้ดำเนินการ ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลง กฟผ. และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นบริษัทจำกัดมหาชน โดยการแก้ไขพระราชบัญญัติ (พรบ.) การไฟฟ้าทั้งสอง ซึ่งขณะนี้ กฟผ. ขอทบทวนมติดังกล่าว และ กฟภ. ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2538 ให้ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจเช่นเดิม โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไข พรบ. เพื่อการเป็นบริษัทจำกัดมหาชน เพื่อให้คงสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ในการขยายบริการไฟฟ้าให้เพียงพอตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กิจกรรมที่มีการดำเนินการล่าช้ากว่ากำหนด คือ การปรับโครงสร้างการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการแปลง กฟน. เป็นรัฐวิสาหกิจที่ดี ส่วนการยกเลิกนโยบายการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าเท่ากันทั่วประเทศที่กำหนดไว้ใน การดำเนินการนั้น ยังคงถือเป็นนโยบายของรัฐที่จะกำหนดให้อัตราค่าไฟฟ้าเท่ากันทั่วประเทศต่อไป
2. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจาก สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้พิจารณาข้อเสนอของ กฟผ. และรูปแบบโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของประเทศต่างๆ รวมทั้ง ได้คำนึงถึงแนวทางในสมุดปกขาว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2538 และมติคณะรัฐมนตรีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539 โดยมีประเด็นพิจารณาและผลการพิจารณา ดังนี้
2.1 คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า ระบบการแข่งขันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดหาไฟฟ้า การบริการประชาชนอย่างทั่วถึง คุณภาพบริการดี ราคาเป็นธรรม และลดภาระการลงทุนของภาครัฐบาล รัฐจึงได้มีนโยบายส่งเสริมบทบาทเอกชนในการผลิตไฟฟ้ามาโดยตลอด ส่วนกิจการส่งไฟฟ้าและกิจการจำหน่าย ไฟฟ้า ยังจำเป็นต้องมีลักษณะเป็นกิจการผูกขาด เพราะการลงทุนในระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้าโดยผู้ลงทุนเพียงรายเดียว เป็นระบบที่จะเกิดประโยชน์เชิงเศรษฐศาสตร์มากกว่ามีการลงทุนซ้ำซ้อนจากผู้ลง ทุนหลายราย เพื่อให้บริการลูกค้าในบริเวณเดียวกัน การเพิ่มการแข่งขันสามารถดำเนินการได้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขายไฟฟ้าโดยตรงให้แก่ผู้ใช้ไฟได้ โดยใช้บริการสายส่งและสายจำหน่ายในรูปของ Common Carrier แต่"ทั้งนี้ควรมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระ (Independent Regulatory Body) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการไฟฟ้า
2.2 การดำเนินการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระ จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งจะไม่สามารถทำได้ทันที ประกอบกับประเทศมีความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง จึงต้องการความเป็นเอกภาพในการวางแผนด้านกำลังผลิต ระบบส่ง และการขยายการจำหน่ายไฟฟ้าให้ทันกับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำยังคงอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐ เพื่อประสานประโยชน์การใช้น้ำซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน และการใช้พื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำ ซึ่งคงอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐ จึงกำหนดรูปแบบกิจการไฟฟ้าในระยะปานกลาง (ปี 2539-2542) ขึ้น เพื่อให้สามารถปรับปรุงรูปแบบกิจการไฟฟ้าให้มีลักษณะแข่งขันมากขึ้น ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมายและกำหนดแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการใน ช่วงเวลา 4 ปีต่อจากนี้ เพื่อปรับปรุงรูปแบบกิจการไฟฟ้า ให้เป็นไปตามรูปแบบกิจการไฟฟ้าในระยะยาว ซึ่งได้กำหนดรูปแบบโครงสร้างไว้ดังนี้
(1) รูปแบบโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในระยะยาว (ปี 2543-2548)
แยกกิจการผลิตไฟฟ้า กิจการส่งไฟฟ้า และจำหน่ายไฟฟ้าให้ชัดเจน
แต่ละกิจการจะถูกแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด โดยรัฐจะลดบทบาทลง ขณะเดียวกันก็เพิ่มบทบาทภาคเอกชนและ/หรือกระจายหุ้นให้ประชาชน
กิจการผลิตไฟฟ้า จะมีผู้ผลิตหลายราย
กิจการสายส่ง จะเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขายไฟฟ้าได้โดยตรงแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า โดยกำหนดค่าใช้บริการสายส่งที่เป็นธรรม (หลักการ Common Carrier)
กิจการจำหน่ายไฟฟ้า จะมีผู้จำหน่ายไฟฟ้าเพียงรายเดียว แต่จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ไฟฟ้าซื้อไฟฟ้าได้โดยตรงจากผู้ผลิตไฟฟ้า
การกำกับดูแล จะจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระ (Independent Regulatory Body) เพื่อกำกับดูแลให้กิจการการไฟฟ้ามีการแข่งขัน อย่างสมบูรณ์ สร้างความมั่นใจและเป็นธรรมแก่ทั้งผู้ลงทุน และผู้ใช้ไฟฟ้า
(2) รูปแบบกิจการไฟฟ้าในระยะปานกลาง (ปี 2539-2542)
กิจการผลิตไฟฟ้า ส่งเสริมผู้ผลิตหลายราย และยังคงส่งเสริม SPP IPP และการแปรรูปโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ให้เป็นบริษัทจำกัด เพื่อเพิ่มการแข่งขัน ในเรื่องการแปรรูปโรงไฟฟ้าของ กฟผ. จะต้องมีการศึกษาถึงความเหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นบริษัทเดียวหรือหลายบริษัท ต่อไป
กิจการสายส่ง แยกกิจการสายส่งไฟฟ้าออกเป็นหน่วยธุรกิจภายใต้ กฟผ. ซึ่งจะยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ โดย กฟผ. จะมีโรงไฟฟ้าพลังน้ำเท่านั้นที่จะเป็นโรงไฟฟ้าที่อยู่ในความรับผิดชอบ
กิจการจำหน่ายไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะปรับตัวให้มีการบริหาร เชิงธุรกิจ แต่ยังมีสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ และยังคงทำหน้าที่ให้บริการจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ของตน
กิจการกำกับดูแล คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ยังคงมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะกำกับดูแล แต่จะต้องมีการปรับปรุงแนวทางในการกำกับดูแล ให้เน้นเรื่องประสิทธิภาพ และคุณภาพบริการ
3. แนวทางในการปรับโครงสร้างและการแปรรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศในระยะปานกลาง จะต้องมีการดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
3.1 ปรับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ให้เป็นหน่วยธุรกิจ และปรับเป็นบริษัทจำกัด ทั้งนี้อาจเป็นบริษัทเดียว หรือหลายบริษัทก็ได้ โดยในระยะต้น กฟผ. จะจัดสายงานเป็นหน่วยธุรกิจ 6 หน่วย และหน่วยปฎิบัติการ 5 หน่วย ดังนี้
หน่วยธุรกิจ 6 หน่วย ประกอบด้วย ระบบส่ง โรงไฟฟ้า บำรุงรักษา เหมือง วิศวกรรมและก่อสร้าง
หน่วยปฏิบัติการ 5 หน่วย ประกอบด้วย นโยบายและแผน บัญชีและการเงิน บริหาร พัฒนาธุรกิจและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
3.2 กฟผ. จะนำหน่วยธุรกิจ ที่พร้อมดำเนินงานเชิงธุรกิจเต็มรูปแบบไปจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด โดย กฟผ. ถือหุ้น 100% และเปลี่ยนแปลงบริษัทจำกัดเป็นบริษัทจำกัดมหาชน ทยอยจดทะเบียนกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตามความจำเป็น โดยหน่วยธุรกิจระบบส่ง และหน่วยปฎิบัติการทั้งหมดยังคงเป็น กฟผ. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่
3.3 ปรับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ที่เป็นบริษัทจำกัดให้เป็นบริษัทจำกัดมหาชน
3.4 แยกโรงไฟฟ้าพลังน้ำเป็นหน่วยปฏิบัติการ (OU) และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของ กฟผ. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ
3.5 แยกกิจการส่งไฟฟ้าเป็นหน่วยธุรกิจ โดย กฟผ. ดำเนินการในลักษณะของรัฐวิสาหกิจที่มีความคล่องตัวเชิงธุรกิจ ซึ่งจะสามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องแก้กฎหมาย และยังคงสิทธิประโยชน์ที่จำเป็นในการขยายการดำเนินงาน รวมทั้งกำกับดูแล วางแผนการผลิต และระบบส่ง เพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ในขณะที่ความต้องการไฟฟ้ายังเพิ่มขึ้นสูง
3.6 ทำการศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางในการจัดตั้งองค์กรอิสระในการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า (Independent Regulatory Body)
3.7 เร่งรัดการแปลง กฟภ. และ กฟน. เป็นรัฐวิสาหกิจที่ดี โดยเฉพาะ กฟน. ซึ่งหากไม่สามารถดำเนินการเสนอแนวทางในการแปรรูป กฟน. ได้ภายในเดือนเมษายน 2539 เห็นควรให้กระทรวงการคลังพิจารณานำระบบการประเมินผลมาใช้กับ กฟน. แทนระบบการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ดี
4. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และ สพช. จะทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการไฟฟ้าที่ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ต่อไป เพื่อให้มีแรงจูงใจในการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้มีความคล่องตัวเชิงธุรกิจ โดย"การกำกับดูแลต่างๆ ประกอบด้วย
4.1 การกำกับดูแลสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement) และกำกับดูแลด้านการจัดหาเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า
4.2 กำหนดหลักเกณฑ์ในการประเมินฐานะการเงินของการไฟฟ้าใหม่ โดยให้ความสำคัญแก่ค่าตัวแปร เช่น อัตราส่วนการลงทุนจากเงินรายได้ (Self Financing Ratio) และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน (Debt Equity Ratio) มากขึ้น และให้ความสำคัญแก่ผลตอบแทนการลงทุนน้อยลง และปรับปรุงสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ให้คำนึงถึงประสิทธิภาพในการให้บริการของกิจการ (Efficiency Factor) ด้วย
4.3 พิจารณาอนุมัติและติดตามแผนการลงทุนของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง อย่างใกล้ชิด
4.4 กำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานและคุณภาพของบริการ
4.5 กำกับดูแลในเรื่องของการชดเชยระหว่าง 3 การไฟฟ้า ในขณะที่รัฐยังคงมีนโยบายอัตราค่าไฟฟ้าเท่ากันทั่วประเทศ
5. ในการปรับโครงสร้างและการแปรรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศ จะต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ จึงควรให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ทำหน้าที่กำกับดูแลให้มีการดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ต่อไป โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานซึ่งได้ระบุไว้ในเอกสารประกอบวาระ 4.3 แล้ว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางในการปรับโครงสร้างและการแปรรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศ ตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ และให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงาน เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด ทั้งนี้ จะต้องไม่เป็นการเพิ่มภาระค่าไฟฟ้าแก่ประชาชน
เรื่องที่ 6 แนวทางการควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซิน และการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัญหามลพิษทางอากาศที่ได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครปริมณฑล และเมืองใหญ่ต่างๆ สภาพปัญหาอยู่ในขั้นวิกฤต ซึ่งจากการตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พบว่าปัญหามลพิษที่สำคัญและจำเป็นต้องแก้ไข คือ ฝุ่นละออง โดยเฉพาะฝุ่นละอองที่เกิดจากการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วในรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีปัญหามลพิษอื่น คือ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และก๊าซไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดโอโซน (OZONE) ในบรรยากาศ
2. เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษดังกล่าว กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม จึงได้จัดทำนโยบายและมาตรการควบคุมมลพิษ ตลอดจนแผนปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและเขตชุมชน โดยมีข้อเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.)" รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรมโยธาธิการ และกรมทะเบียนการค้าพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
2.1 ให้พิจารณาควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซิน เพื่อแก้ไขปัญหาก๊าซไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเป็นต้นเหตุของโอโซน โดยเสนอให้ติดตั้งอุปกรณ์เก็บไอระเหยของน้ำมันเบนซิน (Vapour Recovery System) ที่สถานีบริการน้ำมันและคลังน้ำมันที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเขตชุมชน
2.2 ให้พิจารณาปรับปรุงข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง คือ
ลดอุณหภูมิการกลั่นที่ร้อยละ 90 ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว จาก 3570C เป็น 3380C
เลื่อนกำหนดระยะเวลาบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วกำมะถันไม่เกินร้อยละ 0.05 โดยน้ำหนัก จากกำหนดเดิมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 เป็นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542
- ให้ปรับราคาจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้อยู่ในระดับเดียวกับน้ำมันเบนซิน
3. สพช. และกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้จัดให้มีการประชุมเพื่อพิจารณาข้อเสนอของกรมควบคุมมลพิษร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องคือ กรมโยธาธิการ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และกรมทะเบียนการค้า รวมทั้ง บริษัทผู้ค้าน้ำมันต่างๆ ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2538 ซึ่งผลการประชุมสรุปได้ว่า ควรให้มีการศึกษาถึงแนวทาง และปัญหาให้ชัดเจนเสียก่อน ทั้งนี้ สพช. รับไปศึกษาปัญหาไอระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย และบริษัทผู้ค้าน้ำมันรับไปศึกษาแนวทางการปรับปรุงน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สำหรับข้อเสนอการปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้อยู่ในระดับเดียวกับ น้ำมันเบนซินนั้น สพช. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ในหลักการควรปรับอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันทั้งสองชนิดให้ใกล้เคียงกันจะ เหมาะสมกว่า และไม่ขัดแย้งกับนโยบายระบบราคาน้ำมันลอยตัวที่ใช้ในปัจจุบัน การปรับภาษีสรรพสามิตนี้ควรจะกระทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเลือกระยะเวลาการปรับให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาจำหน่ายมาก นัก
4. สพช. ได้นำผลสรุปการศึกษาของ สพช. และ บริษัทผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวข้างต้น เข้าร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้มีข้อสรุปของแนวทางในการควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซินและการปรับปรุง คุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
4.1 การควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซิน
(1) การติดตั้งอุปกรณ์ระดับที่ 1 (Stage I) ควรมีการติดตั้งอุปกรณ์เก็บไอน้ำมันระดับที่ 1 ในคลังน้ำมัน รถบรรทุกน้ำมัน และสถานีบริการ ดังนี้
(1.1) ในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวทันทีที่กรมโยธาธิการดำเนินการแก้ไข ประกาศกรมโยธาธิการแล้วเสร็จและมีผลใช้บังคับ แต่สำหรับสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นก่อนการแก้ไขประกาศกรม โยธาธิการ ให้ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 มกราคม 2543
(1.2) สำหรับในเขตจังหวัดอื่นๆ กำหนดเวลาบังคับใช้ตามสภาพความรุนแรงของปัญหา โดย สพช. จะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและบริษัทผู้ค้าน้ำมัน เพื่อพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์ตามความเหมาะสมต่อไป
(2) การติดตั้งอุปกรณ์ระดับที่ 2 (Stage II) ควรกำหนดมาตรการ ดังนี้
(2.1) ในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ
ให้สถานีบริการริมถนนที่มีความกว้างไม่น้อยกว่า 8.00 เมตร แต่ไม่ถึง 12.00 เมตร และสถานีบริการใต้อาคารที่อาจมีการอนุญาตให้จัดสร้างได้ ในระยะต่อไป ต้องติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวทันที
สำหรับสถานีบริการริมถนนที่มีความกว้างตั้งแต่ 12.00 เมตร ขึ้นไป จะได้ดำเนินการกำหนดเวลาบังคับใช้ในระยะต่อไป
(2.2) ในเขตจังหวัดอื่นๆ จะกำหนดเวลาบังคับใช้ตามสภาพความรุนแรงของปัญหา โดย สพช. จะดำเนินการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับการติดตั้งอุปกรณ์ระดับที่ 1
(3) มอบหมายให้กรมโยธาธิการรับไปดำเนินการแก้ไขประกาศกรมโยธาธิการ เรื่องมาตรฐานความปลอดภัยของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทที่ 1 และ 2 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2538 โดยให้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นชุดหนึ่งประกอบด้วยหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมควบคุมมลพิษ กรมทะเบียนการค้า และ สพช. เพื่อพิจารณาปรับปรุงแก้ไขประกาศกรมโยธาธิการให้สอดคล้องกันในระยะต่อไป
4.2 การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
(1) ให้เลื่อนกำหนดเวลาบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วกำมะถันต่ำไม่เกินร้อยละ 0.05 โดยน้ำหนักให้เร็วขึ้น จากตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 เป็นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 โดยมอบหมายให้กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการปรับปรุงประกาศกระทรวงพาณิชย์ต่อไป
(2) ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เร่งนำน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกำมะถันต่ำไม่เกินร้อยละ 0.05 โดยน้ำหนักมาจำหน่ายให้แก่ ขสมก. อย่างช้าภายในวันที่ 1 มกราคม 2540
(3) มอบหมายให้ สพช. และกรมทะเบียนการค้ารับไปพิจารณาปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 มกราคม 2540 ดังนี้
ค่าสูงสุดของปริมาณสารออกซิเจนเนตที่ผสมในน้ำมันเบนซิน จากร้อยละ 11 โดยปริมาตรเป็นร้อยละ 15 โดยปริมาตร
กำหนดปริมาณสารเบนซีน (Benzene) และสารอะโรมาติก (Aromatic) แบบยืดหยุ่นได้ (Flexible Aromatic)
เพิ่มค่าซีเทนในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็นไม่น้อยกว่า 49 เป็นอย่างต่ำ
ปรับค่าความถ่วงจำเพาะของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้แคบกว่าเดิม
5. ผลกระทบจากการดำเนินการมี ดังนี้
5.1 การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซิน จะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันเบนซินลิตรละ 11 สตางค์ โดยจะเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงอุปกรณ์ระดับที่ 1 สถานีบริการละ 40,000 บาท รถบรรทุกน้ำมันคันละ 280,000 บาท และคลังน้ำมันแห่งละ 25 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งหมดประมาณ 718 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงอุปกรณ์ระดับที่ 2 สถานีบริการละ 1.5 ล้านบาท
5.2 การเลื่อนกำหนดเวลาบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วกำมะถันต่ำให้เร็วขึ้น จะสามารถลดปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาฝุ่นละออง จากระดับ 146,566 ตันในปี 2538 เหลือเพียง 94,687 ตันในปี 2542 ปริมาณที่ลดลง 51,879 ตัน คิดเป็นร้อยละ 35 ส่วนผลกระทบต่อราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วนั้น คาดว่าจะมีผลทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้นประมาณลิตรละ 3 สตางค์
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซินในข้อ 4.1
2.เห็นชอบให้มีการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ตามข้อ 4.2
เรื่องที่ 7 ขอความเห็นชอบในหลักการซื้อก๊าซ ธรรมชาติ และพัฒนาโครงการใช้ประโยชน์ก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งพื้นที่ร่วม มาเลเซีย-ไทย ร่วมกับเปโตรนาส (PETRONAS)
สรุปสาระสำคัญ
กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีหนังสือเรื่อง ขอความเห็นชอบในหลักการซื้อก๊าซธรรมชาติและพัฒนาโครงการใช้ประโยชน์ก๊าซ ธรรมชาติจากแหล่งพื้นที่ร่วม มาเลเซีย-ไทย ร่วมกับเปโตรนาส (PETRONAS) ถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ" (สพช".) เพื่อพิจารณานำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณา โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2522 รัฐบาลไทย และรัฐบาลมาเลเซีย ได้ร่วมกันจัดทำบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) เพื่อจัดตั้งองค์กรร่วม (Joint Authority) ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียม ในพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area : JDA) โดยอาศัยหลักการแบ่งปันผลประโยชน์และค่าใช้จ่ายเท่าๆ กัน ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2533 รัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซีย ได้ลงนามความตกลงว่าด้วยธรรมนูญองค์กรร่วม เพื่อก่อตั้งองค์กรร่วมมาเลเซีย-ไทย (Malaysia - Thailand Joint Authority : MTJA) โดยทั้งสองประเทศออกกฎหมายอนุวัติการก่อตั้งองค์กรร่วมมาเลเซีย-ไทย ที่มีสาระสำคัญเหมือนกันและประกาศใช้บังคับพร้อมกัน
2. เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2537 รัฐบาลของทั้งสองประเทศได้เห็นชอบให้ MTJA ลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract : PSC) กับกลุ่มบริษัทปิโตรเลียมในการให้สิทธิในการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมใน พื้นที่พัฒนาร่วม (JDA) ซึ่งประกอบด้วย
(1) แปลงสำรวจหมายเลข A-18 พื้นที่ 2,958 ตารางกิโลเมตร : บริษัท Triton Oil Company of Thailand Inc. และ Triton Oil Company of Thailand (JDA) Ltd. (ร้อยละ 50) กับบริษัท Petronas Carigali จากประเทศมาเลเซีย (ร้อยละ 50)
(2) แปลงสำรวจหมายเลข B-17 และ C-19 พื้นที่ 4,250 ตารางกิโลเมตร : บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม อินเตอร์แนเชอนัล จำกัด (PTTEPI) จากประเทศไทย (ร้อยละ 50) กับบริษัท Petronas Carigali จากประเทศมาเลเซีย (ร้อยละ 50)
3. สาระสำคัญของบันทึกแสดงเจตจำนงระหว่าง การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และ เปโตรนาส จะเป็นการแสดงเจตจำนง ในการร่วมกันกำหนดลู่ทาง และวิธีการร่วมทุนในโครงการที่ใช้ประโยชน์ จากก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งดังกล่าว โดย ปตท. และเปโตรนาส จะให้การสนับสนุนการรับซื้อก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง JDA เพื่อนำเข้ามาขายในประเทศไทย เพื่อใช้ประโยชน์ในโครงการต่างๆ รวมทั้งโครงการปิโตรเคมี
4. วิธีการซื้อก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง JDA จะกระทำโดย ปตท. และเปโตรนาส ในฐานะที่เป็นกิจการร่วมค้า เป็นผู้ซื้อก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง JDA จากองค์กรร่วมมาเลเซียและไทย กับกลุ่มบริษัทปิโตรเลียมที่จุดส่งมอบ ณ ปากหลุม โดย ปตท. และเปโตรนาส จะทำการขายก๊าซธรรมชาติดังกล่าวให้แก่ ปตท. แต่ผู้เดียว ณ จุดพรมแดนที่ก๊าซฯ นั้นผ่านเข้าสู่ประเทศไทย นอกจากนั้น ปตท. และเปโตรนาส จะตกลงร่วมทุนกันโดยมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ซึ่งจะต้องเป็นโครงการที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน ทั้งนี้จุดส่งมอบและการโอนกรรมสิทธิ์จะอยู่ที่ที่ตั้งของแต่ละโครงการ
5. การคัดเลือกโครงการที่จะทำการศึกษาความเป็นไปได้และขอความเห็นชอบจากคณะ รัฐมนตรีนั้น ปตท. จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 และมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2538 ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ นร 0215/ว209 ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2538 กล่าวคือจะต้องไม่มีข้อผูกพันใดๆ ในการที่จะให้สิทธิแก่เปโตรนาสเข้าร่วมทุนก่อนผู้อื่น อย่างไรก็ตามเปโตรนาสได้แสดงความจำนงที่จะขอร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ ในสัดส่วนระหว่างร้อยละ 25 ถึง 49 ซึ่ง ปตท. จะต้องออกหนังสือประกอบ MOI (Side Letter) เพื่อรับทราบเจตนารมย์ของเปโตรนาส โดยสัดส่วนการร่วมทุน จะขึ้นอยู่กับผลการศึกษาความเป็นไปได้ ของโครงการและความเห็นชอบของรัฐบาลไทย
6. การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง ปตท. กับ เปโตรนาส จะครอบคลุมไม่เพียงแต่ภายในประเทศไทย แต่ควรขยายไปยังประเทศมาเลเซียและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการให้ ปตท. ซื้อก๊าซธรรมชาติและพัฒนาโครงการใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งพื้นที่ร่วม มาเลเซีย-ไทย (JDA) ร่วมกับเปโตรนาส เพื่อมาใช้ประโยชน์ในประเทศไทย
2.เห็นชอบให้ ปตท. ลงนามในบันทึกแสดงเจตจำนงที่จะแสวงหาโอกาสและลู่ทางที่จะร่วมทุนในโครงการ ใช้ประโยชน์ก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง JDA รวมทั้งการเป็นพันธมิตรทางการค้า
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 2 กันยายน 2554
กพช. ครั้งที่ 54 - วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2538
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 6/2538 (ครั้งที่ 54)
วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2538 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2.รายงานผลการลดช่องว่างระหว่างราคาน้ำมันในเขตกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค
3.การดำเนินการในการลดอัตราค่าไฟฟ้า
7.ขออนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยขายโรงไฟฟ้าขนอม
9.การทบทวนการจัดเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษในการจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมัน
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม
1.1 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 5/2538 (ครั้งที่ 53) เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2538 ได้มีมติมอบหมายให้กรมตำรวจ กองทัพเรือ และกรมศุลกากร รับไปพิจารณาปรับปรุงค่าใช้จ่ายที่จะใช้ในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิงในปีงบประมาณ 2539 ให้เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง โดยอาจให้บริษัทผู้ค้าน้ำมันสนับสนุนค่าใช้จ่าย และให้สำนักงบประมาณพิจารณาหาทางช่วยเหลือให้หน่วยงานดังกล่าวได้รับเงินงบ ประมาณเพิ่มขึ้น สำหรับงบประมาณในปี 2540 นั้น ให้กรมตำรวจ กองทัพเรือ และกรมศุลกากรของบประมาณเพิ่มเติมโดยจัดทำเป็นโครงการขึ้น โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาในรายละเอียดให้เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง
1.2 สำนักงบประมาณได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณในปี 2538 จากงบกลางให้แก่กองทัพเรือเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 44.725 ล้านบาท และในปี 2539 ได้พิจารณาข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ที่ได้ขอแปรญัตติให้แก่หน่วยงานต่างๆ เพื่อใช้ในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงในวงเงิน 217.4 ล้านบาท โดยสำนักงบประมาณได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มให้กรมตำรวจเป็นจำนวนเงิน 13 ล้านบาทเศษ แต่ในส่วนของกองทัพเรือ กรมโยธาธิการ กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตไม่ได้จัดสรรเพิ่มให้ เพราะได้จัดสรรไว้ให้เต็มตามจำนวนคนที่ปฎิบัติการแล้ว
1.3 สำหรับงบประมาณในปี 2540 กรมศุลกากรได้พิจารณาจัดทำโครงการขึ้น โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2539 - 30 กันยายน 2540 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 120.9 ล้านบาท
2. การให้เอกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ
2.1 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2538 มอบหมายให้ สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการพิจารณาที่จะให้มีหน่วยงานเอกชนทำ หน้าที่ตรวจสอบพฤติการณ์ของคลังน้ำมันต่างๆ โดยให้ผู้ค้าน้ำมันสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
2.2 สพช. ได้สอบถามความเห็นจากผู้ค้าน้ำมันต่างๆ แล้ว สรุปผลได้ว่า ผู้ค้าน้ำมันยินดีให้ความร่วมมือดำเนินการและรายงานผลการตรวจสอบให้แก่หน่วย งานของรัฐทราบ ส่วนการกำหนดให้เอกชนทำการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าสามารถ กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราช อาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 ประกาศเป็นเงื่อนไขให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ทุกราย ต้องจัดให้มีการตรวจสอบปริมาณน้ำมันที่นำเข้าโดยผู้ตรวจวัดอิสระ (Independent Surveyor) ทั้งปริมาณต้นทาง ณ เมืองท่าที่ส่งออก และปลายทาง ณ คลังนำเข้า โดยผู้ตรวจวัดอิสระนั้นจะต้องมีคุณสมบัติตามมาตรฐานที่ราชการกำหนด และให้ผู้ค้าตามมาตรา 6 ทุกราย จัดส่งผลการตรวจวัด ดังกล่าวให้แก่กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์
2.3 ในปัจจุบันบริษัทผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ต่างๆได้จัดให้มีผู้ตรวจวัดอิสระดัง กล่าวทำการตรวจสอบยืนยันปริมาณอยู่แล้ว แต่อาจมีผู้ค้าน้ำมันรายย่อยบางรายไม่มีการจัดจ้างผู้ตรวจวัดอิสระ หรืออาจมีการจัดจ้าง แต่ผู้ตรวจวัดอิสระนั้นยังไม่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ดังนั้น ผลกระทบจากการกำหนดให้มีผู้ตรวจวัดอิสระจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับ ผู้ค้าน้ำมันที่ยังไม่มีการจัดจ้างผู้ตรวจวัดอิสระหรือจัดจ้าง ผู้ตรวจวัดอิสระที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะอยู่ในระดับต่ำมาก ประมาณลิตรละ 1 สตางค์ เท่านั้น นอกจากนี้ ผลจากการกำหนดให้มีผู้ตรวจวัดอิสระจะช่วยให้หน่วยงานของรัฐสามารถตรวจสอบ ปริมาณการขนส่งน้ำมันต้นทาง-ปลายทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งหากมีปริมาณแตกต่างกันเกิดขึ้นอาจแสดงให้เห็นว่ามีการลักลอบค้าน้ำมัน กลางทะเล และหากผู้ตรวจวัดอิสระตรวจวัดปริมาณนำเข้าได้สูงกว่าที่เจ้าหน้าที่ตรวจวัด ได้ กรมศุลกากรอาจใช้ปริมาณของผู้ตรวจวัดอิสระเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีได้
3. ความคืบหน้าในการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ
หน่วยงานต่างๆ ได้รายงานผลความคืบหน้าในการดำเนินงานสรุปได้ ดังนี้
3.1 กรมศุลกากร ได้ตรวจติดตามเรือเพื่อใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในเรือที่เดินทางไปต่างประเทศพบ ว่าบริษัท เอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด ได้ทุจริตเกี่ยวกับการขอคืนภาษีสรรพสามิตและภาษีเพื่อมหาดไทยเป็นปริมาณ 509,032 ลิตร คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 1,119,868 บาท จึงได้แจ้งให้มีการระงับการจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และมีหนังสือแจ้งกรมสรรพสามิตให้ระงับการจ่ายคืนภาษีสรรพสามิตด้วย
3.2 กรมสรรพสามิต ได้รายงานการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องมือวัดพร้อมอุปกรณ์ควบคุมน้ำมันว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจสถานที่ติดตั้งในคลังน้ำมันต่างๆ เพื่อออกแบบระบบขั้นสุดท้าย (Detailed Design) และกำหนดจุดติดตั้ง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มที่คลังน้ำมันบริษัท คอสโมออยล์ จำกัด จังหวัดระยอง และคลัง น้ำมันบริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิง จำกัด จังหวัดตรัง ก่อน เพื่อใช้เป็นคลังสาธิต นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตได้ สั่งการให้มีการตรวจสอบเรือประมงดัดแปลงที่นำน้ำมันเข้ามาจำหน่ายให้แก่รถ บรรทุกน้ำมันบนบก ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2538 เป็นต้นมา แต่ยังไม่พบการกระทำความผิดแต่อย่างใดและผลจากการดำเนินการของกรมสรรพสามิต ทำให้การจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในเดือนตุลาคม 2538 เพิ่มสูงขึ้น โดยสามารถจัดเก็บได้ 1,210.1 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21
3.3 กองทัพเรือ ในช่วงวันที่ 27 ตุลาคม 2538 ถึงปัจจุบัน กองทัพเรือไม่มีการจับกุมเรือที่ลักลอบนำเข้า แต่เครื่องบินลาดตระเวนได้ตรวจพบเรือบรรทุกน้ำมันขนาดกลาง 1 ลำ ไม่ทราบชื่อ ลอยลำจ่ายน้ำมันให้แก่เรือประมง 2 ลำ ที่บริเวณตำบลที่แลตติจูด 12 องศา 01 ลิบดาเหนือ ลองติจูด 101 องศา 04 ลิบดาตะวันออก จึงได้ทำการบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน
4. สพช. ได้รายงานสถานการณ์น้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนพฤศจิกายน 2538 ปรากฏว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วมีปริมาณทั้งสิ้น 1,248.3 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีการจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 1,132.7 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 115.6 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราเพิ่มร้อยละ 10 ซึ่งนับว่าเป็นอัตราเพิ่มที่ต่ำที่สุดในรอบปี 2538 ซึ่งมีอัตราเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปีในช่วงร้อยละ 15-31 ทั้งนี้ อาจมีสาเหตุได้หลายประการ เช่น ความต้องการใช้ในเดือนพฤศจิกายน 2538 ได้ชะลอตัวลง ภายหลังเหตุการณ์น้ำลด เป็นต้น
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ผู้แทนกองทัพเรือ ได้ชี้แจงในที่ประชุมว่า ในปีงบประมาณ 2538 กองทัพเรือได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการปราบปรามการลักลอบนำเข้า น้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงเดือนเมษายน-กันยายน 2538 เพียง 5 เดือน แต่มีสถิติการปราบปรามเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถจับกุมเรือลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 10 ลำ เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงรวม 900,000 ลิตร แต่สำหรับในปีงบประมาณ 2539 กองทัพเรือไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการปราบปรามการลักลอบนำเข้า น้ำมันเชื้อเพลิงแต่อย่างใด จึงเป็นการปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณปกติ เช่น การปราบปรามการขนส่งแร่เถื่อน และยาเสพติด เป็นต้น ดังนั้น จึงขอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาจัดสรรงบประมาณในปี 2539 เพิ่มเติมเพื่อใช้ในการปราบปรามน้ำมันลักลอบนำเข้าให้แก่กองทัพเรือด้วย
2. ผู้แทนสำนักงบประมาณ ได้ชี้แจงว่า สำนักงบประมาณได้พิจารณาข้อเสนอของ สพช. ที่ขอแปรญัตติงบประมาณปี 2539 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ รวม 217.4 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณของกองทัพเรือ จำนวน 180 ล้านบาท แต่เนื่องจากสำนักงบประมาณได้รับการชี้แจงจากกองทัพเรือว่างบประมาณที่จัด สรรให้เดิมในปี 2539 เพื่อใช้เป็นค่าดูแลและคุ้มครองทะเลฝั่งอันดามัน จำนวน 30 ล้านบาท และฝั่งอ่าวไทย จำนวน 100 ล้านบาท นั้น เพียงพอในการปฏิบัติภารกิจแล้ว ดังนั้น สำนักงบประมาณ จึงไม่ได้จัดสรรเงินเพิ่มให้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่ม ขอให้ประธานฯ ได้โปรดสั่งการไปยัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณโดยตรงด้วย เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงาน
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์) ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าในปัจจุบันปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ทวี ความรุนแรงยิ่งขึ้นโดยลำดับ แต่ในการดำเนินงานโดยหน่วยงานของรัฐมีปัญหาที่ไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุน อย่างเพียงพอ จึงขอเสนอให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมกันเป็นองค์กรกลางเพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงอย่าง เป็นเอกภาพ ทั้งนี้เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการข่าวระหว่างกัน รวมทั้งให้มีการประสานงานและร่วมมือกันปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิงด้วย นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ควรจะพิจารณาให้ความเห็นชอบมาตรการในการให้หน่วยงานเอกชนทำการตรวจวัดปริมาณ น้ำมันเชื้อเพลิง ตามที่ สพช. เสนอในการประชุมครั้งนี้ด้วย นอกเหนือจากมาตรการที่ให้เอกชนทำหน้าที่ตรวจสอบพฤติการณ์ของคลังน้ำมันต่างๆ ซึ่งได้อนุมัติไปแล้ว
4. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมัคร สุนทรเวช) ได้กล่าวว่า ในขณะนี้น้ำมันลักลอบหนีภาษีศุลกากรได้มีการขนส่งไปจำหน่ายในแถบภาคอีสาน เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะสังเกตได้ว่ามีสถานีบริการขนาดเล็กจำหน่ายน้ำมันในราคาที่ต่ำมาก จึงขอให้องค์กรดังกล่าวดำเนินการตรวจสอบรวมไปถึงสถานีบริการขนาดเล็กที่ จำหน่าย น้ำมันในราคาที่ต่ำมากด้วย
มติของที่ประชุม
1.รับทราบรายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2.มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการให้มีการตรวจสอบปริมาณ น้ำมันที่นำเข้าโดยผู้ตรวจวัดอิสระ (Independent Surveyor) ทั้งปริมาณต้นทาง ณ เมืองท่าที่ส่งออก และปลายทาง ณ คลังนำเข้า โดยผู้ตรวจวัดอิสระดังกล่าว จะต้องมีคุณสมบัติตามมาตรฐานที่ทางราชการกำหนด และให้ผู้ค้าตามมาตรา 6 ทุกราย จัดส่งผลการตรวจวัดดังกล่าวให้แก่กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์
3.มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาจัดตั้ง องค์กรกลางในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้เกิดเอกภาพในการดำเนินงาน โดยให้พิจารณากำหนดรูปแบบและขอบเขตอำนาจหน้าที่ขององค์กรดังกล่าว และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบต่อไป
เรื่องที่ 2 รายงานผลการลดช่องว่างระหว่างราคาน้ำมันในเขตกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค
สรุปสาระสำคัญ
1. นโยบายด้านพลังงานที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา ได้กำหนดให้มีการปรับปรุงและพัฒนาระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อเพื่อลดต้นทุนการ ขนส่ง และให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงใกล้เคียงกันทั่วประเทศ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จึงได้จัดทำข้อเสนอมาตรการดำเนินการเพื่อลดช่องว่างระหว่างราคาขายปลีก น้ำมันในกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2538 รับทราบและเห็นชอบข้อเสนอมาตรการ รวม 5 มาตรการ ดังนี้
มาตรการที่ 1 เกลี่ยค่าการตลาดกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
มาตรการที่ 2 ปรับปรุงบัญชีค่าขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง
มาตรการที่ 3 ปรับปรุงกฎเกณฑ์ส่งเสริมการตั้งสถานีบริการ
มาตรการที่ 4 การขยายหรือสร้างโรงกลั่นในภูมิภาค
มาตรการที่ 5 ส่งเสริมการขนส่งน้ำมันทางท่อ
2. สพช. ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์) ให้เร่งดำเนินการในมาตรการที่สามารถปฏิบัติได้ทันที ได้แก่ การเกลี่ยค่าการตลาด และการปรับปรุงบัญชีค่าขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ผลการดำเนินงานตามมาตรการที่สามารถปฏิบัติได้ทันที สรุปได้ดังนี้
3.1 การเกลี่ยค่าการตลาด ได้มีการเกลี่ยค่าการตลาดโดยการปรับราคาขายปลีกทั่วประเทศ ครั้งใหญ่รวม 3 ครั้ง โดยครั้งแรกดำเนินการในวันที่ 20-22 กันยายน 2538 ครั้งที่ 2 วันที่ 28 กันยายน - 2 ตุลาคม 2538 การปรับราคาทั้ง 2 ครั้งดังกล่าว ทำให้ความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันในกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคลด ลงโดยเฉลี่ยลิตรละ 15 สตางค์ และมีจำนวนจังหวัดที่ราคาจำหน่ายลดลงจนเท่ากับกรุงเทพมหานคร รวม 12 จังหวัด และครั้งที่ 3 ในช่วงกลางเดือนตุลาคม ได้ทำการปรับราคา ขายปลีกครั้งใหญ่อีกครั้ง ทำให้ความแตกต่างของราคาขายปลีกน้ำมันในกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคได้ลดลง อีกประมาณลิตรละ 10 สตางค์ รวมทั้ง 3 ครั้ง ลดลงประมาณลิตรละ 25 สตางค์ และมีจำนวนจังหวัดที่ราคาจำหน่ายเท่ากับกรุงเทพมหานคร เพิ่มเป็น 18 จังหวัด
หลังจากช่วงกลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคม 2538 ได้มีการเกลี่ยค่าการตลาด อีกหลายครั้งต่อเนื่องกันมาโดยตลอด โดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นผู้นำในการปรับราคาทุกครั้ง เพื่อให้ความแตกต่างระหว่างกรุงเทพมหานครกับจังหวัดต่างๆ สอดคล้องกับระดับความแตกต่างของราคาที่ สพช. ได้ดำเนินการศึกษาไว้
3.2 การปรับปรุงบัญชีค่าขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง สพช. ได้ดำเนินการศึกษาและปรับปรุงบัญชีค่าขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงจากบัญชีเดิม ซึ่งจัดทำขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 โดยคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออัตราค่าขนส่งอย่างครบถ้วน รวมถึงเส้นทางและวิธีการขนส่งน้ำมันที่ได้เปลี่ยนแปลงไป หรือที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยได้นำผลการศึกษาดังกล่าวไปประชุมหารือกับผู้ค้าน้ำมัน ผู้ประกอบการขนส่งน้ำมัน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเห็นสอดคล้องกันว่าอัตราค่าขนส่งนี้สามารถนำมาใช้แทนบัญชีอัตราค่าขน ส่งเดิมได้ สพช. จึงได้ประสานงานกับ ปตท. เพื่อนำไปปรับราคาจำหน่ายในต่างจังหวัดลง พร้อมทั้งได้จัดทำบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับ ส่วนภูมิภาคขึ้น แทนบัญชี อัตราค่าขนส่งที่มีอยู่เดิม โดยนำความแตกต่างจากค่าการตลาดซึ่งบริษัทน้ำมันต่างๆ รวมทั้ง ปตท. ได้ปรับลดไปแล้ว และค่าขนส่งมารวมไว้ในที่เดียวกัน เพื่อให้สะดวกในการพิจารณาความแตกต่างระหว่างราคาน้ำมันในกรุงเทพมหานคร กับจังหวัดต่างๆ
ผลการปรับปรุงอัตราค่าขนส่ง ทำให้ช่องว่างระหว่างราคาน้ำมันในกรุงเทพมหานคร และส่วนภูมิภาคลดลงไปอีก ซึ่งเมื่อรวมกับการเกลี่ยค่าการตลาดในข้อ 3.1 แล้ว สรุปได้ดังนี้
(1) ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ณ สถานีบริการในเขตกรุงเทพมหานครและ 18 จังหวัดโดยรอบ ไม่มีความแตกต่างกันอีกต่อไป คือ ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี กาญจนบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา นครนายก ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี สำหรับจังหวัดชลบุรีมีราคาจำหน่ายต่ำกว่ากรุงเทพมหานคร
(2) ในภูมิภาคอื่นๆ ความแตกต่างในปัจจุบัน จะต่ำกว่าความแตกต่างเดิม ดังนี้
-
ภาคเหนือตอนบน ความแตกต่างในปัจจุบันลดลงต่ำกว่าเดิมประมาณครึ่งหนึ่ง คือ เฉลี่ยประมาณลิตรละ 18-54 สต. จากเดิมลิตรละ 39-80 สต.
ภาคเหนือตอนล่าง ความแตกต่างในปัจจุบันลดลงต่ำกว่าเดิมร้อยละ 50-80 คือ เฉลี่ยประมาณลิตรละ 2-17 สต. จากเดิมลิตรละ 20-35 สต.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ความแตกต่างในปัจจุบันลดลงต่ำกว่าเดิมร้อยละ 40-60 คือ เฉลี่ยประมาณลิตรละ 12-30 สต. จากเดิมลิตรละ 33-47 สต.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ความแตกต่างในปัจจุบันลดลงต่ำกว่าเดิมร้อยละ 54-80 คือ เฉลี่ยประมาณลิตรละ 4-22 สต. จากเดิมลิตรละ 24-43 สต.
สำหรับภาคใต้ซึ่งมีการขนส่งน้ำมันทางเรือเป็นหลัก มีอัตราค่าขนส่งที่ต่ำกว่าภาคอื่นอยู่แล้ว ได้แยกการพิจารณาออกเป็น 2 ชนิดน้ำมัน คือ เบนซินและดีเซล เนื่องจากดีเซลมีการนำเข้าจากต่างประเทศโดยตรง และสามารถลดความแตกต่างได้ดังนี้
-
ภาคใต้ตอนบน ความแตกต่างในปัจจุบันลดลงต่ำกว่าเดิมร้อยละ 20 คือ เฉลี่ยประมาณลิตรละ 15-35 สต. จากเดิมลิตรละ 26-47 สต.
ภาคใต้ตอนล่าง ความแตกต่างในปัจจุบันลดลงต่ำกว่าเดิม ร้อยละ 10 คือ เฉลี่ยประมาณลิตรละ 13-30 สต. จากเดิมลิตรละ 25-40 สต.
(3) สพช. ได้ประกาศใช้บัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2538 เพื่อเป็นแนวทางให้ ปตท.กำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดและสำนักงานการค้าภายในจังหวัด กำกับดูแลราคาขายปลีกในแต่ละจังหวัดต่อไป
อนึ่ง สพช. เห็นว่าขณะนี้ ช่องว่างระหว่างราคากรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดได้ลดลงมากพอสมควร จึงได้ชะลอการปรับราคาไว้ระยะหนึ่ง เพื่อให้ผู้จำหน่ายและผู้ขนส่งน้ำมันได้มีเวลาปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพ การณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อดำเนินการประเมินผล เพราะการปรับราคามีผลกระทบต่อผู้ค้าน้ำมันบางราย โดยเฉพาะผู้ค้าน้ำมันที่มีรถบรรทุกน้ำมันจำนวนมาก
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการตามความเห็นของที่ประชุม
เรื่องที่ 3 การดำเนินการในการลดอัตราค่าไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2538 มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาหาวิธีลดอัตราค่าไฟฟ้า และพิจารณาทบทวนสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานและคุณภาพบริการ รวมทั้งเพื่อมิให้มีการผลักภาระค่าใช้จ่ายบางประเภทที่ไม่เหมาะสมให้ผู้ใช้ ไฟ
2. สพช. และ กฟผ. ได้กำหนดแนวทางในการลดอัตราค่าไฟฟ้าและแนวทางในการพิจารณาทบทวนสูตรการปรับ อัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ซึ่งหลายแนวทางได้ดำเนินการจนประสบผลสำเร็จแล้ว และหลายแนวทางอยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
2.1 แนวทางในการลดอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้ดำเนินการแล้ว มีดังนี้
2.1.1 การพิจารณาลดอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
ได้พิจารณาปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ลงแล้ว 5.72 สตางค์/หน่วย ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2538 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำเพิ่มขึ้นและราคาเชื้อเพลิง อ่อนตัวลง
2.1.2 ลดการใช้น้ำมันดีเซลโดยการใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่นทดแทน ดังนี้
(1) ก๊าซธรรมชาติ: ได้ดำเนินการจัดหาก๊าซธรรมชาติให้ กฟผ. เพื่อการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยการพิจารณาทบทวนปริมาณการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติสำหรับกิจการอุตสาหกรรม หรือ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายอื่น ซึ่งหลายรายอาจจะยังไม่มีความพร้อมที่จะใช้ก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งการนำก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่คาดว่าจะมีเหลือเพื่อส่งออกป้อนเข้าสู่ระบบท่อก๊าซธรรมชาติด้วย ทำให้ ปตท. สามารถจัดสรรก๊าซธรรมชาติให้ กฟผ. ได้เพิ่มขึ้นจาก 760 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เป็น 881 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปี 2540 และได้พิจารณาดำเนินการวางท่อก๊าซไปยังโรงไฟฟ้าหนองจอก ทำให้สามารถใช้ก๊าซทดแทนน้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้าได้ในปี 2539
(2) พลังน้ำ: เพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ ในปี 2539 ประมาณ 246 ล้านหน่วย จากแผนเดิม ซึ่งจะสามารถลดการผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันดีเซลได้ประมาณ 78 ล้านลิตร หรือลดค่าน้ำมันได้ 524 ล้านบาท โดยจะส่งผลให้ค่า Ft ลดลง 0.69 สตางค์/หน่วย
การใช้ก๊าซธรรมชาติ และพลังน้ำ ทดแทนน้ำมันดีเซลดังกล่าว ส่งผลให้ค่า Ft ลดลง 5.20 สตางค์/หน่วย ในปี 2540 เทียบกับในกรณีที่ไม่มีการจัดสรรก๊าซธรรมชาติและพลังน้ำเพิ่มขึ้น
(3) ลิกไนต์ เร่งดำเนินการติดตั้งระบบกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Flue Gas Desulphurization : FGD) ที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อที่จะสามารถใช้ลิกไนต์ในการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะได้เต็มกำลัง การผลิต 2,625 เมกะวัตต์ โดยไม่ต้องลดการผลิตลงด้วยเหตุผลทางด้านสิ่งแวดล้อม หรือต้องเปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทดแทนเหมือนที่ผ่าน มา
2.1.3 ลดราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า
ได้มีการเจรจาแก้ไขสัญญาซื้อขายน้ำมันดีเซลระหว่าง กฟผ. และ ปตท. ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จากเดิมที่กำหนดเป็นส่วนลดจากราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการของ ปตท. ในกรุงเทพมหานคร โดยกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ ให้ราคาน้ำมันดีเซลเปลี่ยนแปลงตามราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น ที่อิงราคา CIF ของราคาตลาดจรสิงคโปร์ และบวกค่าใช้จ่ายของ ปตท. และค่าการตลาด ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงจากเดิมเฉลี่ยประมาณ 20 สตางค์/ลิตร ซึ่งจะมีผลทำให้ค่า Ft ลดลงได้อีกประมาณ 0.4 สตางค์/หน่วย การปรับราคาดังกล่าว เริ่มมีผลตั้งแต่เดือนธันวาคม 2538 เป็นต้นไป
2.1.4 กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าพิเศษสำหรับผู้ใช้ไฟบางประเภท
การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าให้เป็นอัตราเลือกสำหรับผู้ใช้ไฟบางประเภทที่มี ลักษณะการใช้ไฟฟ้าแตกต่างจากผู้ใช้ไฟทั่วไป เช่น กำหนดให้มีอัตราค่าไฟฟ้าประเภทที่สามารถงดจ่ายไฟได้ หรือ Interruptible Rate เพื่อให้ผู้ใช้ไฟรายใหญ่ที่สามารถปรับลดการใช้ไฟตามเงื่อนไขที่ กฟผ. กำหนด ให้มีอัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่าอัตราค่าไฟฟ้าปกติ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้มีการใช้อัตรา Interruptible Rate แล้วเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2534 และ ขณะนี้ กฟผ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขสำหรับอัตราค่าไฟฟ้าประเภทที่สามารถงดจ่ายไฟ ได้แล้วเสร็จ และพร้อมที่จะประกาศใช้ต่อไป ซึ่งการกำหนดอัตราดังกล่าว จะทำให้ผู้ใช้ไฟสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้จากอัตราปกติ ประมาณ 0.1153-0.2306 บาท/หน่วย ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับทางเลือกอัตราค่าไฟฟ้าที่สามารถงดจ่ายไฟได้ของผู้ใช้ไฟแต่ละ ราย และจากการสำรวจผู้ใช้ไฟเบื้องต้น พบว่า อุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเหล็ก สามารถเข้าร่วมโครงการได้
2.2 แนวทางในการลดอัตราค่าไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ มีดังนี้
2.2.1 นำค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องออกจาก Ft ประกอบด้วย
(1) นำค่าใช้จ่าย DSM ออกจาก Ft : โดยพิจารณานำค่าใช้จ่ายบางส่วนมาใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงาน และจาก Global Environment Facility (GEF) ส่วนที่เหลือให้ใช้งบประมาณของ กฟผ. โดยตรงต่อไป ในการนี้ สพช. จะเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ และคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาดำเนินการ ในรายละเอียดต่อไป
(2) นำค่าใช้จ่ายภาษีโรงเรือนและภาษีที่ดินออกจาก Ft : ค่าใช้จ่ายภาษีโรงเรือนและภาษีที่ดินสามารถแยกออกจากสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) โดยให้เป็นค่าใช้จ่ายใน งบประมาณของ กฟผ. โดยตรง ซึ่ง สพช. จะนำเสนอคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติพิจารณา ดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
2.2.2 ทบทวนหลักเกณฑ์ทางการเงินในการประเมินฐานะทางการเงินของการไฟฟ้า : สพช. ได้คัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา Coopers & Lybrand มาทำการศึกษาเรื่อง Rationalization of Bulk Supply Tariff to MEA and PEA เพื่อพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์ทางการเงิน เพื่อใช้ประเมินฐานะทางการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ซึ่งเดิมธนาคารโลกกำหนดให้ใช้ Rate of Return on Revalued Asset (ROR) ในระดับ 8% และ Self Financing Ratio ในระดับ 25% การทบทวนหลักเกณฑ์การประเมินฐานะการเงินใหม่ ก็เพื่อให้หลักเกณฑ์ดังกล่าวสะท้อนถึงฐานะการเงินของการไฟฟ้าอย่างแท้จริง และครอบคลุมถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้าด้วย โดยคาดว่าการศึกษาจะแล้วเสร็จปลายปี 2539
2.2.3 การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้า : ให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จัดทำแผนปฏิบัติการในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และให้ดำเนินการตามแผนอย่างจริงจัง นอกจากนี้ จะต้องกำหนดให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพเป็นเงื่อนไขในการประเมินผลงานรัฐ วิสาหกิจและในการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ดี ซึ่งในเรื่องนี้ สพช. อยู่ระหว่างการปรึกษาหารือกับกรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณาดำเนินการให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว
2.3 มาตรการเพิ่มเติมในการลดอัตราค่าไฟฟ้า
การพิจารณาลดภาษีน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาลดภาษีน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลที่ใช้ในการ ผลิตไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันน้ำมันเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจะต้องเสียภาษีสรรพสามิต ในอัตราร้อยละ 17 ภาษีเทศบาลในอัตราร้อยละ 10 ของภาษีสรรพสามิต รวมทั้ง ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงาน จำนวน 3 สตางค์และ 7 สตางค์ต่อลิตร ตามลำดับ การพิจารณาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา นอกจากจะช่วยปรับลดราคาค่ากระแสไฟฟ้าแล้ว ยังจะช่วยให้เกิดความเสมอภาคในการเลือกใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เนื่องจากน้ำมันเตาเป็นเพียงเชื้อเพลิงชนิดเดียวที่มีระดับการเก็บภาษีใน อัตราที่สูง เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงอื่นในการผลิตไฟฟ้า
มติของที่ประชุม
1.รับทราบการดำเนินการในการลดอัตราค่าไฟฟ้า
2.มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง รับไปดำเนินการออกประกาศโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าประเภทที่สามารถงดจ่ายไฟได้ (Interruptible Rate) เพื่อให้เป็นอัตราเลือกสำหรับผู้ใช้ไฟขนาดใหญ่โดยเร็ว แต่ทั้งนี้ ให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในเรื่องการกำหนดความต้องการพลังไฟฟ้าในส่วนที่ไม่สามารถดับไฟได้ (Firm Load) เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ว่าผู้ใช้ไฟมิได้ปฏิบัติผิดสัญญา หากสามารถลดการใช้ไฟฟ้ามา ณ ระดับ Firm Load ดังกล่าว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2534 อนุมัติให้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ว่าในระยะยาว ปตท. ควรจะจัดโครงสร้างในรูปแบบใดที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งต่อมาคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณา นโยบายการปรับปรุงโครงสร้างของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยและส่งเสริมการค้า เสรีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมขึ้น เพื่อทำหน้าที่พิจารณาเสนอแนะนโยบายการปรับปรุงโครงสร้างของการปิโตรเลียม แห่งประเทศไทยและส่งเสริมการค้าเสรีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม
2. คณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าว ได้ดำเนินการจัดทำข้อเสนอการปรับปรุงโครงสร้างของ ปตท. และส่งเสริมการค้าเสรีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมแล้วเสร็จ โดยมีสาระสำคัญและแนวทางในการดำเนินงาน ดังนี้
2.1 จัดโครงสร้างเป็นแบบหน่วยธุรกิจที่ดำเนินครบวงจรเบ็ดเสร็จในตัวคล้ายรูปแบบ บริษัทในเครือ (Subsidiary Type) มีรูปแบบโครงสร้างรองรับการดำเนินงานในบทบาทเชิงพาณิชย์เด่นชัด สำนักงานใหญ่มีหน่วยงานรับผิดชอบดูแลบริษัทร่วมทุนรองรับอย่างถาวร ดังนี้
(1) ปตท.สำนักงานใหญ่มีบทบาทเป็นผู้กำกับดูแลกลยุทธ์หลักขององค์กร (Strategic Leadership) ภายใต้แนวนโยบายที่กำหนดจากคณะกรรมการ ปตท.
(2) ปตท. สำนักงานใหญ่จัดตั้งสายธุรกิจ 4 สาย ดูแลธุรกิจในแต่ละสาย ได้แก่ สายธุรกิจสำรวจ/ผลิตและก๊าซธรรมชาติ สายธุรกิจการกลั่น สายธุรกิจน้ำมัน และสายธุรกิจปิโตรเคมี
(3) หน่วยธุรกิจบริการกลางในปัจจุบันได้ยุบสลายตัวโดยกระจายงานที่สำคัญมีผลต่อ การดำเนินธุรกิจโดยตรงเข้าในแต่ละหน่วยธุรกิจ สำหรับงานบริการที่ใช้ร่วมกันจัดเข้าอยู่ใน ปตท.สำนักงานใหญ่
(4) โครงสร้างธุรกิจน้ำมันปัจจุบันจัดแยกเป็นสองโครงสร้างใหม่ให้มีโครงสร้างรอง รับการขยายตัวของธุรกิจในการก้าวเข้าสู่ตลาดต่างประเทศและตลาดในประเทศแยก ออกจากกันโดยชัดเจนได้แก่ ปตท. อินเตอร์เนชั่นแนล และ ปตท. น้ำมัน
(5) โครงสร้างธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ปัจจุบันยังคงเดิมแต่ได้มีการจัดโครงสร้างภายในใหม่ให้รองรับการดำเนินงาน เชิงพาณิชย์อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นและมีชื่อใหม่ว่า ปตท. ก๊าซธรรมชาติ
2.2 แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างของ ปตท. มีดังนี้
-
กุมภาพันธ์ 2538 : ขออนุมัติความเห็นชอบผลการศึกษาโครงสร้าง ปตท.ในรูปของบริษัทในเครือแต่ยังไม่มีการแยกเป็นบริษัทตามกฎหมาย
พฤษภาคม 2538 : ขออนุมัติจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาปรับโครงสร้าง ปตท.
มิถุนายน-ตุลาคม 2538 : จัดทำโครงสร้างและพัฒนาองค์ประกอบหลักที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง
ตุลาคม-พฤศจิกายน 2538 : ขออนุมัติคณะกรรมการ ปตท. ปรับโครงสร้างองค์กร
พฤศจิกายน-ธันวาคม 2538 : ดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กร
ต้นปี 2539 : เริ่มใช้โครงสร้างใหม่ในรูปแบบบริษัทในเครือโดยยังอยู่ภายใต้ องค์กร ปตท. พร้อมพัฒนาระบบการบริหารธุรกิจและระบบข้อมูลรองรับให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ภายใน ปี 2539
2.3 รูปแบบองค์กร (Institutional Arrangement) ภายในปี 2539 โดยเป็นการศึกษารูปแบบการแปรรูปในรายละเอียดต่อเนื่องจากปี 2538 และเตรียมตัวในการแปรรูป ซึ่งมีขั้นตอนดำเนินการโดยสรุปดังนี้
ปี 2539 : ปตท. ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ปรับโครงสร้างให้มีรูปแบบหน่วยธุรกิจที่ดำเนินงานครบวงจรเบ็ดเสร็จในตัว (Subsidiary Type) และสร้างระบบการบริหารธุรกิจ/ระบบข้อมูลรองรับให้แล้วเสร็จ
ปี 2539 : เตรียมตัวในการจัดตั้งบริษัทให้มีความพร้อม และแนวทางการแปรรูปองค์กร
การแบ่งแยกทรัพย์สินและตีราคาทรัพย์สิน
การศึกษาประเด็นทางกฎหมาย
การศึกษาประเด็นทางการเงิน
ภายในปี 2539 : นำหน่วยธุรกิจ ปตท. น้ำมัน, ปตท. อินเตอร์เนชั่นแนล,และ ปตท.ก๊าซธรรมชาติในรูปแบบบริษัทในเครือจัดตั้งเป็นบริษัท จำกัดภายใต้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยใช้ชื่อ "บริษัท ปตท. น้ำมัน จำกัด" "บริษัท ปตท.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด" และ "บริษัท ปตท. ก๊าซธรรมชาติ จำกัด" ตามลำดับ โดยมี ปตท. สำนักงานใหญ่เป็นเจ้าของพร้อมวางรูปแบบกลไกการบริหารบริษัทในเครือตามผลการ ศึกษาของโครงสร้างรูปแบบบริษัทในเครือ เพื่อให้ได้ผลตามจุดมุ่งหมายในการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ให้บริษัทที่ ปตท. จัดตั้งขึ้นใหม่ดังกล่าว ดำเนินการในรูปแบบบริษัทจำกัด และให้บริษัทที่ ปตท. จัดตั้งขึ้นใหม่ดังกล่าวดำเนินการในรูปแบบบริษัทก๊าซธรรมชาติ หรือบริษัทน้ำมันของเอกชนโดยทั่วไป และไม่นำคำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจทั่วไปมาใช้บังคับ โดยให้บริษัทมีระเบียบข้อบังคับใช้ปฏิบัติในเรื่องต่างๆของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับระเบียบวิธีการงบประมาณการบริหารและการ จัดการทางการเงินและบัญชี การพัสดุ การบริหารบุคคลและการสรรหาบุคลากร
-
ปี 2540-2541 : นำบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ดังกล่าว แปรรูปบางส่วนเข้าตลาดหลักทรัพย์ตามความเหมาะสมตามแผนการดำเนินการ ซึ่งจะได้จากผลการศึกษาในการแปรรูปในขั้นรายละเอียดต่อไป ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษา ทั้งนี้เพื่อให้ได้มูลค่าสูงสุดแก่รัฐ 2.4 เป้าหมายในการนำเสนอ มีดังนี้
ตุลาคม-พฤศจิกายน 2538 : นำเสนอคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการปรับปรุงโครงสร้างของการปิโตรเลียมแห่ง ประเทศ ไทยและส่งเสริมการค้าเสรีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม
พฤศจิกายน-ธันวาคม 2538 : นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี ตามลำดับ
3. นโยบายและมาตรการในการทบทวนสิทธิพิเศษและสิทธิการผูกขาด รวมถึงภาระผูกพันของ ปตท.เพื่อส่งเสริมการค้าเสรีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ปัจจุบัน ปตท. มีบทบาทในฐานะกลไกของรัฐเพื่อสนองนโยบาย เช่น การเสริมสร้างความมั่นคงในการจัดหา การกระจายการจำหน่ายน้ำมันไปยังท้องที่ห่างไกล รวมทั้งบทบาทในการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น การแยกก๊าซธรรมชาติ และปิโตรเคมี เป็นต้น ทำให้รัฐต้องกำหนดให้ ปตท. มีสิทธิพิเศษและสิทธิผูกขาดในบางเรื่องและในขณะเดียวกันก็ได้มีการมอบหมาย ภาระหน้าที่ให้ ปตท. รับไปปฏิบัติหลายประการเช่นกัน ดังนั้น ในการปรับโครงสร้างของ ปตท. ไปสู่บทบาทเชิงธุรกิจอย่างแท้จริง จึงจำเป็นจะต้องนำกรณีดังกล่าวมาพิจารณาประกอบด้วย เพื่อให้ ปตท. และผู้ค้าน้ำมันรายอื่นๆ มีการแข่งขันกันอย่างเสรีบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาข้อเสนอของบริษัท McKinsey & Company Inc. และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และ ปตท. แล้วเห็นว่าควรมีการพิจารณากำหนดนโยบายและมาตรการในการทบทวนสิทธิพิเศษและ สิทธิผูกขาด รวมทั้งภาระผูกพันของ ปตท. เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงโครงสร้างของ ปตท. ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ใน 9 กิจกรรมอันประกอบด้วย
3.1 การสำรวจและพัฒนา
3.2 การซื้อก๊าซธรรมชาติจากผู้รับสัมปทาน และการขนส่งก๊าซธรรมชาติ
3.3 การแยกก๊าซธรรมชาติ
3.4 การกลั่นและการค้าน้ำมัน
3.5 การค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว
3.6 การจำหน่ายก๊าซธรรมชาติให้แก่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
3.7 การจัดหาและจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวและน้ำมันให้กับหน่วยราชการ
3.8 บทบาทของ ปตท. ในเชิงธุรกิจ
3.9 การจัดรูปแบบองค์กรของ ปตท.
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางในการปรับปรุงโครงสร้างของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ตามผลการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษา และตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการปรับปรุงโครงสร้างของการ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และส่งเสริมการค้าเสรีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ในข้อ 2
2.เห็นชอบให้นำหน่วยธุรกิจ ปตท. น้ำมัน, ปตท. อินเตอร์เนชั่นแนล, และ ปตท. ก๊าซธรรมชาติ จัดตั้งเป็นบริษัทจำกัด ภายใต้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมี ปตท. สำนักงานใหญ่เป็นเจ้าของ โดยให้บริษัทที่ ปตท. จัดตั้งขึ้นใหม่ดังกล่าวดำเนินการในรูปแบบบริษัทของเอกชน โดยไม่นำคำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจทั่วไปมาใช้บังคับ
3.เห็นชอบนโยบายและมาตรการในการทบทวนสิทธิพิเศษและสิทธิการผูกขาดรวมทั้งภาระผูกพันของ ปตท. ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ในข้อ 3
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ส่งเรื่อง การเพิกถอนที่ดินสาธารณประโยชน์ในบริเวณโรงกลั่นปิโตรเลียมของ บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด มายังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2538 เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2533 ที่ได้อนุมัติให้บริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ (ไทย) จำกัด ได้รับสิทธิในการสร้างโรงกลั่นปิโตรเลียม และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการนโยบายปิโตรเลียมกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อดำเนินการ เจรจาและทำสัญญากับบริษัทฯ ต่อไป ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2533 อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการเจรจา และทำสัญญาสร้างโรงกลั่นกับบริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ (ไทย) จำกัด โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและบริษัท คาลเท็กซ์ เทรดดิ้ง แอนด์ ทรานสปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้รับอนุญาต ได้ร่วมกันลงนามในสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียม เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2534 และต่อมาได้มีการจัดตั้งบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด เพื่อรับโอนสิทธิและหน้าที่จากผู้รับอนุญาตให้เป็นไปตามสัญญาดังกล่าว
2. ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโรงกลั่นปิโตรเลียมของบริษัทฯ นั้น ได้ตรวจพบว่ามีทาง สาธารณประโยชน์อยู่ในที่ดินที่บริษัทฯ จัดซื้อเป็นจำนวนประมาณ 50 ไร่ และแม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีผู้ใช้ทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีสภาพเป็นทางสาธารณประโยชน์ เนื่องจากยังมิได้มีการถอนสภาพจากการเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่น ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ทำให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องไม่สามารถออกใบอนุญาตก่อสร้างเพื่อให้เป็น ไปตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 ดังนั้น บริษัทฯ จึงไม่สามารถที่จะดำเนินการจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียมได้ ตามสัญญา
3. กระทรวงอุตสาหกรรมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นกรณีทำนองเดียวกับปัญหาพื้นที่สาธารณประโยชน์ในเขตของโรง ไฟฟ้าระยอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ขอถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขต ของโรงไฟฟ้าระยอง โดยการถอนสภาพดังกล่าว ให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กรมที่ดินขายที่ดินที่ได้ออกพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพฯ แล้วนั้น ให้แก่ กฟผ. ทั้งนี้การถอนสภาพดังกล่าวไม่ต้องนำเสนอคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ เนื่องจากเป็นการขายให้รัฐวิสาหกิจ ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงเห็นควรให้มีการถอนสภาพด้วยวิธีการเดียวกับที่ได้ ดำเนินการแก้ไขปัญหาพื้นที่สาธารณประโยชน์ในเขตของโรงไฟฟ้าระยอง ซึ่งการถอนสภาพดังกล่าวให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา โดยให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้ขอถอน และให้กรมที่ดินขายที่ดินที่ได้ออกพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพแล้วนั้น ให้แก่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยดำเนินการให้บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด เช่าที่ดินดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ การถอนสภาพดังกล่าวไม่ต้องนำเสนอคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ เนื่องจากเป็นการขายให้กับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งขอให้หน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและอำนวยความ สะดวกในการดำเนินการดังกล่าวด้วย
มติของที่ประชุม
อนุมัติให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันในเขต ของโรงกลั่นปิโตรเลียมของบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ตามมาตรา 8 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยการถอนสภาพดังกล่าวให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพ และให้กรมที่ดินขายที่ดินที่ได้ออกพระราชกฤษฎีการถอนสภาพแล้วนั้นให้แก่การ นิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ การถอนสภาพดังกล่าวไม่ต้องนำเสนอคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ เนื่องจากเป็นการขายให้กับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยดำเนินการให้บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด เช่าที่ดินดังกล่าวต่อไป และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบดังนี้
1. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มีเจตนารมณ์ที่จะให้มีการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคาร โดยใช้มาตรการบังคับควบคู่ไปกับการให้การสนับสนุนด้านการเงิน ซึ่งในการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้น จำเป็นต้องมีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดอาคารควบคุมและโรงงานควบคุม และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต่อมาได้มีการประกาศ พระราชกฤษฎีกากำหนดอาคารควบคุมและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องในราชกิจจานุเบกษา แล้ว ทำให้กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2538 ส่วนพระราชกฤษฎีกากำหนดโรงงานควบคุมและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายอนุรักษ์พลังงานได้พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างดัง กล่าวแล้ว ซึ่งการร่างพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงดังกล่าว ได้ใช้แนวทางเดียวกับการร่างพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงที่เกี่ยวกับอาคารควบ คุม
2. ความแตกต่างระหว่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโรงงานควบคุมและพระราชกฤษฎีกากำหนด อาคารควบคุม ก็คือ พระราชกฤษฎีกากำหนดอาคารควบคุมประกาศให้อาคารที่มีความต้องการไฟฟ้าตั้งแต่ 1 เมกะวัตต์ หรือมีการใช้พลังงานสิ้นเปลืองทั้งหมดรวมกันในปีที่ผ่านมาตั้งแต่ 20 ล้านเมกะจูลขึ้นไป เป็นอาคารควบคุมพร้อมกันหมด ซึ่งมีจำนวนประมาณ 950 อาคาร แต่เนื่องจากมีโรงงานที่มีขนาดความต้องการพลังงานเท่ากับอาคารควบคุม จำนวนมากกว่า 3,000 อาคาร ดังนั้น พระราชกฤษฎีกากำหนดโรงงานควบคุม จึงประกาศให้โรงงานที่มีความต้องการไฟฟ้าตั้งแต่ 1 เมกะวัตต์ หรือมีการใช้พลังงานสิ้นเปลือง ทั้งหมดรวมกันในปีที่ผ่านมาตั้งแต่ 20 ล้านเมกะจูลขึ้นไปทยอยเป็นโรงงานควบคุม ทั้งนี้ เพื่อให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานสามารถให้การสนับสนุนด้านการอนุรักษ์ พลังงานในโรงงานควบคุมได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และเพื่อให้โรงงานควบคุมขนาดเล็กมีเวลาเพียงพอในการปฏิบัติตามกฎหมาย
3. จำนวนโรงงานที่คาดว่าจะเป็นโรงงานควบคุมตั้งแต่ปี 2539 ถึง 2542 มีดังนี้
-
ปี 2539 โรงงานควบคุมขนาดความต้องการพลังไฟฟ้า 10-30 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 50 ราย
ปี 2540 โรงงานควบคุมขนาดความต้องการพลังไฟฟ้า 3-10 เมกะวัตต์ และขนาดที่ใหญ่กว่า 30 เมกะวัตต์ ขึ้นไป ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 500 ราย
ปี 2541 โรงงานควบคุมขนาดความต้องการพลังไฟฟ้า 2-3 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 1,000 ราย
ปี 2542 โรงงานควบคุมขนาดความต้องการพลังไฟฟ้า 1-2 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 1,500 ราย
4. สำหรับร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับโรงงานควบคุม แบ่งออกเป็น
4.1 ร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับโรงงานควบคุมที่ออกตามมาตรา 11(2) และมาตรา 11(3) แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) ให้เจ้าของโรงงานควบคุมส่งข้อมูลการผลิต ข้อมูลการใช้พลังงาน และข้อมูลการอนุรักษ์พลังงานตามแบบที่กำหนดให้แก่กรมพัฒนาและส่งเสริม พลังงานในเดือนกรกฎาคม และมกราคมของทุกปี
(2) ให้เจ้าของโรงงานควบคุมจัดให้มีการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานและ การติดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่มีผลต่อการใช้พลังงาน และการอนุรักษ์พลังงาน ตามแบบ ที่กำหนดเป็นรายเดือนประจำทุกๆ เดือน
4.2 ร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับโรงงานควบคุมที่ออกตามมาตรา 11(4) และมาตรา 11(5) แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) ให้เจ้าของโรงงานควบคุมดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น และจัดทำรายงานส่งให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานทุก 3 ปี โดยครั้งแรกให้จัดส่งภายใน 6 เดือนหลังจากกฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ
(2) ให้เจ้าของโรงงานควบคุมดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงาน โดยละเอียดและจัดทำรายงานส่งให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานทุก 3 ปี โดยครั้งแรกให้จัดส่งรายงานภายใน 6 เดือน หลังจากจัดส่งรายงานตาม ข้อ 4.2(1)
(3) ให้เจ้าของโรงงานควบคุมจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานเพื่อส่งให้ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานให้ความเห็นชอบทุก 3 ปี โดยครั้งแรกให้จัดส่งภายใน 6 เดือน หลังจาก ส่งรายงานตาม ข้อ 4.2(2)
(4) ให้เจ้าของโรงงานควบคุมทำการตรวจสอบและวิเคราะห์การปฏิบัติตามเป้าหมายและ แผนฯ ที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานเห็นชอบและจัดทำรายงานส่งให้กรมพัฒนาและส่ง เสริมพลังงานทุก 1 ปี โดยครั้งแรกให้จัดส่งรายงานภายใน 6 เดือนหลังจากเป้าหมายและแผนฯ ในข้อ 4.2(3) ได้รับความเห็นชอบ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโรงงานควบคุม ซึ่งออกตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 รายละเอียดตามเอกสารแนบ 3 ของเอกสารประกอบวาระ 4.3.1
2.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับโรงงานควบคุม ซึ่งออกตามมาตรา 11(2) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 รายละเอียดตามเอกสารแนบ 4 ของเอกสารประกอบวาระ 4.3.1
3.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับโรงงานควบคุม ซึ่งออกตามมาตรา 11(4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 รายละเอียดตามเอกสารแนบ 5 ของเอกสารประกอบวาระ 4.3.1
4.ให้นำส่งร่างพระราชกฤษฎีกา ตามข้อ 1 และร่างกฎกระทรวง ตามข้อ 2-3 ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาตรวจร่างต่อไป
เรื่องที่ 7 ขออนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยขายโรงไฟฟ้าขนอม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538 เห็นชอบในหลักการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ขายโรงไฟฟ้าขนอมให้แก่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (บผฟ.) หรือบริษัทในเครือของ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด ซึ่งต่อมารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกร ทัพพะรังสี) ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 91/2538 ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2538 แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอมเพื่อประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ของโรงไฟฟ้าขนอม ซึ่งคณะกรรมการฯ ดังกล่าวได้ดำเนินการประเมินราคาจำหน่ายโดยใช้วิธีการทางบัญชีสุทธิบวกผลตอบ แทนเงินลงทุนที่ใช้เงินรายได้ของ กฟผ. (Original Cost Less Depreciation Plus Interest From Fixed Deposit: OCLD+FD) โดยคำนวณ ผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มลงทุนจนถึงวันโอนทรัพย์สิน และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนบนเรือขนอมเครื่องที่ 1 และ 2 (ขนาด 2 x 75 เมกะวัตต์) เป็นโรงไฟฟ้าเก่าใช้งานมาเป็นเวลา 15 ปี และ 6 ปี ตามลำดับ จึงประเมินราคาโดยใช้วิธีประเมินราคาทดแทนตามมูลค่าปัจจุบัน (Replacement Cost Less Depreciation: RCLD) ซึ่งผลจากการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม ณ วันที่ 30 กันยายน 2538 คิดเป็นเงิน รวมทั้งสิ้น 17,483 ล้านบาท
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 5/2538 (ครั้งที่ 53) เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2538 ได้พิจารณาผลการประเมินมูลค่าทรัพย์สินโรงไฟฟ้าขนอมดังกล่าวข้างต้น และได้มีมติมอบหมายให้ กฟผ. รับไปดำเนินการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม โดยใช้หลักสากลคือ กำหนดให้ กฟผ. คัดเลือกผู้เชี่ยวชาญการประเมินทรัพย์สินที่พิจารณาเห็นว่ามีความเหมาะสม 1 ราย และให้บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) คัดเลือก 1 ราย แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญฯ ทั้ง 2 ราย ร่วมกันพิจารณา คัดเลือกผู้เชี่ยวชาญการประเมินทรัพย์สินที่น่าเชื่อถืออีก 2 ราย ทำการประเมินราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้า ขนอม เมื่อได้ราคาประเมินจากผู้เชี่ยวชาญฯ ทั้ง 4 รายแล้ว ให้คัดมูลค่าประเมินสูงสุดและต่ำสุดออก และนำส่วนที่เหลือมาเฉลี่ยเป็นค่าประเมิน ซึ่งหากราคาประเมินที่ผู้เชี่ยวชาญฯ ประเมินสูงกว่าราคาประเมินของคณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอม ก็ให้ใช้ราคาประเมินของผู้เชี่ยวชาญฯ แต่หากราคาประเมินของผู้เชี่ยวชาญฯ ต่ำกว่า ก็ให้ใช้ราคาประเมินตามที่คณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอมได้ประเมิน ไว้ คือ 17,483 ล้านบาท และให้ กฟผ. นำผลการประเมินเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ภายใน 30 วัน
3. กฟผ. และ บผฟ. ได้ดำเนินการตามมติดังกล่าวข้างต้นแล้ว โดย กฟผ. คัดเลือกบริษัท อเมริกัน แอ็พเพรซัล (ประเทศไทย) จำกัด และ บผฟ. คัดเลือกบริษัท J.P. Morgan Securities Asia Ltd. และผู้เชี่ยวชาญทั้งสองบริษัทดังกล่าว ได้คัดเลือกผู้เชี่ยวชาญฯ อีก 2 ราย คือ บริษัท บรูค ฮิลลิเออร์ พาร์คเกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไซมอน ลิม และหุ้นส่วน จำกัด โดยเมื่อคัดราคาประเมินสูงสุดและต่ำสุดออกแล้ว ราคาประเมินเฉลี่ยของผู้เชี่ยวชาญฯ คือ 16,514 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคาประเมินที่คณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอมได้ประเมิน ไว้ กฟผ. จึงได้นำเสนอผลการประเมิน พร้อมทั้งได้จัดทำร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม และแบบจำลองทางการเงิน (Financial Model) ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายรักเกียรติ สุขธนะ) ได้ ให้ความเห็นชอบเรื่องการขออนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยขายโรง ไฟฟ้าขนอมแล้ว ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ได้มีการพิจารณาร่างสัญญาดังกล่าวและมีข้อสรุปดังนี้
3.1 ร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม ได้จัดทำตามแนวทางในการจัดทำสัญญาซื้อขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าระยอง ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจร่างแล้ว และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไปแล้วเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2537 โดยร่างสัญญาดังกล่าวมีสาระสำคัญดังนี้
(1) ทรัพย์สินที่จะซื้อจะขาย คือ สถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้าขนอมและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง พัสดุสำรองคลัง สัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวกับโรงไฟฟ้า รวมทั้งสัญญา Engineering, Procurement, and Construction (EPC Contract) เฉพาะที่ กฟผ. ยังมีสิทธิและหน้าที่ในสัญญาดังกล่าว ทรัพย์สินทางปัญญา สมุดบัญชี การเรียกร้อง รวมทั้งการฟ้องคดีตามสัญญา ใบอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐที่ กฟผ. มีอยู่ซึ่งจำเป็นในการเป็นเจ้าของ การก่อสร้าง การปฏิบัติการและการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า และหลักประกันตามสัญญา
(2) ราคาซื้อขายโรงไฟฟ้า แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่
-
ส่วนที่เป็นเงินสด เป็นราคาของที่ดิน อาคาร อะไหล่ เชื้อเพลิง พัสดุสำรองคลังและโรงไฟฟ้าขนอม เครื่องที่ 1 เครื่องที่ 2 และเครื่องที่ 3 เป็นเงินรวมทั้งสิ้น17,483 ล้านบาท
ส่วนที่เป็นภาระหน้าที่โดยบริษัทผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) รับภาระในสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาที่ได้รับโอนจาก กฟผ. (Assumed Liabilities)
(3) ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับคำมั่น และคำรับรองของ กฟผ. และ บฟข. ในเรื่องความเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ตลอดจนการมีอำนาจในการซื้อขายโรงไฟฟ้า และเงื่อนไขในการปฎิบัติหน้าที่ของ กฟผ. และ บฟข.
(4) ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาท การยกเลิกสัญญา การชดเชยใช้ค่าเสียหาย และเรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ
3.2 ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม ได้จัดทำขึ้นโดยเป็นการผสมผสานกันระหว่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าระยอง และร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของ Independent Power Producer (IPP) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในหลักการแล้ว และคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ได้ขอให้ กฟผ. ส่งร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอมให้สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาตรวจร่างด้วย โดยร่างสัญญาดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) อายุสัญญา: โรงไฟฟ้าขนอมเครื่องที่ 1 มีอายุสัญญา 15 ปี ส่วนโรงไฟฟ้าขนอม เครื่องที่ 2 และ 3 มีอายุสัญญา 20 ปี โดยคู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่าย สามารถตกลงขยายอายุสัญญาได้อีกตามแต่จะตกลงกันตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน สัญญาซื้อขายไฟฟ้า
(2) การผลิตไฟฟ้ามีลักษณะแบบ Full Dispatch (คือ กฟผ. เป็นผู้ออกคำสั่งเกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้า)
(3) อัตราค่าไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
-
ค่าความพร้อมผลิตไฟฟ้า (Availability Payment)
ค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Payment)
(4) ระบุหน้าที่หลัก รายละเอียดเกี่ยวกับการชำระเงิน การเสียภาษี การประกันภัย ของคู่สัญญา
(5) ระบุหน้าที่และขอบเขตความรับผิดชอบของคู่สัญญาแต่ละฝ่าย ในการชดใช้ความเสียหาย การปฏิบัติในกรณีการโต้แย้ง และเรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ
3.3 การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า
การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่ บฟข. จะขายให้กับ กฟผ. ได้กระทำโดยการสร้างแบบจำลองทางการเงิน โดยแบ่งอัตราค่าไฟฟ้าออกเป็น 2 ส่วน คือ
(1) ค่าความพร้อมผลิตไฟฟ้า คิดตามความพร้อมผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเพื่อให้เพียงพอกับต้นทุนคงที่ของโรง ไฟฟ้า และผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น โดยไม่ขึ้นกับปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ กฟผ. สั่งผลิต ต้นทุนคงที่ดังกล่าว ได้แก่ ค่าชำระคืนเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าบำรุงรักษาหลัก ค่าใช้จ่ายคงที่ในการผลิตและบำรุงรักษา และค่าประกันภัย เป็นต้น
(2) ค่าพลังงานไฟฟ้า คิดตามปริมาณพลังงานไฟฟ้าซึ่งได้ผลิตตามคำสั่งของ กฟผ. เพื่อให้เพียงพอกับต้นทุนผันแปร อันได้แก่ ค่าเชื้อเพลิง และค่าใช้จ่ายผันแปรในการผลิตและบำรุงรักษา โดยไม่มีการตั้งเกณฑ์กำไรในส่วนของค่าพลังงานไฟฟ้า
ทั้งนี้ เมื่อนำอัตราค่าไฟฟ้าทั้ง 2 ส่วน มาคำนวณหาอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดอายุสัญญาแล้ว ปรากฏว่า อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดอายุสัญญาเท่ากับ 1.245 บาทต่อหน่วยและอัตราค่าไฟฟ้าในปีแรก (พ.ศ. 2539) เท่ากับ 1.273 บาทต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม เมื่อ บผฟ. ไปดำเนินการกู้เงิน อัตราดอกเบี้ยที่กู้จริงคาดว่าจะต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ใช้ในการจัดทำแบบ จำลองทางการเงิน ซึ่งจะทำให้อัตราค่าไฟฟ้าจริงต่ำกว่าอัตราที่ได้ประเมินไว้
3.4 ผลกระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่ขายให้แก่ประชาชน
คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติขอให้กำหนดเป็นเงื่อนไขว่าการซื้อขายโรงไฟฟ้าขนอม และการซื้อขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมจะไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนผู้ ใช้ไฟฟ้า
มติของที่ประชุม
1.อนุมัติราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม ตามที่คณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอมประเมิน คือ 17,483 ล้านบาท (รายละเอียดตามเอกสารแนบ 4.4.1 ของเอกสารประกอบวาระที่ 4.4)
2.อนุมัติให้ กฟผ. ขายและโอนโรงไฟฟ้าขนอมให้บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 17,483 ล้านบาท ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม (รายละเอียดตามเอกสารแนบ 4.4.5 ของเอกสารประกอบวาระที่ 4.4) โดยให้ กฟผ. ลงนามในร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอมดังกล่าว
3.อนุมัติให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าจาก บฟข. ได้ตามร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอม (รายละเอียดตามเอกสารแนบ 4.4.6 ของเอกสารประกอบวาะที่ 4.4) โดยมีอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (Levelized) ตลอดอายุสัญญาเท่ากับ 1.245 บาทต่อหน่วย และอัตราค่าไฟฟ้าปีแรก (พ.ศ. 2539) เท่ากับ 1.273 บาทต่อหน่วย หรืออัตราค่าไฟฟ้าจริงที่ได้จากแบบจำลองทางการเงินที่เปลี่ยนไป เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จริงแตกต่างไปจากที่ใช้ในการทำแบบจำลองทางการ เงินที่ใช้ในปัจจุบัน ทั้งนี้ การซื้อขายโรงไฟฟ้าขนอมและการซื้อขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมจะต้องไม่เพิ่ม ภาระให้กับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า และให้ กฟผ. ลงนามในร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอมที่ได้ผ่านการพิจารณา จากสำนักงานอัยการสูงสุดต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ดูแลกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เพื่อให้สามารถนำดอกผลอันเกิดจากเงินกองทุนจำนวน 350 ล้านบาท ที่ได้รับจากบริษัท เอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด ตามสัญญาโรงกลั่นน้ำมันมาใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมและสนับสนุนงานด้าน พลังงานและปิโตรเลียม โดยมีระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุด หนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 เป็นกรอบในการบริหารงานกองทุน ทั้งนี้ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมทำ หน้าที่พิจารณา จัดระเบียบ วางแนวทางและพิจารณาจัดสรรเงินกองทุน
2. ตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุด หนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 ข้อ 10 และข้อ 13 กำหนดให้คณะกรรมการกองทุนฯ ดำเนินการดังนี้
2.1 จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินเป็นรายปีงบประมาณในช่วงสามปีข้างหน้าเสนอคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบ เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาคำขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนฯ และให้มีการทบทวนแผนการใช้จ่ายดังกล่าวอย่างน้อยทุกปีหรือตามความจำเป็น
2.2 จัดทำงบแสดงผลการรับจ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณ และงบแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ ส่งคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อทราบภายในสามสิบวัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดทำรายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่น ปิโตรเลียม ในรอบปีงบประมาณ 2538 ซึ่งเป็นปีที่สามของการดำเนินงานกองทุนฯ เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบ และเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนการจัดสรรเงินในปีงบประมาณ 2539-2541 ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว โดยมีผลการดำเนินงานสรุปได้ ดังนี้
3.1 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาอนุมัติวงเงินการใช้จ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2538 ดังนี้
หมวดรายจ่าย | วงเงินตามแผน | วงเงินอนุมัติ | สัดส่วน (%) |
1. การค้นคว้า ศึกษา วิจัย | 10.00 | 6.43 | 64.30 |
2. ทุนการศึกษาและฝึกอบรม | 13.00 | 12.70 | 97.69 |
3. การประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ข้อมูล | - | - | - |
4. การดูงาน ประชุม และการจัดประชุม สัมมนา | 11.83 | 11.06 | 93.49 |
5. การจัดหาเครื่องมือ และอุปกรณ์ | 2.97 | 2.97 | 100.00 |
6. ค่าใช้จ่ายการบริหารงาน | 0.20 | 0.20 | 100.00 |
รวม | 38.00 | 33.36 | 87.79 |
ผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2538 ปรากฏว่า มีการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายจริงจากเงินกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 27.98 ล้านบาท ซึ่งบางส่วนเป็นค่าใช้จ่ายผูกพันจาก ปีงบประมาณ 2537 และมีบางส่วนที่คณะกรรมการอนุมัติวงเงินแล้ว แต่อยู่ระหว่างการเบิกจ่ายและมีการผูกพันไว้เบิกจ่ายในปีงบประมาณ 2539
3.2 ฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2538 มีสินทรัพย์รวม 411.8 ล้านบาท แบ่งออกเป็นเงินฝากออมทรัพย์ 6.6 ล้านบาท เงินฝากประจำ 404.4 ล้านบาท และลูกหนี้เงินยืม 0.8 ล้านบาท ในส่วนของหนี้สินและทุน ประกอบด้วย หนี้สิน 0.2 ล้านบาท ทุน 350 ล้านบาท และรายรับมากกว่ารายจ่ายทั้งสิ้น 61.6 ล้านบาท
3.3 ตามข้อกำหนดในระเบียบว่าด้วยการบริหารกองทุนฯ กำหนดให้มีการทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ อย่างน้อยทุกปีหรือตามความจำเป็น ดังนั้น จึงเห็นสมควรให้มีการปรับแผนการใช้จ่ายเงิน สำหรับปีงบประมาณ 2539-2541 โดยให้นำดอกผลคงเหลือจากปีงบประมาณ 2538 สมทบกับดอกผลที่คาดว่าจะได้รับจากเงินกองทุนประมาณปีละ 35 ล้านบาท นำมาจัดสรรสำหรับการใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ 2539-2541 เป็นวงเงินประมาณปีละ 55 ล้านบาท ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ปีงบประมาณ | 2539 | 2540 | 2541 | รวม |
หมวดรายจ่าย | ||||
1. การค้นคว้า วิจัย ศึกษา | 15.00 | 15.00 | 15.00 | 45.00 |
2. ทุนการศึกษาและฝึกอบรม | 10.00 | 10.00 | 10.00 | 30.00 |
3. การประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ข้อมูล | 15.00 | 15.00 | 15.00 | 45.00 |
4. การดูงาน ประชุม และการจัดประชุมสัมมนา | 10.00 | 10.00 | 10.00 | 30.00 |
5. การจัดหาเครื่องมือ และอุปกรณ์ | 5.00 | 5.00 | 5.00 | 15.00 |
6. ค่าใช้จ่ายการบริหารงาน | 0.30 | 0.30 | 0.40 | 1.00 |
รวม | 55.30 | 55.30 | 55.40 | 166.00 |
4. เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตลอดระยะเวลา 3 ปี คือ ปีงบประมาณ 2539-2541 จึงเห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2539-2541 ตามแผนการใช้จ่ายเงินข้างต้น วงเงินรวม 166 ล้านบาท โดยให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้ โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ และการจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ ด้วย
5. ประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับรายงานผลการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เสนอ ดังนี้
5.1 ปีงบประมาณ 2538 มีการเบิกจ่ายเงินเพียงร้อยละ 47.36 และไม่ปรากฏว่า มีการเบิกจ่ายเงินในรายการเครื่องมือและอุปกรณ์ จำนวน 1.530 ล้านบาท
5.2 เงินกองทุนเพื่อการศึกษาที่ไม่มีการเบิกจ่ายควรยกเลิก
5.3 การเดินทางไปดูงานหรือสัมมนาในต่างประเทศควรอนุมัติเฉพาะเรื่องสำคัญ และรายงานผลต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ด้วย
5.4 กรณีการพิจารณาแผนการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2540 ให้มีแผนการใช้จ่ายเงินพร้อมรายละเอียดชัดเจนเป็นรายปี และควรมีแผนแม่บทในเรื่องต่างๆ เช่น การวิจัย การประชุม การให้ทุนการศึกษาในสาขาวิชาที่จำเป็นและขาดแคลน
5.5 การติดตามประเมินผลต้องดำเนินการต่อเนื่องทุกระยะ
5.6 การกำหนดรายชื่อหน่วยงานที่มีหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการพลังงานและการ ปิโตรเลียม ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 12 หน่วยงาน ควรขออนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อเปิดโอกาสให้กว้างขวางมากขึ้น
6. สพช. ได้พิจารณาตามข้อสังเกตของประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติแล้ว และมีข้อชี้แจงตามข้อสังเกต ดังนี้คือ
6.1 ในปีงบประมาณ 2538 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนในปี 2538 จำนวน 38 ล้านบาท และคณะกรรมการ กองทุนฯ ได้มีมติอนุมัติงบประมาณทั้งสิ้น 33.36 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 87.79 ของวงเงินตามแผน โดยเป็นค่าใช้จ่ายที่มีการเบิกจ่ายในช่วงปีงบประมาณ 2538 จำนวน 27.98 ล้านบาท นอกจากนั้นเป็นรายการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเบิกจ่ายซึ่งมีการผูกพันงบ ประมาณไว้แล้ว เช่น รายการเครื่องมือและอุปกรณ์
6.2 เงินกองทุนเพื่อการศึกษาที่ไม่มีการเบิกจ่าย เนื่องจากคณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรทุนสำหรับข้าราชการเพื่อการศึกษาให้หน่วยราชการต่าง ๆ ควบ 2 ปี คือ สำหรับปีงบประมาณ 2538-2539 และเมื่อหน่วยงานต่าง ๆ ได้รับจัดสรรทุนจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว จะต้องใช้เวลาในการสรรหาผู้รับทุนที่มีคุณสมบัติครบตามระเบียบคณะกรรมการกอง ทุนฯว่าด้วยการให้ทุนข้าราชการเพื่อการศึกษา ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร อย่างไรก็ตาม เห็นควรนำข้อสังเกตของประธานฯ ไปดำเนินการในปีต่อๆ ไป
6.3 การเดินทางไปดูงานหรือสัมมนาในต่างประเทศ ผู้เดินทางไปดูงานหรือสัมมนาจะต้องมีการรายงานผลต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ทุกครั้ง และสมควรที่จะพิจารณาอนุมัติเฉพาะเรื่องสำคัญตามข้อสังเกตข้างต้น
6.4 สพช. จะรับข้อสังเกตของประธานฯ ตามข้อ 5.4 และ 5.5 ไปดำเนินการต่อไป
6.5 วัตถุประสงค์ของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ก็เพื่อให้การสนับสนุนและช่วยเหลือการใช้จ่ายในกิจการและหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องกับการพลังงานและปิโตรเลียมของประเทศ หน่วยงานทั้ง 12 หน่วยงาน เป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับพลังงานและปิโตรเลียมค่อนข้างมาก เป็นงานประจำ และเป็นหน่วยราชการที่ไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง นอกจากนั้นหน่วยราชการอื่นๆ ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการพลังงานและปิโตรเลียมก็สามารถยื่นขอความช่วยเหลือ จากกองทุนฯ ได้ตามข้อ 5 ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ
มติของที่ประชุม
1.รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมปีงบประมาณ 2538
2.ให้ความเห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2539-2541 และมาตรการการบริหารเงินกองทุนฯ ตามที่คณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมเสนอ และเห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่น ปิโตรเลียม นำข้อสังเกตของประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและการพิจารณาของที่ ประชุมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 9 การทบทวนการจัดเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษในการจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมัน
ประธานฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการเข้าร่วมประชุมเอเปคและการประชุมสุดยอดอา เซียนที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาถึงนโยบายการส่งเสริมการค้าเสรีในภูมิภาคเอเปคและ อาเซียนและสนับสนุนที่จะให้มีการเปิดการค้าเสรีโดยเร็ว ดังนั้น แนวนโยบายของรัฐบาลในขณะนี้จึงจำเป็นที่จะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับ นโยบายการค้าเสรีดังกล่าวต่อไป ซึ่งในอนาคตการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย ก็จะต้องเข้าสู่ระบบการค้าเสรีต่อไปด้วย แต่นโยบายการจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมันเสรีของไทย ยังมีการจัดเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษกับกิจการที่จะมาลงทุนสร้างโรงกลั่นอยู่ ในขณะนี้ จึงขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาทบทวนในเรื่องนี้อีกครั้งว่าจะสามารถผ่อนปรนเรื่องเงินผลประโยชน์ได้ อย่างไรบ้าง
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปหารือร่วมกันเพื่อพิจารณาเรื่องการจัดเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษจากโรง กลั่นน้ำมัน และให้จัดทำข้อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมครั้งต่อ ไป