Super User
รายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ วันที่ 30 กันยายน 2557
กพช. ครั้งที่ 59 - วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2539
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2539 (ครั้งที่ 59)
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2539 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
4.ข้อตกลงความร่วมมือด้านพลังงานของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค (APEC)
5.การประกวดราคาน้ำมันเตาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
6.การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การให้เอกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบน้ำมัน กรมทะเบียนการค้าได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับประกาศกระทรวง พาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 และประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง กำหนดชนิดน้ำมันที่ต้องจัดให้มีผู้ตรวจวัดอิสระ คุณสมบัติของผู้ตรวจวัดอิสระ และแบบรายงานผลการตรวจสอบน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเดิมกรมทะเบียนการค้าได้ผ่อนผันการนำเข้าให้ระยะหนึ่ง เพื่อให้ผู้ตรวจวัดอิสระได้มาขึ้นทะเบียนแล้ว จึงจะบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป จนถึงขณะนี้มีผู้ตรวจวัดอิสระมาขึ้นทะเบียนต่อกรมฯ แล้วรวม 3 ราย และมีผู้ค้าน้ำมันที่จัดให้มีผู้ตรวจวัดอิสระและได้รายงานผลการตรวจสอบให้ กรมทะเบียนการค้าทราบแล้ว จำนวน 9 ราย
2. การปรับปรุงใบกำกับการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง กรมทะเบียนการค้า และ สพช. ได้ดำเนินการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขใบกำกับการขนส่งตามมติคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติแล้ว และกรมทะเบียนการค้าได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2539) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไขในการขนส่งน้ำมัน เชื้อเพลิง ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2539 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2539 เป็นต้นไป ส่วนการดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น กรมทะเบียนการค้าและสพช. จะได้ดำเนินการในลำดับต่อไป
3. การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรมทะเบียนการค้า ได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2539) เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2539 และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่เจ้า หน้าที่ตำรวจ นอกจากนี้กรมโยธาธิการ ได้ดำเนินการตามมติของคณะกรรมการฯ แล้วเช่นกัน และขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมภาพถ่ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อมอบหมายอำนาจให้ต่อไป
4. การควบคุมผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมและสารละลาย
4.1 กรมสรรพสามิตได้รายงานว่า กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณากำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการนำสารละลาย (Solvent) เข้าอยู่ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเพื่อจัดเก็บภาษี และพิจารณายกเว้นภาษีให้ หากมีการนำไปใช้ในการผลิตสินค้า โดยจะได้จัดทำร่างกฎหมายและประกาศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเสนอกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
4.2 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้ร่วมกับกรมทะเบียนการค้าดำเนินการจัดรถตรวจ สอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงเคลื่อนที่ตรวจสอบสถานีบริการ โดยได้เริ่มตรวจสอบสถานีบริการ จำนวน 96 แห่ง ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือในเดือนสิงหาคม 2539 และพบสถานีบริการที่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพต่ำ รวม 3 แห่ง
5. การควบคุมน้ำมันที่ส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
5.1 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้สั่งการให้มีการดำเนินการตรวจสอบการขนส่งน้ำมัน ที่ส่งออกไปยัง สปป.ลาว ในเดือนสิงหาคม 2539 โดยได้ประสานกับกรมศุลกากรแล้ว ปรากฎว่ายังไม่พบการกระทำความผิดแต่อย่างใด
5.2 กรมศุลกากร ได้เตรียมการจะจัดส่งคณะผู้แทนศุลกากรไทยไปหารือกับศุลกากรของ สปป.ลาว เพื่อหามาตรการป้องกันมิให้มีการลักลอบนำกลับเข้ามาใช้ในประเทศไทย และขอความร่วมมือให้มีการขนส่งน้ำมันผ่านแดนไปโดยเร็ว
5.3 กรมสรรพสามิต ในฐานะที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบหลักฐานเพื่อคืนภาษีน้ำมันในกรณีดังกล่าว ได้เสนอมาตรการเสริมในการป้องกันปัญหา โดยเสนอให้ผู้ขอคืนภาษีน้ำมันต้องแสดงหลักฐานที่ผ่านการรับรองจากเจ้า หน้าที่ของ สปป.ลาว ว่าได้มีการรับน้ำมันจำนวนดังกล่าวจากประเทศไทยแล้ว
6. การดำเนินการของศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล ได้รายงานผลการดำเนินการในช่วงเดือนกรกฎาคม 2539-ปัจจุบัน ว่าได้มีการจัดประชุมศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเลร่วมกับกอง บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบังคับการตำรวจน้ำ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมเจ้าท่า และ สพช. เพื่อประชุมหารือในการประสานการปฏิบัติและรับทราบปัญหาอุปสรรค ไปแล้วเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 และได้มีการจัดทำเอกสารข้อมูลพื้นฐานข่าวกรองการลักลอบนำเข้าให้แก่หน่วย ราชการที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว
ผลการจับกุมทางทะเลในช่วงเดือนกรกฎาคม 2539-ปัจจุบัน สามารถจับกุมเรือลักลอบนำเข้าได้ รวม 4 ครั้ง ดังนี้
(1) กองทัพเรือ
- เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2539 จับกุมเรือประมงดัดแปลงชื่อ ขุนโชคชัย พบน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ปริมาณ 60,000 ลิตร
- เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2539 จับกุมเรือประมงดัดแปลง ชื่อ ป.ปราบสมุทร พบน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปริมาณ 170,000 ลิตร
(2) กองบังคับการตำรวจน้ำ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
- เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2539 จับกุมเรือประมงดัดแปลงได้ 3 ลำ บริเวณห่างฝั่งจังหวัดนครศรีธรรมราชออกไป 20 ไมล์ คือ
- เรือนางพญาตานี 1 พบน้ำมันดีเซล ปริมาณ 450,000 ลิตร
- เรือนางพญาตานี 2 พบน้ำมันดีเซล ปริมาณ 240,000 ลิตร
- เรือไวกิ้ง 1 พบน้ำมันดีเซล ปริมาณ 350,000 ลิตร
- เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2539 จับกุมเรือประมงดัดแปลง ชื่อลิ้มชุลีพร 2 บริเวณแม่น้ำตรัง แพปลาภมร อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง พบน้ำมันดีเซลปริมาณ 5,000 ลิตร
7. การดำเนินงานของ สพช.
สพช. ในฐานะศูนย์รวมการประสานงานฯ ได้ดำเนินการจัดสัมมนาความรู้เกี่ยวกับการปราบปรามน้ำมันเถื่อนทางบก เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2539 ให้แก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ รวม 200 คน โดยได้เชิญวิทยากรจาก กองทัพเรือ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมโยธาธิการ กรมทะเบียนการค้า บรรยายความรู้ในการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานให้แก่ผู้เข้าอบรม
นอกจากนี้ สพช. ได้ทำการศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากป้ายวงกลมรถยนต์ดีเซล ปรากฎว่าการลดภาษีสรรพสามิตลง 1.00 บาท และมีน้ำมันเข้าสู่ระบบปริมาณ 2,000 ล้านลิตรต่อปี จะทำให้มีผู้ใช้รถดีเซลซึ่งจะเป็นผู้เสียประโยชน์จากการรับภาระภาษีแทนผู้ ใช้น้ำมันดีเซลกลุ่มอื่นๆ มากกว่าผู้ได้รับประโยชน์ ซึ่ง สพช. เห็นว่า ไม่สมควรดำเนินการลดภาษีสรรพสามิตและจัดเก็บภาษีจากป้ายวงกลมรถยนต์ดีเซลแทน โดยเฉพาะการลดภาษีลง ในระดับ 1.00 บาท นั้น ไม่น่าจะลดแรงจูงใจในการลักลอบนำเข้าลงได้
8. การตรวจสอบเรือประมงดัดแปลง กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการตรวจสอบเรือประมงดัดแปลงตั้งแต่เดือนมีนาคม 2538 เป็นต้นมา ปรากฎว่า ไม่พบการดัดแปลงเรือประมงแต่อย่างใด
9. การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่อง สพช. ได้รายงานความคืบหน้าในเรื่องนี้ว่าขณะนี้ พระราชบัญญัติที่เพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่องทั้ง 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. .... ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการแปรญัตติสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และจะนำเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 ในการประชุมในสมัยต่อไป
10. การติดตั้งมิเตอร์เพิ่มเติม กรมสรรพสามิตได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการ ดังนี้
10.1 กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการติดตั้งมิเตอร์ในคลังที่กรมสรรพากรแจ้งมาจำนวน 4 คลัง แล้ว 1 คลัง คือ คลังน้ำมัน บริษัท ท่าทองปิโตรเลียม จำกัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยดำเนินการติดตั้งในคราวเดียวกับ 37 คลังแรก สำหรับคลังน้ำมันส่วนที่เหลืออีก 3 คลัง กรมสรรพสามิตจะดำเนินการติดตั้งในระยะต่อไปพร้อมกับคลังน้ำมันชายฝั่งทะเล แห่งอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ติดตั้งมิเตอร์รวมทั้งหมด 18 คลัง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นเพื่อจัดทำโครงการติดตั้ง มิเตอร์
10.2 กรมสรรพสามิตได้ตรวจสอบคลังน้ำมันเบนซินที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเล มีจำนวน 39 คลังแล้วปรากฎว่า คลังน้ำมันเหล่านี้ทั้งหมดเป็นคลังที่เก็บน้ำมันดีเซลหมุนเร็วด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ได้มีการติดตั้งมิเตอร์สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสำรวจและตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น เพื่อพิจารณาจัดทำโครงการติดตั้งมิเตอร์ในระยะต่อไป
10.3 การติดตั้งมิเตอร์ที่คลังสินค้าทัณฑ์บน อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ขณะนี้อยู่ในระหว่างการติดต่อประสานงานกับกรมศุลกากร เพื่อร่วมกันพิจารณาจัดทำโครงการติดตั้งมิเตอร์ที่คลังสินค้าทัณฑ์บนดัง กล่าว
11. การเติมสาร Marker ในน้ำมันที่เสียภาษีแล้ว
กรมสรรพสามิตกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกสาร Marker ที่เหมาะสมสำหรับใช้เติมในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว คุณสมบัติของสาร Marker แต่ละชนิด วิธีการใช้ วิธีการตรวจสอบ ข้อดีและข้อเสีย โดยศึกษาข้อมูลจากบริษัทผู้ค้า Marker ที่เสนอมา จำนวน 2 ราย ซึ่งเมื่อสามารถคัดเลือกสาร Marker ที่เหมาะสมได้แล้ว กรมสรรพสามิตจะได้พิจารณากำหนดวิธีการควบคุมการเติมสาร Marker ให้รัดกุมต่อไป
นอกจากนี้ สพช. ได้พิจารณาเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเพื่ออนุมัติ ค่าใช้จ่ายในการนำกรมสรรพสามิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานไปดูงาน การเติมสาร Marker ในต่างประเทศ เป็นวงเงิน 4.2 ล้านบาท
12. การให้การสนับสนุนงบประมาณ สำนักงบประมาณได้รายงานผลการพิจารณาให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายแก่กองทัพเรือ จำนวนเงิน 240 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตรวจการณ์ในเวลากลางคืน และ กรมเจ้าท่า จำนวนเงิน 450 ล้านบาท เพื่อใช้จัดซื้อเรือตรวจการณ์ขนาด 130 ฟุต จำนวน 3 ลำ ว่าสำนักงบประมาณได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว เห็นว่ามาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง นั้น เป็นมาตรการและนโยบายที่สำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล โดยสำนักงบประมาณได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องข้างต้นทั้งกองทัพ เรือและกรมเจ้าท่าในการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือเจียดจ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นค่าจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตรวจการณ์ในเวลากลางคืนและ เรือตรวจการณ์ขนาด 130 ฟุต จำนวน 3 ลำ แล้ว ไม่สามารถดำเนินการปรับแผนหรือเจียดจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2540 ทั้ง 2 หน่วยงาน ดังกล่าวได้ แต่เพื่อเป็นการสนองนโยบายรัฐบาลและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี จึงเห็นควรสนับสนุนให้กองทัพเรือและกรมเจ้าท่าใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2540 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าจัดหาครุภัณฑ์ดังกล่าว ทั้งนี้ โดยให้ทั้ง 2 หน่วยงานขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนและรายละเอียดต่อไป
13. ปริมาณการจำหน่าย ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนกรกฎาคม 2539 มีปริมาณ 1,558 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 268 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 และหากไม่รวมปริมาณการใช้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว ปริมาณการจำหน่ายมีปริมาณ 1,420 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 213 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราเพิ่มร้อยละ 18
14. สรุปผลการจับกุม ในเดือนมกราคม -7 สิงหาคม 2539 สามารถจับกุมน้ำมันลักลอบหนีภาษีได้เป็นจำนวน 6.3 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 3.7 ล้านลิตร หรือประมาณ 2.5 เท่าของปีก่อน
ผลการจับกุมผู้กระทำผิดคดีลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
เปรียบเทียบเดือนมกราคม - 7 สิงหาคม 2539 กับช่วงเดียวกันของปีก่อน
หน่วยงานที่จับกุม | จำนวนคดี | ปริมาณน้ำมัน (ลิตร) | + เพิ่ม | ||
2538 | 2539 | 2538 | 2539 | - ลด | |
- กองทัพเรือ | 7 | 8 | 532,136 | 790,000 | 257,864 |
- กรมศุลกากร | 5 | 6 | 990,046 | 2,229,324 | 1,239,278 |
- กรมตำรวจ | 26 | 89 | 1,020,469 | 3,238,277 | 2,217,808 |
รวม | 38 | 103 | 2,542,651 | 6,257,601 | 3,714,950 |
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ ในเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันดิบได้สูงขึ้นจากเดือนมิถุนายนมาอยู่ในระดับ $ 17.8-20.7 ต่อบาเรล โดยน้ำมันดิบปริมาณกำมะถันสูง สูงขึ้น $ 0.5-0.8 ต่อบาเรล และน้ำมันดิบชนิดเบาซึ่งมีปริมาณกำมะถันต่ำ สูงขึ้นมากกว่า $ 1 ต่อบาเรล สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น เนื่องมาจากความต้องการน้ำมันดิบเข้ากลั่นของโรงกลั่นใหม่และความต้องการ ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่สูงขึ้น ต่อมาในเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นอีก $ 0.9 ต่อบาเรล ขึ้นมาอยู่ในระดับ $ 18.6-21.9 ต่อบาเรล ทั้งนี้ เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบของทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ และจากการที่ความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภท Middle Distillate (น้ำมันก๊าดและดีเซล) ได้เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ปริมาณสำรองของน้ำมันเหล่านั้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับของปีที่ ผ่านมา ในช่วงต้นเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบได้ถีบตัวสูงขึ้นมาอีกประมาณ $1.5-2.0 ต่อบาเรล และทรงตัวอยู่ในระดับ $ 20.2-22.4 ต่อบาเรล เนื่องจากสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และความต้องการผลิตภัณฑ์ประเภท Middle Distillate
2. ราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดจรสิงคโปร์ จากการที่โรงกลั่นในสิงคโปร์ (เอสโซ่ โมบิล และเชลล์) ได้ลดกำลังกลั่นลง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์น้ำมันในตลาดสิงคโปร์ค่อนข้างตึงตัว ในขณะที่ความต้องการของน้ำมันก๊าด ดีเซล และเตาอยู่ในระดับสูง จึงมีผลทำให้ช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมราคาในตลาดจรของน้ำมันก๊าดสูงขึ้น $ 4.3 ต่อบาเรล และน้ำมันดีเซลและเตาสูงขึ้น $ 1 ต่อบาเรล แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าสิงคโปร์จะลดกำลังกลั่นลงแล้ว แต่ปริมาณน้ำมันเบนซินในตลาดเอเซียยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าความต้องการ จึงทำให้ราคาน้ำมันเบนซินได้เคลื่อนไหวในทางตรงกันข้าม โดยน้ำมันเบนซินพิเศษและธรรมดาลดลง $ 0.5-1.6 ต่อบาเรลตามลำดับ ต่อมา ในช่วงต้นเดือนกันยายน เหตุการณ์ในตะวันออกกลางได้ส่งผลกระทบทำให้ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวสูง ขึ้นไปอีก $ 0.5-2.4 ต่อบาเรล ตามชนิดผลิตภัณฑ์
3. สถานการณ์ราคาขายปลีกของไทย
- น้ำมันเบนซินพิเศษ ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมได้มีการปรับราคาขายปลีกลงมาทั้งสิ้น 28 สตางค์/ลิตร เปรียบเทียบกับราคาน้ำมันเบนซินพิเศษในตลาดจรสิงคโปร์ปรับลง $ 2.2 ต่อบาเรลหรือ 30 สตางค์/ลิตร และในเดือนกันยายนราคาน้ำมันเบนซินพิเศษได้ปรับขึ้นสุทธิ 5 สตางค์/ลิตร ในขณะที่ราคาในตลาดโลกที่ปรับขึ้น $ 0.5 ต่อบาเรล หรือ 10 สตางค์/ลิตร
- น้ำมันเบนซินธรรมดา ในเดือนกรกฏาคมและสิงหาคมมีการปรับราคาขายปลีกลงมาทั้งสิ้น 18 สตางค์/ลิตร เปรียบเทียบกับราคาน้ำมันเบนซินธรรมดาในตลาดจรสิงคโปร์ปรับลง $ 1.2 ต่อบาเรล หรือ 18 สตางค์/ลิตร และในเดือนกันยายนได้มีการปรับราคาขึ้นทั้งสิ้น 10 สตางค์/ลิตร ในขณะที่ราคาในตลาดโลกปรับขึ้นถึง $ 1.6 ต่อบาเรลหรือ 25 สตางค์/ลิตร
- น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนกรกฏาคมถึงกลางเดือนกันยายนได้มีการปรับราคาขายปลีกขึ้นทั้งสิ้น 40 สตางค์/ลิตร ซึ่งการปรับขึ้นทั้งหมดเป็นการปรับราคาขึ้นตามราคาในตลาดโลก ซึ่งสูงขึ้นถึง $ 2.4 ต่อบาเรล หรือ 40 สตางค์/ลิตร
- ค่าการตลาด ค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ของประเทศในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม ที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 1.09 บาท/ลิตร ซึ่งเป็นระดับปกติของค่าการตลาด แต่ในเดือนกันยายนค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันได้ลดลงมาอยู่ในระดับเพียง 00.090 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าระดับปกติถึง 0.19 บาท/ลิตร สาเหตุที่ทำให้ค่าการตลาดลดลง เนื่องจากการปรับราคาขายปลีกขึ้นของไทยเป็นการปรับในลักษณะทยอยปรับทำให้ไม่ ทันกับราคาในตลาดโลกที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 เรื่องการเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) และเห็นชอบให้ สพช. และกระทรวงการคลังรับไปพิจารณาถึงความเหมาะสม ในการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวม และให้รายงานผลต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
2. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2539 ได้รับทราบผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาการส่งออก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เสนอ และมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมติที่ประชุมเชิง ปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งในส่วนของแนวทางการลด ต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ได้มีมติให้ผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ (สพช.) เรื่องค่าไฟฟ้าและการยกเว้นระบบ TOD สำหรับโรงงานที่ต้องทำงาน 24 ชั่วโมง
3. การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2539 สพช. ได้หารือร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และอยู่ระหว่างการหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับค่าไฟฟ้าและการยกเว้นระบบ TOD สำหรับโรงงานที่ต้องทำงาน 24 ชั่วโมง เมื่อได้ข้อสรุป จะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
4. การศึกษาผลกระทบของการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล ที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า พบว่าการผลิตไฟฟ้าจากการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ในปี 2538 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.8 ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด โดยแยกเป็นน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล ร้อยละ 26.99 และ 2.81 ตามลำดับ รายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันเชื้อเพลิง ในปี 2537-2538 เท่ากับ 46,969 และ 54,838 ล้านบาท ซึ่งรายได้จากภาษีน้ำมันที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า (น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล) จะอยู่ระหว่างร้อยละ 6.93-8.18 หรือประมาณ 3,254-4,487 ล้านบาท
หากรัฐบาลมีนโยบายยกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันที่ใช้ในการ ผลิตกระแสไฟฟ้า จะมีผลทำให้ภาษีเพื่อมหาดไทยและภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงด้วยส่วนหนึ่ง และมีผลทำให้ราคาน้ำมันเตาลดลงประมาณ 0.67 บาท/ลิตร ราคาน้ำมันดีเซลลดลงประมาณ 2.35 บาท/ลิตร การยกเว้นการจัดเก็บภาษีดังกล่าว จะมีผลทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 5,282 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงประมาณ 7.4 สตางค์/หน่วย
5. การศึกษาผลกระทบของการยกเว้นการนำรายได้ส่งรัฐ พบว่า หากรัฐบาลมีนโยบายให้ยกเว้นการนำเงินส่งรัฐของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะมีผลทำให้รายได้ของรัฐลดลงประมาณ 8,496 ล้านบาท/ปี ซึ่งจะมีผลให้ค่าไฟฟ้าลดลงประมาณ 12 สตางค์/หน่วย
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. รัฐบาลออสเตรเลียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มเอเปค (First Meeting of APEC Energy Ministers) ขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 28-29 สิงหาคม 2539 ณ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านพลังงานของประเทศไทย และทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีพลังงานจากประเทศไทย และเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศเอเปคในครั้งนี้
2. ผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค
2.1 หลักการนโยบาย ที่ประชุมรัฐมนตรีได้ให้การรับรอง "หลักการนโยบายพลังงานที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ (14 NON-BINDING ENERGY POLICY PRINCIPLES)" และเห็นชอบให้ผนวกหลักการ นโยบายนี้เข้าไว้ในนโยบายเปิดเสรีทางด้านพลังงานของแต่ละประเทศ พร้อมทั้งให้ดำเนินการอย่างจริงจัง โดยยืดหยุ่นได้ตามที่เหมาะสม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
(1) การพิจารณาประเด็นทางด้านพลังงาน จะต้องประสานสอดคล้องกับปัจจัยทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
(2) ดำเนินนโยบายเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการผลิต การจำหน่าย และการใช้พลังงาน
(3) ดำเนินนโยบายการเปิดตลาดทางด้านพลังงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางด้านการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม ความมั่นคงทางด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเสนอแนะการดำเนินการใดที่เหมาะสมในกลุ่มเอเปคเพื่อขจัดอุปสรรค ต่างๆ ที่อาจมี
(4) ให้มีมาตรการรองรับเพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม โดยอาจเป็นการผสมผสานระหว่างนโยบายตลาดเสรีและการควบคุม ทั้งนี้ตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศ
(5) พิจารณาลดการอุดหนุนต่างๆ ในสาขาพลังงานลงเป็นลำดับ พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการดำเนินการทางด้านราคา เพื่อให้สะท้อนต้นทุนทางเศรษฐกิจในการจัดหาและการใช้พลังงานอย่างครบวงจร โดยคำนึงถึงต้นทุนทางด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย
(6) แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันอย่างสม่ำเสมอ ในนโยบายพลังงานด้านต่างๆ ที่แต่ละประเทศได้ดำเนินการให้มีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมไปแล้ว
(7) ใช้หลักการต้นทุนต่ำสุด (least cost approach) ในการจัดหาบริการทางด้านพลังงาน
(8) ส่งเสริมให้มีการกำหนดนโยบายที่จะอำนวยความสะดวกในการถ่ายทอดเทคโนโลยีทาง ด้านพลังงานที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมได้ในเชิงพาณิชย์และโดยไม่มีข้อกีดกันใดๆ
(9) สนับสนุนให้มีการพัฒนาฝีมือทรัพยากรมนุษย์ในด้านการประยุกต์ใช้ และดำเนินการตามเทคโนโลยีที่ปรับปรุงแล้ว
(10) ยกระดับแผนงานด้านข้อมูลข่าวสารและการจัดการทางด้านพลังงาน เพื่อช่วยในการตัดสินใจในสาขาพลังงานให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
(11) สนับสนุนการวิจัย การพัฒนา และการสาธิตทางด้านพลังงาน เพื่อนำไปสู่การประยุกต์ใช้อย่างคุ้มทุนของเทคโนโลยีด้านพลังงานที่ใหม่ มีประสิทธิภาพสูงกว่า และมีความเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อม
(12) ส่งเสริมให้มีการไหลเวียนของเงินทุน โดยลดอุปสรรคต่างๆ ที่จะมีผลต่อการถ่ายทอดและการกำหนดให้ใช้เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมมากกว่า
(13) ส่งเสริมมาตรการทางด้านประสิทธิผลของต้นทุน เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ให้สามารถลดก๊าซเรือนกระจกลง เพื่อสนองตอบการเรียกร้องของภูมิภาคให้ลดภาวะก๊าซเรือนกระจกลง
(14) ร่วมมือกันตามระดับความจำเป็นในการพัฒนาของแต่ละประเทศ ในการร่วมกันดำเนินโครงการเพื่อลดมลพิษก๊าซเรือนกระจก โดยสอดคล้องกับอนุสัญญาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Climate Change Convention)
2.2 ศูนย์วิจัยพลังงานเอเซียแปซิฟิค (APERC) ที่ประชุมรัฐมนตรีได้ให้การสนับสนุนโครงการวิจัยต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศสมาชิกเกิดความเข้าใจในประเด็นด้านพลังงานและแนวโน้ม สถานการณ์พลังงานในอนาคต รวมทั้งผลจากนโยบายด้านพลังงานของประเทศสมาชิกอีกด้วย
2.3 การระดมทุนเพื่อพัฒนาบริการพื้นฐานด้านไฟฟ้า ที่ประชุมรัฐมนตรีได้เห็นชอบแผนงาน ที่เสนอแนะโดย "กลุ่มธุรกิจเฉพาะกิจ (AD HOC BUSINESS FORUM)" และ "กลุ่มผู้กำกับดูแลด้านไฟฟ้า (ELECTRICITY REGULATORS' FORUM)" เพื่ออำนวยความสะดวกการลงทุนของภาคธุรกิจในสาขาไฟฟ้า
2.4 การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตและการใช้พลังงาน ที่ ประชุมรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้วิธีการเชิงกลยุทธ และให้ประสมประสานการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ในขบวนการวางแผนและ ประเมินผลโครงการพื้นฐานด้านไฟฟ้าด้วย
2.5 การลดต้นทุนด้วยความร่วมมือทางด้านมาตรฐานพลังงาน ที่ประชุม รัฐมนตรีเห็นชอบให้จัดทำหลักพื้นฐาน เพื่อให้มีการรับรองร่วมกันสำหรับสถาบันทดสอบต่างๆ ที่ผ่านการรับรองแล้ว และผลการทดสอบมาตรฐานที่ได้จากสถาบันเหล่านี้ เพื่อให้ลดต้นทุนและอำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศสมาชิก พร้อมทั้งจัดทำหลักพื้นฐานสำหรับการเปรียบเทียบกันได้โดยตรง ระหว่างผลการทดสอบตามมาตรฐานที่แตกต่างกัน เพื่อลดหรือเลิกการทดสอบที่ซ้ำซ้อนกันเสีย
2.6 ในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งแรก ณ นครซิดนีย์ นี้ ได้มีปฏิญญา (DECLARATION) ร่วมกัน โดยมีสาระสำคัญให้การรับรองหลักการนโยบายด้านพลังงานของเอเปคที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ ซึ่งจะได้นำเสนอผู้นำเอเปคเพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ณ อ่าวซูบิค ประเทศฟิลิปปินส์ ในเดือนพฤศจิกายน 2539
3. ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับหลักการนโยบายที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ
3.1 หลักการนโยบายที่ไม่ผูกพันทั้ง 14 ประการนี้ เป็นแนวทางที่ประเทศไทยควรให้การรับรอง เพราะสอดคล้องกับแนวนโยบายและการปฏิบัติที่ประเทศไทยได้ดำเนินการไปแล้วเป็น ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะตลาดพลังงานของไทยที่ค่อนข้างเสรี ดังนั้นการให้การรับรองหลักการนโยบายในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อไทยมากขึ้น เพราะจะช่วยเปิดตลาดพลังงานในประเทศสมาชิกอื่นที่ยังไม่ได้เปิดเสรีและเป็น อุปสรรคต่อผู้ลงทุนของไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศอยู่ในขณะนี้
3.2 สำหรับเรื่องที่อยู่เกินขอบเขตของพลังงาน ซึ่งได้แก่ เรื่องมาตรฐานพลังงาน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะภาวะก๊าซเรือนกระจกนั้น สพช. ได้ขอความเห็นจากส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งได้แก่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน และสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม ปรากฏว่าไม่มีส่วนราชการใดขัดข้อง
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคครั้งแรก ณ นครซิดนีย์
2.อนุมัติให้ดำเนินการและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปดำเนินการตามหลักการนโยบายพลังงานที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ ซึ่งที่ประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคได้ให้ความเห็นชอบ และกำหนดให้ทุกประเทศสมาชิกดำเนินการ เพื่อเปิดตลาดพลังงานอย่างเสรีต่อไป
เรื่องที่ 5 การประกวดราคาน้ำมันเตาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถซื้อน้ำมันเตาจากผู้ค้าน้ำมันอื่นๆ ได้ โดยไม่ต้องซื้อจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เพียงรายเดียว และในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2535 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องสัญญาซื้อขายน้ำมันเตาระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. และวิธีการดำเนินการในการให้ กฟผ. ซื้อน้ำมันเตาจากผู้ค้าน้ำมันอื่นๆ โดยได้กำหนดรายละเอียดของคุณสมบัติของผู้เข้าประกวดราคาและเงื่อนไขการ ประกวดราคาสำหรับปริมาณการซื้อขายในระดับร้อยละ 20 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาทั้งหมดในแต่ละปีของ กฟผ.
2. เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2539 กฟผ. ได้ดำเนินการเรียกประกวดราคาน้ำมันเตาในส่วนของปริมาณการซื้อขายในระดับร้อย ละ 20 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาทั้งหมดในแต่ละปีของ กฟผ. ในปริมาณทั้งสิ้นประมาณ 3,908 ล้านลิตร เป็นเวลา 3 ปี (ปีงบประมาณ 2540-2542) ตามประกวดราคาเลขที่ กฟผ. (ฟ)-ซ 14/2539 โดยกำหนดให้มีการเปิดซองประกวดราคาในวันที่ 27 สิงหาคม 2539
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้พิจารณาประกาศประกวดราคาน้ำมันเตาดังกล่าวแล้วเห็นว่า ประกาศประกวดราคาน้ำมันเตาได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ประสงค์จะยื่นซองประกวด ราคาให้ "เป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมัน...."นั้น เป็นข้อความที่ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดให้ผู้ประกวดราคา "เป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมันเตา....." จึงได้มีหนังสือแจ้งให้ กฟผ. พิจารณาดำเนินการแก้ไขประกาศดังกล่าวให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
4. กฟผ. จึงได้ดำเนินการออกประกาศแก้ไขประกาศประกวดราคาดังกล่าวแล้ว และได้ทำการเลื่อนกำหนดวันยื่นและเปิดซองจากเดิม วันที่ 27 สิงหาคม 2539 ไปเป็นวันที่ 11 กันยายน 2539 แต่ต่อมา เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2539 กฟผ. ได้ดำเนินการประกาศยกเลิกการประกวดราคาน้ำมันเตาเนื่องจากมีความจำเป็นจะ ต้องปรับปรุงสาระสำคัญในเอกสารประกวดราคาบางส่วนเพื่อความสมบูรณ์ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการอีกระยะหนึ่ง
5. กรรมาธิการการพลังงานสภาผู้แทนราษฎร (นายสุชน ชามพูนท) ได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเรื่อง ประกาศประกวดราคาซื้อน้ำมันเตา โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) ประกาศประกวดราคาซื้อน้ำมันเตาดังกล่าว ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ประกวดราคาแตกต่างจากข้อกำหนดคุณสมบัติตามมติคณะ รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2535 ดังนี้
- ประกาศเดิม : "เป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมันเตา......"
- ประกาศใหม่ : "เป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมัน..........."
(2) การประกวดราคาครั้งใหม่ ควรจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดที่ประชาชนจะได้รับ โดยน่าจะกำหนดเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- ควรเพิ่มปริมาณน้ำมันเตาที่จะเรียกประมูลจากเดิม เป็นร้อยละ 30 ของน้ำมันเตาทั้งหมดที่ กฟผ. ใช้ และขยายเวลาเป็น 5 ปี
- ต้องเป็นบริษัทไทยที่เป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง และเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ยกเว้น ปตท. มีสิทธิตามเดิมที่จะเข้าประกวดราคาได้
- มีเงินทุนหมุนเวียน และเครดิตไลน์จากธนาคารและสถาบันการเงิน รวมกันแล้ว ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท
- ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ค้าน้ำมันเตามาแล้วไม่น้อยกว่า 200 ล้านลิตร
6. สพช. ได้พิจารณาข้อเสนอของกำหนดเงื่อนไขของกรรมาธิการการพลังงานแล้ว มีความเห็น ดังนี้
(1) การกำหนดคุณสมบัติของผู้ประสงค์จะยื่นซองประกวดราคาให้เป็นผู้ที่มี ประสบการณ์ในการค้าน้ำมันเตาตามมติคณะรัฐมนตรีในปัจจุบัน นั้น เป็นการกำหนดขอบเขตที่รัดกุมโดยจำกัดคุณสมบัติให้อยู่ในวงแคบเพื่อประโยชน์ สำหรับ กฟผ. อยู่พอสมควรแล้ว หากจะมีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมตามข้อเสนอของกรรมาธิการการพลังงาน แม้จะมีข้อดีคือเป็นการสงวนผลประโยชน์จากการจำหน่ายให้ตกอยู่กับบริษัทไทย แต่ก็อาจมีผลเสียคือ เป็นการจำกัดขอบเขตให้แคบลงยิ่งขึ้นโดยจะทำให้จำนวนของผู้เข้าร่วมประมูลมี น้อยลงจนไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการที่จะส่งเสริมการแข่งขัน อย่างเสรีในวงกว้าง
(2) การขยายเวลาเป็น 5 ปี ซึ่งจะรวมไปถึงปีงบประมาณ 2543-2544 จะขัดกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2539 ซึ่งได้กำหนดให้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐ รวมทั้ง กฟผ. จัดซื้อเชื้อเพลิงได้อย่างเสรีตั้งแต่เดือนตุลาคม 2541 เป็นต้นไป ยกเว้นว่าจะมีสัญญาระยะยาวกับ ปตท. ดังนั้น หากจะให้มีการดำเนินการกำหนดเงื่อนไขการประมูลตามข้อเสนอของกรรมาธิการการ พลังงานดังกล่าวแล้ว จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก ปตท. ในการแก้ไขสัญญาระยะยาวระหว่าง กฟผ. กับ ปตท.
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รับไปดำเนินการหาข้อสรุปในเรื่องเงื่อนไขในการประกวดราคาซื้อขายน้ำมันเตาใน ส่วนร้อยละ 20 ตามผลการพิจารณาของที่ประชุม และให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 6 การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร
1. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมัคร สุนทรเวช) ขอให้ที่ประชุมพิจารณา เรื่อง การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 เป็นต้นไป โดยขอทราบเหตุผลของการที่ต้องเพิ่มอัตราดังกล่าว และผลกระทบต่อผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายมนตรี ด่านไพบูลย์) ได้เรียนชี้แจงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับความเป็นมาของการแก้ไขปรับปรุงอัตราการ สำรอง ซึ่งจะมีผลกระทบทำให้น้ำมันที่นำเข้ามีต้นทุนเพิ่มขึ้น 47 สตางค์/ลิตร และจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันเป็นปัจจัยการผลิตสินค้า กระทรวงพาณิชย์จึงเห็นว่าไม่ควรเพิ่มอัตราสำรองดังกล่าว และอัตราสำรองเดิมร้อยละ 5 น่าจะเพียงพอโดยไม่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ และหากเกิดวิกฤติการณ์น้ำมันก็สามารถเพิ่มอัตราสำรองขึ้นภายหลังได้
3. เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันที่นำเข้าดังกล่าวมีความมุ่งหมายที่จะแก้ไขความ เสียเปรียบของผู้ผลิตน้ำมันในประเทศต่อผู้นำเข้า เพราะในปัจจุบันผู้ผลิตในประเทศต้องสำรองร้อยละ 10 ประกอบด้วยการสำรองน้ำมันดิบร้อยละ 5 และน้ำมันสำเร็จรูปร้อยละ 5 ผู้นำเข้าจึงควรสำรองในอัตราร้อยละ 10 เช่นกัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในการแข่งขันภายใต้ระบบราคาน้ำมันลอยตัว ผลกระทบต่อต้นทุนการสำรองน้ำมันของประเทศจะเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะในปี 2540 คาดว่าจะมีการนำเข้าน้อยมาก เนื่องจากประเทศไทยสามารถผลิตน้ำมันเบนซินและดีเซลใช้ได้อย่างเพียงพอ และผู้นำเข้าจะไม่สามารถขึ้นราคาจำหน่ายน้ำมันที่นำเข้าเพราะต้องแข่งขัน ราคากับผู้ผลิตในประเทศ ซึ่งจะไม่ขึ้นราคาเพราะสำรองในอัตราร้อยละ 10 อยู่แล้วในปัจจุบัน ดังนั้น ปัญหาราคาสินค้าสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันจะไม่เกิดขึ้น
4. นอกจากนั้นเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า สาเหตุที่ไม่ได้นำเรื่องนี้มานำเสนอในที่ประชุม เพราะทางกระทรวงพาณิชย์ไม่ได้ส่งเรื่องมาให้ แต่ได้เสนอไปยังคณะรัฐมนตรี
5. ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์เสนอเรื่องนี้ไปยังคณะรัฐมนตรี จึงไม่ควรพิจารณากันในที่ประชุมนี้ แต่ควรไปพิจารณากันในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
กพช. ครั้งที่ 58 - วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2539
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2539 (ครั้งที่ 58)
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว
2.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.มาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
4.การเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP)
6.นโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2539 เห็นชอบใน หลักการของร่างบันทึกความเข้าใจร่วมเรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว เพื่อให้ใช้แทนบันทึกความเข้าใจฉบับวันที่ 4 มิถุนายน 2536 โดยมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปเจรจาในรายละเอียดเพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่ได้รับอนุมัติ โดยให้ กฟผ. ดำเนินการเจรจาเพื่อให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว บันทึกความเข้าใจร่วมของโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน หากมีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเรื่อง การยอมรับบังคับคดีตามผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โครงการ น้ำเทิน-หินบุน จนเป็นที่พอใจแล้ว และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดการลงนามในบันทึกความเข้าใจและสัญญา ต่าง ๆ ในโอกาสที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เยือน สปป.ลาว ในระหว่างวันที่ 19-20 มิถุนายน 2539
2. กฟผ. กระทรวงการต่างประเทศ และ สพช. ได้ดำเนินการตามมติที่ได้รับมอบหมาย ดังกล่าวข้างต้น โดยมีผลการดำเนินงานสรุปได้ดังนี้
2.1 ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับ รัฐบาล สปป. ลาว เรื่องความร่วมมือด้านการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว เพื่อขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก 1,500 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย (นายอำนวย วีรวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ สปป.ลาว (นายสมสะหวาด เล่งสะหวัด) โดยมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งบันทึกดังกล่าวมีสาระสำคัญที่แตกต่างจาก ฉบับเดิม ดังนี้
(1) การขยายปริมาณรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 1,500 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์
(2) ขยายระยะเวลาสิ้นสุดการรับซื้อไฟฟ้าจากปี 2543 ไปจนถึงปี 2549
(3) ยินดีจะพิจารณาการก่อสร้างระบบสายส่งไฟฟ้าผ่านดินแดนของกันและกันเพื่อขนส่งไฟฟ้าไปยังประเทศที่สาม
(4) ให้มีการยอมรับผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการ
(5) บันทึกความตกลงครั้งนี้ ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
2.2 ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน โดยผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กับ ผู้แทนกลุ่มผู้พัฒนาโครงการน้ำเทิน-หินบุน
2.3 กระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว ได้มีหนังสือที่ 1742/AE.TD ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว เพื่อยืนยันว่า รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายคำไซ สุภานุวง) ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาล สปป.ลาว ให้เป็นผู้ลงนามในหนังสือที่ 804/PMO ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2538 ในนามของรัฐบาล สปป.ลาว ซึ่งเป็นหนังสือแสดงการยอมรับบังคับคดีตามผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการ ดังกล่าว
3. สำหรับบันทึกความเข้าใจร่วมของโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสานั้น ไม่ได้มีการลงนามเนื่องจาก รัฐบาล สปป.ลาว ต้องการแก้ไขสัญญากับผู้ลงทุน เพื่อให้รัฐบาล สปป.ลาว เข้าร่วมถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าด้วย ขณะนี้ผู้ลงทุนกำลังรอความเห็นชอบจากรัฐบาล สปป.ลาว ให้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับ กฟผ. ได้
4. สปป.ลาว มีโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาเพื่อผลิตไฟฟ้าที่สำคัญ 11 โครงการ รวมกำลังผลิตประมาณ 4,800 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงินลงทุนโครงการโดยประมาณ 7,308 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 182,700 ล้านบาท การเจรจาซื้อขายไฟฟ้าในปัจจุบันมีความคืบหน้าโดยมีโครงการที่สามารถ ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว 1 โครงการ (โครงการน้ำเทิน-หินบุน) โครงการที่ตกลงอัตราค่าไฟฟ้า และอยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 3 โครงการ (โครงการน้ำเทิน 2 โครงการห้วยเฮาะ และโครงการลิกไนต์หงสา) รวมกำลังการผลิต1,625 เมกะวัตต์ จึงยังเหลือปริมาณพลังไฟฟ้าที่จะรับซื้ออีกประมาณ 1,400 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเลือกซื้อจากโครงการที่เหลือ โดยมีรายละเอียดการรับซื้อไฟฟ้าของโครงการใน สปป.ลาวดังนี้
4.1 โครงการใหม่ที่จะดำเนินการเจรจาภายใต้บันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาล สปป. ลาว ฉบับใหม่ ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2539
(1) โครงการน้ำงึม 3 มีกำลังผลิตติดตั้ง 400 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว และบริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ประเทศไทย และขณะนี้กลุ่ม ผู้พัฒนาโครงการเสนออัตราค่าไฟฟ้า (ปี 2537) เท่ากับ 4.51 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยให้ ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปี จนถึงวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้า และนับจากวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 ต่อปี ตามอัตราการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯและไทย ในสัดส่วนที่เท่ากัน
(2) โครงการน้ำงึม 2 มีกำลังผลิตติดตั้ง 465 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการประกอบด้วย Shlapak Development Company, Bilfinger & Berger, J.M. Voith GmbH, Noell GmbH, Siemens AG, บริษัท ช. การช่าง จำกัด, และบริษัทศรีอู่ทอง จำกัด และขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้เสนออัตราค่าไฟฟ้าเท่ากับ 5.47 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปี ในระหว่างก่อสร้าง และนับจากวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.75 ต่อปี
(3) โครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสาระยะที่ 2 เป็นโครงการผลิตไฟฟ้าขนาด 600 เมกะวัตต์ โดยมีบริษัท ไทยลาวลิกไนท์ จำกัด เป็นผู้พัฒนาโครงการ ขณะนี้ กฟผ. ได้เจรจากับกลุ่ม ผู้พัฒนาโครงการแล้ว เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2539 และสามารถตกลงราคาไฟฟ้าที่จะรับซื้อเฉลี่ยตลอดโครงการในช่วงเวลา 25 ปี (Levelized) ที่อัตรา 5.60 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
(4) โครงการเซเปียน-เซน้ำน้อย กำลังผลิตติดตั้ง 395 เมกะวัตต์ หรือ 465 เมกะวัตต์ กลุ่ม ผู้พัฒนาโครงการประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว Dong Ah Construction Industrial Company/เกาหลีใต้ และ Electrowatt Engineering Services Ltd./สวิสเซอร์แลนด์ ขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้เสนออัตรา ค่าไฟฟ้าโดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 กำลังผลิตติดตั้ง 395 เมกะวัตต์ อัตราค่าไฟฟ้า Firm Energy เท่ากับ 5.02 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และอัตราค่าไฟฟ้า Secondary Energy เท่ากับ 2.27 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปี ในระหว่างก่อสร้างแต่ไม่เกิน 6 ปี และนับจากวันเดินเครื่องจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 1 ต่อปีกรณีที่ 2 กำลังผลิตติดตั้ง 465 เมกะวัตต์ อัตราค่าไฟฟ้า Firm Energy เท่ากับ 5.21 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และอัตราค่าไฟฟ้า Secondary Energy เท่ากับ 2.27 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปี ในระหว่างก่อสร้าง แต่ไม่เกิน 6 ปี และนับจากวันเดินเครื่องจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแล้วให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ ร้อยละ 1 ต่อปี
(5) โครงการน้ำเทิน 3 กำลังผลิตติดตั้ง 190 เมกะวัตต์ โดยมีบริษัท Heard Energy Corporation/สหรัฐอเมริกา เป็นผู้พัฒนาโครงการ ขณะนี้ผู้พัฒนาโครงการได้ศึกษาความเหมาะสมแล้วเสร็จ
4.2 โครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สปป. ลาว แต่มิได้นำเสนอมาเป็นทางการ
(1) โครงการเซคามาน 1 มีกำลังผลิตติดตั้ง 468 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการ ประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว บริษัท Hydro Electric Commission Enterprises Corporation/ออสเตรเลีย และบริษัท ศรีอู่ทอง จำกัด และขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้เสนออัตราค่าไฟฟ้า (ปี 2537) เท่ากับ 4.99 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มร้อยละ 3 ต่อปี ในระหว่างก่อสร้าง และ นับจากวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าแล้วให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อย ละ 1.5 ต่อปี
(2) โครงการน้ำเทิน 1 มีกำลังผลิตติดตั้ง 540 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการ ประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว และบริษัท สยามสหบริการ จำกัด (SUSCO) ขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้เสนอร่างรายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2538 และนำเสนออัตราค่าไฟฟ้าในราคา 4.69 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
5. คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว (คปฟ.-ลาว) และคณะกรรมการพลังงานและไฟฟ้าแห่ง สปป.ลาว ได้มีการประชุมปรึกษาหารือ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2539 เพื่อพิจารณา ความพร้อมของระบบสายส่งของ กฟผ. ที่จะรับไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ณ ที่ระบบเชื่อมโยงของสถานีไฟฟ้าย่อยของ กฟผ. ที่จุดส่งมอบ 3 จุด ดังนี้
มุกดาหาร 2 โดยจะรับจากโครงการน้ำเทิน 1, น้ำเทิน 2, น้ำเทิน 3 เซคามาน 1, เซเปียน-เซน้ำน้อย, และโครงการอื่นๆ จากตอนกลางของ สปป.ลาว คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในปี 2544หนองคาย 2 โดยจะรับจากโครงการน้ำงึม 3, น้ำงึม 2, และโครงการอื่นๆ จากทางตอนเหนือของ สปป.ลาว คาดว่าการก่อสร้าง จะแล้วเสร็จภายในปี 2545แม่เมาะ จะรับจากโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในปี 2544
ส่วนระบบเชื่อมโยงสายส่งของโครงการห้วยเฮาะ ซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจไปแล้ว เมื่อเดือนมกราคม 2538 คาดว่าระบบเชื่อมโยงสายส่งจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2541
6. ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว เพื่อจำหน่ายให้แก่ประเทศไทย นอกจากจะเป็นการจัดหาพลังงานไฟฟ้าเพื่อสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศที่ เพิ่มขึ้นสูงในปริมาณเฉลี่ย 1,950 เมกะวัตต์ต่อปี ซึ่งโครงการต่างๆจะเริ่มก่อสร้างเสร็จและส่งไฟฟ้าขายให้ประเทศไทยได้ตั้งแต่ ปี 2541 เป็นต้นไปแล้ว ความร่วมมือดังกล่าวยังมีผลให้ สปป.ลาว มีรายได้เป็นเงินตรา ต่างประเทศเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศต่อไป :กล่าวคือ จะทำให้ สปป. ลาว มีรายได้สูงถึง ปีละ 627 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 16,000 ล้านบาทต่อปี จากโครงการซื้อขายไฟฟ้า 4 โครงการแรกในปริมาณรับซื้อไฟฟ้า 1,625 เมกะวัตต์ และหากมีการขยายปริมาณการรับซื้อเพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์ จะทำให้ สปป.ลาว มีรายได้เพิ่มเป็น 1,050 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี หรือประมาณ 27,000 ล้านบาทต่อปี เทียบเท่ากับร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross Domestic Product) ของลาว ในปี 2545 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบ
2.มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำรายงานความคืบหน้าในการเจรจาซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว เพื่อให้คณะกรรมการฯ ทราบในการประชุมทุกครั้ง
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนถึง กลางเดือนกรกฎาคม มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมมีการเปลี่ยนแปลงทั้งขึ้นและลง โดยใน ช่วงครึ่งแรกของเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันดิบได้ลดลงจากเดือนก่อนประมาณ 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งมีสาเหตุมาจากปริมาณการผลิตสูงกว่าปริมาณความต้องการ ต่อมาในช่วงครึ่งหลังของเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 0.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นผลจากความต้องการใช้น้ำมันดิบ ของโรงกลั่นต่างๆ โดยเฉพาะแถบทวีปเอเชีย ซึ่งได้มีการเปิดดำเนินการของโรงกลั่นใหม่และโรงกลั่นที่ ปิดซ่อมแซมประจำปีกลับมาดำเนินการตามปกติ นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่อิรัคไม่อนุญาตให้ผู้แทนจากองค์การสหประชาชาติตรวจค้นคลัง อาวุธและการลอบวางระเบิดในค่ายทหารสหรัฐอเมริกาในซาอุดิอารเบีย ทำให้ราคาน้ำมันดิบขึ้นมาอยู่ในระดับ 17.45-20.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ต่อมาสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นสมาชิกในสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้ใช้สิทธิยับยั้งแผนปฏิบัติการส่งออกน้ำมันที่อิรัคเสนอต่อสภา ความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทำให้ราคาน้ำมันดิบในครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 0.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ขึ้นมาอยู่ในระดับ 17.94 -21.36 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ในเดือนมิถุนายนราคาของผลิตภัณฑ์น้ำมันทุกประเภทในตลาดจรสิงคโปร์ได้ปรับตัว ลดลง เนื่องจากในย่านเอเซียตะวันออกไกลกำลังกลั่นได้เพิ่มสูงขึ้น จากโรงกลั่นใหม่ที่เกิดขึ้นในไทย จีน และเกาหลี รวมทั้งโรงกลั่นในเกาหลีและญี่ปุ่นที่ปิดซ่อมแซมประจำปีได้กลับมาทำการกลั่น ตามปกติ โดยมีราคาของผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทต่างๆ ดังนี้
น้ำมันเบนซิน ในเดือนมิถุนายนได้ปรับตัวลดลง 2.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และในครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม ราคาน้ำมันเบนซินได้ลดลงอีก 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลงมาอยู่ในระดับ 23.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลน้ำมันก๊าด ราคาในเดือนมิถุนายนได้อ่อนตัวลง 2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ต่อมาในเดือนกรกฎาคมราคาได้สูงขึ้นมา 0.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ขึ้นมาอยู่ในระดับ 24.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ราคาในเดือนมิถุนายนได้ปรับตัวลดลง 2 เหรียญสหรัฐฯต่อ บาร์เรล และในเดือนกรกฎาคมในช่วงแรกได้ปรับตัวสูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ขึ้นมาอยู่ในระดับ 25.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลน้ำมันเตา ราคาในเดือนมิถุนายนและครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคมได้ปรับตัวลดลง 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลงมาอยู่ในระดับ 14.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
3. สถานการณ์ราคาขายปลีกน้ำมันของประเทศ มีดังนี้
น้ำมันเบนซิน ในเดือนมิถุนายนได้มีการปรับราคาขายปลีกลง 4 ครั้ง และใน ครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคมได้ปรับตัวลงอีก 0.10 บาท/ลิตร ลดลงรวมทั้งสิ้น 0.47 บาท/ลิตร ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วและเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่ว ณ กลางเดือนกรกฎาคม อยู่ในระดับ 9.24 และ 8.69 บาท/ลิตร ตามลำดับ
น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนมิถุนายนได้ปรับราคาขายปลีกลง 4 ครั้ง ลดลงรวม 0.22 บาท/ลิตร ต่อมาในช่วงปลายเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันดีเซลในตลาดจรได้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาขายปลีกของประเทศในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมปรับตัวสูงขึ้นอีก 0.10 บาท/ลิตร ขึ้นมาอยู่ในระดับ 8.36 บาท/ลิตร
ค่าการตลาด ในเดือนมิถุนายนอยู่ในระดับ 1.1222 บาท/ลิตร สูงกว่าระดับค่าการตลาดของเดือนพฤษภาคมเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในระดับปกติ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 มาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ความคืบหน้าในการดำเนินการ สรุปได้ดังนี้
1.1 การให้เอกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบน้ำมัน กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้า มาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 เพื่อให้ มีผู้ตรวจวัดอิสระในการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ กรมทะเบียนการค้า ได้ออกประกาศกรมทะเบียน การค้า เรื่อง กำหนดชนิดน้ำมันที่ต้องจัดให้มีผู้ตรวจวัดอิสระ คุณสมบัติของผู้ตรวจวัดอิสระและแบบรายงานผลการตรวจสอบน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อกำหนดรายละเอียดให้การนำเข้าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วต้องมี การตรวจวัดโดยผู้ตรวจวัดอิสระ ทั้งนี้ ประกาศกระทรวงพาณิชย์และประกาศกรมทะเบียนการค้า ดังกล่าว ได้มีผลใช้บังคับแล้ว แต่เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีผู้ตรวจวัดอิสระรายใดแจ้งขอขึ้นทะเบียนต่อกรม ทะเบียน การค้า ดังนั้น เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้นำเข้าโดยสุจริต อธิบดีกรมทะเบียนการค้าจะผ่อนผันการนำเข้าให้ ระยะหนึ่ง และเมื่อผู้ตรวจวัดอิสระได้มาขึ้นทะเบียนแล้ว ทางกรมทะเบียนการค้าจะบังคับใช้กฎหมายและรายงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ง ชาติทราบในการประชุมครั้งต่อไป
1.2 การติดตั้งมิเตอร์ดีเซลหมุนเร็ว กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการติดตั้งมิเตอร์ในคลังน้ำมันดีเซลหมุนเร็วซึ่งแต่ เดิมมีทั้งหมด 38 คลัง แต่เนื่องจากมีคลังน้ำมันเลิกดำเนินกิจการ 1 คลัง จึงคงเหลือ คลังที่ต้องดำเนินการติดตั้งมิเตอร์จำนวน 37 คลัง ซึ่งขณะนี้คลังน้ำมันจำนวน 30 คลัง ได้ก่อสร้าง เสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังคงเหลืออีก 7 คลัง ที่ดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากมีการแก้ไขเพิ่มเติมแบบก่อสร้าง และเหตุอื่นๆ โดยคลังที่เหลือจำนวน 6 คลัง กรมสรรพสามิตจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2539 และคาดว่าคลังสุดท้ายจะแล้วเสร็จในราวเดือนกันยายน 2539 นี้
1.3 ปริมาณการจำหน่ายและผลการจับกุม มีดังนี้
(1) ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนพฤษภาคม 2539 มีปริมาณ 1,538 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 122 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 และหากไม่รวมปริมาณการใช้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว ปริมาณการจำหน่ายมีปริมาณ 1,441 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 87 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 6
(2) ผลการจับกุมของหน่วยงานปราบปราม ในเดือนมิถุนายน 2539 - วันที่ 13 กรกฎาคม 2539 สามารถจับกุมน้ำมันลักลอบนำเข้าได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1.8 ล้านลิตร โดยกองทัพเรือ สามารถจับกุมเรือที่ดำเนินการลักลอบนำเข้าน้ำมันดีเซลได้บริเวณจังหวัด ชลบุรี จำนวน 26,000 ลิตร กรมศุลกากรสามารถจับกุมเรือบริเวณจังหวัดตราดและรถบรรทุกน้ำมันที่ดำเนินการ ลักลอบนำเข้า น้ำมันดีเซลจำนวน 23,053 ลิตร และ 8,000 ลิตร ตามลำดับ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สามารถจับกุมรถบรรทุกน้ำมันและเรือบริเวณจังหวัดนราธิวาสที่ดำเนินการลักลอบ นำเข้าน้ำมันดีเซลได้ จำนวน 1,782,263 ลิตร รวมผลการจับกุมในปี 2539 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2539 เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 5.9 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 3.9 ล้านลิตร หรือประมาณ 3 เท่า
2. ข้อเสนอการยกเลิกมาตรการที่ซ้ำซ้อน
กรมศุลกากร ได้เสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณายกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 ซึ่งกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบ การลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกรมศุลกากรเป็นเจ้าของเรื่อง เนื่องจากในปัจจุบันคณะรัฐมนตรีได้กำหนดมาตรการต่างๆ เพิ่มเติมหลายประการ ประกอบกับได้มีมติให้กองทัพเรือเป็นศูนย์กลางใน การปราบปราม และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำหน้าที่ศูนย์รวมการประสานงานทั้งหน่วยปราบปรามทางบกและทางทะเลแล้ว
3. ข้อเสนอมาตรการเพิ่มเติม
จากการประชุมศูนย์รวมการประสานงานปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิง เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2539 ที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณาและเสนอมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงมีความ รัดกุมยิ่งขึ้น ดังนี้
3.1 มาตรการเร่งรัดให้ติดตั้งมิเตอร์ในคลังเพิ่มเติม ให้กรมสรรพสามิตเร่งดำเนินการติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้า-ออกจาก คลัง และมาตรวัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Leveling Gauge ในคลังน้ำมัน 4 แห่ง ที่ยินยอมติดตั้งมาตรวัดของกรมสรรพสามิตแล้วโดยเร็ว คือ คลังของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีวรา ที่จังหวัดสมุทรปราการ คลังของบริษัท แสตนดาร์ดออยล์ (1990) จำกัด ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช คลังของบริษัท ท่าทองปิโตรเลียม จำกัด ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และคลังของบริษัท คอสโมออยล์ จำกัด ที่จังหวัดสมุทรปราการ
3.2 มาตรการติดตั้งมิเตอร์ในคลังน้ำมันเบนซิน เนื่องจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 มีช่องโหว่ที่ผู้ลักลอบค้าน้ำมันเชื้อเพลิง อาจนำน้ำมันชนิดธรรมดา (น้ำมันก๊าดและน้ำมันเครื่องบิน) และน้ำมันชนิดที่ไม่น่ากลัวอันตราย (น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว) ไปเก็บไว้ในคลังของน้ำมันชนิดน่ากลัวอันตราย (น้ำมันเบนซิน) ดังนั้น จึงมีข้อเสนอมาตรการเพื่อปิดช่องโหว่ ดังนี้
(1) มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการพิจารณาติดตั้งมาตรวัดปริมาณน้ำมัน เชื้อเพลิงเข้า-ออกจากคลัง และมาตรวัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Leveling Gauge ในคลังน้ำมันเบนซินชายฝั่งทุกแห่ง
(2) มอบหมายให้กรมโยธาธิการ ดำเนินการตรวจสอบคลังน้ำมันชายฝั่งทุกแห่งว่ามี การเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ถูกต้องตามชนิดที่แจ้งไว้แก่กรมโยธาธิการหรือไม่
3.3 มาตรการติดตั้งมิเตอร์ในคลังสินค้าทัณฑ์บน ตามประกาศกรมศุลกากรที่ 12/2539 เรื่อง ระเบียบเกี่ยวกับคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน ลงวันที่ 7 มีนาคม 2539 เพื่อส่งเสริมการค้าน้ำมันและผ่อนคลายภาระการชำระภาษีของผู้นำเข้า รวมทั้ง สนับสนุนการสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคงของประเทศนั้น ปัจจุบันกรมศุลกากรได้อนุมัติให้มีคลังสินค้าทัณฑ์บนได้ 1 แห่ง คือ บริษัท ไทยพับลิคพอร์ต จำกัด ตั้งอยู่บนเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ทั้งนี้ คลังสินค้าทัณฑ์บนจะใช้เก็บน้ำมันเพื่อการนำเข้าหรือส่งออกได้รวม 6 ชนิด คือ น้ำมันดิบ น้ำมันเตา น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเบนซิน น้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันอื่นๆ ตามที่อธิบดี อนุญาต และสามารถเก็บไว้ได้ไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันนำเข้า โดยไม่ต้องชำระภาษีหรืออาจส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศได้ด้วย ดังนั้น คลังสินค้าทัณฑ์บนดังกล่าว อาจถูกผู้ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงใช้เป็นสถานที่ลักลอบนำเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิงได้ จึงมีข้อเสนอให้กำหนดมาตรการ ดังนี้
(1) ให้กรมศุลกากรประสานงานกับกรมสรรพสามิตพิจารณาติดตั้งมิเตอร์ ทั้งขาเข้า และออกจากคลัง รวมทั้งอุปกรณ์วัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Leveling Gauge และนำผลการรายงานปริมาณน้ำมันเข้า-ออกจากคลัง และคงเหลือในถังตรวจเช็คกับใบขนสินค้าทุกครั้ง
(2) ให้กรมศุลกากรระงับการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บ น้ำมันเชื้อเพลิงไว้ก่อน จนกว่าปัญหาความเสี่ยงภัยในการเกิดการลักลอบจะได้รับการแก้ไขเสร็จเรียบร้อย
(3) ให้หน่วยงานปราบปรามเฝ้าระวังการขนส่งน้ำมันของคลังสินค้าทัณฑ์บนเป็นพิเศษ
3.4 การควบคุมผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมและสารละลาย ตามที่กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการปรับปรุงการควบคุมการนำผลิตภัณฑ์เคมี ปิโตรเลียมและสารละลายที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตที่ ออกจากโรงอุตสาหกรรมให้รัดกุมยิ่งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 แล้ว ปรากฏว่าในเดือนมิถุนายน 2539 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าจับกุมแหล่งปลอมปนน้ำมัน ซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์สารละลาย (Solvent) เพื่อปลอมปนในน้ำมันเบนซินได้ 1 แห่ง และจากผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงพบว่า ได้มีการนำผลิตภัณฑ์สารละลายมาผสมและจำหน่ายในสถานีบริการบริเวณภาคตะวันออก เฉียงเหนือเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงควรกำหนดมาตรการ ดังนี้
(1) มอบหมายให้กรมสรรพสามิต กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและสารละลายที่ ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรม เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในพิกัดของภาษีสรรพสามิตและให้มีการชำระ ภาษีเมื่อออกจากโรงอุตสาหกรรมก่อน และขอคืนภาษีได้ในภายหลังหากนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้า
(2) มอบหมายให้กรมตำรวจและกรมทะเบียนการค้าร่วมกันตรวจสอบคุณภาพน้ำมัน เชื้อเพลิงโดยจัดรถตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเคลื่อนที่ออกตรวจคุณภาพน้ำมันเชื้อ เพลิงที่สถานีบริการ ทั่วราชอาณาจักร หากพบผิดให้ดำเนินคดีทุกราย
3.5 การเติมสาร Marker ในน้ำมันที่เสียภาษีแล้ว ในการตรวจสอบน้ำมันลักลอบในสถานี บริการและรถบรรทุกน้ำมัน เจ้าหน้าที่ตำรวจประสบปัญหาไม่สามารถพิสูจน์ได้ในทันทีว่าน้ำมันที่ จับได้นั้นเป็นน้ำมันลักลอบหรือไม่ ทำให้ต้องตั้งฟ้องในความผิดอื่น เช่น ไม่มีใบอนุญาตจำหน่ายน้ำมัน ไม่มีใบกำกับการขนส่งน้ำมัน ฯลฯ ดังนั้น จึงควรพิจารณานำมาตรการเติมสาร Marker ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 ให้ชะลอการเติมสารดังกล่าวไว้ก่อนกลับ นำมาใช้ โดยมีมาตรการดังนี้
(1) ให้กรมสรรพสามิตเร่งพิจารณาเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ชำระภาษีสรรพสามิตแล้ว ทั้งน้ำมันที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ พร้อมทั้งพิจารณาจัดหาอุปกรณ์ การตรวจสอบสาร Marker ให้แก่หน่วยปราบปรามอย่างเพียงพอ
(2) มอบหมายให้กรมสรรพสามิตเป็นศูนย์รวมการเติมสาร Marker เพื่อให้สามารถ ควบคุมการเก็บรักษาและการเติมสาร Marker ได้อย่างรัดกุม
(3) ให้กรมสรรพสามิตจัดอบรมให้คำแนะนำวิธีการตรวจสอบแก่หน่วยงานปราบปราม เช่น กรมตำรวจ กรมศุลกากร และกองทัพเรือ
3.6 การปรับปรุงใบกำกับการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง การดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 ที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบรถบรรทุกน้ำมันว่ามีเอกสารใบกำกับการขน ส่งของกรมทะเบียนการค้าหรือไม่นั้น ปรากฏว่าประสบปัญหาในการ ตรวจสอบ เนื่องจากรูปแบบใบกำกับการขนส่งแตกต่างกัน และไม่มีการจัดทำสำเนาเอกสารไว้ให้ชัดเจน ทำให้รถบรรทุกบางคันใช้ภาพถ่ายสำเนาใบกำกับการขนส่งมาแสดงแก่เจ้าหน้าที่ ดังนั้น จึงได้มีการกำหนดแนวทางแก้ไข ดังนี้
(1) ควรมอบหมายให้กรมทะเบียนการค้าและ สพช. รับไปพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2535) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไขในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกำหนดแบบใบกำกับการขนส่งเพิ่มเติมขึ้นอีกฉบับหนึ่ง เพื่อใช้สำหรับการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งต้องมีลักษณะเข้าใจได้ง่ายและเป็นรูปแบบเดียวกัน เพื่อไม่ให้กระทบต่อใบกำกับการขนส่งเดิมที่ผู้ค้าใช้อยู่ในปัจจุบัน
(2) เมื่อได้ปรับปรุงแก้ไขประกาศกระทรวงพาณิชย์แล้ว มอบหมายให้กรมทะเบียน การค้าและ สพช. รับไปชี้แจงทำความเข้าใจการตรวจสอบแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย
3.7 การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้า) แก้ไข กฎกระทรวงพาณิชย์ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2526) และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการ) แก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 6 แต่งตั้งให้นายตำรวจ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานเป็นหัวหน้าชุดศูนย์ป้องกันและปราบปรามการนำ เข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (ศปนม.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมตำรวจ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474
3.8 มาตรการส่งเสริมการปราบปรามและจัดเก็บภาษี เนื่องจากกรมสรรพากรขาดรายละเอียดที่ จำเป็น เพื่อใช้เป็นฐานในการประเมินภาษีเงินได้ของเจ้าของเรือประมงดัดแปลงที่ ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้เช่าเรือดังกล่าวที่ถูกจับกุมได้ ซึ่งเป็นมาตรการเสริมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น จึงมีข้อเสนอเพิ่มเติม ดังนี้
(1) มอบหมายให้หน่วยงานปราบปรามทุกหน่วยส่งบันทึกการจับกุมเรือหรือรายงานการจับ กุมเรือให้แก่กรมสรรพากรทุกครั้งและทันทีที่จับกุมเรือได้ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบประเมินภาษีต่อไป
(2) มอบหมายให้หน่วยงานปราบปรามทุกหน่วยส่งบันทึกการจับกุมหรือรายงาน การจับกุมให้แก่กรมเจ้าท่าทุกครั้งและทันทีที่จับกุมเรือลักลอบนำเข้า สัญชาติไทยได้ และให้กรม เจ้าท่าพิจารณาว่าเรือดังกล่าวได้ดัดแปลงเรือในลักษณะที่ผิดกฎหมายหรือไม่ และการดัดแปลงนั้นเกิดขึ้นเมื่อใด ก่อนหรือหลังการให้เช่า และแจ้งผลการตรวจสอบให้หน่วยปราบปรามที่จับกุมได้ทราบ รวมทั้งกรมสรรพากรด้วย
3.9 การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มี พระบรมราชานุญาตประกาศเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2538 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เสนอร่างพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว เพื่อพิจารณาเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ศุลกากรให้สามารถปฏิบัติงานในเขต "ต่อเนื่อง" ระหว่าง 12-24 ไมล์ทะเลได้ สพช. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าถึงแม้ประเทศไทยจะได้ประกาศเขตต่อเนื่อง ในช่วง 12-24 ไมล์ทะเลแล้ว แต่หากร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับ ยังไม่ผ่านการพิจารณาของสภา จะทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีอำนาจกระทำการในเขตต่อเนื่องได้ และความมุ่งหมายในการขยายพื้นที่การปราบปรามในทะเลจะไม่บรรลุผล จึงเห็นควรเสนอให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมเร่งรัดให้มีการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับ ดังกล่าว เพื่อให้ประกาศใช้ได้โดยเร็ว
3.10 แนวทางการเก็บภาษี ณ จุดปลายทางหรือลดภาษี คณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2539 มอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการศึกษาและพิจารณา แนวทางร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดเก็บภาษี ณ จุดปลายทาง หรือลดภาษีเพื่อลดแรงจูงใจในการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจากผลการศึกษาได้ข้อสรุป ดังนี้
(1) ยังไม่ควรเปลี่ยนไปจัดเก็บภาษี ณ จุดปลายทางโดยใช้วิธีเก็บจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ สถานีบริการแทน จนกว่ากรมสรรพากรจะสามารถดำเนินการให้สถานีบริการทุกแห่งภายในประเทศเข้า สู่ระบบเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อใช้เป็นฐานในการจัดเก็บภาษีในระดับค้าปลีกทั้งหมดต่อไป
(2) ไม่ควรจัดเก็บภาษีจากปลายท่อหรือคลังน้ำมัน เนื่องจากยังมีการขายน้ำมัน บางส่วน โดยไม่ผ่านท่อขนส่งหรือคลังน้ำมัน จึงช่วยลดแรงจูงใจได้ไม่มาก
(3) มอบหมายให้ สพช. รับไปศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากป้ายวงกลมรถยนต์ดีเซลแทนและให้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณา
3.11 การควบคุมน้ำมันที่ส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ให้กรมตำรวจและกรมศุลกากรร่วมกันควบคุมและตรวจสอบการขนส่งน้ำมันไปยัง สปป.ลาว อย่างเข้มงวด เนื่องจากพบว่า ได้มีการนำน้ำมันที่ส่งออกไปยัง สปป.ลาว กลับมาใช้ในประเทศไทย และใช้หลักฐาน การส่งออกนั้นมาขอคืนภาษีจากรัฐบาลในภายหลัง
3.12 การนำเรือน้ำมันออกไปลอยลำจำหน่ายกลางทะเล คณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2539 มอบหมายให้ สพช. รับไปศึกษาและพิจารณาแนวทางในการนำเรือน้ำมันออกไปลอยลำจำหน่ายให้แก่เรือ ประมงกลางทะเล โดยให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งจากผลการศึกษาได้ข้อสรุปว่า มาตรการนำเรือน้ำมันออกไปลอยลำจำหน่ายกลางทะเลยังไม่ควรดำเนินการ ในชั้นนี้ เนื่องจากการซื้อขายมีลักษณะที่ไม่มีการทำสัญญาระหว่างกัน จึงอาจเป็นปัญหาต่อ ปตท. ในการเสี่ยงต่อภาวะหนี้สูญ และสมาคมประมงยังไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้
3.13 กองทัพเรือขอรับการสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ ด้วย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล (ศอปล.) เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2539 และสั่งการให้จัดหาระบบตรวจการณ์กลางคืนติดตั้งกับเรือและอากาศยาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิงในเวลากลางคืน กองทัพเรือจึงได้เสนอแผนการจัดซื้อและขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดหา อุปกรณ์ตรวจการณ์ กลางคืน เพื่อติดตั้งกับเครื่องบินของกองทัพเรือ จำนวน 6 เครื่อง และกล้องตรวจการณ์กลางคืนในเรือ จำนวน 20 กล้อง เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 240 ล้านบาท
3.14 กรมเจ้าท่าขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่าย กรมเจ้าท่า ได้ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2540 ในโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ทางทะเลขนาด 130 ฟุต จำนวน 3 ลำ ในวงเงิน 450 ล้านบาท เนื่องจากกรมเจ้าท่ามีพื้นที่ในความรับผิดชอบกว้างขวางมาก แต่มีเรือตรวจการณ์ทางทะเลเป็นเรือขนาดเล็กเพียง 4 ลำ จึงทำให้การตรวจการณ์ทางทะเลไม่สามารถตรวจตราได้ครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบ ทั้งในเขตทะเลอาณาเขตและทะเลต่อเนื่องได้ ซึ่งโครงการจัดซื้อเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่นี้กรมเจ้าท่าได้ขอแปรญัตติเพื่อ จัดหาแล้วและกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา และหากกรมเจ้าท่าไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณตามที่ได้ขอแปรญัตติไปแล้ว กรมเจ้าท่าจึงขอเสนอให้ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำนวน 450 ล้านบาท ในปี 2541 ด้วย
มติของที่ประชุม
1.รับทราบรายงานผลความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงของหน่วยงานต่างๆ
2.ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 ซึ่งอนุมัติให้จัดตั้งคณะทำงานโดยมี กรมศุลกากรเป็นเจ้าของเรื่อง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจาก เป็นมาตรการที่ซ้ำซ้อนกัน
3.เห็นชอบกับมาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
3.1 มาตรการเร่งรัดให้ติดตั้งมิเตอร์ในคลังเพิ่มเติม
ให้กรมสรรพสามิตเร่งดำเนินการติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้า-ออก จากคลังและมาตรวัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Leveling Gauge ในคลังทั้ง 4 แห่ง ที่กรมสรรพากรจูงใจให้ยินยอมติดตั้งมิเตอร์แล้วโดยเร็ว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปพิจารณาดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมิเตอร์ดังกล่าวด้วย
3.2 มาตรการติดตั้งมิเตอร์ในคลังน้ำมันเบนซิน
(1) ให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการพิจารณาติดตั้งมาตรวัดปริมาณน้ำมัน เชื้อเพลิงเข้า-ออกจากคลัง และมาตรวัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Leveling Gauge ในคลังน้ำมันเบนซินชายฝั่งทุกแห่ง และนำผลการพิจารณาเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมคราว ต่อไป
(2) ให้กรมโยธาธิการดำเนินการตรวจคลังน้ำมันชายฝั่งทุกแห่งว่ามีการเก็บ น้ำมันเชื้อเพลิงไว้ถูกต้องตามชนิดที่แจ้งไว้แก่กรมโยธาธิการหรือไม่ และให้รายงานผลการตรวจสอบให้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบในการประชุมคราวต่อไป
3.3 มาตรการติดตั้งมิเตอร์ในคลังสินค้าทัณฑ์บน
(1) ให้กรมศุลกากรประสานงานกับกรมสรรพสามิตพิจารณาติดตั้งมิเตอร์ทั้งขาเข้า และออกจากคลัง รวมทั้งอุปกรณ์วัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Leveling Gauge และนำผลการรายงานปริมาณน้ำมันเข้า-ออกจากคลัง และปริมาณคงเหลือในถังตรวจเช็คกับใบขนสินค้าทุกครั้ง
(2) ให้กรมศุลกากรระงับการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับ เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ก่อน จนกว่าปัญหาความเสี่ยงภัยในการเกิดการลักลอบจะได้รับการแก้ไขเสร็จเรียบร้อย แล้ว
(3) ให้หน่วยงานปราบปรามทุกหน่วยเฝ้าระวังการขนส่งน้ำมันเข้า-ออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปเป็นพิเศษ
3.4 การควบคุมผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมและสารละลาย
(1) ให้กรมสรรพสามิตพิจารณากำหนดให้ผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมและสารละลายที่ใช้ เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในพิกัดของภาษีสรรพสามิต และให้มีการชำระภาษีเมื่อออกจากโรงอุตสาหกรรมก่อนและขอคืนภาษีได้ในภายหลัง หากนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้า
(2) ให้กรมตำรวจและกรมทะเบียนการค้าร่วมกันตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง โดยจัด รถตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเคลื่อนที่ออกตรวจคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่สถานี บริการทั่วราชอาณาจักร หากพบการกระทำผิดให้ดำเนินคดีทุกราย
3.5 การเติมสาร Marker ในน้ำมันที่เสียภาษีแล้ว
(1) ให้กรมสรรพสามิตเร่งพิจารณาเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ชำระภาษีสรรพสามิตแล้ว ทั้งน้ำมันที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ พร้อมทั้งพิจารณาจัดหาอุปกรณ์ การตรวจสอบสาร Marker ให้แก่หน่วยปราบปรามอย่างเพียงพอ
(2) ให้กรมสรรพสามิตเป็นศูนย์รวมการเติมสาร Marker เพื่อให้สามารถควบคุม การเก็บรักษาและเติมสาร Marker ได้อย่างรัดกุม
(3) ให้กรมสรรพสามิตจัดอบรมให้คำแนะนำวิธีการตรวจสอบแก่หน่วยปราบปราม เช่น กรมตำรวจ กรมศุลกากร และกองทัพเรือ
3.6 การปรับปรุงใบกำกับการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง
(1) ให้กรมทะเบียนการค้าและ สพช. รับไปพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ กระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2535) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไขในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกำหนดแบบใบกำกับการขนส่งเพิ่มเติมขึ้นอีกฉบับหนึ่งเพื่อใช้สำหรับการตรวจ สอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งต้องมีลักษณะเข้าใจได้ง่ายและเป็นรูปแบบเดียวกัน เพื่อไม่ให้กระทบต่อใบกำกับการขนส่งเดิมที่ผู้ค้าใช้อยู่ในปัจจุบัน
(2) เมื่อได้ปรับปรุงแก้ไขประกาศกระทรวงพาณิชย์แล้ว ให้กรมทะเบียนการค้าและ สพช. รับไปชี้แจงทำความเข้าใจการตรวจสอบแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย
3.7 การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจ
(1) ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้า) แก้ไขกฎกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2526) แต่งตั้งให้นายตำรวจซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานเป็นหัวหน้าชุดในศูนย์ ป้องกันและปราบปรามการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (ศปนม.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมตำรวจ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521
(2) ให้อธิบดีกรมโยธาธิการและผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องมอบอำนาจให้นาย ตำรวจ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการเป็นหัวหน้าชุดในศูนย์ดังกล่าว มีอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474
3.8 มาตรการส่งเสริมการปราบปรามและจัดเก็บภาษี
(1) ให้หน่วยงานปราบปรามทุกหน่วยส่งบันทึกการจับกุมเรือหรือรายงานการจับกุมเรือให้แก่กรมสรรพากรทุกครั้งและทันทีที่จับกุมเรือได้
(2) ให้หน่วยงานปราบปรามทุกหน่วยส่งบันทึกการจับกุมหรือรายงานการจับกุมให้แก่ กรมเจ้าท่าทุกครั้ง และทันทีที่จับกุมเรือลักลอบนำเข้าสัญชาติไทยได้ และให้กรมเจ้าท่าพิจารณาว่าเรือ ดังกล่าวได้ดัดแปลงเรือในลักษณะที่ผิดกฎหมายหรือไม่ และการดัดแปลงนั้นเกิดขึ้นเมื่อใดก่อนหรือหลังการให้เช่า และแจ้งผลการตรวจสอบให้หน่วยปราบปรามที่จับกุมได้ทราบ รวมทั้งกรมสรรพากรด้วย
3.9 การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่อง
ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมเร่งรัดให้มีการพิจารณาร่างพระราช บัญญัติศุลกากร พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. .... เพื่อให้ประกาศใช้ได้โดยเร็ว
3.10 แนวทางการเก็บภาษี ณ จุดปลายทางหรือลดภาษี
(1) ให้ชะลอการจัดเก็บภาษี ณ จุดปลายทางโดยใช้วิธีเก็บจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ สถานีบริการ จนกว่ากรมสรรพากรจะสามารถดำเนินการให้สถานีบริการทุกแห่งภายในประเทศเข้าสู่ ระบบเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ทั้งหมด และให้ชะลอการจัดเก็บภาษีจากปลายท่อหรือคลังน้ำมันไว้ด้วย
(2) ให้สพช. รับไปศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากป้ายวงกลมรถยนต์ดีเซลแทน และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป
3.11 การควบคุมน้ำมันที่ส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ให้กรมตำรวจและกรมศุลกากรร่วมกันควบคุมและตรวจสอบการขนส่งน้ำมันไปยัง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อไม่ให้มีการแจ้งส่งออกแต่ไม่ส่งไปจริง
3.12 การนำเรือน้ำมันออกไปลอยลำจำหน่ายกลางทะเล
ให้ระงับมาตรการนำเรือน้ำมันออกไปลอยลำจำหน่ายกลางทะเลไว้ก่อนในชั้นนี้
3.13 การสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์และค่าใช้จ่าย
(1) ให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการให้กองทัพเรือได้รับเงิน งบประมาณ จำนวน 240 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตรวจการณ์ในเวลากลางคืน
(2) ให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการให้กรมเจ้าท่าได้รับเงินงบประมาณ จำนวน 450 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเรือตรวจการณ์ขนาด 130 ฟุต จำนวน 3 ลำ
4.ให้ สพช. ติดตามการดำเนินการตามมาตรการในข้อ 3 และรายงานผลให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบในครั้งต่อไป
เรื่องที่ 4 การเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดเดือนเมษายน 2539 ซึ่งเป็นชุดล่าสุด คาดว่าความต้องการไฟฟ้าจะสูงขึ้นมากกว่าการพยากรณ์ชุดเดือนมิถุนายน 2537 ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ใช้เป็นฐานในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (พ.ศ. 2538-2554) หรือ PDP 95-01 กล่าวคือ คาดการณ์ว่าความต้องการพลังไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1,640 เมกะวัตต์ ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (ปี 2540-2544) และจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นเฉลี่ยปีละ 1,847 เมกะวัตต์ ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 (ปี 2545-2549) ดังนั้น คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2539 มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้า เอกชน (IPP) เพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
2. การดำเนินการในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน IPP สรุปได้ดังนี้
2.1 กฟผ. ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (รอบแรก) จำนวน 3,800 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2537 และกำหนดยื่นข้อเสนอในวันที่ 30 มิถุนายน 2538 แยกเป็น
ระยะที่ 1 จำนวน 1,000 เมกะวัตต์ กำหนดแล้วเสร็จปี 2539-2543ระยะที่ 2 จำนวน 2,800 เมกะวัตต์ กำหนดแล้วเสร็จปี 2544 และ 2545
ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2538 กฟผ. ได้ประกาศรับซื้อเพิ่มอีกประมาณ 10% รวมกำลังผลิตที่ต้องการซื้อทั้งสิ้นประมาณ 4,200 เมกะวัตต์
2.2 เมื่อถึงวันกำหนดยื่นข้อเสนอในวันที่ 30 มิถุนายน 2538 มีผู้ยื่นข้อเสนอ 32 ราย รวม 50 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยข้อเสนอทั้งสิ้น 88 ทางเลือก รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 37,500 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 9 เท่าของกำลังผลิตที่ต้องการ โดยใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ 37 ราย ถ่านหิน 12 ราย และออริมัลชั่น 1 ราย
2.3 การประเมินและคัดเลือกข้อเสนอจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ได้ดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอ จากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน โดยพิจารณาจากปัจจัย ด้านราคา (Price Factor) 60% ปัจจัยด้านอื่นๆ นอกเหนือจากราคา (Non-Price Factors) 40% ซึ่งพิจารณาแต่ละโครงการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ ผลิตไฟฟ้าเอกชน
2.4 โครงการที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก รวมทั้งสิ้น 21 โครงการ แยกเป็นระยะที่ 1 จำนวน 13 โครงการ กำลังการผลิตรวม 6,184 เมกะวัตต์ ระยะที่ 2 จำนวน 8 โครงการ กำลังการผลิตรวม 8,250 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โครงการที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง 16 โครงการ ใช้ถ่านหิน 4 โครงการ และใช้ออริมัลชั่น 1 โครงการ
2.5 ขณะนี้ กฟผ. อยู่ระหว่างการเจรจาในรายละเอียดเพื่อคัดเลือกโครงการที่เหมาะสมให้ได้ตาม ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ IPP จำนวน 4,200 เมกะวัตต์
3. สพช. และ กฟผ. ได้พิจารณาทางเลือกในการจัดหาไฟฟ้าเพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ตามผลการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดเดือนเมษายน 2539 โดยพิจารณาความเป็นไปได้ของทางเลือกต่างๆ และได้นำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2539 เพื่อให้ความเห็นชอบ 2 ทางเลือก คือ
3.1 เห็นชอบให้มีการพิจารณาขยายปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) ในช่วงปี 2539-2543 จาก 1,444 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 3,200 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้า
3.2 เห็นชอบให้มีการพิจารณาเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว จาก 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2543 เป็น 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 ซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 ณ นครเวียงจันทน์ ในคราวที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือน สปป. ลาว
4. สพช. และ กฟผ. ได้พิจารณาเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน IPP เพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าชุดเดือนเมษายน 2539 โดยคำนึงถึงการขยายปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว รวมทั้งความคืบหน้าของโครงการที่ กฟผ. ดำเนินการเองตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. (พ.ศ. 2539-2554) หรือ PDP 95-01 สรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้
4.1 การขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP สำหรับในช่วงเวลาปัจจุบันถึงปี 2546 ให้ดำเนินการคัดเลือกจากข้อเสนอที่ได้ยื่นต่อ กฟผ. ไปแล้วตามประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ในรอบแรก ทั้งนี้เพราะ ระยะเวลาในการดำเนินการค่อนข้างสั้น หากจะออกประกาศการรับซื้อไฟฟ้า รอบใหม่จะไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกำหนดเวลา โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประเมินและ คัดเลือกข้อเสนอจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรับไปดำเนินการ ดังนี้
ปี 2543 : ให้เพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP อีก 300 เมกะวัตต์ จากโครงการที่ยื่น ข้อเสนอมาในระยะที่ 1 ที่มีความสอดคล้องกับความสามารถของระบบสายส่งในช่วงเวลาดังกล่าว
ปี 2545 : ให้เพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP อีก 700 เมกะวัตต์ จากโครงการที่ได้ยื่น ข้อเสนอมาในระยะที่ 2 (ปี 2544-2545) เนื่องจากคาดว่า โครงการ IPP ในระยะที่ 2 ขนาด 2,800 เมกะวัตต์ จะรับซื้อได้ในปี 2544 ทั้งหมด
ปี 2546 : ให้เพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP อีก 600 เมกะวัตต์ ในปี 2546 จากโครงการที่ได้ยื่นข้อเสนอมาในระยะที่ 2 เพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
สรุปปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP
หน่วย: เมกะวัตต์
เดิม | เพิ่ม | รวม | |
ปี 2542-2543 (ค.ศ. 1999-2000) | 1,400 | 300 | 1,700 |
ปี 2544 (ค.ศ. 2001) | 2,800 | 0 | 2,800 |
ปี 2545 (ค.ศ. 2002) | 0 | 700 | 700 |
ปี 2546 (ค.ศ. 2003) | 0 | 600 | 600 |
รวม | 4,200 | 1,600 | 5,800 |
4.2 สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นไป ในขณะนี้ยังมีเวลาเพียงพอ ในการออกประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP รอบใหม่ จึงสมควรมอบหมายให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมของปริมาณรับซื้อไฟฟ้าและแนวทางการรับซื้อไฟฟ้า รวมทั้งจัดทำประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ IPP ในรอบที่ 2 สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นไป แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบ เพื่อให้สามารถดำเนินการออกประกาศรับซื้อไฟฟ้ารอบใหม่ได้ในกลางปี 2540
5. การรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มจาก IPP อีก 1,600 เมกะวัตต์ จะทำให้ประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการโดยมี ปริมาณสำรองในระดับที่เหมาะสม กล่าวคือ กำลังผลิต ติดตั้งของระบบไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 34,109 เมกะวัตต์ ในเดือนกันยายน 2546 เพียงพอกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด 25,506 เมกะวัตต์ ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีกำลังผลิตสำรองประมาณร้อยละ 27
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการให้มีการเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) ในช่วงปี 2543 ถึงปี 2546 จำนวน 1,600 เมกะวัตต์ โดยคัดเลือกจากโครงการที่ได้ยื่นข้อเสนอต่อ กฟผ. แล้ว ตามประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ในรอบแรก โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ ผลิตไฟฟ้าเอกชนรับไปดำเนินการต่อไป
2.ให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมของปริมาณรับซื้อไฟฟ้า และแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) รวมทั้งจัดทำประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ IPP ในรอบที่ 2 สำหรับการรับซื้อตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นไป แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบเพื่อให้สามารถ ดำเนินการออกประกาศการรับซื้อไฟฟ้ารอบใหม่ได้ ในกลางปี 2540
3.ให้ สพช. และกระทรวงการคลังรับไปพิจารณาถึงความเหมาะสมในการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา และน้ำมันดีเซลที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวมด้วยและให้รายงานผลการ พิจารณาต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีหนังสือขออนุมัติให้ ปตท. ลงนามใน Heads of Agreement กับบริษัท Oman LNG L.L.C. (OLNG) เพื่อนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวในปี 2546 ถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อพิจารณานำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาอนุมัติในหลักการการจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) จากบริษัท OLNG และอนุมัติให้ ปตท. ลงนามใน Heads of Agreement กับบริษัท OLNG เพื่อนำเข้า LNG ในปริมาณ 1.7 ถึง 2.2 ล้านตันต่อปี เป็นเวลา 25 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2546 รวมทั้งขอให้กำหนด แนวนโยบายสนับสนุนโครงการดังกล่าว
2. ปตท. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โดยศึกษาการนำเข้า LNG มาใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบผลการศึกษาเบื้องต้นดังกล่าวแล้ว จากนั้น ปตท. ได้ศึกษาโครงการการนำเข้า LNG ในรายละเอียด พร้อมทั้งดำเนินการเจรจากับผู้ผลิต ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538 เห็นชอบให้ ปตท. เข้าร่วมทุนเพื่อจัดตั้งบริษัทก๊าซธรรมชาติเหลว โดย ปตท. ได้ดำเนินการจดทะเบียน จัดตั้งบริษัท ไทยแอลเอ็นจีพาวเวอร์ จำกัด ขึ้น พร้อมทั้งได้ดำเนินการเจรจากับ้ผู้ผลิต 3 ราย คือ บริษัท Oman LNG L.L.C. (OLNG) ประเทศโอมาน บริษัท Ras Laffan Liquefied Natural Gas CO. Ltd. (RLLNG) ประเทศกาตาร์ และบริษัท Malaysia LNG Tiga SDN. BHD (MLNG Tiga) ประเทศมาเลเซีย
3. จากการเปรียบเทียบข้อตกลงเบื้องต้นทั้งในด้านเงื่อนไขและราคาของผู้ผลิตทั้ง 3 รายจะเห็นได้ว่าข้อเสนอของ OLNG มีความได้เปรียบกว่าข้อเสนอของ RLLNG และ MLNG Tiga ดังนี้
เงื่อนไข | OLNG | RLLNG | MLNG Tiga |
· ปริมาณ (ล้านตัน/ปี) | 1.7-2.2 | 2.0-2.5 | ประมาณ 1 |
· ปีที่เริ่มซื้อขาย | 2546 | 2546-48 | MLNG ต้องการ 2544 |
· อายุสัญญา (ปี) | 25 | 25 | 20 |
· ราคา (TOP) | ราคาผูกกับน้ำมันดิบ ถ่านหิน และ USCPIราคาเริ่มต้นปี 2538 = 3.10 $US/MMBTU | ราคาผูกกับน้ำมันดิบ และ USCPIราคาเริ่มต้นปี 2538 = 3.56 $US/MMBTU | ราคาผูกกับน้ำมันดิบ และ USCPIราคาเริ่มต้นปี 2538 = 3.87$US/MMBTU |
4. ในการประเมินความต้องการใช้ก๊าซฯ และการจัดหาก๊าซฯ พบว่าตั้งแต่ปลายปี 2546 เป็นต้นไปการจัดหาจะไม่เพียงพอกับความต้องการ อย่างไรก็ตามหากมีการนำเข้า LNG ตามผลการเจรจาระหว่าง ปตท. กับบริษัท OLNG ในปี 2546 ก็จะทำให้การจัดหาก๊าซฯ สามารถรองรับกับความต้องการได้ อย่างเพียงพอ
5. สาระสำคัญของข้อตกลงเบื้องต้น (Heads of Agreement : HOA) ระหว่าง ปตท. และ บริษัท OLNG มีดังนี้คือ
5.1 ปตท. และ OLNG ตกลงที่จะเจรจาเพื่อจัดทำสัญญาซื้อขาย (Sale and Purchase Agreement : SPA) ตามแนวทางที่กำหนดไว้ใน HOA โดย SPA จะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลก่อน การลงนาม และมีกำหนดส่งมอบ LNG ตั้งแต่ปี 2546 โดยมีระยะเวลาสัญญา 25 ปี
5.2 ปริมาณ LNG ตามสัญญาซื้อขายในแต่ละปี มีดังนี้ คือ
ปี 2546 1.0 ล้านตัน (ประมาณ 140 ล้าน ลบ.ฟ./วัน)
ปี 2547 1.5-2.0 ล้านตัน (ประมาณ 210-280 ล้าน ลบ.ฟ./วัน)
ปี 2548 เป็นต้นไป 1.7-2.2 ล้านตัน (ประมาณ 238-308 ล้าน ลบ.ฟ./วัน)
5.3 ราคา LNG ตั้งต้นในปี 2538 เท่ากับ 3.10 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู โดยราคาจะ อิงกับดัชนีผู้บริโภคสหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันดิบและราคาถ่านหิน
6. กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินโครงการ LNG จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาวและควรจะได้รับการพิจารณาเป็นโครงการ ยุทธศาสตร์ เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน โดย สพช. พิจารณาแล้วเห็นด้วยกับข้อเสนอและความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมดังกล่าว
มติของที่ประชุม
อนุมัติในหลักการการจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) จากบริษัท OLNG และอนุมัติให้ ปตท. ลงนามใน Heads of Agreement กับบริษัท OLNG เพื่อนำเข้า LNG ในปริมาณ 1.7 ถึง 2.2 ล้านตันต่อปี เป็นเวลา 25 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2546
เรื่องที่ 6 นโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นผู้จัดซื้อ ผู้ขายและผู้ขนส่งก๊าซธรรมชาติ รวมทั้ง เป็นผู้กำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและอัตราค่าผ่านท่อแต่ผู้เดียว โดยที่คณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ ยังไม่เคยเข้าไปกำกับดูแลการดำเนินการดังกล่าว ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีการพิจารณากำหนดนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติให้ชัดเจน ทั้งโครงสร้างราคา เงื่อนไขการจำหน่ายก๊าซฯ อัตราค่าผ่านท่อ วิธีการและกลไกในการกำกับดูแล รวมทั้งแนวทางในการปรับปรุงโครงสร้างของ ปตท. โดยกำหนดรูปแบบกิจการขนส่งก๊าซฯ ทางท่อของ ปตท. ให้เป็นระบบที่สามารถให้บริการสำหรับผู้ซื้อขายก๊าซฯ รายอื่นได้ อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
2. หลักการของการกำหนดนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติ สรุปได้ดังนี้คือ
2.1 ให้มีการแยกบทบาทของ ปตท. ให้ชัดเจนเป็น 2 ส่วน คือ บทบาทในฐานะของ ผู้ดำเนินกิจการขนส่งก๊าซฯ และบทบาทในฐานะของผู้ดำเนินกิจการจัดหาและจำหน่ายก๊าซฯ ซึ่งจะทำให้โครงสร้างราคาก๊าซฯ เป็นดังนี้ คือ
ราคาก๊าซฯ = ราคารับซื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจากผู้รับสัมปทาน/นำเข้า + ค่าจัดหาและ จำหน่าย + ค่าผ่านท่อ
2.2 ราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซฯ แยกออกเป็น 4 กลุ่ม (POOL)
POOL 1 : เป็นก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงแยกก๊าซ
POOL 2 : เป็นก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในปัจจุบัน (จนถึงโรงไฟฟ้าวังน้อย) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
POOL 3 : เป็นก๊าซธรรมชาติ สำหรับผู้ใช้ก๊าซฯ รายอื่นๆ (อุตสาหกรรม SPP รวมทั้ง IPP ในปัจจุบันและอนาคต)
POOL 4 : ก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ที่จังหวัดราชบุรี
2.3 ค่าผ่านท่อแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ Demand Charge (ค่าใช้จ่ายคงที่ตามปริมาณที่ตกลงกันไว้) และ Commodity Charge (ค่าใช้จ่ายผันแปรตามปริมาณก๊าซที่มีการรับส่งจริง)
3. ผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งความเห็นของ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) มีดังนี้
3.1 การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. : คณะอนุกรรมการพิจารณาราคาก๊าซธรรมชาติได้ดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซ ธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. แล้ว ทั้งนี้ราคาก๊าซฯ จะประกอบด้วย ราคาเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก POOL 2 (ไม่รวม LNG) ค่าจัดหาและจำหน่าย (1.75%) และ ค่าผ่านท่อ โดย สพช. พิจารณาแล้วเห็นว่า สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติดังกล่าว เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขสัญญาสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี
3.2 การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP): เงื่อนไขหลักๆ ของสัญญามีลักษณะคล้ายกับสัญญาระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาระหว่าง ปตท. กับ IPP ที่ได้รับการคัดเลือกจาก กฟผ. ทั้งนี้ โครงสร้างราคาก๊าซฯ ที่จะจัดหาให้แก่ IPP ประกอบด้วย ราคาเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก POOL 3 ค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่าย (5%) และค่าผ่านท่อโดย สพช. พิจารณาแล้วเห็นว่าค่าผ่านท่อดังกล่าว ควรมีการปรับปรุงภายใต้การกำกับดูแลโดย กพช. และ สพช. เช่นเดียวกันกับ ราคาก๊าซฯ ที่จำหน่ายให้แก่ กฟผ. ส่วนค่าเก็บรักษา LNG และ ค่า Regasification ของ LNG ควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กพช. และ สพช. ทั้งนี้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของราคา LNG ที่ป้อนเข้าสู่ระบบท่อ นอกจากนั้นค่าการตลาด (ค่าจัดหาและจำหน่าย) กำหนดไว้ในระดับร้อยละ 5 ซึ่งสูงกว่าค่าการตลาดสำหรับก๊าซฯ ที่จำหน่ายให้ กฟผ. เพราะ ปตท. มีภาระความรับผิดชอบและข้อผูกพันตามเงื่อนไขการขายก๊าซฯ ให้ IPP มากกว่า
3.3 การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท.กับ ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) : เงื่อนไข ของสัญญามีลักษณะแตกต่างกัน โดยมีโครงสร้างราคา ประกอบด้วย ราคาก๊าซฯ ที่ขายให้แก่ กฟผ. (บางปะกง) บวกกับส่วนเพิ่มซึ่งกำหนดให้ขึ้นอยู่กับปริมาณซื้อก๊าซฯ โดย สพช. พิจารณาแล้วเห็นควรให้มีการปรับปรุง ดังนี้
(1) สูตรราคา SPP/Cogen กำหนดให้เท่ากับราคาก๊าซฯ ที่ขายให้กับ กฟผ. บางปะกง (ไม่รวม LNG) + X · Wy/Wo บาทต่อล้านบีทียู ยังไม่แยกการจัดหาและจำหน่ายออกจากการขนส่ง นอกจากนี้ค่า X เป็นค่าการตลาดที่ ปตท. กำหนดขึ้นซึ่งไม่ทราบว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ และควรจะสะท้อนถึงภาระความรับผิดชอบและข้อผูกพันของ ปตท. กับ SPP ด้วย
(2) SPP จะรับก๊าซฯ จาก POOL 3 ที่มี LNG ผสมด้วย เพราะก๊าซฯ จากแหล่งใน อ่าวไทยมีปริมาณไม่เพียงพอ ฉะนั้นราคาก๊าซฯ ที่ SPP ซื้อจึงไม่ควรขึ้นอยู่กับราคาที่ขายให้แก่ กฟผ. แต่ควรกำหนดจากราคาของ POOL 3
(3) ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ในปัจจุบัน กฟผ. มีสิทธิขอให้ SPP สามารถลดการจ่ายไฟฟ้าในช่วง OFF PEAK ลงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 ของปริมาณตามสัญญา ซึ่งหมายถึง SPP จะ ต้องลดปริมาณการซื้อก๊าซฯ จาก ปตท. ด้วย และสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ระหว่าง SPP กับ ปตท. อาจต้องมี การแก้ไขให้สอดคล้องกัน
3.4 การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับภาคอุตสาหกรรม : ข้อ ตกลงการซื้อขายมีหลักการสำคัญๆ ที่ประกอบด้วยราคา 2 ประเภท คือ ราคาทดแทน LPG และราคาทดแทนน้ำมันเตา โดย สพช. พิจารณาแล้วเห็นว่า โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงสามารถเปลี่ยนไปใช้เชื้อ เพลิงชนิดอื่นได้โดยไม่ยากนัก อีกทั้งราคาที่ ปตท. กำหนดก็มีความสอดคล้องกับราคาเชื้อเพลิงชนิดอื่นที่ทดแทนกันได้ ดังนั้น จึงเป็นราคาที่มีความเหมาะสมแล้ว
3.5 การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. แหล่งยาดานา : ใน ขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มเจรจาเพื่อทำสัญญาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 สพช. พิจารณาแล้วเห็นว่าในระยะแรกสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. จะเป็นสัญญาอีกฉบับแยกจากการซื้อขายก๊าซฯ จากระบบท่อหลักโดยใช้หลักการเหมือนกัน แต่ดำเนินการให้มีความสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ปตท. มีแผนที่จะเชื่อมโยงระบบท่อหลักเข้ากับท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่า ซึ่งจะเพิ่มความมั่นคงในการจัดหาก๊าซฯ ให้แก่โรงไฟฟ้าราชบุรีในอนาคต ดังนั้น จึงควรพิจารณาสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ระบบท่อหลักโดยรวมก๊าซธรรมชาติจาก POOL 4 (แหล่งยาดานา) กับก๊าซฯ จาก POOL 2 เข้าด้วยกัน
3.6 การปรับปรุงโครงสร้างของ ปตท.: สมควรดำเนินการแยกบทบาทของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ออกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย ธุรกิจการจัดหาและการจำหน่าย และธุรกิจการขนส่ง เพื่อให้สอดคล้อง กับนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติ ดังนี้คือ
ราคาก๊าซฯ = ราคารับซื้อก๊าซฯ เฉลี่ย + ค่าจัดหาและจำหน่าย (ให้เป็นบทบาทของ ธุรกิจการจัดหาและการจำหน่าย) + ค่าผ่านท่อ (ธุรกิจการขนส่ง)
4. คณะอนุกรรมการพิจารณาราคาก๊าซธรรมชาติ ได้ดำเนินการจัดทำอัตราค่าผ่านท่อและกลไกในการปรับอัตราค่าผ่านท่อระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. แล้วเสร็จ โดยเห็นควรให้มีการใช้อัตราค่าผ่านท่อดังกล่าวในการกำหนดราคาก๊าซฯ IPP และ SPP ด้วย ซึ่งมีอัตราค่าผ่านท่อ ประกอบด้วย Demand Charge และ Commodity Charge ในระดับที่ทำให้การลงทุนในระบบท่อมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR on Equity) ร้อยละ 18 ของค่าผ่านท่อแยกเป็น 3 พื้นที่ รวมทั้งการปรับอัตราค่าผ่านท่อเป็นระยะๆ และปรับตามดัชนี ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลและดำเนินการของ สพช.
5. เนื่องจากในขั้นนี้ ปตท. ยังคงเป็นผู้จัดซื้อ ผู้ขาย และผู้ขนส่งก๊าซธรรมชาติแต่ผู้เดียวต่อไปอีก ระยะหนึ่ง ทำให้การทำหน้าที่ของ ปตท. โดยเฉพาะในกิจกรรมการจัดซื้อก๊าซธรรมชาติและก๊าซธรรมชาติเหลว ซึ่งในการพิจารณาคัดเลือกและกำหนดแหล่ง ปริมาณ และราคา รวมทั้งกิจกรรมการขนส่งก๊าซธรรมชาติไปสู่ ผู้ใช้ โดยการพิจารณาลงทุนในโครงข่ายระบบท่อจะมีผลกระทบต่อระดับราคาเนื้อก๊าซฯ และอัตราค่าผ่านท่อ ที่จะส่งผ่านไปเป็นต้นทุนของผู้บริโภคโดยตรง ดังนั้น จึงจำเป็นที่รัฐจะต้องกำหนดให้มีการกำกับดูแลเพื่อให้ระบบการกำหนดราคาและ ค่าผ่านท่อมีความเป็นธรรม ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ผลิตและผู้ใช้ รวมทั้งภาคเอกชนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อใน อนาคต ทั้งนี้ การกำกับดูแลจะต้องเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ดำเนินกิจการขนส่งก๊าซฯ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอีกด้วย สพช. จึงเห็นควรกำหนดให้มีการกำกับดูแลการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและอัตราค่าผ่าน ท่อโดย กพช. และ สพช. ดังนี้คือ
5.1 ให้ ปตท. จัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว และแผนการลงทุนระยะยาวของระบบท่อก๊าซฯ และนำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วให้ ปตท. จัดทำอัตราค่าผ่านท่อตามหลักการที่ กพช. กำหนด แล้วนำเสนอ กพช. เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ ทั้งนี้แผนการลงทุนและแผนการจัดหาก๊าซฯ ดังกล่าวสมควรมีการปรับปรุงทุกระยะตามความเหมาะสม
5.2 ให้ ปตท. รายงานผลการดำเนินการตามแผนการจัดหาก๊าซฯ และแผนการลงทุนต่อ สพช. และ กพช. เพื่อทราบทุกปี
5.3 ในการดำเนินการตามแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในข้อ 5.1 เมื่อ ปตท.ได้ดำเนินการเจรจาราคาและสัญญาซื้อขายก๊าซฯ จากแหล่งใดจนมีข้อยุติแล้ว ให้นำเสนอ สพช. เพื่อนำเสนอ กพช. อนุมัติ (ราคาก๊าซฯ หมายถึง ราคาก๊าซฯ ที่จะป้อนเข้าระบบท่อ ดังนั้น จึงรวมค่าเก็บรักษาและค่า Regasification ของ LNG ด้วย)
5.4 การเปลี่ยนแปลงหลักการของนโยบายการกำหนดราคาก๊าซฯ ในข้อ 2 หลักการในการกำหนดอัตราค่าผ่านท่อ และค่าการตลาด (ค่าการจัดหาและค่าการจำหน่าย) ให้นำเสนอ กพช. อนุมัติ ส่วนการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดที่ไม่ใช่สาระสำคัญให้ สพช. เป็นผู้พิจารณาอนุมัติ
5.5 ให้ สพช. เป็นผู้กำกับดูแลการปรับอัตราค่าผ่านท่อ โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นไป โดยให้มีการปรับเปลี่ยนเป็นระยะ (Periodic Adjustment) และการปรับเปลี่ยนตามดัชนี (Index Adjustment)
มติของที่ประชุม
1.รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับหลักการของการกำหนดนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติ การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. , ปตท. กับ IPP, ปตท. กับ SPP และ ปตท. กับ อุตสาหกรรม และการกำหนดอัตราค่าผ่านท่อ ดังรายละเอียดในข้อ 2, ข้อ 3, และข้อ 4
2.เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานตามความเห็นของ สพช. ในข้อ 3 โดยมอบหมายให้ สพช. ปตท. และ กฟผ. รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
3.เห็นชอบแนวทางในการกำกับดูแลการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ และอัตราค่าผ่านท่อ ตามข้อ 5
4.ให้ สพช. รับไปศึกษาความเหมาะสมของราคาอีเทนและโพรเทน ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพื่อให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของ ไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ และให้รายงานผลต่อ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 30 กันยายน 2554
กพช. ครั้งที่ 57 - วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2539
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2539 (ครั้งที่ 57)
วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2539 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.การจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
4.การรับซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้ายูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
5.นโยบายการจัดเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษจากโรงกลั่นน้ำมัน
6.ขอความเห็นชอบลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแหล่งไพลินและแหล่งบงกช (เพิ่มเติม)
7.แนวทางในการขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP)
8.การส่งเสริมให้หน่วยราชการใช้เครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง
9.บันทึกความเข้าใจร่วมของโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา ใน สปป.ลาว
10.การขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. มาตรการดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติอย่างเข้มงวด
1.1 กรมศุลกากร ได้ดำเนินการตามคำสั่งทั่วไปกรมศุลกากรที่ 1/2536 เกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติพิธีการที่เกี่ยวกับการสำแดงปริมาณการนำเข้าในใบขน สินค้า ซึ่งกำหนดให้ผู้นำเข้าน้ำมันต้องแสดงปริมาณการนำเข้าไม่คลาดเคลื่อนจาก ปริมาณการนำเข้าจริงเกินกว่าร้อยละ 2 ผลการตรวจสอบในเดือนมีนาคม 2539 ปรากฏว่า ผู้ค้าน้ำมันทุกรายได้สำแดงไว้ไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ และจากการส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบปริมาณน้ำมันดีเซลหมุนเร็วคงเหลือในคลัง น้ำมันของบริษัทต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ รวม 28 แห่ง ไม่พบว่ามีการกระทำความผิดแต่อย่างใด
1.2 กรมสรรพากร ผลการตรวจคลังน้ำมันชายฝั่ง ซึ่งกรมสรรพสามิตไม่มีอำนาจติดตั้งมิเตอร์ จำนวน 10 ราย ปรากฏว่า มีคลังน้ำมันยินยอมติดตั้งมิเตอร์สรรพสามิตแล้ว จำนวน 4 ราย และได้ให้สรรพากรจังหวัดเข้าตรวจนับสินค้าคงเหลือสำหรับคลังน้ำมันชายฝั่ง ที่ยังไม่ยินยอมติดตั้งมิเตอร์ และให้รายงานผลการดำเนินงานให้กรมสรรพากรทราบทุกเดือน สำหรับคลังน้ำมันที่เหลืออีก 6 คลังนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่า คลังน้ำมันของห้างหุ้นส่วนจำกัดผูกมิตร ไม่มีความจำเป็นต้องติดตั้งมิเตอร์ของกรม สรรพสามิต เนื่องจากได้ให้บริษัท อธิวัสชุมพร จำกัด เช่าเป็นสถานประกอบการขายส่งน้ำมันโดยมิได้ใช้ถังเก็บน้ำมัน เนื่องจากถังน้ำมันมีสภาพที่ยังไม่สามารถเก็บรักษาน้ำมันได้ จึงคงเหลือคลังน้ำมันชายฝั่งอีกเพียง 5 รายที่กรมสรรพากรจะต้องใช้มาตรการตรวจปฏิบัติการเพื่อจูงใจให้ติดตั้ง มิเตอร์สรรพสามิตต่อไป ในการตรวจสอบภาษีเจ้าของเรือประมงดัดแปลงที่ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และผู้เช่าเรือที่ถูกจับกุมได้ จำนวน 15 ราย ปรากฏว่า กรมสรรพากรสามารถประเมินภาษีได้เพิ่มขึ้นอีก 1 ราย รวมเป็นจำนวนที่ตรวจสอบแล้วทั้งสิ้น 7 รายและผลการเร่งรัดให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ระบบเก็บภาษี มูลค่าเพิ่มจากมิเตอร์หัวจ่ายขณะนี้มีสถานีบริการเข้าสู่ระบบแล้วรวมทั้ง สิ้น 5,481 ราย และกรมสรรพากรได้วางแผนการตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันอิสระตามข้อมูลที่ได้รับ จากกรมทะเบียนการค้า เพื่อตรวจสอบประวัติการเสียภาษีสรรพากรและการเข้าสู่ระบบเก็บภาษีมูลค่า เพิ่มจากมิเตอร์หัวจ่ายต่อไป
2. มาตรการในการปราบปราม
2.1 กองทัพเรือ ได้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเลขึ้นที่ศูนย์ปฏิบัติ การกองทัพเรือ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2539 เป็นต้นมา เพื่อปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงตามนโยบายของ รัฐบาล โดยการลาดตระเวนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอในพื้นที่รับผิดชอบ ผลการดำเนินงานที่ผ่านมามีข้อขัดข้องอยู่บ้างเกี่ยวกับการตรวจการณ์การขนส่ง น้ำมันในทะเลของเรือบรรทุกน้ำมันที่ทำการขนส่งน้ำมันโดยมีจุดหมายปลาย ทางอยู่ในประเทศไทย เนื่องจากกองทัพเรือได้รับข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล่าช้า รวมทั้งข้อมูลที่ได้รับยังขาดในเรื่องที่เกี่ยวกับทิศทาง และความเร็วของเรือบรรทุกน้ำมันขณะเดินทาง จึงทำให้การติดตามการเดินทางของเรือบรรทุกน้ำมันในบางครั้งไม่ทันต่อ เหตุการณ์ ซึ่งหากได้ข้อมูลต่างๆ ครบถ้วน คาดว่าการตรวจการณ์การขนส่งน้ำมันในทะเลจะได้ผลมากยิ่งขึ้น
กรมตำรวจ ได้ดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปราม โดย กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้มีคำสั่งยกเลิกชุดปฏิบัติการเดิมและแต่งตั้ง ชุดปฏิบัติการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ โดยมีการปรับปรุงการปฏิบัติการทางบกให้มีขอบเขต ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ปรับปรุงการปฏิบัติการทางทะเลและชายฝั่งทะเลของตำรวจน้ำและปรับปรุงชุด ปฏิบัติการบนทางหลวงของตำรวจทางหลวงโดยกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบให้ชัดเจน ยิ่งขึ้น
2.3 การติดตั้งมิเตอร์ เพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่ของหน่วยปราบปรามในการเฝ้าระวังคลัง กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการติดตั้งมิเตอร์ตามคลังชายฝั่ง ซึ่งมีอำนาจเข้าไปติดตั้งจำนวน 38 คลัง เป็นคลังในส่วนของกรุงเทพมหานคร ภาคกลาง และภาคตะวันออก จำนวน 19 คลัง โดยการก่อสร้างแท่น ติดตั้งอุปกรณ์มิเตอร์แล้วเสร็จไปกว่าร้อยละ 80 ส่วนคลังน้ำมันทางภาคใต้ จำนวน 19 คลัง ขณะนี้เหลือเพียง 18 คลัง เนื่องจากคลังน้ำมันบริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ (ไทย) จำกัด จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แจ้งเลิกกิจการ โดยการก่อสร้างได้คืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 60
2.4 ความคืบหน้าในการจับกุม หน่วยงานปราบปรามสามารถจับกุมเรือลักลอบนำเข้าได้เพิ่มขึ้นจากการรายงานใน ครั้งที่ผ่านมาเป็นจำนวน 4.7 แสนลิตร โดยกองทัพเรือสามารถจับกุมเรือ KIHO MARU บริเวณจังหวัดชุมพร เป็นน้ำมันดีเซลจำนวน 270,000 ลิตร และเรือภรณ์ทิพย์ บริเวณจังหวัดตราด เป็นน้ำมันดีเซล จำนวน 80,000 ลิตร และกรมตำรวจสามารถจับกุมเรือลาภผล ได้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นน้ำมันดีเซลจำนวน 120,000 ลิตร รวมผลการจับกุมในปี 2539 ตั้งแต่เดือนมกราคม - พฤษภาคม 2539 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 4.1 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 2.5 ล้านลิตร หรือประมาณ 2.6 เท่าของปีก่อน
3.มาตรการการแก้ไขปัญหาในการประสานงานและการแก้ไขกฎหมาย
3.1 การแก้ไขปัญหาการรับซื้อน้ำมันของกลาง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดให้มีการประชุมศูนย์รวมการประสานงานปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิง และได้แก้ไขปัญหาการรับซื้อน้ำมันของกลางจากหน่วยงานต่างๆ โดยให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) รับซื้อน้ำมันของกลางดังกล่าวทันทีถ้าน้ำมันนั้นมีคุณภาพถูกต้อง แต่ถ้าหากมีคุณภาพไม่ถูกต้องให้ ปตท. จัดส่งน้ำมันนั้นให้แก่โรงกลั่นต่อไป ซึ่ง ปตท. และกรมศุลกากรได้ประชุมร่วมกันใน รายละเอียด ผลสรุปได้ว่า ปตท. จะรับซื้อน้ำมันของกลางทั้งหมดทันที โดยกรมศุลกากรจะถือเงินแทนของกลาง
3.2 การจัดตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ในการประชุมศูนย์รวมการประสานงานปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง กองทัพเรือได้เสนอให้มีการเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ เนื่องจากผู้ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้อาศัยช่องว่างทางกฎหมายกระทำ การลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงบริเวณเขตเศรษฐกิจจำเพาะนอกเขตทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามารถดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดได้ นอกจากนี้ ยังมีข้อกฎหมายอื่นที่ยังเป็นช่องว่างให้ผู้ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง หลบเลี่ยงกฎหมายได้ เช่น การทำหลักฐานว่าได้ให้เช่าเรือไปซึ่งเมื่อจับกุมได้จะไม่สามารถเอาผิดแก่ เจ้าของเรือ ที่แท้จริงและไม่สามารถริบเรือได้ เป็นต้น
คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน จึงเห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายการ ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐในเขตเศรษฐกิจจำเพาะขึ้น โดยได้ออกคำสั่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ที่ 2/2539 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณา ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ โดยมีรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (นายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์) เป็นประธานคณะอนุกรรมการและมีผู้แทน หน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร กองทัพเรือ สำนักงานอัยการสูงสุด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมประมง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ สพช. ร่วมเป็นอนุกรรมการด้วย
3.3 การควบคุมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมและสารละลาย กรม สรรพสามิตได้ออกมาตรการควบคุมการนำผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมและสารละลายออก จำหน่ายให้เข้มงวดยิ่งขึ้นแล้ว โดยกำหนดให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมที่จะขอยกเว้นภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ที่นำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ต้องให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมและสารละลายแจ้งชื่อ ที่อยู่ของลูกค้า พร้อมทั้งปริมาณสินค้าที่จำหน่ายให้กรมสรรพสามิตทราบ และยังสั่งการให้เจ้าพนักงานสรรพสามิตในท้องที่ทำการตรวจสอบโรงงานผลิตเคมี ปิโตรเลียมและสารละลาย และเก็บตัวอย่างส่งกรมสรรพสามิตทำการตรวจวิเคราะห์ต่อไป
3.4 การฝึกอบรมสัมมนาเจ้าหน้าที่ สพช. ในฐานะผู้รับผิดชอบศูนย์รวมการประสานการ ปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ได้กำหนดให้มีการจัดฝึกอบรมสัมมนาเจ้าหน้าที่ระดับ ปฏิบัติการจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้รับความรู้ความเข้าใจข้อกฎหมายและแนวทางในการปฏิบัติงานปราบปราม อย่างถูกต้องและเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยคาดว่า จะจัดให้มีการอบรมสัมมนาขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2539 นี้
มติของที่ประชุม
1.รับทราบรายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงของ หน่วยงานต่างๆ
2.มอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการ ดังนี้
2.1 ศึกษาและพิจารณาแนวทางร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดเก็บภาษี ณ จุด ปลายทาง หรือ ลดภาษี
2.2 ศึกษาและพิจารณาแนวทางในการนำเรือน้ำมันออกไปลอยลำจำหน่ายน้ำมันให้แก่เรือประมงกลางทะเล โดยให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ดำเนินการ
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ ในเดือนเมษายนได้มีการปรับราคาสูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจาก มีปริมาณความต้องการน้ำมันดิบเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองและเพื่อกลั่นผลิตภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป ในเดือนพฤษภาคมราคาน้ำมันดิบได้อ่อนตัวลงมาอีก 0.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ทำให้ราคาเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 16.9 - 21.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากในช่วงต้นเดือนประธานาธิบดีคลินตันแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศขายน้ำมันสำรองทางความมั่นคง (Strategic Petroleum Reserve) จำนวน 12 ล้านบาร์เรล ต่อมาปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่ลดลงในช่วงก่อนก็ได้เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ ปกติ ส่วนในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม การเจรจาระหว่างอิรัคและสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เรื่องการส่งออกน้ำมันเพื่อแลกซื้ออาหารและยา สามารถทำการตกลงกันได้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบได้เริ่มอ่อนตัวลง
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์
2.1 น้ำมันเบนซิน ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ราคาน้ำมันเบนซินได้สูงขึ้นมาเป็นลำดับ เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินของประเทศแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกาอยู่ใน ระดับต่ำมาก ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันเบนซินสำหรับฤดูร้อนได้เพิ่มสูงขึ้น ทางด้านกำลังการกลั่นได้ลดลง ส่วนหนึ่งเกิดจาก การปิดซ่อมแซมประจำปีของโรงกลั่น แต่ในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ราคาน้ำมันเบนซินได้เริ่มอ่อนตัวลงประมาณ 2-3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณน้ำมันเบนซินในตลาดได้เพิ่มสูงขึ้น และปริมาณสำรองที่ลดลงได้กลับเข้าสู่ระดับปกติ มีผลให้ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษและเบนซินธรรมดาในช่วงต้นเดือนมิถุนายน อยู่ในระดับ 24.9 และ 21.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2.2 น้ำมันก๊าด หลังจากฤดูหนาวผ่านไปราคาน้ำมันก๊าดได้ลดลง โดยในช่วงต้นเดือนมิถุนายนราคาอยู่ในระดับ 24.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าราคาในไตรมาสแรกประมาณ 4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2.3 น้ำมันดีเซล หลังจากฤดูหนาวผ่านไปราคาน้ำมันดีเซลได้เริ่มอ่อนตัวลง แต่ในเดือนพฤษภาคมราคาน้ำมันดีเซลได้เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 26.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากแรงซื้อของประเทศที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง และหลังจากช่วงปลายเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ราคาน้ำมันดีเซล ได้อ่อนตัวลงเป็นลำดับตามราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง ส่วนในช่วงต้นเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับ 25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าราคาในเดือนพฤษภาคมประมาณ 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2.4 น้ำมันเตา หลังจากฤดูหนาวผ่านไปราคาน้ำมันเตาได้อ่อนตัวลงเป็นลำดับ โดยมีราคาในช่วงต้นเดือนมิถุนายนอยู่ในระดับ13.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และลดลงจากราคาในไตรมาสแรกประมาณ 4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
3. สถานการณ์ราคาขายปลีกน้ำมันของประเทศ
3.1 น้ำมันเบนซิน ในเดือนเมษายนและพฤษภาคมได้มีการปรับราคาขึ้นรวม 0.73 บาทต่อลิตร และตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ราคาน้ำมันเบนซินในตลาดจรสิงคโปร์ได้เริ่มอ่อนตัวลง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินของประเทศเริ่มปรับราคาลง ครึ่งแรกของเดือนมิถุนายนได้ปรับราคาลง รวมทั้งสิ้น 0.25 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วและเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่ว ลดลงมาอยู่ในระดับ 9.46 และ 8.91 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3.2 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนเมษายนได้มีการปรับราคาลงรวม 0.05 บาทต่อลิตร และใน เดือนพฤษภาคมราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับราคาขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร ตามราคาในตลาดโลกที่สูงขึ้นแต่ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดจรสิงคโปร์ได้เริ่มอ่อนตัวลง ทำให้ราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของประเทศได้เริ่มปรับราคาลง ครึ่งแรกของเดือนมิถุนายนได้ปรับราคาลง รวมทั้งสิ้น 0.13 บาทต่อลิตร ลงมาอยู่ในระดับ 8.36 บาทต่อลิตร
3.3 ค่าการตลาด นับตั้งแต่ต้นปี 2539 เป็นต้นมา ค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ของประเทศได้ลดลงมาเป็นลำดับ โดยลดลงจากระดับ 1.1362 บาทต่อลิตร ลงมาอยู่ในระดับ 0.9462 บาทต่อลิตร ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
มติของที่ประชุม
1.รับทราบรายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปดำเนินการประชาสัมพันธ์ เรื่อง สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบอย่างต่อเนื่องและทันต่อเหตุการณ์
เรื่องที่ 3 การจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ดำเนินความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) กับบริษัทไฟฟ้าลาว สปป.ลาว เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2538 ซึ่งในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว มีข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือในการก่อสร้างระบบจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากประเทศ ไทยให้แก่หมู่บ้านที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ตามแนวชายแดนฝั่ง สปป.ลาว ดังนี้
จากอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไปยังเมืองห้วยทราย
จากอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ไปยังบ้านต้นผึ้ง
จากอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ไปยังเมืองแก่นท้าว
จากอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ไปยังเมืองสานะคาม แขวงเวียงจันทน์
จากช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ไปยังบริเวณบ้านวังเตา แขวงจำปาศักดิ์
จากจังหวัดน่าน ไปยังเมืองหงสา
เชื่อมโยงไฟฟ้าจุดอื่นๆ ซึ่งจะทำความตกลงกันในโอกาสต่อไป
2.คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เห็นชอบให้ กฟภ. จำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ สปป.ลาว ใน 3 จุด ประกอบด้วยจุดเชียงของ-ห้วยทราย จุดท่าลี่-แก่นท้าว และจุดเชียงแสน-ต้นผึ้ง และให้ กฟภ. ขายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณหมู่บ้านที่ใกล้กับเขตชายแดนของประเทศ ไทย โดยไม่ต้อง ขออนุมัติในระดับนโยบายอีก แต่ทั้งนี้ให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบ ยกเว้นจะมีประเด็นสำคัญ ให้เสนอเพื่อพิจารณา
3. การดำเนินความร่วมมือพัฒนาและจำหน่ายไฟฟ้าแก่ สปป.ลาว เพื่อให้เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจ ระหว่าง กฟภ. กับบริษัทไฟฟ้าลาว สปป.ลาว ดังกล่าว ยังคงเหลือจุดที่จะต้องดำเนินการก่อสร้างระบบจำหน่ายกระแสไฟฟ้าอีก ซึ่ง กฟภ. ได้นำเสนอคณะกรรมการ กฟภ. ให้ความเห็นชอบเพิ่มเติมแล้ว 4 จุด ดังนี้ เชียงคาน-สานะคาม ช่องเม็ก-บ้านวังเตา จังหวัดน่าน-เมืองหงสา และหมู่บ้านฝั่งลาวบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แต่ต่อมาบริษัทไฟฟ้าลาว แจ้งขอยกเลิกการขอรับความช่วยเหลือก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้า จำนวน 3 จุด คือ ช่องเม็ก-บ้านวังเตา จังหวัดน่าน-เมืองหงสา และ หมู่บ้านฝั่งลาวบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว จึงยังคงเหลือจุดที่ต้องการให้ กฟภ. ดำเนินการให้อีกเพียง 1 จุด คือ จุดเชียงคาน-สานะคาม สำหรับอัตราค่าไฟฟ้ากำหนดให้ใช้อัตราค่ากระแสไฟฟ้าเท่ากับจุดซื้อขายอื่นๆ ที่ได้รับอนุมัติแล้ว คือ 1.90 บาทต่อหน่วย โดยความต้องการซื้อไฟฟ้า ณ บริเวณสานะคาม ในปัจจุบันเท่ากับ 500 กิโลวัตต์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 กิโลวัตต์ ในอนาคต
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 การรับซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้ายูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
สรุปสาระสำคัญ
1. ความร่วมมือด้านการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เริ่มขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2536 โดยการลงนามในผลการประชุมร่วมกันระหว่างสองหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้ายูนนาน (Yunnan Provincial Electric Power Bureau: YPEPB) ณ นครคุงหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อส่งเสริมเอกชนในการลงทุนพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในมณฑลยูนนาน และขายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทย โดยเฉพาะให้มีการศึกษาความเหมาะสมของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำจินหง และเมนซอง (Jinghong and Mensong Hydropower Projects) ซึ่งในการพัฒนาโครงการดังกล่าวจะต้องมีการศึกษาความเหมาะสมของการก่อสร้าง ระบบส่งไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อให้สามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบไฟฟ้าของไทยด้วย
2. โครงการไฟฟ้าพลังน้ำจินหง (Jinghong) มีกำลังการผลิต 1,500เมกะวัตต์ โดยมีบริษัท "China-Thailand Yunnan Jinghong Hydropower Station Consulting Co.,Ltd. (YJL)" ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน (Joint-Venture)ระหว่างบริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ เพาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้ายูนนาน ร่วมกันดำเนินการศึกษาและพัฒนาโครงการ คาดว่าการศึกษาความเหมาะสมของโครงการจะแล้วเสร็จปลายปี 2540 ตัวเขื่อนจะตั้งอยู่ใกล้เมืองเชียงรุ้ง ในแคว้นสิบสองปันนาของมลฑลยูนนาน และห่างจากเมืองคุงหมิงบประมาณ 400 กิโลเมตร อยู่ห่างจากชายแดนไทยทางจังหวัดเชียงรายประมาณ 300 กิโลเมตร โครงการไฟฟ้าพลังน้ำจินหงเป็นโครงการที่มีศักยภาพสูงที่จะส่งไฟฟ้าขายให้ กฟผ. และเป็นโครงการระยะยาว กำหนดที่จะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ พ.ศ. 2547
3. ในการประชุมความร่วมมือด้านพลังงานของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (The Greater Mekong Subregional Electric Power Forum) เมื่อเดือนธันวาคม 2538 ที่นครเวียงจันทน์ ได้มีการกล่าวถึงความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงระบบสายส่งจากประเทศจีนของ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำจินหง มายังประเทศไทย โดยผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการประชุมดังกล่าวได้มีการตั้งคณะทำงานศึกษาร่วมกัน 3 ประเทศ คือ ประเทศไทย โดย กฟผ. สปป.ลาว โดย การไฟฟ้าลาว และจีน โดย การไฟฟ้ายูนนาน เพื่อศึกษาความเหมาะสมในการเชื่อมโยงระบบสายส่ง และเจรจากับ สปป.ลาว และประเทศสหภาพพม่าเพื่ออนุญาตให้ก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าผ่านมายังประเทศไทย
4. ต่อมา ผู้อำนวยการบริหารและคณะจากการไฟฟ้ายูนนาน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยงาน ในส่วนของรัฐบาลกลางและมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มาเยือนประเทศไทยและได้มีการแลกเปลี่ยนนโยบายการซื้อขายไฟฟ้า ระหว่าง กฟผ. และการไฟฟ้ายูนนาน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2539 โดยมีสาระสำคัญที่ได้ปรึกษาหารือกัน ดังนี้
4.1 Yunnan Provincial Electric Power Bureau "YPEPB" แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีความประสงค์ที่จะพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Jinghong เพื่อที่จะจำหน่ายกระแสไฟฟ้าส่วนหนึ่งให้กับประเทศไทย
4.2 กฟผ. ตกลงที่จะให้ความร่วมมือในการศึกษาความเหมาะสมในเรื่องของระบบสายส่งเชื่อมโยงระหว่าง Jinghongกับประเทศไทย
4.3 กฟผ. จะพิจารณารับซื้อกระแสไฟฟ้าจาก Jinghong หากโครงการมีความเหมาะสม ทางด้านเทคนิคและเป็นไปตาม Power Development Plan ของ กฟผ.
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 นโยบายการจัดเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษจากโรงกลั่นน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 เห็นชอบนโยบายการเพิ่มกำลังกลั่นปิโตรเลียม เพื่อให้การค้าน้ำมันเป็นไปอย่างเสรี โดยรัฐจะให้การส่งเสริมการลงทุนโดยยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ ซึ่งกำหนดนโยบายเป็นการทั่วไปให้มีการจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น หรือสามารถขยาย โรงกลั่นปิโตรเลียมที่มีอยู่เดิมได้ แต่ต้องไม่ขัดแย้งกับสัญญาที่ทำไว้กับโรงกลั่นปิโตรเลียมเดิม เพื่อให้มีการแข่งขันภายใต้กฎเกณฑ์ที่เท่าเทียมกัน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 ผู้รับอนุญาตตั้งโรงกลั่นต้องจ่ายเงินประจำปีในอัตราร้อยละ 2 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ผลิตและส่งออกจากโรงกลั่นปิโตรเลียม
1.2 ผู้รับอนุญาตจะต้องมอบเงินอุดหนุนจำนวนอย่างน้อย 350 ล้านบาท หรือจำนวน 2,500 บาทต่อกำลังการกลั่นน้ำมันดิบหนึ่งบาร์เรลต่อวันปฏิทิน (Barrel Per Calendar Day) โดยให้ถือจำนวนเงินที่ มากกว่าเป็นเกณฑ์
2. เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2538 กระทรวงการคลังได้เสนอเรื่อง การปรับโครงสร้างภาษีน้ำมัน เพื่อปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินประเภทไร้สารตะกั่วเพิ่มขึ้นอีก จำนวน 70 สตางค์ต่อลิตร จากอัตราในปัจจุบัน 2.35 บาทต่อลิตร เป็น 3.05 บาทต่อลิตร และยกเลิกการเรียกเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษจากโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2538 มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปหารือร่วมกันในเรื่องการจัดเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษจากโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำข้อเสนอเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติแล้ว เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2539 และที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติม
3. สพช. ได้ดำเนินการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งสรุป สาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 ประเด็นปัญหา
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22มีนาคม 2537ไม่เอื้ออำนวยให้โรงกลั่นน้ำมันมีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม เนื่องจาก
(1) ระบบการจัดเก็บเงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษจากโรงกลั่นตามเงื่อนไขของสัญญา ต่างๆ ไม่อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน โดยเป็นการจัดทำสัญญากับรัฐเป็นรายๆ ไป
(2) มติดังกล่าวเปิดช่องให้ผู้สนใจประกอบกิจการโรงกลั่นน้ำมันในเขตประกอบการ อุตสาหกรรม ตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ไม่ต้องยื่นขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ทำให้กระทรวงอุตสาหกรรมไม่สามารถบังคับให้ผู้ประกอบกิจการในพื้นที่ดังกล่าว ต้องจัดทำสัญญาจัดสร้างและประกอบการกับกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะต้องมีเงื่อนไขที่เท่าเทียมกับสัญญาของโรงกลั่นอื่นๆ
(3) มติดังกล่าวมิได้กำหนดเงื่อนไขการขยายโรงกลั่นน้ำมันที่มีอยู่เดิม
3.2 แนวทางแก้ไข
เพื่อให้การกำหนดนโยบายการเพิ่มกำลังการกลั่นปิโตรเลียมมีความเสรี และมีการแข่งขันภายใต้กฎเกณฑ์ที่เท่าเทียมกัน จึงเห็นควรปรับปรุงกฎเกณฑ์สำหรับการจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น รวมทั้งการขยายโรงกลั่นปิโตรเลียมเดิม โดยให้ผู้สนใจประกอบกิจการสามารถเลือกได้ ดังนี้
(1) การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 ทั้งในกรณีของ การตั้งโรงกลั่นใหม่และการขยายโรงกลั่นเดิม โดยมีเงื่อนไขในการจ่ายเงินอุดหนุนอย่างน้อย 350 ล้านบาท รวมทั้งเงินประจำปีในอัตราร้อยละ 2 ของมูลค่าผลิตภัณฑปิโตรเลียมที่ผลิตและส่งออกจากโรงกลั่นปิโตรเลียมโดยมี สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการส่งเสริมการลงทุน
หรือ (2) การที่จะไม่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 ทำให้ ไม่ต้องจ่ายเงินอุดหนุนอย่างน้อย 350 ล้านบาท รวมทั้งเงินประจำปีในอัตราร้อยละ 2 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ผลิตและส่งออกจากโรงกลั่นปิโตรเลียมโดยไม่ ได้รับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการส่งเสริม การลงทุน
ทั้งนี้ โรงกลั่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน 5 โรง อันประกอบด้วย โรงกลั่นของบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด บริษัท เอสโซ่แสตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด และ บริษัทสตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เป็นอยู่ โดยโรงกลั่น 4 โรง ที่มีสัญญากับกระทรวงอุตสาหกรรมให้ปฏิบัติตามสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการ โรงกลั่นที่มีอยู่กับรัฐ
4.3ผลกระทบ
(1) ผลกระทบต่อรายได้ของรัฐ ในกรณีที่ผู้สนใจประกอบกิจการจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมันเลือกที่จะไม่ต้อง ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 รวมทั้งโรงกลั่นที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจใช้สิทธิขอให้รัฐทบทวนแก้ไขสัญญา เพื่อไม่ให้เสียเปรียบบุคคลอื่นในการประกอบกิจการโรงกลั่นน้ำมันแล้วคาดว่า จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้สูงสุดประมาณปีละ 1,631 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม รัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 394 ล้านบาท จากภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 ดังนั้น ยอดรายได้สุทธิที่รัฐจะสูญเสียจะเป็นประมาณปีละ 1,237 ล้านบาท และเพื่อมิให้รายได้ของรัฐลดลง จึงสมควรเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล จำนวน 10 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 2,200 ล้านบาท และเพื่อมิให้การเพิ่มภาษีดังกล่าวมีผลกระทบต่อผู้บริโภค จึงสมควรดำเนินการพร้อมกับการลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงจำนวน 10 สตางค์ต่อลิตร เพื่อมิให้ราคาขายปลีกเปลี่ยนแปลง โดยให้มีการดำเนินการดังกล่าวเมื่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ชดใช้หนี้สิน หมดแล้ว คือ ประมาณปลายปีงบประมาณ 2539
(2) ผลกระทบต่อสภาพการแข่งขันของโรงกลั่นในประเทศและต่างประเทศ การดำเนินการตามนโยบายของรัฐที่กำหนดให้มีทางเลือกที่จะปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 จะทำให้สภาพการแข่งขันของโรงกลั่นภายในประเทศกับโรงกลั่นที่ตั้งอยู่ใน ประเทศสิงคโปร์ มีความได้เปรียบเสียเปรียบดังนี้คือ โรงกลั่นน้ำมันที่ตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ จะมีต้นทุนต่ำกว่าโรงกลั่นน้ำมันภายในประเทศประมาณ7-11 สตางค์ต่อลิตร ในกรณีที่การนำเข้าต้องสำรองน้ำมันร้อยละ 5 แต่หากมีการสำรองน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10 ตั้งแต่เดือนมกราคม 2540เป็นต้นไป ความเสียเปรียบของต้นทุนการผลิตในประเทศจะลดลงเหลือเพียง 0-4สตางค์ต่อลิตรเท่านั้น
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้ปรับปรุงกฎเกณฑ์สำหรับการจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น รวมทั้งการขยายโรงกลั่นปิโตรเลียมเดิม เพื่อให้การกำหนดนโยบายการเพิ่มกำลังการกลั่นปิโตรเลียมมีความเสรีอย่างแท้ จริง มีการแข่งขันภายใต้กฎเกณฑ์ที่เท่าเทียมกันและสามารถนำไปใช้ให้เป็นเงื่อนไข เป็นการทั่วไป โดยให้ผู้สนใจประกอบกิจการสามารถเลือกได้ ดังนี้
1.1 การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22มีนาคม 2537ทั้งในกรณีของการตั้งโรงกลั่นใหม่และการขยายโรงกลั่นเดิม โดยมีเงื่อนไขในการจ่ายเงินอุดหนุนอย่างน้อย 350 ล้านบาท รวมทั้งเงินประจำปีในอัตราร้อยละ 2 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ผลิตและส่งออกจากโรงกลั่นปิโตรเลียมโดยมี สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการส่งเสริมการลงทุน หรือ
1.2 การที่จะไม่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 ทำให้ไม่ต้อง จ่ายเงินอุดหนุนอย่างน้อย 350 ล้านบาท รวมทั้งเงินประจำปีในอัตราร้อยละ 2 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ผลิตและส่งออกจากโรงกลั่นปิโตรเลียมโดยไม่ ได้รับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการส่งเสริม การลงทุน
2.ในกรณีโรงกลั่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน 4 โรง ที่มีสัญญากับกระทรวงอุตสาหกรรม อันประกอบด้วย โรงกลั่นของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด บริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด และบริษัทสตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ขอทบทวนสัญญาที่มีอยู่กับรัฐเพื่อไม่ให้เสียเปรียบบุคคลอื่นในการประกอบ กิจการโรงกลั่นน้ำมัน เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนิน การเจรจาและแก้ไขสัญญาให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย
เรื่องที่ 6 ขอความเห็นชอบลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแหล่งไพลินและแหล่งบงกช (เพิ่มเติม)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 5ตุลาคม 2536มอบหมายให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เร่งรัดการจัดหาก๊าซธรรมชาติ โดยเร่งดำเนินการเจรจารับซื้อก๊าซธรรมชาติจากแหล่งสัมปทาน ในอ่าวไทยและจากแหล่งในต่างประเทศ เพื่อสนองความต้องการใช้ก๊าซฯ ของประเทศ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากความต้องการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทย (กฟผ.) กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 3 และ 4 และอุตสาหกรรมต่างๆ
2. ปตท. ได้ดำเนินการเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซฯ จนสามารถบรรลุข้อตกลงได้แล้วจากแหล่งไพลินในแปลงสัมปทาน B12/27และแหล่งบงกช (เพิ่มเติม) ในแปลงสัมปทาน B15และ B16ซึ่งคณะกรรมการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยได้มีมติเห็นชอบผลการเจรจา สัญญาซื้อขายก๊าซฯ จากทั้ง 2แหล่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 30เมษายน 2539และมอบหมายให้ ปตท. ดำเนินการเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบในการลง นามในสัญญาฯ ต่อไป
4. สาระสำคัญของร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ สรุปได้ดังนี้
4.1แหล่งไพลิน
(1) ที่ตั้งอยู่ในแปลงสัมปทาน B12/27
(2) ปริมาณซื้อขาย (Daily Contract Quantity : DCQ) และระยะเวลาเริ่มส่งก๊าซฯ มีดังนี้
ปีสัญญา DCQ (MMCFD) เริ่มส่งก๊าซ 2542-2543 165 ต้นปี 2542
ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นไป 330
(3) ราคาซื้อขายเริ่มต้นปี 2538 เท่ากับ 2.43 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู หรือ 61.17 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งเป็นราคาก๊าซฯ ของยูโนแคล แหล่งที่สองบวกกับค่ากำจัด CO2 ให้เหลือไม่เกินร้อยละ 23 และค่าเพิ่มแรงดันส่งก๊าซฯ โดยให้มีการปรับราคาทุกๆ ปีตามสูตรปรับราคา ประกอบด้วย ราคาน้ำมันเตา อัตราแลกเปลี่ยน ดัชนีราคาขายส่ง และดัชนีราคาผู้ผลิต ซึ่งจะเริ่มใช้เมื่อมีการส่งก๊าซธรรมชาติแล้ว
(4) เงื่อนไขสำคัญๆ ของสัญญา ดังนี้
เงื่อนไขของสัญญาสอดคล้องกับสัญญาซื้อขายก๊าซฯ จากแหล่งยูโนแคล 1,2 และ 3 ที่ ปตท. ถือปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันกำหนดจุดซื้อขายบนแท่นผลิตโดย ปตท. เป็นผู้วางท่อก๊าซฯ จากแท่นผลิตมาเชื่อมต่อกับระบบท่อส่งก๊าซสายประธานในทะเลผู้ซื้อและผู้ขายตกลงที่จะซื้อขายก๊าซฯ ในแหล่งไพลินทั้งหมดจนกว่าปริมาณก๊าซฯในแหล่งจะหมดไป หรือหมดอายุสัมปทานการผลิตก๊าซฯ ใน 30 ปีผู้ซื้อรับประกันที่จะซื้อก๊าซฯ ครบตามปริมาณก๊าซฯ ในแต่ละปีที่ตกลงกัน (Take or Pay) ส่วนผู้ขายรับประกันที่จะส่งก๊าซฯ ครบตามปริมาณในแต่ละวัน ในกรณีที่ส่งขาดไปจะต้องชดเชยให้กับ ผู้ซื้อเป็นส่วนลดของราคาร้อยละ 25
4.2 แหล่งบงกช (เพิ่มเติม)
(1) ที่ตั้งอยู่ในแปลงสัมปทาน B15 และ B16
(2) ปริมาณซื้อขาย (Daily Contract Quantity : DCQ) และระยะเวลาเริ่มส่งก๊าซฯ มีดังนี้
ปีสัญญา DCQ (MMCFD)เริ่มส่งก๊าซ
ปัจจุบัน 350
ปี 2541 550 (เพิ่ม 200) กลางปี 2541
(3) ราคาซื้อขายเริ่มต้นปี 2538 เท่ากับ 56.14 บาทต่อล้านบีทียู โดยมีการปรับราคาทุกๆ 6 เดือน ตามสูตรปรับราคาที่ประกอบด้วยราคาน้ำมันเตา อัตราแลกเปลี่ยน ดัชนีราคาขายส่ง และดัชนีราคาผู้ผลิต
(4) เงื่อนไขของสัญญา เงื่อนไขของสัญญาเป็นไปตามสัญญาเดิมตามที่ถือปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน
5. กระทรวงอุตสาหกรรมมีความเห็นเกี่ยวกับร่างสัญญาซื้อขายก๊าซฯ จากแหล่งดังกล่าว ดังนี้
5.1 ปตท. ต้องเร่งดำเนินการจัดหาก๊าซธรรมชาติทั้งในอ่าวไทยและต่างประเทศ เพื่อสนองตอบให้เพียงพอกับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้นใน อนาคตอันใกล้
5.2แหล่งก๊าซฯ ไพลินและบงกช (เพิ่มเติม) สามารถสนองตอบความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นได้ทันเวลา
5.3 เงื่อนไขต่างๆ ของร่างสัญญาซื้อขายก๊าซฯ แหล่งไพลินและแหล่งบงกช (เพิ่มเติม) เป็นไปตามแบบของสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ปัจจุบันที่ ปตท. ถือปฏิบัติอยู่และเป็นประโยชน์ต่อ ปตท.
5.4 ราคาก๊าซฯ เริ่มต้นของแหล่งไพลินและราคาแหล่งบงกช (เพิ่มเติม) เหมาะสม และเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
มติของที่ประชุม
1.รับทราบรายงานสรุปผลการเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแหล่งไพลินแปลงสัมปทาน B12/27และแหล่งบงกช (เพิ่มเติม)
2.เห็นชอบให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแหล่งไพลิน และแหล่งบงกช (เพิ่มเติม)
เรื่องที่ 7 แนวทางในการขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 เห็นชอบร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตรายเล็กซึ่งผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และ กฟผ. ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กงวดที่ 1 แล้ว เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 จำนวน 300 เมกะวัตต์ แต่เนื่องจากระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กเป็นการรับซื้อไฟฟ้า จากเอกชนเข้าระบบของการไฟฟ้า เป็นครั้งแรก จึงมีปัญหาในทางปฏิบัติในระยะต้นและได้มีการแก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสมแล้ว
2. ต่อมาได้มีการประเมินผลการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ภายหลังการประกาศระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2537 พบว่ามีปัญหาในการดำเนินการอยู่หลายประการ เช่น ผู้ผลิตรายเล็กยื่น ข้อเสนอขายไฟฟ้าเกินกว่าปริมาณที่ประกาศรับซื้อมาก และสูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าในสัญญาประเภท Firm มีความไม่แน่นอน เป็นผลให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ลงทุน และเป็นปัญหาในการจัดหาเงินกู้ของโครงการ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2538 เห็นชอบให้ขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก จาก 300 เมกะวัตต์ เป็น 1,444 เมกะวัตต์ และเห็นชอบให้ปรับปรุงสูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าที่จะ รับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กในสัญญาประเภท Firm ที่ใช้น้ำมันเตาหรือก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงโดยให้ เปลี่ยนแปลงตามราคาน้ำมันเตาที่ กฟผ. ซื้อ หรือราคาก๊าซที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตรายเล็ก
3. กฟผ. ได้ประกาศขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อ จากเดิมที่ประกาศไว้ 300 เมกะวัตต์ เป็น 1,444เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2538ซึ่งเมื่อครบกำหนดมีผู้ยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้ารวม 84ราย ขนาดกำลังการผลิต 7,923เมกะวัตต์ ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขาย 4,493 เมกะวัตต์ ซึ่งสูงกว่าที่ กฟผ. ประกาศขยายการรับซื้อเป็นจำนวนมาก กฟผ.จึงได้พิจารณาคัดเลือกและได้แจ้งผลการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตราย เล็กแล้ว จำนวน 50ราย ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้ารวม 1,720 เมกะวัตต์ โดย กฟผ.และ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (สพช.) ได้ร่วมกันร่างต้นแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. และผู้ผลิตรายเล็กสำหรับสัญญาซื้อขายประเภท Firm (Cogeneration) แล้วเสร็จ เพื่อให้มีความเป็นมาตรฐานสากลและปฏิบัติได้ โดยได้มีการหารือร่วมกับผู้ผลิตรายเล็กอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ปตท. ยังสามารถจัดสรรก๊าซธรรมชาติให้กับผู้ผลิตรายเล็กที่ได้รับการตอบรับซื้อ ไฟฟ้าและใช้ก๊าซธรรมชาติเป็น เชื้อเพลิงจำนวน 14 ราย ได้ทุกราย
4. ปัจจุบันการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก มีปัญหาในการดำเนินการ ดังนี้
4.1 ผู้ผลิตรายเล็กยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าเกินกว่าปริมาณที่ประกาศขยายการรับซื้อ โดยมีผู้ยื่นเสนอขายต่อ กฟผ. เป็นจำนวนถึง 4,493 เมกะวัตต์ สูงกว่าปริมาณที่ กฟผ. ประกาศขยายปริมาณ การรับซื้อ 1,444 เมกะวัตต์ เป็นจำนวนมาก และการเสนอขายไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ มีปริมาณการเสนอขายที่ต่ำกว่าศักยภาพที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก
4.2 ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ มีความแตกต่างกันในช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง (Peak) และช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าต่ำ (Light load) อยู่ประมาณร้อยละ 20 จึงควรพิจารณาปรับปรุงเงื่อนไข การปฏิบัติการผลิตไฟฟ้าตามหลักการ "Must Run" เดิม ให้ กฟผ. สามารถลดปริมาณการรับซื้อในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำ (Light load) เพื่อให้การผลิตไฟฟ้าของประเทศสอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างแท้จริง
4.3 ผู้ผลิตรายเล็กมีความประสงค์จะขายไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟโดยตรง โดยจ่ายค่าบริการผ่านสายส่งและสายจำหน่ายให้การไฟฟ้าทั้ง 3 ซึ่งความประสงค์ของผู้ผลิตรายเล็กดังกล่าว เป็นแนวทางเดียวกับการปรับ โครงสร้างกิจการไฟฟ้าของประเทศที่ต้องการส่งเสริมการแข่งขันในระบบผลิตและ จำหน่ายไฟฟ้า จึงควรมี การพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้มีทางเลือกซื้อ ไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชน โดยคิดค่าบริการผ่านสายดังกล่าว
5. เพื่อให้นโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กเกิดผลในการส่งเสริมการใช้ พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดภาระการลงทุนของรัฐอย่างแท้จริง และสอดคล้องกับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป ข้อเสนอแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กในระยะต่อไปควรจะพิจารณาแบ่ง ออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้
5.1 การรับซื้อไฟฟ้าในช่วงปี 2539-2543
5.1.1 การเพิ่มปริมาณการรับซื้อไฟฟ้า โดยให้ กฟผ. รับซื้อไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิต รายเล็กเป็นปริมาณ 3,200 เมกะวัตต์ โดยพิจารณาคัดเลือกจากโครงการที่ยื่นข้อเสนอมาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการคัดเลือกจำนวน 34 ราย ปริมาณเสนอขายประมาณ 2,800 เมกะวัตต์ และในการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานนอกรูปแบบ กาก หรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง ควรพิจารณาให้มีการรับซื้อไฟฟ้าต่อไปโดยไม่กำหนดปริมาณในการรับซื้อไฟฟ้า
5.1.2 การแก้ไขระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กควรเพิ่ม เงื่อนไขและปรับปรุงระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญากับ กฟผ. เพื่อให้ สอดคล้องกับร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ได้มีการหารือร่วมกับผู้ผลิตรายเล็กไป แล้ว ดังนี้
(1) เงื่อนไขด้านการปฏิบัติการผลิตไฟฟ้า โดยเปลี่ยนจากระบบ Must Run เป็นระบบ Semi-Full Dispatch
(2) เพิ่มกำหนดพลังงานไฟฟ้าขั้นต่ำที่ กฟผ. จะรับซื้อในแต่ละปีเพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขด้านการปฏิบัติการผลิตไฟฟ้า
(3) ปรับปรุงเงื่อนไขกรณีที่ผู้ผลิตรายเล็กต้องการลดปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาลง หลังจากที่ปฏิบัติตามสัญญามาเกินระยะเวลาครึ่งหนึ่งของอายุสัญญา ตามข้อ ฎ 6 ในระเบียบการ รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งให้ลดได้เฉพาะกรณีที่ประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าลดลงเท่านั้น
(4) การปรับอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้า สำหรับผู้ผลิตรายเล็กสัญญาประเภท Firm จะปรับเฉพาะเชื้อเพลิงหลักเท่านั้น หากใช้เชื้อเพลิงเสริมให้ปรับตามปริมาณความร้อนของ เชื้อเพลิงหลัก และอนุโลมให้ผู้ผลิตรายเล็กที่ใช้กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง ปรับตามราคาน้ำมันเตา
(5) เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของผู้ลงทุนและลดปัญหาในการจัดหาเงินกู้ของโครงการ การปรับอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตรายเล็ก และสัญญาประเภท Firm ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ควรพิจารณากำหนดสูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าให้ชัดเจนในลักษณะเดียวกันกับการใช้ น้ำมันเตาและก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
5.1.3 การกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือก สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับการ คัดเลือกควรกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน โดยคำนึงถึง
(1) ความสอดคล้องถูกต้องตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า
(2) ระยะเวลาความพร้อมในการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ เช่น จะต้องจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบไม่เกินกลางปี 2542
(3) ขีดความสามารถของระบบไฟฟ้าที่จะรับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็ก
(4) ลำดับความสำคัญของประเภทเชื้อเพลิงที่จะได้รับการพิจารณาก่อน
(5) ความพร้อมของการจัดหาเชื้อเพลิง เช่น หลักฐานการได้รับการจัดสรรก๊าซจาก ปตท. หลักฐานสัญญาการซื้อขายถ่านหิน เป็นต้น
(6) สถานที่ตั้งของโรงไฟฟ้าที่จะสามารถช่วยให้ระบบไฟฟ้ามีการจ่ายไฟฟ้าอย่างมีคุณภาพและมีความมั่นคง
(7) เงื่อนไขการยอมรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
(8) ความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามเงื่อนไขเกี่ยวกับการ Dispatch
(9) คุณสมบัติและประสบการณ์ของผู้ลงทุน
(10) ความเสี่ยง (ฐานะการเงินของผู้ลงทุน คุณภาพ และความมั่นคงของแหล่งเชื้อเพลิง การจัดหาเชื้อเพลิง ประสบการณ์ของผู้ลงทุนและผู้ประกอบการ ประสบการณ์การใช้เทคโนโลยี)
5.2 การรับซื้อไฟฟ้าในช่วงปี 2544 เป็นต้นไป
5.2.1 การผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานนอกรูปแบบ กาก หรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ มีการจัดทำระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กเป็นการเฉพาะ สำหรับการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ และการผลิตไฟฟ้าโดยระบบ Cogeneration ขนาดเล็ก โดยปรับปรุงจากระเบียบ การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กในปัจจุบัน
5.2.2 การผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration
(1) การผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration ขนาดใหญ่ อาจพิจารณาให้ใช้วิธีการเดียวกันกับการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) คือยื่นข้อเสนอเมื่อมีการออกประกาศเชิญชวน IPP และให้มีการแข่งขันทางด้านราคาด้วย
(2) ศึกษาความเหมาะสมในการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้มีทางเลือกซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตเอกชน โดยคิดค่าบริการผ่านสายส่งสายจำหน่ายของการไฟฟ้าทั้ง 3 เพื่อเป็นการส่งเสริมการแข่งขันในระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการให้ประกาศขยายการรับซื้อไฟฟ้าในช่วงปี 2539-2543ดังนี้
1.1 ให้ขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กจาก 1,444 เมกะวัตต์ เป็น 3,200 เมกะวัตต์ โดยคัดเลือกจากโครงการที่ได้ยื่นข้อเสนอต่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว
1.2 ให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนอกรูปแบบ กาก หรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิงต่อไป โดยไม่กำหนดปริมาณในการรับซื้อไฟฟ้า โดยมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จัดทำประกาศการขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กและประกาศใช้ต่อ ไป
2.เห็นชอบในหลักการการแก้ไขระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก การจัดทำสูตร การปรับอัตราค่าไฟฟ้าในสัญญาประเภท Firmสำหรับการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง และหลักเกณฑ์ การพิจารณาคัดเลือกผู้ผลิตรายเล็ก สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าในช่วงปี 2539-2543 (รายละเอียดตามข้อ 5.1.2-5.1.3) โดยมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานนโยบายพลังงาน แห่งชาติ รับไปดำเนินการและประกาศใช้ต่อไป
3.มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จัดทำการศึกษาปรับปรุงระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าในช่วงปี 2544 เป็นต้นไป และศึกษาความเหมาะสมในการให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิต เอกชนโดยตรง โดยใช้บริการผ่านสายส่งและจำหน่ายของการไฟฟ้า (รายละเอียดตามข้อ 5.2) แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ต่อไป
4.มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้า อิสระ (IPP)และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 8 การส่งเสริมให้หน่วยราชการใช้เครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง และหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงบประมาณได้เสนอเรื่อง แนวทางการประหยัดพลังงาน เพื่อขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ส่วนราชการสามารถจัดซื้อจัดจ้างหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ได้เป็นกรณี พิเศษ เนื่องจาก หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ยังไม่ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) จึงทำให้ส่วนราชการ ไม่สามารถดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ เพราะเป็นการขัดกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ดังนั้นหากส่วนราชการมีความประสงค์จะจัดซื้อจัดจ้างหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ จะต้องเสียเวลาในขั้นตอนการพิจารณาจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้การสนองนโยบายการประหยัดพลังงานล่าช้าไปด้วย
2. นอกจากนี้ สำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (สจฟ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รณรงค์โครงการประชาร่วมใจใช้เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟฟ้า โดยวิธีการนำเครื่องปรับอากาศไปทดสอบและติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีผู้ผลิตที่ได้รับฉลากแสดงประสิทธิภาพ ระดับ 5 (ค่าประสิทธิภาพ 10.6 บีทียู/วัตต์ ขึ้นไป) จำนวน 27 ราย คณะอนุกรรมการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า จึงได้พิจารณาเห็นควรส่งเสริมให้ส่วนราชการจัดซื้อเครื่องปรับอากาศแบบแยก ส่วนที่มีฉลากประสิทธิภาพ ระดับ 5 สำหรับเครื่องปรับอากาศที่มีขนาด 13,300 บีทียู ลงมา ทั้งนี้เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐาน ประสิทธิภาพเครื่องปรับอากาศที่ใช้ ซึ่งจะนำไปสู่การประหยัดพลังงานและเป็นการขยายตลาด เครื่องปรับอากาศดังกล่าวด้วย
3. ปัจจุบัน สำนักงบประมาณจะกำหนดคุณลักษณะของเครื่องปรับอากาศ โดยใช้มาตรฐานสากลเป็นเกณฑ์ โดยแนะนำให้พิจารณาจัดซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีค่า Energy Efficiency Ratio (EER) สูง ซึ่งสามารถประหยัดพลังงานได้ดีกว่า แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าค่า EER จากการระบุของผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศไม่อาจเชื่อถือได้ และการพิจารณาค่า EER มีความยุ่งยากต่อการตัดสินใจในการจัดซื้อ จึงเห็นควรให้ส่วนราชการจัดซื้อเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนที่มีขนาดตั้งแต่ 13,300 บีทียู ลงมา พิจารณาจัดซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประสิทธิภาพเครื่องปรับอากาศของ สจฟ. ระดับ 5 และเห็นควรให้มีการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศของส่วนราชการที่มีอายุเกินกว่า 8 ปี เป็นเครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง ซึ่งได้ฉลากของ สจฟ. ระดับ 5 โดยในเบื้องต้น สจฟ. อาจทดลองเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศให้กับส่วนราชการใดส่วนราชการหนึ่ง เช่น โรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น โดยใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้เห็นผลของการประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม
4. นอกจากนี้ สจฟ. มีโครงการห้องทดสอบมอเตอร์ ซึ่งหากแล้วเสร็จจะทำให้สามารถกำหนดมาตรฐานของมอเตอร์ได้ ดังนั้น จึงเห็นควรให้มีความคล่องตัวในการปรับปรุงบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ โดยกำหนดเป็นหลักการว่า หากครุภัณฑ์ประเภทอุปกรณ์ไฟฟ้าใดสามารถกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพได้อย่าง ชัดเจน มีมาตรฐานสูงกว่าของเดิม และมีการแข่งขันกันแล้ว ก็ให้สำนักงบประมาณพิจารณาปรับปรุงบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์สำหรับครุภัณฑ์ ประเภทอุปกรณ์ไฟฟ้านั้นๆ ได้ตามความเหมาะสม
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักงบประมาณ ในเรื่องแนวทางการประหยัดพลังงาน โดยให้ ส่วนราชการสามารถจัดซื้อจัดจ้างหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ได้เป็นกรณีพิเศษ
2.เห็นชอบในหลักการให้สำนักงบประมาณพิจารณาปรับปรุงบัญชีราคามาตรฐาน ครุภัณฑ์ สำหรับครุภัณฑ์ประเภทอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดที่สามารถกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพ ได้อย่างชัดเจน และมีการแข่งขัน รวมทั้งมีมาตรฐานสูงกว่าของเดิมตามความเหมาะสมต่อไป
3.เห็นชอบให้สำนักงบประมาณพิจารณาปรับปรุงบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ประเภท เครื่องปรับอากาศ โดยเพิ่มเติมรายละเอียดของเครื่องปรับอากาศ ดังนี้ "หากเป็นเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน และมีขนาดตั้งแต่ 13,300 บีทียู ลงมา ให้พิจารณาจัดซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประสิทธิภาพของ สจฟ. ระดับ 5" และให้พิจารณาปรับปรุงราคากลางของเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน ขนาด 13,300 บีทียู ลงมา ตามราคาตลาดของเครื่องปรับอากาศที่ได้ฉลากประสิทธิภาพของ สจฟ. ระดับ 5 รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงราคากลางของเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนขนาดใหญ่กว่า 13,300 บีทียู เพิ่มขึ้นตามราคาตลาดของเครื่องปรับอากาศที่มีค่าประสิทธิภาพในระดับไม่น้อย กว่า 9.6 บีทียู /วัตต์ ด้วย โดยให้ สำนักงบประมาณรับไปประสานงานในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
เรื่องที่ 9 บันทึกความเข้าใจร่วมของโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา ใน สปป.ลาว
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่อง ความร่วมมือด้านการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2536 ณ นครเวียงจันทน์ เพื่อส่งเสริมและร่วมมือกันพัฒนาไฟฟ้าจำหน่ายให้กับประเทศไทย ในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2545 โดยมีคณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ.-ลาว) ซึ่งมีผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นประธาน และรัฐบาล สปป.ลาว ได้แต่งตั้ง Committee for Energy and Electric Power (CEEP) เพื่อติดตามการดำเนินงานและประสานความร่วมมือในการพัฒนาโครงการให้เป็นไปตาม บันทึกความเข้าใจดังกล่าว
2. ในขณะนี้ สปป.ลาว มีโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาเพื่อผลิตและขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทั้งสิ้น 11 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 4,300 เมกะวัตต์ โดยมีโครงการที่ตกลงอัตราค่าไฟฟ้าแล้ว คือ โครงการน้ำเทิน-หินบุน โครงการน้ำเทิน 2 โครงการห้วยเฮาะ และโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา ส่วนโครงการอื่นๆ ที่ได้เริ่มมีการหารือกับคณะ กรรมการฯ และ กฟผ. แล้ว มี 7 โครงการ โดยเรียงลำดับความพร้อมของโครงการ ได้ดังนี้ โครงการน้ำงึม 3 โครงการน้ำงึม 2 โครงการเซคามาน 1 โครงการเซเปียน-เซน้ำน้อย โครงการน้ำเทิน 3 โครงการน้ำเทิน 1 และโครงการน้ำเลิก ปัจจุบันการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ามีโครงการที่สามารถตกลงอัตราค่าไฟฟ้าและอยู่ ระหว่างการเจรจาจัดทำสัญญา ซื้อขายไฟฟ้า 4 โครงการ รวมกำลังการผลิต 1,737 เมกะวัตต์ โครงการที่ได้เสนออัตราค่าไฟฟ้า 4 โครงการ รวมกำลังผลิตติดตั้ง 1,728 เมกะวัตต์ และโครงการที่อยู่ระหว่างเสนอผลการศึกษา 3 โครงการ รวมกำลังผลิตติดตั้ง 790 เมกะวัตต์
3. แนวทางในการเจรจาโครงการอื่นๆ เพื่อให้ครบปริมาณรับซื้อ 1,500 เมกะวัตต์ นั้น คปฟ.-ลาว ได้มีมติเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2539ให้เริ่มเจรจาอัตราค่าไฟฟ้ากับกลุ่มผู้พัฒนาโครงการน้ำงึม 3 และโครงการน้ำงึม 2 โดยไม่ต้องรอผลการเจรจาของโครงการในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์แรก ตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพื่อกฟผ. จะได้มีโครงการอื่นทดแทนในกรณีที่มีบางโครงการไม่สามารถจัดทำสัญญาซื้อขาย ไฟฟ้าได้ ทำให้ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ไม่ครบตามปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ที่กำหนด
4. โครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา เป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามบันทึกความเข้า ใจเรื่องความร่วมมือด้านการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว เพื่อจำหน่ายให้กับประเทศไทย ในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2545 โดยกลุ่มผู้พัฒนาโครงการ คือ บริษัท ไทยลาวเพาเวอร์ (Thai Lao Power : TLP) เป็นบริษัทฯ ที่จดทะเบียนใน สปป.ลาว เมื่อปี ค.ศ. 1994 และเป็นบริษัทในเครือ (Subsidiary) ของบริษัท ไทยลาวลิกไนต์ (Thai Lao Lignite) ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับสัมปทานจาก สปป.ลาว ในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา ภายใต้หลักการที่ให้บริษัทผู้ได้รับสัมปทานเป็น เจ้าของ ผู้ก่อสร้างและผู้ดำเนินการ และเมื่อครบอายุการได้รับสัมปทานจะต้องโอนกิจการเป็นของรัฐ (Build-Own-Transfer Agreement-BOT) โดยในปัจจุบันยังไม่มีบริษัทอื่นเข้าร่วมโครงการ โครงการดังกล่าวมีกำลังผลิตติดตั้ง 720 เมกะวัตต์ และกำหนดจะแล้วเสร็จปี 2543 โดยเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2539 กฟผ. และกลุ่มผู้พัฒนาโครงการ ได้ตกลงราคาไฟฟ้าที่จะรับซื้อ ดังนี้
ระยะที่1 โครงการผลิตไฟฟ้า ขนาด 600 เมกะวัตต์ กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดโครงการในช่วงเวลา 25 ปี (Levelized) ที่อัตรา 5.70 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
ระยะที่ 2 โครงการผลิตไฟฟ้า ขนาด 600 เมกะวัตต์ กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดโครงการในช่วงเวลา 25 ปี (Levelized) ที่อัตรา 5.60 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งถ้าคิด 2 โครงการรวมกัน 1,200 เมกะวัตต์ จะได้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ 5.65 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
5. ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2539กฟผ. ได้นำบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่าง กฟผ.และกลุ่มผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา (Memorandum of Understanding : Lignite Fired Power Plant-MOU) เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณา โดยซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
5.1 บันทึกความเข้าใจร่วมระหว่าง กฟผ. และกลุ่มผู้พัฒนาโครงการ มีลักษณะคล้ายกับบันทึกความเข้าใจระหว่าง กฟผ. กับกลุ่มผู้พัฒนาโครงการน้ำเทิน-หินบุน น้ำเทิน 2 และห้วยเฮาะ ซึ่งได้มีการลงนามไปแล้ว บันทึกความเข้าใจจะประกอบด้วยหลักการสำคัญในการซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นสาระสำคัญของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement) ที่จะมีการเจรจาและลงนามกันต่อไป เช่น อัตราค่าไฟฟ้าปริมาณไฟฟ้าที่จะรับซื้อ เป็นต้น
5.2 บันทึกความเข้าใจจะมีผลบังคับใช้จนกระทั่งมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยจะมีระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน หลังจากวันลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ยกเว้นแต่ว่าจะได้มีการตกลงร่วมกันทั้งสองฝ่ายให้มีการขยายระยะเวลา
5.3 สัญญาซื้อขายไฟฟ้ามีอายุของสัญญา 25 ปี โดยมีกำหนดวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (Commercial Operation Date) ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2544 สำหรับหน่วยที่ 1 และวันที่ 30 มิถุนายน 2545 สำหรับหน่วยที่ 2
5.4 กลุ่มผู้พัฒนาโครงการจะขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ณ จุดส่งมอบ โดยมีปริมาณพลังงานไฟฟ้าประเภท Firm ในระดับร้อยละ 80 ของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ หรือเทียบเท่ากับปริมาณพลังงานไฟฟ้า จำนวน 4,265.3 ล้านหน่วยต่อปี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนดังกล่าวจะใช้ถ่านหินลิกไนต์จากแหล่งหงสาเป็นเชื้อ เพลิง ซึ่งคาดว่าจะใช้ประมาณ 5 ล้านตันต่อปี
5.5 กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดโครงการในช่วงเวลา 25 ปี (Levelized) ในอัตรา 5.70 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
5.6 การชำระเงินค่าไฟฟ้า ร้อยละ 50 ของค่าไฟฟ้า จะชำระเป็นเงินสกุลบาท และอีกร้อยละ 50 ของค่าไฟฟ้า จะชำระเป็นเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลบาทและเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ เฉลี่ยของเดือนที่มีการลงนามในสัญญา
5.7 กฎหมายที่ใช้ในการทำสัญญา (Governing Law) กำหนดให้ใช้กฎหมายอังกฤษเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับ ทั้งในบันทึกความเข้าใจร่วม และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(Power Purchase Agreement-PPA)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการของร่างบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย และกลุ่มผู้พัฒนาโครงการลิกไนต์หงสา ตามสิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 1 ของเอกสารแนบวาระที่ 4.5.2 โดยมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รับไปดำเนินการเพื่อให้มีการลงนามในบันทึก ความเข้าใจกับกลุ่มผู้พัฒนาโครงการต่อไป ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาล สปป.ลาว ต้องการให้มีการแก้ไขบันทึก ความเข้าใจร่วมเพิ่มเติม ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสามารถลงนามในบันทึกที่ได้แก้ไขแล้วได้ หากไม่มีการแก้ไขในสาระสำคัญ
เรื่องที่ 10 การขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2536 ณ กรุงเวียงจันทน์โดยทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมและร่วมมือกันพัฒนาไฟฟ้าเพื่อ จำหน่ายให้แก่ประเทศไทย ในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2545
2. ในการดำเนินการประสานความร่วมมือเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว (คปฟ.-ลาว) ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2536 โดยมีผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นประธาน และ คณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ อธิบดีกรมเศรษฐกิจ กระทรวงการต่างประเทศ รองอธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยส่วนทางด้าน สปป.ลาว ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพลังงานและไฟฟ้าแห่ง สปป.ลาว (Committee for Energy and Electric Power-CEEP) เพื่อประสานความร่วมมือในการพัฒนาโครงการดังกล่าวเช่นกัน
3. สปป.ลาว มีโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาเพื่อผลิตและขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมทั้งสิ้น 11 โครงการ รวมกำลังการผลิตประมาณ 4,300 เมกะวัตต์ โดยมีสถานภาพการเจรจาเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ดังนี้
3.1 โครงการที่สามารถตกลงอัตราค่าไฟฟ้าแล้ว จำนวน 4 โครงการ คือ โครงการน้ำเทิน-หินบุน โครงการน้ำเทิน 2 โครงการห้วยเฮาะ และโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา
3.2 โครงการที่จะเริ่มเจรจาอัตราค่าไฟฟ้า 2 โครงการ ตามมติคณะกรรมการ คปฟ-ลาว เมื่อวันที่ 22มีนาคม 2539คือ โครงการน้ำงึม 3 และโครงการน้ำงึม 2ซึ่งโครงการทั้ง 2 ได้เสนออัตรา ค่าไฟฟ้าเพื่อให้ คปฟ.ลาว พิจารณาแล้ว
3.3 โครงการอื่นๆ เรียงลำดับตามความพร้อมของโครงการ คือ โครงการเซคามาน 1 โครงการเซเปียน-เซน้ำน้อย โครงการน้ำเทิน 2 โครงการน้ำเทิน 1 และโครงการน้ำเลิก ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอผลการศึกษา
4. ประเด็นปัญหาซึ่งทำให้ยังไม่สามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ เนื่องจาก
4.1 การเจรจาเพื่อลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) สำหรับโครงการน้ำเทิน-หินบุน มีประเด็นปัญหาซึ่งระบุเป็นเงื่อนไขก่อนลงนามสัญญา 2 ประเด็น ดังนี้
(1) เรื่องการยอมรับบังคับคดีตามผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการ เนื่องจาก สปป. ลาว ยังไม่ได้เข้าร่วมเป็นภาคีของอนุสัญญากรุงนิวยอร์คว่าด้วยการยอมรับและ บังคับตามคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ และเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ สปป.ลาว ได้ออกหนังสือยอมรับผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการ ลงนามโดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2538 แต่เนื่องจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมิใช่เป็นผู้มีอำนาจเต็มในการ ดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้ผู้มีอำนาจเต็มลงนามในหนังสือยอมรับผลการตัดสิน ของอนุญาโตตุลาการดังกล่าว หรือมิฉะนั้นจะต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีลง นาม โดยผู้มีอำนาจเต็มเป็นผู้ลงนามมอบอำนาจ ซึ่งผู้มีอำนาจเต็มจะประกอบด้วย ประมุขแห่งรัฐ ประมุขรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(2) เรื่องการรับรองว่า รัฐบาล สปป.ลาว จะไม่ปกป้องทรัพย์สินของกลุ่มผู้พัฒนาโครงการ จากการบังคับคดี (Sovereign Immunity)
4.2 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2539 อนุมัติให้ กฟผ. ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวได้ แต่มีเงื่อนไขว่าจะลงนามได้ก็ต่อเมื่อได้รับหนังสือรับรองว่ารัฐบาล สปป.ลาว จะไม่ปกป้องทรัพย์สินของกลุ่มผู้พัฒนาโครงการจากการบังคับคดี (Sovereign Immunity) และเรื่องการบังคับคดีตามผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการจนเป็นที่พอใจแล้ว พร้อมกันนี้ได้มีมติมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับไป ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว และหากยังเป็นประเด็นปัญหาอยู่ก็ให้นำประเด็นดังกล่าวไปปรึกษาหารือในโอกาส ที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือน สปป. ลาว ในเดือนมิถุนายน 2539 ต่อไป
4.3 กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาวเพื่อแจ้งเหตุผล ความจำเป็นและหาทางแก้ไขปัญหามาโดยตลอด และ กฟผ. ได้จัดทำหนังสือแจ้งอย่างเป็น ทางการถึงข้อเสนอของฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยขอให้ สปป.ลาว แจ้งผลการพิจารณาให้ ฝ่ายไทยทราบภายในวันที่ 13 มิถุนายน 2539 สาระสำคัญของข้อเสนอที่ขอให้ สปป. ลาวดำเนินการ สรุปได้ดังนี้
(1) จัดทำหนังสือใหม่ที่มีข้อความเหมือนฉบับเดิม ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงนามแล้วนั้น และเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนาม
(2) จัดทำหนังสือมอบอำนาจลงนามโดยผู้มีอำนาจเต็ม เพื่อให้อำนาจรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการแทนตามที่ได้ลงนามในหนังสือยอมรับผลการบังคับคดีดังกล่าวแล้ว
5. ต่อมา คปฟ.-ลาว และคณะกรรมการพลังงานและไฟฟ้าแห่ง สปป.ลาว (CEEP) ได้ประชุมปรึกษาหารือ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2539 เพื่อพิจารณาข้อเสนอขอขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ตามบันทึกความเข้าใจฉบับวันที่ 4 มิถุนายน 2536 โดย สปป.ลาว ได้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจเพื่อใช้แทนฉบับเดิม และเสนอให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจในระหว่างการเยือน สปป.ลาว ของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ในระหว่างวันที่ 19-20 มิถุนายน 2539
6. การพิจารณาข้อเสนอการขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ดังกล่าว ที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นต่างๆ เช่น ความเหมาะสมของปริมาณไฟฟ้าที่จะรับซื้อ ระยะเวลา และเหตุผลความจำเป็นอื่นๆ เป็นต้น และที่ประชุมได้มีมติให้ กฟผ. ปรับปรุงบันทึกความเข้าใจร่วม เรื่องความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว ตามที่ สปป.ลาว เสนอ เพื่อใช้แทนบันทึกความเข้าใจร่วม ฉบับวันที่ 4 มิถุนายน 2536 โดยให้มีสาระสำคัญที่แตกต่างจากฉบับเดิม ดังนี้
6.1 ขยายปริมาณรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 1,500 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์
6.2 ขยายระยะเวลาสิ้นสุดการรับซื้อไฟฟ้าจากปี 2543 ไปจนถึงปี 2549
6.3 สปป.ลาว ยินดีให้มีการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าเพื่อส่งไฟฟ้าจากมณฑลยูนนานผ่านเข้าประเทศไทยได้
6.4 มีการยอมรับผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการ
6.5 บันทึกความตกลงครั้งนี้ ลงนามโดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ของทั้ง 2 ประเทศ
7. เมื่อถึงกำหนดวันที่ 13 มิถุนายน 2539 กฟผ. ได้รับแจ้งจาก สปป. ลาว ถึงผลการพิจารณา ในเบื้องต้นเกี่ยวกับการขอแก้ไขบันทึกความเข้าใจร่วมในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ที่ขอแก้ไข 2 ประการ คือ
7.1 เรื่อง สปป. ลาว ยินดีให้มีการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าเพื่อส่งไฟฟ้าจากมณฑลยูนนานผ่านเข้าประเทศ ไทยได้ ซึ่ง สปป.ลาว ขอใช้คำว่า " ยินดีจะพิจารณาให้ระบบสายส่งไฟฟ้าจากมณฑลยูนนานผ่านดินแดนของ สปป.ลาว มายังประเทศไทย บนพื้นฐานการคำนึงถึงผลประโยชน์และอธิปไตยของแต่ละฝ่าย"
7.2 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศลงนามแทน ฯพณฯนายกรัฐมนตรี
8. สพช. และ กฟผ. พิจารณาแล้วเห็นว่า ในเรื่องประเด็นสายส่งไฟฟ้าจากมณฑลยูนนานสมควรให้ สปป.ลาว ให้การสนับสนุนโครงการมากกว่าที่จะพิจารณาโครงการ จึงสมควรที่จะให้มีการเจรจาในประเด็นนี้ก่อนที่จะลงนามในบันทึกความเข้าใจ ต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการของร่างบันทึกความเข้าใจร่วมเรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว ตามเอกสารแนบวาระที่ 4.6.5 เพื่อให้ใช้แทนบันทึกความเข้าใจฉบับวันที่ 4 มิถุนายน 2536 โดยมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เจรจาในรายละเอียดเพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่ได้รับอนุมัติก่อนลงนามใน บันทึกความเข้าใจร่วมต่อไป
2.เห็นควรให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว โดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนาม ในคราวเยือน สปป.ลาว ของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 19-20 มิถุนายน 2539 หากมีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเรื่องการยอมรับบังคับคดีตามผล การตัดสินของอนุญาโตตุลาการที่เป็นเงื่อนไขก่อนลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โครงการน้ำเทิน-หินบุน จนเป็นที่พอใจแล้ว
3.มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ดำเนินการเจรจาในรายละเอียดเพื่อให้มีการลงนาม ดังนี้
3.1 บันทึกความเข้าใจเรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว ลงนามโดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ
3.2 บันทึกความเข้าใจร่วมของโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา ลงนามโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัท ไทยลาวเพาเวอร์ จำกัด
3.3 สัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน ลงนามโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและกลุ่มผู้พัฒนาโครงการน้ำเทิน-หินบุน
4.มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการจัดเวลาในการลงนามในบันทึกความเข้าใจและสัญญาต่างๆ ดังกล่าวแล้วในข้อ 3
กพช. ครั้งที่ 56 - วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2539
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 2/2539 (ครั้งที่ 56)
วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2539 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.สัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน
4.นโยบายการจัดเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษจากโรงกลั่นน้ำมัน
5.นโยบายการตั้งโรงงานผลิตยางมะตอย
6.แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 8 ปีงบประมาณ 2539-2544 ของการไฟฟ้านครหลวง
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเรื่อง ปัญหาราคาน้ำมันของชาวประมง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2539 ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการ ให้ช่วยเหลือชาวประมงขนาดเล็ก โดยให้ลดราคาน้ำมันดีเซล ส่วนการจะลดราคาลงลิตรละเท่าใด และควรมีวิธีดำเนินการอย่างไร มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 14 พฤษภาคม 2539
2. เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งกองทุนพัฒนาการประมง และมอบให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและ สำนักงบประมาณ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องที่ 1 รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง
1.1 กรมสรรพสามิต ได้ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ Automatic Leveling Gauge ในคลังน้ำมันชายฝั่งทั้งสิ้น 38 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง โดยคลังในกรุงเทพมหานคร ภาคกลาง และภาคตะวันออก จำนวน 19 คลัง ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จไปกว่าร้อยละ 70 ส่วนคลังในภาคใต้ จำนวน 19 คลัง ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จไปกว่าร้อยละ 50 และคาดว่าทั้งหมดจะแล้วเสร็จตามสัญญาในเดือนมิถุนายน 2539 นี้ และสำหรับในช่วงที่การดำเนินการติดตั้งมิเตอร์ยังไม่แล้วเสร็จ ได้ให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการขนถ่ายน้ำมันโดยการผนึกท่อทางรับจ่ายน้ำมันและ ตรวจวัดปริมาณน้ำมันทุกครั้งที่มีการขนถ่ายและรายงานผลไปยัง Operation Room ตลอด 24 ชั่วโมง
1.2 กรมสรรพากร จากการตรวจปฏิบัติการทั่วไปคลังน้ำมัน 10 แห่ง ที่กรมสรรพสามิตไม่มีอำนาจติดตั้งมิเตอร์ ปรากฏว่าคลังน้ำมันได้ยินยอมติดตั้งมิเตอร์แล้วรวม 4 ราย คงค้าง 6 ราย กรมสรรพากรจึงสั่งให้สรรพากรจังหวัดทำการตรวจปฏิบัติการทั่วไปและตรวจนับ สินค้าคงเหลือของคลังน้ำมันในท้องที่จำนวน 6 ราย อย่างต่อเนื่อง
2. การตรวจสอบภาษีคลังน้ำมันและสถานีบริการ
กรมสรรพากรได้ดำเนินการเร่งรัดให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ ใช้ระบบเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากมิเตอร์หัวจ่ายจนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2539 มีสถานีบริการเข้าระบบดังกล่าวแล้วจำนวนทั้งสิ้น 5,364 ราย นอกจากนี้ กรมสรรพากรได้ดำเนินการตรวจสอบภาษีของเจ้าของเรือประมงลักลอบนำน้ำมันเชื้อ เพลิงเข้ามาในราชอาณาจักรที่ถูกจับกุมได้ จำนวนทั้งสิ้น 15 ราย ตามรายชื่อที่กรมศุลกากรแจ้งให้ทราบ ปรากฏว่าได้ดำเนินการเสร็จทั้งหมด 6 ราย
3. การให้ผู้ตรวจวัดอิสระตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง
กรมทะเบียนการค้า ได้ดำเนินการจัดทำร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราช อาณาจักร (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. 2539 นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการประกาศใช้ต่อไป โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันที่มีสิทธิ์นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทุกราย (ผู้ค้าตามมาตรา 6) ต้องจัดให้มี ผู้ตรวจวัดอิสระที่มีคุณสมบัติตามที่กรมทะเบียนการค้ากำหนด และแจ้งขึ้นทะเบียนต่อกรมทะเบียนการค้า เพื่อทำหน้าที่ตรวจยืนยันชนิด ปริมาณและคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิง และให้รายงานผลการตรวจสอบนำเข้าจากท่าต้นทางภายใน 2 วัน นับแต่วันที่เรือออกจากท่าต้นทางและ ณ คลังปลายทางที่นำเข้าภายใน 3 วัน นับแต่วันที่เรือได้เข้ามาในราชอาณาจักร
4. การควบคุมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียม
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และกรมสรรพสามิต ได้ประชุมร่วมกับกรมทะเบียนการค้าและการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบนำผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมที่ได้รับการยกเว้นภาษี สรรพสามิตออกมาจำหน่ายให้แก่สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยได้ข้อสรุปว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้แก่คนกลาง ซึ่งไม่ได้นำไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานอุตสาหกรรมจริง ดังนั้น การแก้ไขปัญหาจึงควรตัดคนกลางออก โดยกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างยกร่างประกาศกรมฯ เพื่อกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ต้องแจ้งรายชื่อและที่อยู่ของลูกค้าให้กรมสรรพสามิตทราบและพร้อมกับกำหนดให้ แจ้งยืนยันยอดการขายให้กับลูกค้า เพื่อให้กรมสรรพากรตรวจสอบยืนยันการซื้อ-ขายต่อไป สำหรับการเติมสาร Marker นั้น เห็นว่ายังไม่สมควรเติมสารดังกล่าวในชั้นนี้ เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ประกอบกับหากกรมสรรพสามิตปรับปรุงแนวทางการควบคุมการซื้อ-ขายผลิตภัณฑ์เคมี ปิโตรเลียมตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว น่าจะแก้ไขปัญหาให้หมดไปได้
5.การจัดตั้งศูนย์ประสานงาน
5.1 กองทัพเรือ ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเลขึ้นที่ศูนย์ปฏิบัติการ กองทัพเรือ โดยมีเสนาธิการทหารเรือเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ มีกำลังทางเรือ และอากาศยานของกองทัพเรือ ตำรวจน้ำ และศุลกากร ร่วมกันปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อปฏิบัติการทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน และได้จัดให้มีการประชุมเพื่อวางแผนการปราบปรามร่วมกับกรมตำรวจและกรม ศุลกากรให้เป็นเอกภาพเดียวกัน จัดรวบรวมข้อมูลพื้นฐานด้านข่าวกรองของหน่วยงานเข้าด้วยกัน จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานด้านกฎหมาย รวมทั้งการพล๊อตตำแหน่งของเรือบรรทุกน้ำมันที่นำเข้าน้ำมันโดยถูกต้องตาม กฎหมายและเดินทางเข้าสู่น่านน้ำไทย เพื่อให้หน่วยลาดตระเวนใช้ในการตรวจสอบและปราบปรามทางทะเลต่อไป
5.2 สพช. ได้จัดให้มีการประชุมศูนย์รวมการประสานงานปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิงร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ไปแล้วรวม 3 ครั้ง สามารถแก้ไขปัญหาในการประสานงานได้หลายประการ ได้แก่ ปัญหาของกลางที่ถูกจับกุมได้ ปัญหาการแจ้งการนำเข้าล่าช้ากว่าที่กำหนด ปัญหาคลังน้ำมันบางแห่งไม่ยินยอมติดตั้งมิเตอร์ และปัญหาที่คลังไม่ให้ความร่วมมือจัดบัญชีให้ตรวจสอบ เป็นต้น
6. การให้การสนับสนุนค่าใช้จ่าย
6.1 สพช. ได้ดำเนินการร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีฉบับเดิมเพื่อ ให้สามารถนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการสนับสนุนการปราบปรามการ ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 1/2539 เรื่อง การกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2539 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 113 ตอนที่ 22 ง ลงวันที่ 14 มีนาคม 2539 แล้ว นอกจากนี้ คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีมติเห็นชอบให้เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับ น้ำมันเบนซินและดีเซล อีกลิตรละ 10 สตางค์ ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2539 เป็นต้นไป เพื่อให้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีเพียงพอสนับสนุนค่าใช้จ่ายได้ ทั้งนี้ ได้อนุมัติเงินสนับสนุนแก่หน่วยงานต่างๆไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 145,818,253.28 บาท
6.2 กรมบัญชีกลาง ได้จัดทำร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2539 เพื่อใช้เป็นระเบียบให้หน่วยงานต่างๆ ถือปฏิบัติ
7. สถานการณ์ในปัจจุบัน
ผลการจับกุมผู้กระทำผิดคดีลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงของหน่วยงานต่างๆ พบว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2539 (มกราคม - มีนาคม 2539) ได้จับกุมผู้กระทำผิดดำเนินคดีได้จำนวนทั้งสิ้น 13 คดีโดยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2 คดี มีปริมาณน้ำมันที่จับได้จำนวนทั้งสิ้น 3,507,300 ลิตร ซึ่งเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 2,361,960 ลิตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 206 หรือ 3 เท่าของผลการจับกุมของปีที่แล้ว โดยสามารถสรุปรายละเอียดการจับกุมได้ ดังนี้
จำนวนคดี | ปริมาณน้ำมัน ที่จับกุมได้ (ลิตร) |
การเพิ่ม (จำนวน) |
ร้อยละ | ||||
2538 | 2539 | การเพิ่ม | 2538 | 2539 | |||
1.กองทัพเรือ | 2 | 2 | - | 70,000 | 280,000 | 210,000 | 300 |
2.กรมศุลกากร | 3 | 1 | -2 | 355,340 | 2,000,000 | 1,644,660 | 463 |
3.กรมตำรวจ | 6 | 10 | +4 | 720,000 | 1,227,300 | 507,300 | 70 |
รวม | 11 | 13 | +2 | 1,145,340 | 3,507,300 | 2,361,960 | 206 |
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในช่วงปลายปี 2538 จนถึงกลางเดือนมกราคม 2539 ราคาน้ำมันดิบได้ทยอยปรับราคาขึ้นโดยเฉลี่ย 2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากฤดูหนาวของปีนี้อากาศหนาวเย็นมากกว่าปกติ ทำให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทำความอบอุ่นเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปริมาณน้ำมันดิบสำรองของโรงกลั่นมีระดับต่ำ และการผลิตไม่สามารถเพิ่มการผลิตได้เต็มที่เพราะอากาศที่หนาวจัด หลังจากนั้นราคาน้ำมันดิบได้ลดลงและทรงตัวอยู่ในระดับ 15.8-20.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นตามลำดับ ในเดือนเมษายนราคาน้ำมันดิบได้ขึ้นมาอยู่ในระดับ 17.5 - 23.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบสำรองของโรงกลั่นอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันดิบอยู่ในระดับสูง
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงเดือน กุมภาพันธ์ 2539 ราคาน้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตาได้สูงขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทำความอบอุ่นมีระดับสูงกว่าทุกปีที่ผ่าน มา ในขณะที่ปริมาณการผลิตถูกจำกัดเพราะโรงกลั่นเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งการเลื่อนการเปิดดำเนินการของโรงกลั่นใหม่ออกไป นอกจากนี้ลักษณะความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันได้เปลี่ยนแปลงไป นับตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ความต้องการใช้น้ำมันเบนซินได้เริ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่มีความต้องการใช้น้ำมัน เบนซินสูงขึ้น ในขณะที่ปริมาณน้ำมันสำรองมีระดับต่ำ จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้นเป็นลำดับ ในส่วนของน้ำมันเพื่อทำความอบอุ่น คือ น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตานั้น ความต้องการเริ่มลดลงตามสภาพอากาศที่เริ่มอุ่นขึ้น ทำให้ราคาของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ได้เริ่มปรับตัวลง แต่ก็มีการปรับราคาขึ้นในบางช่วงที่มีความต้องการ เช่น การเพิ่มการสำรองน้ำมันของไต้หวัน สำหรับราคาน้ำมันในเดือนเมษายน น้ำมันเบนซินพิเศษอยู่ในระดับ 26.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินธรรมดาอยู่ในระดับ 23.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันก๊าดอยู่ในระดับ 26.2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซลอยู่ในระดับ 25.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันเตาอยู่ในระดับ 17.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
3. การเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกของประเทศจะสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงราคาขายส่ง หน้าโรงกลั่นของประเทศ ซึ่งปรับตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ประมาณ 1 สัปดาห์หลังการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในตลาดจรสิงคโปร์ โดยราคาขายปลีกจะปรับตามราคาขายส่งหลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ สำหรับราคาขายปลีกน้ำมันของประเทศนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2539 มีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
3.1 น้ำมันเบนซิน ราคาขายปลีกได้ทยอยปรับตัวลงนับตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2538 จนถึงปลายเดือนมกราคม 2539 ลดลงรวม 40 สตางค์/ลิตร และได้มีการปรับตัวตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ เป็นต้นมาจนถึงสิ้นเดือนเมษายน ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 90 สตางค์/ลิตร ในขณะที่ราคาน้ำมันเบนซินในตลาดจรสิงคโปร์ปรับตัวขึ้นประมาณ 6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือ 95 สตางค์/ลิตร ณ สิ้นเดือนเมษายน ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วอยู่ในระดับ 9.58 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินธรรมดาอยู่ในระดับ 9.03 บาท/ลิตร
3.2 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว จากการที่ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกได้ถีบตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของประเทศได้ทยอยปรับราคาสูงขึ้นตาม นับตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้วจนถึงปลายเดือนมกราคม 2539 ราคาขายปลีกได้สูงขึ้นรวม 75 สตางค์/ลิตร เปรียบเทียบกับราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกที่สูงขึ้นในช่วงเดียวกัน คือ 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือประมาณ 80 สตางค์/ลิตร เดือนกุมภาพันธ์ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลสูงขึ้น 25 สตางค์/ลิตร ตามราคาตลาดโลกที่สูงขึ้น 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือ 25 สตางค์/ลิตร ในเดือนมีนาคมจนถึงต้นเดือนเมษายนราคาขายปลีกลดลงรวม 25 สตางค์/ลิตร ตามราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกที่ลดลงประมาณ 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลของเดือนเมษายนมีการเปลี่ยนแปลงทั้งขึ้นและลง แต่โดยเฉลี่ยแล้วระดับราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง โดยอยู่ในระดับ 8.40 บาท/ลิตร
3.3 ค่าการตลาด การใช้นโยบายการลดช่องว่างระหว่างราคาน้ำมันในเขตกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ส่งผลให้ค่าการตลาดของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลสูงขึ้น ในขณะที่ค่าการตลาดในส่วนภูมิภาคลดลง และนับตั้งแต่ใช้นโยบายดังกล่าวเป็นต้นมา ค่าการตลาดเฉลี่ยของประเทศได้ลดลงจากระดับ 1.1 บาท/ลิตร ลงมาอยู่ในระดับ 0.9 บาท/ลิตร
4. เมื่อเปรียบเทียบอัตราภาษีและราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินพิเศษและน้ำมันดีเซล หมุนเร็วของประเทศไทยกับต่างประเทศ ซึ่งได้แก่ อังกฤษ เยอรมัน สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย สรุปได้ว่าระดับราคาขายปลีกและภาษีน้ำมันของประเทศไทยไม่ได้อยู่ในระดับที่ สูงกว่าต่างประเทศ
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาร่วมกับเลขาธิการนายกรัฐมนตรีถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมัน ดีเซลที่มีราคาสูง และมีความเห็นว่าหากระดับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วยังอยู่ในระดับที่สูงเป็น เวลานาน ก็ควรที่จะมีการดำเนินการให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วมีราคาลดลง อันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภค โดยอาจใช้มาตรการในการดำเนินการ ดังนี้
5.1 เจรจากับผู้ค้าน้ำมันในประเทศเพื่อขอให้ลดค่าการตลาดเฉพาะน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงเป็นการชั่วคราว
5.2 เร่งรัดให้มีการขยายสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงของสหกรณ์เพื่อการเกษตร โดยการลดขั้นตอนของทางราชการและการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
5.3 ช่วยเหลือชาวประมง โดยลดค่าการตลาดและขอรับความช่วยเหลือจากองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
6. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2539 อนุมัติในหลักการให้ความช่วยเหลือแก่ชาวประมงในเรื่องปัญหาราคาน้ำมัน โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางช่วยเหลือ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ภายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2539
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 สัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาล สปป.ลาว ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว โดยทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมและร่วมมือกันพัฒนาไฟฟ้าให้ได้ปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2543 เพื่อจำหน่ายให้กับประเทศไทย โดยมีคณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว (คปฟ-ล.) ทำหน้าที่ติดตามการดำเนินงานและประสานความร่วมมือกับ สปป.ลาว ให้เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว และต่อมาได้มีพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย (กฟผ.) และกลุ่มผู้พัฒนาโครงการไฟฟ้าน้ำเทิน-หินบุน (ประกอบด้วย รัฐบาล สปป.ลาว กลุ่ม NORDIC แห่งประเทศสวีเดน นอร์เวย์ และบริษัท MDX ประเทศไทย) ซึ่งเป็นโครงการที่มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 210 เมกะวัตต์
2. คปฟ-ล. ได้ดำเนินการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน กับกลุ่มผู้พัฒนาโครงการจนสามารถหาข้อยุติได้ ยกเว้นใน 2 ประเด็น ซึ่งเป็นเงื่อนไขก่อนลงนามสัญญา คือ เรื่องการรับรองว่ารัฐบาล สปป.ลาว จะไม่ปกป้องทรัพย์สินของกลุ่มผู้พัฒนาโครงการจากการบังคับคดี (Sovereign Immunity) และเรื่องการยอมรับบังคับคดีตามผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการ เนื่องจาก สปป.ลาว ยังไม่ได้เข้าร่วมเป็นภาคีของอนุสัญญากรุงนิวยอร์ค ว่าด้วยการยอมรับและบังคับตามคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ และเรื่องผู้มีอำนาจลงนามหนังสือรับรองดังกล่าว ซึ่งจะต้องลงนามโดยผู้มีอำนาจเต็มหรือลงนามโดยผู้ที่ไม่มีอำนาจเต็ม แต่ต้องมีหนังสือมอบอำนาจจากผู้มีอำนาจเต็มจึงจะมีผลบังคับตามกฎหมาย
3. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2539 ได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) กฟผ. และกระทรวงการต่างประเทศเร่งพิจารณาหาข้อยุติในประเด็นเกี่ยวกับหนังสือ รับรองจาก สปป.ลาว ดังกล่าวโดยเร็ว ซึ่งต่อมาทั้งสามหน่วยงานได้ร่วมหารือและสามารถหาข้อยุติได้ โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับเอกอัครราชฑูต สปป.ลาว ประจำประเทศไทย เพื่อเจรจาขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว ลงนามในหนังสือรับรองดังกล่าว และขอให้ สปป.ลาว ให้คำรับรองเรื่องการไม่ปกป้องทรัพย์สินของกลุ่มผู้พัฒนาโครงการในการบังคับ คดี ซึ่งขณะนี้ กฟผ. กำลังรอรับหนังสือรับรองฉบับใหม่ ที่ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ สปป.ลาว เป็นผู้ลงนาม
4. กฟผ. และกลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมเกี่ยวกับขั้นตอนการนำ เสนอขออนุมัติร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยกำหนดให้ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน จะมีผลใช้บังคับเป็นข้อผูกพันต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ กฟผ. สำนักงานอัยการสูงสุด และ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แล้ว
5. ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน ระหว่าง กฟผ. กับกลุ่มผู้พัฒนาโครงการน้ำเทิน-หินบุน ครอบคลุมสาระสำคัญ ดังนี้
5.1 การพัฒนาโครงการและการเชื่อมโยงระบบ
(1) กลุ่มผู้พัฒนาโครงการเป็นผู้ออกแบบการก่อสร้างโครงการ (Project Facilities) และผลิตกระแสไฟฟ้าให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement -PPA), แบบอย่างการปฏิบัติ วิธีการ หรือข้อกำหนดทางด้านวิศวกรรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับในด้านอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าของนานาชาติ (Prudent Utility Practice) และเงื่อนไขการปฏิบัติการผลิตไฟฟ้า (Grid Code) โดย กฟผ. มีสิทธิพิจารณาตรวจสอบและให้ความเห็นเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับ Project Facilities
(2) กลุ่มผู้พัฒนาโครงการ และ กฟผ. จะร่วมกันลงทุนก่อสร้างระบบเชื่อมโยง (Interconnection Facilities) ตามเงื่อนไขที่ กฟผ. กำหนด โดยที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะเป็นเจ้าของระบบเชื่อมโยง (Interconnection Facilities) ที่อยู่ในเขตประเทศของตน ทั้งนี้ กฟผ. จะต้องสร้างสายส่งต่อจากระบบสายส่งของ กฟผ. ที่มีอยู่เดิมเพื่อรับกระแสไฟฟ้าจากโครงการ ให้แล้วเสร็จตามเงื่อนไขของสัญญา
5.2 การจัดหาและการรับซื้อไฟฟ้า
(1) กลุ่มผู้พัฒนาโครงการจะต้องเดินเครื่องตามคุณสมบัติการทำงานของหน่วยผลิต ไฟฟ้าที่กำหนดไว้ท้ายสัญญา (Contracted Operating Characteristics-COC)
(2) กลุ่มผู้พัฒนาโครงการจะต้องส่งกระแสไฟฟ้า ร้อยละ100 ของพลังงานที่ผลิตได้ที่จุดส่งมอบ (Net Available Output)
(3) กฟผ. จะต้องซื้อกระแสไฟฟ้าจากกลุ่มผู้พัฒนาโครงการ ในปริมาณร้อยละ 95 ของ พลังงานที่ผลิตได้ที่จุดส่งมอบ (Net Available Output)
5.3 การส่งมอบพลังงานไฟฟ้า
(1) คุณภาพของพลังงานไฟฟ้า จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน Grid Code และ เงื่อนไขตามสัญญาเกี่ยวกับคุณสมบัติในการทำงานของหน่วยผลิตไฟฟ้า (Contracted Operating Characteristics) โดยจะส่งมอบกันที่จุดส่งมอบที่พรมแดนไทย-ลาว
(2) กฟผ. จะต้องจ่ายเงินอย่างน้อย ร้อยละ 95 ของพลังงานที่ผลิตได้ที่จุดส่งมอบ (Net Available Output) แม้ว่า กฟผ. จะไม่สามารถรับพลังงานไฟฟ้าได้ เนื่องจากการขัดข้องของระบบของ กฟผ. เอง (Outage ในระบบ)
5.4 ราคารับซื้อไฟฟ้า
(1) ในกรณีที่ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้ง 2 เครื่อง รวมกำลังการผลิต 210 เมกะวัตต์ อัตราค่าพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 4.3 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (ราคาปี 2537)
(2) การปรับอัตราค่าไฟฟ้า
ปรับราคาขึ้นร้อยละ 3 ต่อปี ตั้งแต่ 1 มกราคม 2537 ถึงวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (Commercial Operation) แต่ไม่เกิน 1 มกราคม 2541
ปีที่ 2 ถึงปีที่ 10 หลังจากเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า ปรับราคาขึ้นร้อยละ 1 ต่อปี
ในกรณีที่กลุ่มผู้พัฒนาโครงการซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. จะซื้อในอัตราเดียวกับประเภทกิจการขนาดใหญ่ในระดับแรงดันสูง
5.5 อายุของสัญญาและกำหนดวันเดินเครื่องเข้าระบบ
(1) สัญญาซื้อขายไฟฟ้ามีอายุของสัญญา 25 ปี
(2) กำหนดวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (Scheduled Commercial Date) วันที่ 31 มีนาคม 2541
(3) กำหนดเส้นตายวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าไม่เกินวันที่ 31 มีนาคม 2543 (Commercial Operation Deadline)
5.6 กำหนดเวลาที่คู่สัญญาจะต้องปฏิบัติตาม
(1) กลุ่มผู้พัฒนาโครงการจะต้องจัดเตรียมเอกสารให้ กฟผ. ตามวันที่กำหนด
(2) มีกำหนดบทปรับเนื่องจากแล้วเสร็จช้ากว่ากำหนด
5.7 การทำผิดสัญญา
(1) คู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้หากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งกระทำผิดสัญญาดังต่อไปนี้
(1.1) กรณีที่ กฟผ. กระทำผิดสัญญาเนื่องจาก
ไม่จ่ายเงินภายในเวลาที่กำหนด
กฟผ. ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
กฟผ. ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เป็นสาระสำคัญของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
(1.2) กรณีที่กลุ่มผู้พัฒนาโครงการกระทำผิดสัญญาเช่นเดียวกับ กฟผ. ตามข้อ (1.1) รวมทั้งกรณีต่อไปนี้
ไม่สามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ก่อนกำหนดเส้นตายวันเริ่มต้นซื้อขาย ไฟฟ้า (Commercial Operation Deadline)
ไม่สามารถจัดหาหลักฐานการกู้เงินมาแสดงได้ภายใน 18 เดือนนับจากวันลงนามในสัญญา
กลุ่มผู้พัฒนาโครงการละทิ้งงานก่อสร้างหรือหยุดเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า เครื่องใดเครื่องหนึ่ง และมีผลกระทบต่อ กฟผ.
5.8 เหตุสุดวิสัย
(1) ไม่ว่ากรณีใดๆ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการไม่สามารถอ้างเหตุสุดวิสัย เนื่องจากการกระทำของรัฐบาล สปป.ลาว เป็นสาเหตุในการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาได้
(2) กฟผ. ไม่สามารถบอกเลิกสัญญาเนื่องจากเหตุสุดวิสัยจากการกระทำของรัฐบาลไทยได้
5.9 การระงับข้อโต้แย้ง
(1) กรณีคู่สัญญาเกิดข้อโต้แย้งที่เกี่ยวกับด้านเทคนิคหรือการเงิน คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตัดสินข้อโต้แย้ง นั้น
(2) หากคู่สัญญาตกลงกันไม่ได้ในการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญจะต้องเสนอเรื่องเข้าสู่การตัดสินของอนุญาโตตุลาการ
(3) การพิจารณาข้อพิพาทของอนุญาโตตุลาการกระทำภายใต้กฎเกณฑ์ของ International Chamber Of Commerce (ICC)
(4) สถานที่ที่ใช้ในการตัดสินของอนุญาโตตุลาการให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้เลือกตามหลักเกณฑ์ของ ICC
5.10 ขอบเขตความรับผิดชอบของคู่สัญญา
(1) คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่ต้องรับภาระในการชดใช้ความเสียหายที่เกิดจากการปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
(2) คู่สัญญาไม่ต้องชดใช้ความเสียหายที่เป็นความเสียหายต่อเนื่อง (Consequential Damages) แก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
5.11 การเรียกเก็บเงินและชำระเงิน
(1) กรณีคู่สัญญาชำระเงินช้ากว่าที่กำหนดไว้ในสัญญาจะต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตรา Default Rate
- ในส่วนของเงินสกุลดอลลาร์ อัตรา LIBOR + 2%
- ในส่วนของเงินสกุลบาท อัตรา MOR + 2%
(2) กลุ่มผู้พัฒนาโครงการต้องชำระภาษีที่เรียกเก็บใน สปป.ลาว รวมทั้งภาษีเงินได้ของกลุ่มผู้พัฒนาโครงการที่เรียกเก็บในประเทศไทย
5.12 การกำหนดบทปรับในเรื่องความพร้อมผลิตของเครื่อง
(1) กำหนดบทปรับหากความพร้อมผลิตของเครื่อง (Machine Availability) ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในสัญญา
(2) กำหนดบทปรับเกี่ยวกับการตอบสนองการสั่งการเดินเครื่องของ กฟผ.
5.13 กฎหมายที่ใช้บังคับในการตีความสัญญาคือกฎหมายอังกฤษ
5.14 การปกป้องทรัพย์สินจากการบังคับคดี
คู่สัญญาตกลงที่จะสละสิทธิในการขอความคุ้มครองจากรัฐ ในการปกป้องทรัพย์สินของตน จากการบังคับคดีตามกฎหมาย หรือคำตัดสินของศาล เพียงเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย
6. กฟผ. จะลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน เมื่อได้รับหนังสือเรื่องการรับรองว่า รัฐบาล สปป.ลาว จะไม่ปกป้องทรัพย์สินของกลุ่มผู้พัฒนาโครงการจากการบังคับคดี (Sovereign Immunity) และเรื่องการบังคับคดีตามผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการ จนเป็นที่พอใจแล้ว
มติของที่ประชุม
1.อนุมัติร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน ดังรายละเอียดตามเอกสารประกอบวาระ 4.1.3 รวมทั้งมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามในร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน ที่ผ่านการพิจารณาแก้ไขจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว (ถ้ามี) ทั้งนี้ถ้าสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ต้องแก้ไขดังกล่าว ไม่เป็นที่ยอมรับของกลุ่มผู้พัฒนาโครงการ และต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติม ให้ กฟผ. สามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ได้แก้ไขแล้วดังกล่าวได้ หากไม่มีการแก้ไขในสาระสำคัญ
2.กฟผ. จะลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน ต่อเมื่อได้รับหนังสือเรื่องการรับรองว่ารัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน ลาว (สปป.ลาว) จะไม่ปกป้องทรัพย์สินของกลุ่ม ผู้พัฒนาโครงการจากการบังคับคดี (Sovereign Immunity) และเรื่องการบังคับคดีตามผลการตัดสินของ อนุญาโตตุลาการจนเป็นที่พอใจแล้ว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับที่จะไปประสานงานกับกระทรวงการ ต่างประเทศ สปป.ลาว เพื่อหาทางเร่งรัดให้มีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว และหากยังเป็นประเด็นปัญหาอยู่จะได้นำไปปรึกษาหารือในโอกาสที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปเยือน สปป.ลาว ในเดือนมิถุนายน 2539 ต่อไป
เรื่องที่ 4 นโยบายการจัดเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษจากโรงกลั่นน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
1. ในอดีตรัฐบาลมีนโยบายจำกัดจำนวนและกำลังกลั่นน้ำมันของโรงกลั่นน้ำมันใน ประเทศไทย ตลอดจนควบคุมปริมาณการนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันภายใน ประเทศ แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2533 รัฐบาลได้เปลี่ยนนโยบายให้โรงกลั่นน้ำมันมีกำลังการกลั่นมากกว่าความต้องการ และได้นำระบบ "ลอยตัวเต็มที่" มาใช้ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2534 เป็นต้นมา แต่เพื่อเป็นการคุ้มครองโรงกลั่นในประเทศที่เสียเปรียบโรงกลั่นสิงคโปร์ใน บางประการ คณะอนุกรรมการนโยบายปิโตรเลียมจึงได้กำหนดค่า Surcharge ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่นำเข้าเพื่อทดแทนความเสียเปรียบอันเนื่องมาจาก ข้อกำหนดที่ให้โรงกลั่นน้ำมันต้องสำรองน้ำมันดิบในระดับร้อยละ 5 ของกำลังกลั่น ในขณะเดียวกันได้มีการลงนามในสัญญาจัดสร้างและขยายโรงกลั่น 3 ฉบับ ระหว่างรัฐบาลกับบริษัท เชลล์ คาลเท็กซ์ฯ และเอสโซ่ฯ เมื่อปลายปี 2534 โดยสัญญาทั้ง 3 ฉบับ กำหนดให้โรงกลั่นต้องชำระผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษแก่รัฐเท่ากับร้อยละ 2 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ ยกเว้นยางมะตอย ผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกและผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 เห็นชอบนโยบายการเพิ่มกำลังกลั่นปิโตรเลียมเพื่อให้การค้าน้ำมันเป็นไปอย่าง เสรี โดยกำหนดนโยบายเป็นการทั่วไป ให้มีการจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น หรือสามารถขยายโรงกลั่นปิโตรเลียมที่มีอยู่เดิมได้ แต่ต้องไม่ขัดแย้งกับสัญญาที่ทำไว้กับโรงกลั่นปิโตรเลียมเดิม โดยในการขออนุญาตจะต้องกำหนดเงื่อนไขและกติกาในสัญญาให้มีความเท่าเทียมกับ เงื่อนไขสัญญาของโรงกลั่นอื่นๆ ที่รัฐได้ทำสัญญาไปแล้ว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 ผู้รับอนุญาตตั้งโรงกลั่นต้องจ่ายเงินประจำปีในอัตราร้อยละ 2 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ผลิตและส่งออกจากโรงกลั่นปิโตรเลียม
2.2 ผู้รับอนุญาตจะต้องมอบเงินอุดหนุนจำนวนอย่างน้อย 350 ล้านบาท หรือจำนวน 2,500 บาทต่อกำลังการกลั่นน้ำมันดิบหนึ่งบาร์เรลต่อวันปฏิทิน (ฺBarrel Per Calendar Day) โดยให้ถือจำนวนเงินที่มากกว่าเป็นเกณฑ์
3. ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2538 กระทรวงการคลังได้เสนอเรื่อง การปรับโครงสร้างภาษีน้ำมัน เพื่อปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินประเภทไร้สารตะกั่ว จำนวน 70 สตางค์/ลิตร และยกเลิก การเรียกเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐจากโรงกลั่น เพื่อทำให้โครงสร้างภาษีน้ำมันมีความเหมาะสมและเพื่อปรับระบบการเรียกเก็บ เงินผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐจากโรงกลั่นให้สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันเสรี ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2538 มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปหารือร่วมกันและให้จัดทำข้อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติใน การประชุมครั้งต่อไป ซึ่งที่ประชุมสามารถสรุปประเด็นปัญหาของการจัดเก็บเงินผลประโยชน์ได้ดังนี้
3.1 การจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมันยังไม่เสรีอย่างแท้จริง เนื่องจากรัฐได้กำหนดให้มีการจัดเก็บผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษที่ทำให้ผู้ลงทุน มีภาระเพิ่มขึ้นซึ่งไม่เป็นการสนับสนุนให้มีการขยายกำลังการกลั่นอย่างเสรี ทั้งนี้ การส่งเสริมให้มีการขยายกำลังการกลั่นอย่างแท้จริงสมควรที่จะให้มีการจัด เก็บภาษีอากรตามปกติเท่านั้น นอกจากนี้ระบบการจัดเก็บผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษจากโรงกลั่นน้ำมันตามเงื่อนไข ของสัญญาต่างๆ ที่มีอยู่ยังไม่อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน เนื่องจากเป็นการจัดทำสัญญากับรัฐเป็นรายๆ ไป
3.2 ข้อยกเว้นทางด้านกฎหมายโดยเฉพาะพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เปิดช่องให้ผู้สนใจประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียมในเขตประกอบการอุตสาหกรรม ตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 อาจไม่ต้องยื่นขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ทำให้กระทรวงอุตสาหกรรมไม่สามารถบังคับให้ผู้ประกอบกิจการในพื้นที่ดังกล่าว ต้องจัดทำสัญญาจัดสร้างและประกอบการฯ กับกระทรวงอุตสาหกรรมที่จะต้องมีเงื่อนไขที่เท่าเทียมกับสัญญาของโรงกลั่น อื่นๆ อันจะทำให้ผู้ประกอบการรายดังกล่าวไม่ต้องส่งผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษให้รัฐจน เกิดการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกัน
3.3 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 เรื่องนโยบายการเพิ่มกำลังการกลั่นปิโตรเลียมได้กำหนดเงื่อนไขเป็นการทั่วไป สำหรับผู้ขออนุญาตตั้งโรงกลั่นใหม่เท่านั้น และมิได้กำหนดเงื่อนไขการขยายโรงกลั่นน้ำมันที่มีอยู่เดิม
4. คณะทำงานอันประกอบด้วย ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมสรรพสามิต (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) และเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พร้อมทั้งรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (นายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์) ได้ร่วมกันพิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว มีข้อเสนอให้ปรับปรุงกฎเกณฑ์สำหรับการจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น รวมทั้งการขยายโรงกลั่นปิโตรเลียมเดิมให้ผู้สนใจประกอบกิจการสามารถเลือก ปฏิบัติได้ ดังนี้
4.1 การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 ทั้งในกรณีของการตั้งโรงกลั่นใหม่และการขยายโรงกลั่นเดิม โดยมีเงื่อนไขในการจ่ายเงินอุดหนุนอย่างน้อย 350 ล้านบาท รวมทั้งเงินประจำปีในอัตราร้อยละ 2 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ผลิตและส่งออกจากโรงกลั่นปิโตรเลียมโดย มีสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการส่งเสริมการลงทุน หรือ
4.2 การที่จะไม่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินอุดหนุนอย่างน้อย 350 ล้านบาท รวมทั้งเงินประจำปีในอัตราร้อยละ 2 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ผลิตและส่งออกจากโรงกลั่นปิโตรเลียมโดยไม่ ได้รับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการส่งเสริมการลงทุน
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปดำเนินการจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติม ตามข้อสังเกตของที่ประชุม และให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 นโยบายการตั้งโรงงานผลิตยางมะตอย
สรุปสาระสำคัญ
1. บริษัท ไทยบิทูเมน จำกัด ได้มีหนังสือลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2539 ถึง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์) ขอให้พิจารณาสนับสนุนการตั้งโรงงานยางมะตอยแข็ง (Asphalt Cement) เพื่อใช้ในประเทศและส่งออก โดยมีสาระสำคัญของคำขอรับการสนับสนุนการตั้งโรงงานผลิตยางมะตอยแข็ง สรุปได้ดังนี้
1.1 บริษัท ไทยบิทูเมน จำกัด ได้ศึกษาที่จะตั้งโรงงานผลิตยางมะตอยแข็งขึ้นในประเทศ เพื่อทดแทนการนำเข้าและป้องกันการขาดแคลนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งเพื่อเป็นการสนองนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ประชาชนให้ดีขึ้น โดยมีการคมนาคมติดต่อที่สะดวกด้วยถนนลาดยางทั่วประเทศ
1.2 โรงงานผลิตยางมะตอยแข็งจะผลิตยางแอสฟัลท์ประมาณ 2 ล้านตันต่อปี โดยแยกเป็นยางมะตอยแข็งประมาณร้อยละ 70-80 และผลิตภัณฑ์พลอยได้จากการกลั่นน้ำมันดิบที่เหลือ ประกอบด้วยน้ำมันดีเซล และน้ำมันเตาที่มีกำมะถันสูง ซึ่งจะขายต่อให้กับโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณภาพ เพื่อนำไปจำหน่ายต่อไป
1.3 โรงงานของบริษัทฯ เป็นโรงงานขนาดเล็กจึงขอยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษ โดยบริษัทฯ ขอเสนอเงื่อนไขการจัดตั้งโรงงานดังกล่าวเพิ่มเติม ดังนี้
(1) เมื่อผลิตแล้วบริษัทฯ จะส่งออกร้อยละ 20 ต่อผลผลิตต่อปี แต่รัฐบาลมีสิทธิที่จะไม่ให้ส่งออกได้ ถ้ายางมะตอยแข็งที่ใช้ภายในประเทศมีไม่เพียงพอ
(2) เพื่อให้คนไทยมีสิทธิในกิจการดังกล่าว บริษัทฯ จะกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทันทีเมื่อเริ่มการผลิต
(3) โรงงานจะตั้งอยู่ในเขตพื้นที่การส่งเสริมการลงทุนเขตพื้นที่ 3 และขอให้รัฐบาลให้การส่งเสริมการลงทุนให้บริษัทฯ ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุน
(4) ส่วนผลิตภัณฑ์พลอยได้ที่เป็นน้ำมัน บริษัทฯ ยินยอมจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษที่โรงกลั่นน้ำมันอื่นถือปฏิบัติอยู่ ตามประเภทของน้ำมันที่ผลิตได้ แต่ถ้าขายให้กับโรงกลั่นเพื่อนำไปปรับปรุงคุณภาพดังกล่าว ก็ไม่ควรจะต้องจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ
(5) โรงงานจะผลิตยางมะตอยจากน้ำมันดิบที่ไม่สามารถใช้ผลิตน้ำมันชนิดเบาได้
2. การนำเข้ายางมะตอยในปี 2538 อยู่ในระดับ 0.317 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าการนำเข้าประมาณปีละ 1,076 ล้านบาท และคาดว่าสัดส่วนการนำเข้ายางมะตอยเพื่อรองรับกับความต้องการใช้ของประเทศจะ เพิ่มมากขึ้น การเพิ่มกำลังการผลิตยางมะตอยภายในประเทศ จะเป็นการลดสัดส่วนการนำเข้า และเป็นการเสริมความมั่นคงในการจัดหา รวมทั้งเพิ่มการแข่งขันในตลาดยางมะตอยอีกด้วย ดังนั้นในหลักการแล้ว รัฐจึงควรส่งเสริมให้การค้ายางมะตอยเป็นไปอย่างเสรี
3. เนื่องจากในปัจจุบันรัฐยังไม่มีกฎเกณฑ์และเงื่อนไขในการเพิ่มกำลังการผลิต ยางมะตอยที่ชัดเจน ดังนั้นจึงเห็นควรกำหนดกฎเกณฑ์และเงื่อนไข เกี่ยวกับการเก็บเงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ โดยอิงจากกฎเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2539 เรื่อง ร่างสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน เนื่องจากการผลิตยางมะตอย มีลักษณะเป็นอุตสาหกรรมขั้นต้นและขั้นกลาง ของอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ที่ใช้น้ำมันดิบที่กลั่นแล้ว และ/หรือน้ำมันดิบหนักเป็นวัตถุดิบในการผลิตซึ่งผลผลิตหลักที่ได้ร้อยละ 80 เป็นยางมะตอยที่ไม่ใช่เชื้อเพลิง ส่วนผลพลอยได้ที่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงอันได้แก่ น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา ยังมีคุณภาพไม่เป็นไปตามข้อกำหนด จึงไม่สามารถนำออกจำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ได้โดยตรง จำเป็นต้องถูกจำหน่ายกลับให้โรงกลั่นปิโตรเลียมก่อนซึ่งจะทำให้การผลิตยาง มะตอยดังกล่าวมีลักษณะคล้ายคลึงกับการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด ซึ่งได้รับการยกเว้นเงินประจำปีร้อยละ 2 และเงินอุดหนุนจำนวนอย่างน้อย 350 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการกำหนดนโยบายให้เป็นการทั่วไปให้มีการจัดตั้งโรงงานผลิต ยางมะตอย โดยให้โรงงานผลิตยางมะตอยต้องชำระเงินผลประโยชน์ตอบแทนในรูปของเงินประจำปี ร้อยละ 2 ของมูลค่า ผลพลอยได้ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงที่มีการจำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ในประเทศโดยตรง (ไม่รวมกรณีที่จำหน่ายกลับให้โรงกลั่นปิโตรเลียมเพื่อนำไปผสมเป็นผลิตภัณฑ์ น้ำมันหรือนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี หรือส่วนที่ส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ) โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการเจรจากับบริษัท ไทยบิทูเมน จำกัด เพื่อจัดทำร่างสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงงานผลิตยางมะตอยต่อไป
เรื่องที่ 6 แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 8 ปีงบประมาณ 2539-2544 ของการไฟฟ้านครหลวง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2537 เห็นชอบการปรับปรุงแผนการลงทุนของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง เพื่อแก้ไขปัญหาความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า (ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับ) โดยได้มอบหมายให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จัดทำแผนกำลังการผลิตไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้จัดทำแผนดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้ปรับปรุงแผนการลงทุนให้ระบบไฟฟ้ามีความมั่นคงยิ่งขึ้น และจัดทำเป้าหมายจำนวนไฟฟ้าดับในระยะยาว โดยแบ่งเป็นพื้นที่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม เขตเมืองและย่านธุรกิจ และเขตชนบท เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนการลงทุนในระยะยาวต่อไป
2. กฟน. ได้จัดทำแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 8 (ปีงบประมาณ 2539-2544) ขึ้น เพื่อรองรับความต้องการพลังไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยมุ่งเน้นถึงคุณภาพในการจ่ายกระแสไฟฟ้า ลดปัญหาแรงดันตก ไฟกระพริบ เพื่อเพิ่มความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีโครงการจ่ายกระแสไฟฟ้าด้วยระบบสายป้อนใต้ดินเพิ่ม ขึ้น เพื่อช่วยปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน โดยการจ้างเหมางานมากขึ้น รวมทั้งว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อนำวิชาการและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการปรับปรุงการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น แผนปรับปรุงฯ ของ กฟน. ดังกล่าว ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง และ กฟน. ได้รายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบด้วยแล้ว
3. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กฟน. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ร่วมพิจารณาแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 8 ตามที่ กฟน. เสนอ และเห็นควรให้ กฟน. ปรับปรุงแผนดังกล่าว โดยให้ใช้ราคาซื้อและราคาขายไฟฟ้าคงที่ทั้งสองค่าตลอดช่วงเวลาของแผนฯ และใช้ข้อสมมุติต่างๆ ตามที่การไฟฟ้าใช้กันอยู่ เช่น ค่าอัตราการเพิ่มของราคา (Escalation Factor) เป็นต้น นอกจากนี้ ให้กำหนดรายละเอียดในเรื่องเป้าหมายไฟฟ้าดับให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่ง กฟน. ได้ปรับปรุงแผนการลงทุนดังกล่าวตามความเห็นของที่ประชุมแล้ว ปรากฏว่า วงเงินลงทุนสูงขึ้นประมาณ 900 ล้านบาท คือ จากวงเงิน 56,120.58 ล้านบาท เป็น 57,029.44 ล้านบาท
4. แผนการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ของ กฟน. ประกอบด้วย 7 แผนงาน คือ
(1) แผนงานระบบสถานีต้นทางและสถานีย่อย
(2) แผนงานระบบสายส่งพลังไฟฟ้า
(3) แผนงานระบบจำหน่าย
(4) แผนงานประสานงานสาธารณูปโภค
(5) แผนงานจ่ายกระแสไฟฟ้าด้วยระบบสายป้อนใต้ดิน
(6) แผนงานเปลี่ยนแรงดันสายป้อนจาก 12 เควี เป็น 24 เควี
(7) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและการบริการ
5. กฟน. จะให้เอกชนเข้าร่วมงานในลักษณะจ้างเหมา โดยเฉพาะการก่อสร้างสถานีต้นทางและสถานีย่อยใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการจ้างเหมาเบ็ดเสร็จ (Turnkey) ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
6. ในส่วนของฐานะการเงิน หากพิจารณาความเพียงพอของรายได้ในการขยายการลงทุนแล้ว ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าจะรับได้
7. เนื่องจากแผนการลงทุนของ กฟน. ดังกล่าว มีนโยบายที่จะก่อสร้างระบบสายป้อนใต้ดินมากขึ้น จึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งพาดสายร่วมกับสายไฟฟ้าของ กฟน. ให้ดำเนินการรื้อถอนสายและเสาออก ตามแผนการสับเปลี่ยนจากสายป้อนอากาศเป็นสายป้อนใต้ดินของ กฟน. ด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 8 ปีงบประมาณ 2539-2544 ตามชุดใหม่ที่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบในการลงทุนทางด้านการขยายระบบจำหน่ายของ กฟน. โดยมีเงินลงทุนในช่วงแผนฯ 8 ดังนี้
งบประมาณลงทุนของแผนฯ ฉบับที่ 8
ปี 2540 | ปี 2541 | ปี 2542 | ปี 2543 | ปี 2544 | รวม | |
เงินตราต่างประเทศ | 1,907 | 2,777 | 4,075 | 9,085 | 5,625 | 23,472 |
เงินตราในประเทศ | 3,674 | 5,058 | 7,609 | 9,243 | 6,389 | 31,974 |
ดอกเบี้ยระหว่างก่อสร้าง | 133 | 271 | 388 | 447 | 344 | 1,584 |
งบประมาณรวม | 5,716 | 8,106 | 12,073 | 18,776 | 12,358 | 57,029 |
2.ให้ กฟน. ยึดถือแผนงานทั้ง 7 แผน รวมทั้งเป้าหมายความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า เป็นเป้าหมายในการปฏิบัติงานและประเมินผลงานของ กฟน.
3.ให้ กฟน. จัดทำรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนการลงทุนทางด้านการขยายระบบ จำหน่ายของ กฟน. รายงานการประเมินฐานะการเงินและรายงานการประเมินผลความเชื่อถือได้ของระบบ ไฟฟ้า ให้ สพช. ทราบเป็นรายปี หรือตามที่ สพช. เห็นควรให้รายงานตามความเหมาะสม
4.เห็นชอบในหลักการให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย การสื่อสารแห่งประเทศไทย และธุรกิจเอกชนที่ร่วมกับองค์การฯ ดังกล่าว ที่พาดสายร่วมกับสายไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวงพิจารณาดำเนินการในส่วนที่ เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องตามแผนการดำเนินงานสับเปลี่ยนจากสายป้อนอากาศเป็นสายป้อน ใต้ดินของ กฟน
5.มอบหมายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพิจารณาหลักเกณฑ์ในการคิดค่าสมทบไฟฟ้าแรง สูงให้สอดคล้องกับนโยบายการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค และให้นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งต่อไป
6.ให้มีการติดตามและเร่งรัดการปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อแก้ไขผลกระทบเนื่องจากกำลังผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพออย่างเร่งด่วน และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป