Super User
รายชื่อผู้ผ่านการเลือกสรรเพื่อจัดจ้างเป็นพนักงานราชการทั่วไปตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557
กพช. ครั้งที่ 53 - วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2538
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2538 (ครั้งที่ 53)
วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
3.การขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP)
5.การประเมินมูลค่าทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1. รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้มีการปรับปรุงมาตรการการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงให้ รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และให้หน่วยงานต่างๆ รับไปดำเนินการและรายงานผลการดำเนินงาน ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมทุกครั้ง นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีในชุดปัจจุบันได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2538 เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2538 (ครั้งที่ 52) เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2538 ให้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม ดังนี้
1.1 ให้กรมตำรวจรับไปดำเนินการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจเพื่อปฏิบัติการป้องกันและ ปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมายที่ได้ยุบไปขึ้นอีก ครั้งหนึ่ง และให้ดำเนินการกวดขันปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไปและให้รายงานผลการดำเนินงาน ให้ทราบในการประชุมครั้งต่อไป
1.2 มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องรับไปดำเนินการพิจารณาที่จะให้หน่วยงานเอกชนทำหน้าที่ตรวจสอบพฤติการณ์ ของคลังน้ำมันต่างๆ โดยให้ ผู้ค้าน้ำมันสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
2. หน่วยงานต่างๆ ได้รายงานผลการดำเนินงาน ซึ่งมีความคืบหน้าพอสรุปได้ ดังนี้
2.1 กรมศุลกากร
(1) ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือบนบกของคลังน้ำมันในเดือน กันยายน 2538 รวม 27 แห่ง แต่ไม่พบการกระทำความผิดแต่อย่างใด
(2) ได้ติดตามความคืบหน้าในการตรวจสอบการดัดแปลงเรือประมงที่ถูกจับกุมได้รวม 4 ลำ จากสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 4 (สงขลา) ซึ่งได้รับรายงานการดำเนินการเพียง 2 ลำ คือ เรือ น. โชคชัยสมุทร จากการตรวจสอบพบว่า เรือดังกล่าวได้มีการดัดแปลงตัวเรือจริง จึงได้ปรับเป็นเงิน 21,200 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตใช้เรือและใบทะเบียน ส่วนเรือประมงดัดแปลงอีกลำ ไม่ทราบชื่อ แต่จากการตรวจสอบพบว่าเรือลำนี้ใช้ชื่อทางทะเบียนเรือว่า "ชัยเจริญทรัพย์" ซึ่งได้มีการดัดแปลงตัวเรือจริง จึงดำเนินคดีในความผิดที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย และพระราชบัญญัติเรือไทยในอัตราสูงสุดรวม 9 ข้อหา ส่วนใบอนุญาตใช้เรือและใบทะเบียนเรือไทยอยู่ในระหว่างเสนออธิบดีกรมเจ้าท่า ทำการยกเลิก
(3) คณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ติดตามพฤติการณ์ของเรือบรรทุกน้ำมันลักลอบหนีศุลกากร ที่ถูกจับกุม ซึ่งได้รับการวางประกันนำเรือออกไปในระหว่างดำเนินคดี ปรากฏว่า ขณะนี้มีเรือประมงดัดแปลงชื่อเรือ "ลักษณ์สมุทร" และเรือ "ศิริมงคล 1" ไม่จอดเก็บรักษาตามสถานที่ที่กำหนดไว้ในสัญญาประกันที่ทำไว้ต่อกรมศุลกากร
2.2 กรมสรรพสามิต
(1) ได้ดำเนินการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องมือวัดพร้อมอุปกรณ์ควบคุมการรับ-จ่าย น้ำมันในคลังน้ำมันชายฝั่งต่างๆ 42 แห่ง และพบว่ามีคลังน้ำมัน 4 แห่ง คือ คลังน้ำมันของบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ที่จังหวัดชลบุรี และจังหวัดสุราษฎร์ธานี คลังน้ำมันของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ที่จังหวัดชลบุรี และคลังน้ำมันของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดระยอง ไม่จำเป็นต้องติดตั้งมาตรวัดและอุปกรณ์ควบคุมการรับ-จ่ายน้ำมัน เนื่องจากคลังของบริษั> เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ที่ชลบุรี นั้น ทางบริษัทฯ จะเลิกสัญญาเช่าจาก ปตท. และคลังที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทางบริษัทฯจะย้ายไปทำการในคลังใหม่ที่กำลังก่อสร้าง ส่วนคลังของ ปตท. ที่จังหวัดชลบุรี และคลังของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดระยอง เป็นคลังที่ถือเป็นโรงอุตสาหกรรมน้ำมัน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่สรรพสามิตอยู่ประจำเพื่อควบคุมการจัดเก็บภาษีของ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดอยู่แล้ว จึงเหลือคลังน้ำมันชายฝั่งเพียง 38 แห่ง ที่กรมสรรพสามิตจะต้องดำเนินการติดตั้งมาตรวัดและอุปกรณ์ควบคุมการรับ-จ่าย น้ำมัน ซึ่งขณะนี้ทางกรมฯ ได้ลงนามทำสัญญากับบริษัทผู้ดำเนินการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2538 ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้ดำเนินการติดตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน นับแต่วันลงนามในสัญญาเป็นต้นไป และจะเริ่มดำเนินการติดตั้งที่คลังน้ำมันของบริษัท คอสโมออยล์ จำกัด ที่จังหวัดระยอง เป็นแห่งแรก
(2) ในระหว่างที่การติดตั้งอุปกรณ์ยังไม่แล้วเสร็จ กรมสรรพสามิตจะยังคงใช้วิธีการควบคุมการขนถ่ายน้ำมันด้วยการให้เจ้าหน้าที่ ผนึกตราที่ท่อทางรับ-จ่ายน้ำมัน และตรวจวัดปริมาณน้ำมันทุกครั้งที่มีการขนถ่ายน้ำมันและรายงานข้อมูลไปยัง ห้อง Operation Room ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
(3) ผลการจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในช่วงที่กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการตาม ข้อ (2) ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2537 - กันยายน 2538 เป็นเวลา 10 เดือน สามารถจัดเก็บภาษีได้ สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 18.7
3.3 กองทัพเรือ
(1) ผลการดำเนินการตรวจลาดตระเวนในช่วงวันที่ 14 กันยายน -27 ตุลาคม 2538 กองทัพเรือไม่มีการจับกุมเรือที่มีการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้เลย แต่ได้ตรวจพบเรือที่มีพฤติการณ์ว่าลักลอบนำเข้า รวม 3 ครั้ง และได้ทำการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ดังนี้
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2538 เวลา 16.45 น. เรือหลวงกระบุรีได้ตรวจพบเรือบรรทุกน้ำมันสัญชาติไทยชื่อ LUCKY ซึ่งมีพฤติกรรมลักลอบค้าน้ำมันอยู่นอกทะเลอาณาเขต บริเวณตำบลที่แลตติจูด 11 องศา 12 ลิบดาเหนือ ลองติจูด 102 องศา 01 ลิบดาตะวันออก พบน้ำมันดีเซล จำนวน 200,000 ลิตร โดยเรือดังกล่าวได้บรรทุกน้ำมันมาจากประเทศสิงคโปร์และจำหน่ายให้เรือประมง ไทยมาตั้งแต่บริเวณเกาะวัย
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2538 เวลา 11.04 น. อากาศยาน F-27 ได้ตรวจลาด ตระเวนพบเรือบรรทุกน้ำมันขนาดกลางชื่อ ISENAGI-MARU มีเรือประมงจำนวน 1 ลำ อยู่ที่ท้ายเรือ ซึ่งมีพฤติกรรมลักลอบค้าน้ำมันในทะเลบริเวณตำบลที่แลตติจูด 11 องศา 25 ลิบดา 0.2 พิลิบดาเหนือ ลองติจูด 100 องศา 20 ลิบดา 0.5 พิลิบดาตะวันออก
ในวันที่ 24 ตุลาคม 2538 เช่นกัน อากาศยาน F-27 ลำดังกล่าว ได้ลาดตระเวนพบเรือ TOYOTA-MARU มีเรือประมงจำนวน 1 ลำ อยู่ที่ท้ายเรือซึ่งมีพฤติกรรมลักลอบค้าน้ำมันในทะเลบริเวณตำบลที่แลตติจูด 11 องศา 50 ลิบดาเหนือ ลองติจูด 100 องศา 21 ลิบดาตะวันออก
(2) กองทัพเรือได้อนุมัติให้ยุบเลิกหน่วยเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามการลักลอบ ค้าน้ำมันในทะเลของกองทัพเรือลงแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2538 เป็นต้นไป โดยมอบภารกิจดังกล่าวให้เป็นหน้าที่ของหน่วยปกติ คือ กองเรือภาคที่ 1,2 และ 3 และกองเรือป้องกันฝั่ง
มติของที่ประชุม
ให้หน่วยงานต่างๆ รับไปดำเนินการ และรายงานผลการดำเนินงานในการประชุมครั้งต่อไป ดังนี้
1.ให้กรมตำรวจ กองทัพเรือ และกรมศุลกากร รับไปพิจารณาปรับปรุงค่าใช้จ่ายที่จะใช้ใน การปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบประมาณ 2539 ให้เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง โดยอาจให้บริษัทผู้ค้าน้ำมันช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย และให้สำนักงบประมาณพิจารณาหาทางช่วยเหลือให้หน่วยงานดังกล่าวได้รับเงินงบ ประมาณเพิ่มขึ้น ส่วนงบประมาณปี 2540 นั้น ให้กรมตำรวจ กองทัพเรือและกรมศุลกากรของบประมาณเพิ่มเติมโดยจัดทำเป็นโครงการขึ้น และให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสม ในรายละเอียดของโครงการอีกครั้งหนึ่ง
2.ให้กรมโยธาธิการ รับไปดำเนินการตรวจสอบการก่อสร้างคลังน้ำมันที่ไม่ได้รับอนุญาตจากกรมโยธาธิการในท้องที่ต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 เห็นชอบตามข้อเสนอของ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้แก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยวิธีการนำเรือบรรทุก น้ำมัน (Tanker) มาลอยลำจำหน่ายน้ำมันในอ่าวไทยบริเวณนอกเขตทะเลอาณาเขต ซึ่งห่างจากฝั่ง เกินกว่า 12 ไมล์ทะเลออกไป โดยให้มีการขยายเขตน่านน้ำจากปัจจุบัน 12 ไมล์ทะเล เป็น 24 ไมล์ทะเล และให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นชุดหนึ่งเพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราช บัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรมีอำนาจปฏิบัติการใน "เขตต่อเนื่อง" ระหว่าง 12-24 ไมล์ทะเลได้
2. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายการปฏิบัติงานศุลกากรใน เขตต่อเนื่องขึ้น เพื่อดำเนินการตามมติ ครม. ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วและ จัดทำข้อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 2/2538 (ครั้งที่ 50) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2538 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการกำหนดเขตต่อเนื่อง และการขยายอำนาจศุลกากรให้สามารถปฏิบัติงานในเขตต่อเนื่องได้นั้น ถึงแม้จะช่วยแก้ไขปัญหาการลักลอบ นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ แต่น่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประมงภายในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประมงรายย่อย ดังนั้น จึงได้มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายประพาส ลิมปพันธ์) รับไปหารือร่วมกับกรมประมง เพื่อกำหนดมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนแก่กลุ่มประมงรายย่อยและนำเสนอคณะ กรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาพร้อมกับมาตรการกำหนดเขตต่อเนื่องต่อไป
3. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 3/2538 (ครั้งที่ 51) เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2538 ได้พิจารณาข้อเสนอของคณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายการปฏิบัติงานศุลกากรใน เขตต่อเนื่องอีกครั้ง ร่วมกับข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ที่เห็นชอบให้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันของชาวประมงขนาดเล็ก โดยให้สามารถซื้อน้ำมันได้ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดลิตรละ 1.20 บาท และมีมติเห็นชอบในหลักการของร่างประกาศเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายการปฏิบัติงานศุลกากรในเขตต่อเนื่อง เสนอ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาตรวจร่างต่อไป
4. ครม. ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538 ได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รวมทั้งร่างประกาศเขตต่อเนื่องและร่างกฎหมายอีก 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจร่างแล้ว และในขณะเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำข้อเสนอของคณะกรรมการกฎหมายทะเลในเรื่องเดียวกันเสนอให้ ครม. พิจารณาประกอบด้วย โดยคณะกรรมการกฎหมายทะเลได้เสนอให้ประกาศเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย และออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในเขตต่อ เนื่องเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำผิด พ.ศ. .... ซึ่ง ครม. ได้มีมติ ดังนี้
4.1 เห็นชอบร่างประกาศเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประกาศต่อไป
4.2 สำหรับร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติ การเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ให้ทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำกลับไปพิจารณาประกอบกับร่างพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการปฏิบัติการฯ ที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมาและนำเสนอ ครม. ต่อไป
5. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขอพระราชทานพระบรม ราชานุญาตให้ประกาศเขตต่อเนื่องแล้ว โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศทั่วไป เล่ม 112 ตอนที่ 69 ง ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2538 แล้ว นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือ ในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พร้อมกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติการของพนักงาน เจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่องเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด พ. .... ของกระทรวงการต่างประเทศเสร็จเรียบร้อยแล้วมีข้อเสนอ ดังนี้
5.1 ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด พ.ศ. .... ที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้เป็นกฎหมายที่วางหลักเกณฑ์กลาง เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของประเทศในเขตต่อเนื่องในส่วนที่เกี่ยวกับการคลัง การศุลกากร การเข้าเมือง และการสาธารณสุข ส่วนกรณีที่กฎหมายใดมีรายละเอียดเป็นเช่นใดแล้วก็จะบังคับตามกฎหมายเฉพาะ ดังนั้น หลักการของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ จึงไม่ขัดแย้งกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... อันเป็นกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการศุลกากรและการเดินเรือในเขต ต่อเนื่อง ซึ่งผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วแต่อย่างใด
5.2 แต่โดยที่ร่างพระราชบัญญัติที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมีปัญหาข้อกฎหมาย ค่อนข้างมาก ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกนานจึงจะหาข้อยุติได้ จึงเห็นสมควรเสนอร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วมาเพื่อพิจารณาก่อน สำหรับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในเขตต่อ เนื่อง เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด พ.ศ. .... นั้น เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเป็นประการใดแล้วจะได้เสนอมา อีกครั้งหนึ่ง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พิจารณาตรวจร่างเรียบร้อยแล้ว
เรื่องที่ 3 การขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 เห็นชอบร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตรายเล็ก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กซึ่งผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration อันเป็นการใช้พลังงานนอกรูปแบบและต้นพลังงานพลอยได้ในประเทศให้เกิดประโยชน์ มากยิ่งขึ้น และยังเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและระบบ จำหน่ายไฟฟ้าด้วย
2. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค (กฟภ.) ได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก โดยมีการกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าไว้หลายประการ เช่น กำหนดปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กให้ไม่เกิน 60 เมกะวัตต์ ณ จุดเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า และกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาที่เรียกว่า ค่าใช้จ่ายที่หลีกเลี่ยงได้ (Avoided Cost) หรือหลักเกณฑ์สำหรับค่าใช้จ่ายที่ กฟผ. สามารถลดได้หรือหลีกเลี่ยงได้จากการไม่ต้องผลิตไฟฟ้าในส่วนที่ผู้ผลิตราย เล็กผลิตไฟฟ้าให้กับ กฟผ. นอกจากนี้ราคารับซื้อไฟฟ้าที่กำหนดยังมีหลายระดับ โดยผู้ผลิตรายเล็กที่สามารถผลิตไฟฟ้าให้กับ กฟผ. เป็นระยะเวลาที่ยาวนานและมั่นคงก็จะได้ราคารับซื้อไฟฟ้าที่สูงกว่าผู้ผลิต รายเล็กที่ผลิตไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ในระยะเวลาที่สั้นกว่า
3. ความก้าวหน้าการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก มีดังนี้
3.1 ปัจจุบันมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก รวมทั้งสิ้น 17 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายรวม 285.5 เมกะวัตต์ ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไม่เกิน 5 ปี เป็นลักษณะ Non-Firm Contract จำนวน 15 ราย ซึ่งได้แก่ การผลิตกระแสไฟฟ้าจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น โรงงานน้ำตาลใช้กากอ้อยเป็นเชื้อเพลิง โรงสีข้าวใช้แกลบและเศษไม้เป็นเชื้อเพลิง เป็นต้น และมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าประเภท Firm จำนวน 2 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายรวม 150 เมกะวัตต์
3.2 ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบจากผู้ผลิตรายเล็กมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก กล่าวคือ ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ กฟผ. รับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กเฉลี่ยต่อเดือนเท่ากับ 1.1 ล้านหน่วย ในปี 2537 เพิ่มขึ้นเป็น 12.3 ล้านหน่วย/เดือน ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2538
3.3 การส่งเสริมผู้ผลิตรายเล็กเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศโดยรวม เนื่องจาก ผู้ผลิตรายเล็กสามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองและ/หรือขายให้ผู้ใช้ไฟรายอื่นใน บริเวณใกล้เคียงแล้ว ยังสามารถขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ได้ด้วย ซึ่งหากพิจารณาจากกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมที่ผู้ผลิตรายเล็กลงนามในสัญญากับ กฟผ. แล้ว แสดงให้เห็นว่าระบบจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 783.5 เมกะวัตต์ ทำให้ กฟผ. สามารถลดการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้เป็นจำนวนเงินประมาณ 23,500 ล้านบาท
4. ปัญหาในการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กมีดังนี้
4.1 ผู้ผลิตรายเล็กยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าเกินกว่าปริมาณที่ประกาศรับซื้อ โดยปัจจุบันมีผู้ผลิตรายเล็กยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าต่อ กฟผ. เป็นจำนวนถึง 1,444 เมกะวัตต์ สูงกว่าปริมาณที่ กฟผ. ประกาศรับซื้อ ซึ่งมีจำนวน 300 เมกะวัตต์ ดังนั้น หากมีการพิจารณาขยายปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กเพิ่มขึ้น จะทำให้เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศได้อีกมาก
4.2 สูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าในสัญญาประเภท Firm มีความไม่แน่นอน สูตร ปรับอัตราค่าไฟฟ้าที่รับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็ก ในสัญญาประเภท Firm กำหนดให้ "อัตราค่าพลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงตาม ค่าพลังงานไฟฟ้าของราคาที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายขายให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท กิจการขนาดกลาง/ใหญ่ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ" โดยสูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของราคาเชื้อ เพลิง และสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชนิดต่างๆ ของ กฟผ. ซึ่งมีการจัดการที่แตกต่างไปจากการใช้เชื้อเพลิงของผู้ผลิตรายเล็ก จึงเป็นผลให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ลงทุน และเป็นปัญหาในการจัดหาเงินกู้ของโครงการ
4.3 การเชื่อมโยงระบบของผู้ผลิตรายเล็กเข้ากับระบบของ กฟภ. การ เชื่อมโยงระบบไฟฟ้าของผู้ผลิตรายเล็กเข้ากับระบบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในระดับแรงดัน 69 หรือ 115 kV กฟภ. ได้กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตรายเล็กจัดหาที่ดินเป็นจำนวนประมาณ 5 ไร่ ให้ กฟภ. เพื่อใช้ในการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยของ กฟภ. การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวก่อให้เกิดภาระอย่างมากต่อผู้ผลิตรายเล็ก จนอาจไม่สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ แต่ปัญหาดังกล่าว ได้รับการแก้ไขแล้วในระดับหนึ่ง โดย กฟภ. ประกาศให้ผู้ผลิตรายเล็กไม่ต้องจัดหาที่ดินให้ กฟภ. เพื่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย แต่ขอให้จัดทำระบบเชื่อมโยงเพื่อรับไฟในลักษณะ ring main (Terminal Station) ซึ่งจะใช้เนื้อที่เล็กลงมาก พร้อมกับให้มีข้อกำหนดทางเทคนิคของอุปกรณ์ที่จะใช้ด้วย
5. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ เพื่อให้นโยบายดังกล่าวเกิดผลในการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดภาระด้านการลงทุนของรัฐอย่างจริงจัง โดยมีข้อเสนอเพื่อการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ดังนี้
5.1 การขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็ก เนื่องจาก ผู้ผลิตรายเล็กมีความประสงค์จะผลิตและเสนอขายไฟฟ้าต่อ กฟผ. สูงกว่าปริมาณที่ประกาศรับซื้อไว้มาก ขณะที่ความต้องการพลังงาน ไฟฟ้าของประเทศได้เพิ่มขึ้นสูงมากเช่นกัน การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กจึงเป็นแนวทางหนึ่งในการจัดหาไฟฟ้าเพื่อ สนองตอบต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น และเป็นการผลิตไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพด้วย อย่างไรก็ตาม หากปริมาณการรับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กมีสัดส่วนที่สูงเกินไป จะทำให้มีผลต่อการควบคุมระบบผลิตไฟฟ้าและกำลังการผลิตสำรองอันจะส่งผลกระทบ ต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าโดยรวม ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กที่เหมาะสมควรอยู่ในระดับร้อยละ 5 ของความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ ดังนั้น จึงเห็นควรให้มีการกำหนดหลักการในการขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อ ดังนี้
(1) เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการพลังไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันสมควรที่จะ ประกาศขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กจาก 300 เมกะวัตต์ เป็น 800 เมกะวัตต์ โดยให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันจัดทำประกาศการขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อต่อไป
(2) การขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าในปริมาณที่เกินกว่า 800 เมกะวัตต์ ในอนาคตนั้น สมควรมอบหมายให้ สพช. และ กฟผ. พิจารณาดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์การขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้า และเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้า เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความต้องการไฟฟ้าของประเทศที่อาจจะเปลี่ยนแปลง ไป โดยให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาต่อไป
5.2 การปรับปรุงสูตรปรับค่าไฟฟ้าที่รับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กในสัญญาประเภท Firm สำหรับผู้ผลิต รายเล็กตามสัญญาประเภท Firm และอยู่ในขอบเขตการขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อ 800 เมกะวัตต์ เพื่อให้ราคารับซื้อไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามสถานการณ์ราคาพลังงานที่แท้ จริง และเป็นการลดความเสี่ยงของ ผู้ลงทุน โดยให้ผู้ผลิตรายเล็กสามารถดำเนินการจัดหาเงินกู้ได้ กฟผ. และ สพช. พิจารณาเห็นควรให้ปรับปรุงสูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าที่จะรับซื้อจากผู้ผลิตราย เล็กในสัญญาประเภท Firm ที่ใช้น้ำมันเตาหรือก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงจากเดิมที่กำหนดไว้ให้ "ค่าพลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงตามค่าพลังงานไฟฟ้าของราคาที่การไฟฟ้าฝ่าย จำหน่ายขายให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลาง/ใหญ่ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ" เป็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อราคาน้ำมันเตาที่ กฟผ. ซื้อ หรือราคาก๊าซที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตรายเล็ก เปลี่ยนแปลงจากราคาฐาน (ราคาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2538) ตามสูตร ดังนี้
สูตรปรับค่าพลังงานไฟฟ้า = (Pt-1 - Po) x Heat Rate
- เมื่อ Pt-1 คือราคาเชื้อเพลิงในเดือนก่อนหน้าเดือนคิดเงินค่าไฟฟ้า 1 เดือน
- Po คือราคาเชื้อเพลิงในเดือนสิงหาคม 2538 ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณ
- Heat Rate คือค่าความสิ้นเปลืองในการใช้เชื้อเพลิงเฉลี่ย เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า 1 kWh ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมบางปะกง และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมระยอง
- ราคาน้ำมันเตา ใช้ราคาเฉลี่ยที่ กฟผ. ซื้อในเดือนก่อนหน้าเดือนคิดเงินค่าไฟฟ้า 1 เดือน
- ราคาก๊าซธรรมชาติ ใช้ราคาเฉลี่ยที่ ปตท. จำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตรายเล็ก ในเดือนก่อนหน้าคิดเงินค่าไฟฟ้า 1 เดือน
ทั้งนี้ ผู้ผลิตรายเล็กที่ใช้เชื้อเพลิงนอกเหนือจากน้ำมันเตาหรือก๊าซธรรมชาติเป็น เชื้อเพลิง ให้มีการปรับอัตราค่าพลังงานไฟฟ้าตามประกาศอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตราย เล็กฉบับเดิม เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการให้ขยายปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก จาก 300 เมกะวัตต์ เป็น 1,444 เมกะวัตต์ และมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จัดทำประกาศการขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กและประกาศใช้ต่อ ไป
2.เห็นชอบให้มีการปรับปรุงสูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. รับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กตามข้อ 5.2 และมอบหมายให้ กฟผ. ร่วมกับ สพช. จัดทำประกาศอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กและประกาศใช้ต่อไป ทั้งนี้ จะต้องไม่มีการเพิ่มเติมปัจจัยอื่นๆ เข้าไปในสูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าวอีก
3.เห็นชอบให้ สพช. และ กฟผ. พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้า และเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ในปริมาณที่เกิน 1,444 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับความต้องการพลังไฟฟ้าของประเทศในอนาคตและนำเสนอคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 การแปรูปการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 เห็นชอบตามข้อเสนอของ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องแนวทางการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดแนวทางในการดำเนินการ Corporatize การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.1 แปลง กฟภ. เป็นรัฐวิสาหกิจที่ดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และดำเนิน กิจการในลักษณะเชิงธุรกิจมากขึ้น
1.2 ปรับปรุงโครงสร้าง กฟภ. ออกเป็นหน่วยธุรกิจ รับผิดชอบการจำหน่ายไฟฟ้าในแต่ละภาค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ความคล่องตัวในการบริหารงาน และคุณภาพบริการลูกค้า
1.3 แปลง กฟภ. เป็นบริษัทจำกัด โดยการแก้ไขพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (พ.ร.บ. กฟภ.)
1.4 แยกบริษัท กฟภ. จำกัด เป็นบริษัทจำหน่ายไฟฟ้าในแต่ละภาคตามหน่วยธุรกิจที่ได้จัดตั้งขึ้นแล้ว
2. ต่อมา กฟภ. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อเป็นรัฐวิสาหกิจที่ดี โดยได้ว่าจ้างบริษัท Southern Electric International ทำการศึกษาความเหมาะสมโครงการแปรรูป กฟภ. ซึ่งได้ทำการศึกษาเสร็จแล้ว ดังนั้น กฟภ. จึงได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ขอให้นำรายงานดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการ ไฟฟ้า และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาตามลำดับ ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณารายงานการศึกษาของ กฟภ. แล้ว มีความเห็นว่า กฟภ. มีความจำเป็นจะต้องปรับปรุงโครงสร้างองค์กร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ 4 ประการ คือ
2.1 ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การให้บริการ ให้อยู่ในระดับสากล รวดเร็ว ทันสมัย และมีคุณภาพ
2.2 ส่งเสริมและสร้างโอกาสให้เอกชนอื่นๆ เข้ามามีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนากิจการด้านสาธารณูปโภคให้กว้างขวาง
2.3 ส่งเสริมและขยายโอกาสการแข่งขันในเชิงธุรกิจให้เต็มที่
2.4 ลดภาระการลงทุนของรัฐให้มากที่สุด
3. การดำเนินการแปรรูป กฟภ. มีมาตรการสำคัญๆ ดังนี้
3.1 การปรับโครงสร้าง
(1) กระจายอำนาจในการบริหารไปสู่ส่วนภูมิภาคให้มากที่สุด โดยแยกกิจการจำหน่ายไฟฟ้าเป็น 4 ภาค ในลักษณะกิจการในเครือของ กฟภ. (Subsidiary) ตลอดจนการพัฒนากิจการในเครืออื่นๆ เช่น กิจการบริการระบบข้อมูลและประมวลผล (Information System) กิจการวิศวกรรม (Engineering and Supervision) กิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีต (Poles Manufacturing) กิจการก่อสร้างและบำรุงรักษา (Construction and Maintenance) และกิจการผลิตไฟฟ้า (Power Services) โดยมีการดำเนินการ ดังนี้
ระยะที่ 1 ให้การไฟฟ้าภาคทั้ง 4 ภาค และกิจการในเครือดำเนินการในลักษณะหน่วยธุรกิจ
ระยะที่ 2 ให้การไฟฟ้าภาคทั้ง 4 ภาค และกิจการในเครือปรับการดำเนินการให้เป็นลักษณะศูนย์กำไร
ระยะที่ 3 ให้การไฟฟ้าภาคทั้ง 4 ภาค และกิจการในเครือมีการดำเนินงานในรูปลักษณะของกิจการบริษัทจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ กฟภ. โดย กฟภ. ยังคงเป็นเจ้าของในรูปแบบของบริษัทผู้ถือหุ้น โดยที่ กฟภ. ยังมีความรับผิดชอบในด้านการให้บริการ เช่น ด้านวิศวกรรม ด้านการกำกับดูแลนโยบายอย่างกว้างๆ การดูแลความมั่นคงด้านการเงิน และด้านการประสานงาน เช่น ด้านพลังงานไฟฟ้ากับ กฟผ. และหน่วยงานอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกเหนือไปจากนี้แล้ว กิจการหรือบริษัทที่แยกออกมา ก็จะสามารถดำเนินกิจการไปอย่างเอกเทศได้ และพร้อมที่จะเป็นบริษัทจำกัดที่แยกออกมาอย่างเต็มตัว
(2) บริษัทในเครือของ กฟภ. ต้องเตรียมตัวในการที่จะขยายขอบเขตธุรกิจไปยังภาคเอกชน และควรจะประเมินสถานภาพในการที่จะเข้าร่วมลงทุนกับภาคเอกชน
(3) บทบาทของสำนักงานกลางของ กฟภ. จะมีลักษณะการทำงานและบทบาทคล้ายกับบริษัทผู้ถือหุ้น โดยเป็นไปในรูปของงานด้านสนับสนุนองค์กร
3.2 การเปลี่ยนแปลงองค์กรและขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง กฟภ. ต้องมีการเปลี่ยนแปลงองค์กร เพื่อให้ กฟภ. สามารถดำเนินกิจการในรูปของบริษัทจำกัดได้ในปี 2541 ดังนั้นโครงสร้างของ กฟภ. ในปัจจุบันจะต้องเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ปัจจุบันและรองรับกับการดำเนินงานในอนาคต โดยขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ กฟภ. แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
(1) การเปลี่ยนแปลงในช่วงปีงบประมาณ 2538 เป็นการเปลี่ยนแปลงการดำเนินการให้เป็นลักษณะหน่วยธุรกิจ โดยการโอน ย้ายงาน และความรับผิดชอบบางส่วนจากสำนักงานกลาง ไปยังการไฟฟ้าภาคทั้ง 4 ภาค ตลอดจนปรับปรุง โอน ย้ายหน่วยงานที่มีลักษณะเกี่ยวข้องและคล้ายคลึงกันให้อยู่ ภายใต้สายงานเดียวกัน โดยให้ความสำคัญของงานด้านวางแผนกลยุทธ์ของสำนักงานใหญ่ และด้านค้นคว้าวิจัยและวางแผนการตลาด
(2) การเปลี่ยนแปลงในช่วงปีงบประมาณ 2539 เป็นการเปลี่ยนแปลงการไฟฟ้าภาคต่างๆ จากลักษณะหน่วยธุรกิจไปเป็นลักษณะศูนย์กำไร โดยรวมงานด้านการบริหารธุรการส่วนกลาง เข้าด้วยกัน และให้รวมไว้ที่สำนักงานกลาง โดยอยู่ภายใต้สายงานการบริการส่วนกลางและจัดตั้งหน่วยประสานงานให้มีหน้าที่ ติดต่อกับหน่วยงานภายนอก กฟภ. หรือต่างประเทศ
(3) การเปลี่ยนแปลงในช่วงปีงบประมาณ 2540 กำหนดให้มีการวางแผนรวม หรือจัดหากลยุทธ์ระยะยาวด้านการตลาด ลูกค้า และธุรกิจของ กฟภ. และปรับเปลี่ยนสำนักงานกลางของ กฟภ. ไปเป็นสำนักบริการส่วนกลาง ซึ่งมีลักษณะการทำงานและบทบาทคล้ายกับบริษัทผู้ถือหุ้น ส่วนศูนย์กำไรจะดำเนินการโดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนไปเป็นบริษัทในเครือ ต่างๆ ได้แก่ บริษัทการไฟฟ้าภาคทั้ง 4 ภาค บริษัทบริการระบบข้อมูลและประมวลผล บริษัทวิศวกรรม บริษัทผลิตภัณฑ์คอนกรีต บริษัทก่อสร้างและบำรุงรักษา และในที่สุดจะกลายเป็นบริษัทอิสระ
(4) การเปลี่ยนแปลงในช่วงปีงบประมาณ 2541 เป็นต้นไป โครงสร้าง กฟภ. จะประกอบด้วย สำนักงานกลางของ กฟภ. บริษัทการไฟฟ้าภาค บริษัทในเครือด้านการตลาดทั้งในและต่างประเทศ และบริษัทในเครือด้านการบริการภายใน
3.3 การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ ขณะนี้ พ.ร.บ. กฟภ. ยังไม่เปิดโอกาสให้ กฟภ.ร่วมลงทุนกับภาคเอกชนได้ จึงจำเป็นต้องแก้ไข พ.ร.บ. กฟภ. ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของ กฟภ. เพื่อให้สามารถร่วมลงทุนกับภาคเอกชนได้ รวมทั้ง ก่อตั้งบริษัทในเครือ
3.4 กฟภ. จะต้องดำเนินการในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านการเงิน ด้านการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ ด้านการรายงานข้อมูลเพื่อการบริหารรวม ด้านการพัฒนาระบบไฟฟ้า ด้านการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
4. การดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ภายหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และ ครม. ให้ความเห็นชอบในหลักการแผนการแปรรูป กฟภ. แล้ว กฟภ. จะดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการและรายละเอียดเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ เห็นสมควรให้มีการทำการศึกษาเพิ่มเติมใน 2 เรื่อง คือ
4.1 การปรับปรุงประสิทธิภาพ กฟภ.
4.2 ความเหมาะสมและแนวทางในการแยกระบบส่งไฟฟ้าออกเป็นองค์กรอิสระจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการแผนการแปรรูปการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และมอบหมายให้ กฟภ. รับไปดำเนินการต่อไป
2.ให้ กฟภ. จัดทำแผนปฏิบัติการและรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างเพื่อการแปรรูป กฟภ. เป็นบริษัทและบริษัทในเครือ รวมทั้ง แก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการศึกษาแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพ กฟภ. ทั้งนี้ให้คำนึงถึงข้อสังเกตของที่ประชุมด้วย และให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป
3.มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมกันทำการศึกษาแนวทางในการแยกระบบส่งไฟฟ้าออกเป็นองค์กรอิสระจากการไฟฟ้า ทั้ง 3 แห่ง
เรื่องที่ 5 การประเมินมูลค่าทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2534 เห็นชอบแผนการระดมทุนของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจัดตั้งบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (บผฟ.) ขึ้น โดยในขั้นแรก กฟผ. ถือหุ้นทั้งหมด เพื่อรับซื้อโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ระยองของ กฟผ. โดยใช้เงินจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. เหลือไม่เกินร้อยละ 49 และเห็นชอบให้ซื้อโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนอม ซึ่งต่อมา ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานในอนาคตของ กฟผ. ในส่วนของ บผฟ. และเพื่อให้เป็นที่จูงใจแก่ผู้ลงทุน จึงกำหนดให้ บผฟ. สามารถขยายกิจการได้ โดยในสัญญาซื้อขายโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมระยองระหว่าง กฟผ. และ บผฟ. ให้ระบุ กฟผ. ให้สิทธิ (Option) บผฟ. ซื้อโรงไฟฟ้าขนอมด้วย (ทั้งโรงไฟฟ้าเดิมและโรงไฟฟ้าใหม่)
2. ต่อมา ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องการแปรรูป กฟผ. บางส่วน โดยการจัดตั้ง บผฟ. ตามขั้นตอนการขออนุมัติ และการขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่ง ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2537 เห็นชอบขั้นสุดท้ายในเรื่องต่อไปนี้
2.1 อนุมัติให้ กฟผ. ขายโอนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมระยองให้ บผฟ. หรือบริษัทในเครือได้ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
2.2 อนุมัติให้ กฟผ. ซื้อกระแสไฟฟ้าจาก บผฟ. หรือบริษัทในเครือที่รับโอนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมระยองได้ตามร่างสัญญา ซื้อขายไฟฟ้าที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ยกเว้นในส่วนของอัตราค่าไฟฟ้า
2.3 ให้ กฟผ. และ บผฟ. เร่งเจรจาต่อรองกับสถาบันการเงินเพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขเงินกู้ที่เป็นประโยชน์สูงสุด และปรับปรุงการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้า ในกรณีที่อัตราค่าไฟฟ้าไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากให้เสนอประธานคณะกรรมการ พิจารณานโยบายพลังงาน (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) พิจารณาอนุมัติค่าไฟฟ้า และเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบต่อไป สำหรับกรณีที่อัตราค่าไฟฟ้าเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ให้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2537 ประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้อนุมัติอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะซื้อจาก บผฟ. หรือบริษัทในเครือ
3. กฟผ. และ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายทรัพย์สิน สัญญาซื้อขายไฟฟ้าและสัญญาการบำรุงรักษาหลัก โดยสัญญาซื้อขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าระยองได้ให้สิทธิ (Option) แก่ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. เจรจาซื้อขายโรงไฟฟ้าขนอมจาก กฟผ. ได้ ซึ่งต่อมา บผฟ. ได้มีหนังสือแจ้งการขอใช้สิทธิซื้อโรงไฟฟ้าขนอมมายัง กฟผ. เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2538 และได้ จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) ขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2538 โดย บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 99.99 เพื่อจะรับซื้อโรงไฟฟ้าขนอมจาก กฟผ. ซึ่ง ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องการขออนุมัติในหลักการให้ กฟผ. ขายโรงไฟฟ้าขนอมโดยเห็นชอบในหลักการให้ กฟผ. ขายโรงไฟฟ้าขนอมให้แก่ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด ตามขั้นตอนการขออนุมัติและการขอรับการสนับสนุนจาก ครม. ดังมีรายละเอียดดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 : การขออนุมัติและการขอรับการสนับสนุนในหลักการจาก .
ในการดำเนินการเบื้องต้นนั้น กฟผ. จำเป็นต้องขออนุมัติและขอรับการสนับสนุนในหลักการจาก ครม. เพื่อให้สามารถดำเนินการต่างๆ ที่จำเป็นได้ครบถ้วน ภายในวันที่ 30 กันยายน 2538 ดังนี้
(1) ขออนุมัติในหลักการให้ กฟผ. ขายโรงไฟฟ้าขนอม (ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 1 ชุด ขนาด 674 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อน 2 เครื่องขนาด 2 x 75 เมกะวัตต์ รวมเป็นกำลังผลิตติดตั้งทั้งหมด 824 เมกะวัตต์) แก่ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. โดยใช้สาระสำคัญตามสัญญาซื้อขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าระยองระหว่าง กฟผ. กับ บฟร. เป็นแนวทางในการจัดทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม
(2) ขออนุมัติในหลักการให้ กฟผ. ซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอม ซึ่งดำเนินกิจการโดย บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. โดยใช้สาระสำคัญตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าระยองระหว่าง กฟผ. กับ บฟร. เป็นแนวทางในการจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจาก โรงไฟฟ้าขนอม
(3) ขออนุมัติให้ กฟผ. ทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้งสัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายและการประกอบการโรงไฟฟ้าขนอมเป็นภาษาอังกฤษ
(4) ขอให้ ครม. กำหนดนโยบายให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาในการส่งเสริมการลงทุนแก่ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. โดยให้ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีอื่นๆ เป็นระยะเวลาสูงสุดตามที่กฎหมายอนุญาต
(5) ขอให้ ครม. แต่งตั้งคณะกรรมการประเมินราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504 โดยขอให้แต่งตั้งผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และผู้แทน กฟผ. ร่วมเป็นกรรมการด้วย แล้วนำผลการประเมินราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอมเสนอต่อ ครม. โดยเสนอผ่านคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
(6) ขอการสนับสนุนให้หน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้ความอนุเคราะห์ให้ความ ร่วมมือ และอำนวยความสะดวกในการขอรับการอนุมัติและใบอนุญาตต่างๆ ที่จำเป็นในการซื้อขายและการประกอบกิจการโรงไฟฟ้าขนอม เพื่อให้ทันกำหนดการโอนทรัพย์สิน ภายในวันที่ 30 กันยายน 2538
ขั้นตอนที่ 2 : การขออนุมัติขั้นสุดท้ายจากคณะรัฐมนตรี
ภายหลังจากการดำเนินการตามขั้นตอนที่ 1 และการจัดทำร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอมเสร็จแล้ว ยังมีขั้นตอนการขออนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และ ครม. ขั้นสุดท้ายดังนี้
(1) การขออนุมัติราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอมที่ กฟผ. จะขายและโอนให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. ตามสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม และการขออนุมัติอัตราค่าไฟฟ้าอันกำหนดโดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรง ไฟฟ้าขนอม
(2) การขออนุมัติให้ กฟผ. ขายและโอนโรงไฟฟ้าขนอมให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. ได้ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม และการขออนุมัติให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอมได้ตามร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจาก โรงไฟฟ้าขนอม
5. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกร ทัพพะรังสี) ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 91/2538 ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2538 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอม โดยมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอภิลาศ โอสถานนท์) เป็นประธาน และกรรมการ ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สพช. และ กฟผ. เพื่อพิจารณาประเมินมูลค่าทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอมให้เป็นไปตามมติคณะ รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538
6. คณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอม ได้รายงานผลการพิจารณาต่อ สพช. เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2538 โดยในการพิจารณาราคาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอม ได้ใช้วิธีการประเมินราคาจำหน่าย ซึ่งเป็นที่ยอมรับและใช้กันทั่วไป ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนอม (ขนาด 674 เมกะวัตต์) เป็น โรงไฟฟ้าที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จ จึงใช้วิธีการทางบัญชีสุทธิบวกผลตอบแทนเงินลงทุนที่ใช้เงินรายได้ของ กฟผ. (Original Cost Less Depreciation Plus Interest From Fixed Deposit: OCLD+FD) โดยคำนวณผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มลงทุนจนถึงวันโอนทรัพย์สิน และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนบนเรือขนอมเครื่องที่ 1 และ 2 (ขนาด 2 x 75 เมกะวัตต์) เป็นโรงไฟฟ้าเก่าใช้งานมาเป็นเวลา 15 ปี และ 6 ปี ตามลำดับ จึงประเมินราคาโดยใช้วิธีประเมินราคาทดแทนตามมูลค่าปัจจุบัน (Replacement Cost Less Depreciation: RCLD) ทั้งนี้ คณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอม ได้ประเมินมูลค่าทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม ณ วันที่ 30 กันยายน 2538 เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 17,483 ล้านบาท
โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
6.1 ราคาที่ดิน จำนวน 358 ไร่ 3 งาน 58.5 ตารางวา (ตามการประเมินของกรมที่ดิน) เป็นเงิน 943 ล้านบาท
6.2 ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนบนเรือขนอม เครื่องที่ 1 และ 2 (ตามวิธี RCLD) เป็นเงิน 2,479 ล้านบาท
6.3 ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนอม (ตามวิธี OCLD+FD) เป็นเงิน 14,054 ล้านบาท
6.4 ค่าใช้จ่ายดำเนินการขายโรงไฟฟ้าขนอม เป็นเงิน 7 ล้านบาท
รวมทั้งสิ้น 17,483 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับไปดำเนินการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม โดยใช้หลักสากลคือ กำหนดให้ กฟผ. คัดเลือกผู้เชี่ยวชาญการประเมินทรัพย์สินที่พิจารณาเห็นว่ามีความเหมาะสม 1 ราย และให้บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) คัดเลือก 1 ราย แล้วให้ ผู้เชี่ยวชาญฯ ทั้ง 2 รายร่วมกันพิจารณาคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญการประเมินทรัพย์สินที่น่าเชื่อถือ อีก 2 ราย ทำการประเมินราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม เมื่อได้ราคาประเมินจากผู้เชี่ยวชาญฯ ทั้ง 4 รายแล้ว ให้คัดมูลค่าประเมินสูงสุดและต่ำสุดออก และนำส่วนที่เหลือมาเฉลี่ยเป็นค่าประเมิน ซึ่งหากราคาประเมินที่ผู้เชี่ยวชาญฯ ประเมินสูงกว่าราคาประเมินของคณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอม ก็ให้ใช้ราคาประเมินของผู้เชี่ยวชาญฯ แต่หากราคาประเมินของผู้เชี่ยวชาญฯ ต่ำกว่า ก็ให้ใช้ราคาประเมินตามที่คณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอมได้ประเมิน ไว้ คือ 17,483 ล้านบาท และให้ กฟผ. นำผลการประเมินเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติดังกล่าว
ครั้งที่ 15 - วันจันทร์ ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2549
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2549 (ครั้งที่ 15)
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2549 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. ทบทวนมติการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4. การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการสำรองเอทานอล
5. การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานคร
7. โครงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์น้ำมันเชื้อเพลิง
1. ราคาน้ำมันดิบ
1.1 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยในช่วงเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคมได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 69.17 และ 74.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากอิหร่านยังไม่ให้คำตอบ ในเรื่อง ข้อเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนการระงับโครงการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มขบวนการติดอาวุธเฮชบอลเลาะห์ ประกอบกับโรงกลั่นของสหรัฐอเมริกา 2 แห่ง ในรัฐหลุยเซียนา และในรัฐอิลลินอยล์ ต้องประกาศปิดฉุกเฉินหน่วยผลิต เป็นเวลา 20 วัน เนื่องจากกระแสไฟฟ้าขัดข้องจากผลกระทบของพายุ ตลอดจนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะนำน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ออกมาใช้ทันทีหากการขนส่งน้ำมันในอ่าวเปอร์เซียหยุดชะงักลง
1.2 ในช่วง 1 - 18 สิงหาคม 2549 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 69.93 และ 75.70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.76 และ 1.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลลาห์ยุติการสู้รบตามมติของสหประชาชาติ และแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Prudhoe Bay จะสามารถกลับมาผลิตได้ที่ระดับ 200,000 บาร์เรล/วัน ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2549 ดังนั้น ในช่วง 3 เดือน (1 มิถุนายน - 18 สิงหาคม 2549) ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 68.10 และ 73.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมที่ระดับ 3.10 และ 2.50 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์
2.1 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 เฉลี่ยเดือนมิถุนายนอยู่ที่ระดับ 82.76 และ 82.21 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 4.05 และ 3.97 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากอินโดนีเซียชะลอการนำเข้าในเดือนกรกฎาคม 2549 ลง และความต้องการใช้เบนซินในญี่ปุ่นจะลดลง เนื่องจากเริ่มเข้าช่วงฤดูฝน ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยเดือนมิถุนายนอยู่ที่ระดับ 85.88 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 1.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องอุปทานน้ำมันดีเซลจาก ตะวันออกกลางลดลง ประกอบกับอินเดียออกประมูลซื้อน้ำมันดีเซลส่งมอบครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม 2549 ปริมาณ 30,000 ตัน และอินโดนีเซียจะนำเข้าน้ำมันดีเซลส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2549 ปริมาณ 140,000 ตัน ขณะที่ในเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 85.50 , 84.47 และ 86.29 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลตามลำดับ โดยเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามราคาปิดน้ำมันดิบ WTI และ Brent ประกอบกับเวียดนามจะนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น ร้อยละ 29 ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2549 ส่วนราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาซื้อขายน้ำมันที่ใช้เพื่อความอบอุ่นในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ICE และจากความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่องของเวียดนาม
2.2 ระหว่าง 1 - 18 สิงหาคม 2549 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 84.41 และ 83.47 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เฉลี่ยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว เนื่องจาก IES รายงานปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูปในสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 1.17 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นปริมาณสำรองสูงสุดในรอบ 9 เดือน ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว เนื่องจากอินโดนีเซียลดปริมาณนำเข้าน้ำมันดีเซล ในเดือนกันยายน 2549 ลดลง 0.6 ล้านบาร์เรล จากเดือนสิงหาคม 2549 สรุปในช่วง 1 มิถุนายน - 18 สิงหาคม 2549 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 84.22 และ 83.38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2.58 และ 2.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.37 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
3. ราคาขายปลีก ในช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2549 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 5 ครั้ง และปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลง 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 3 ครั้ง ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับเพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 3 ครั้ง และปรับลดลง ครั้งละ 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 2 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 30.19, 29.39 และ 27.54 บาท/ลิตร ตามลำดับ ซึ่งต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 18 สิงหาคม ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลง 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 2 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 29.39, 28.59 และ 27.54 บาท/ลิตร ตามลำดับ ดังนั้นในช่วง 1 มิถุนายน - 18 สิงหาคม 2549 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร และปรับลดราคาขายปลีกเบนซินลดลง 0.80 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ช่วงเดือนมิถุนายน - 18 สิงหาคม 2549 การจัดเก็บเงินส่งเข้า กองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันชนิดต่างๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลงในอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากเดิมที่ผ่านมา ส่งผลให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2549 มีเงินสดสุทธิจำนวน 15,557 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระจำนวน 68,662 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตรจำนวน 26,400 ล้านบาท หนี้เงินกู้สถาบันการเงินจำนวน 29,605 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาค้างชำระจำนวน 1,404 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG จำนวน 10,961 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ จำนวน 159 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่ายประจำเดือนจำนวน 133 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 53,105 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในเดือนกันยายนประมาณ 2,573 ล้านบาท และมีรายจ่ายมากกว่ารายรับจำนวน 405 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ทบทวนมติการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1.กลไกการตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้อยู่ในระดับต่ำ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 กำหนดรายได้ของผู้ผลิตและผู้นำเข้าให้เท่ากับราคาประกาศเปโตรมินที่ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบีย เป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทนเป็น 60 ต่อ 40 ลบ 16 USD/TON มีราคาต่ำสุดในระดับ 185 USD/TON และสูงสุด ในระดับ 315 USD/TON ส่วนที่ 2 กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร กิโลกรัมละ 12.4569 บาท หากราคาจำหน่ายตามส่วนที่ 1 สูงกว่าให้จ่ายเงินชดเชยในอัตราสูงสุดไม่เกิน 2 บาท/กก. และส่วนที่ 3 กำหนดอัตราชดเชยค่าขนส่งก๊าซ ไปยังคลังก๊าซต่างๆ ตามประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2546 เพื่อให้สามารถจำหน่ายก๊าซได้ในราคาเดียวกัน
2. นโยบายราคาก๊าซ LPG ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเตรียมการสู่ระบบราคา "ลอยตัวเต็มที่" โดย กบง. ได้มีมติเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ให้จำกัดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงสุด เพื่อยุติการไหลออกของเงินกองทุนน้ำมันฯ โดยทยอยปรับลดอัตราชดเชย LPG ลงอย่างต่อเนื่อง และให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคา LPG เข้าสู่ระบบ "ลอยตัวเต็มที่" ในเดือนกรกฎาคม 2548 ซึ่งต่อมา กบง. เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2547 ได้มีมติให้กำหนดอัตราเงินชดเชยสูงกว่าเพดานสูงสุด 3 บาท/กก. ได้เป็นการชั่วคราว โดยให้ รมว. พน. เป็นผู้กำหนดอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG เกินกว่าอัตราเงินชดเชยสูงสุดได้ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์ ซึ่งจากมติดังกล่าวได้มีการดำเนินการปรับและขยายเวลาการชดเชยราคาก๊าซ LPG รวม 3 ครั้ง และเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2549 กบง. ได้มีมติให้ขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากเดือนธันวาคม 2548 เป็นเดือนมิถุนายน 2549 และขยายระยะเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. จากเดือนธันวาคม 2548 เป็นเดือนมิถุนายน 2549
3. ปัจจุบันการขยายระยะเวลาการชดเชยราคาก๊าซ LPG ตามข้อ 2 ได้สิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน 2549 แล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเห็นควรให้ขยายระยะเวลาการชดเชยฯ ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากการใช้ ก๊าซ LPG ในภาคการขนส่งโดยเฉพาะ ในกลุ่มรถแท็กซี่ยังมีอยู่อย่างแพร่หลาย ขณะที่การเปลี่ยนแปลงเพื่อ หันไปใช้ NGV ตามนโยบายของรัฐบาลเป็นไปอย่างจำกัด โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ LPG ในรถแท็กซี่ไปเป็น NGV ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ และการขยายและก่อตั้งสถานีบริการ NGV ให้ครอบคลุมเส้นทางหลัก ทั้งนี้หากรัฐดำเนินการยกเลิกการตรึงราคาก๊าซ LPG ตามมติ กบง. จะส่งผลกระทบโดยตรงและสร้างความเดือดร้อนต่อกลุ่มรถแท็กซี่ ที่ยังใช้ก๊าซ LPG เป็นจำนวนมาก
แผนการดำเนินการตามโครงการ NGV ในเขตกรุงเทพฯ
รายการ | ปัจจุบัน (21 ส.ค. 49) | สิ้นปี 2549 | ||||
NGV | LPG, อื่นๆ | รวม | NGV | LPG, อื่นๆ | รวม | |
จำนวนรถแท็กซี่ (คัน) | 7,000 (11%) |
56,000 (89%) |
63,000 (100%) |
30,000 (48%) |
33,000 (52%) |
63,000 (100%) |
จำนวนสถานี NGV | 52 | - | 52 | 127 | - | 127 |
4. อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากแผนการดำเนินการตามโครงการ NGV ข้างต้น ทั้งการเพิ่มจำนวนรถแท็กซี่ที่ปรับเปลี่ยนการใช้ LPG ไปเป็น NGV และการเพิ่มจำนวนสถานี NGV คาดว่าจะสามารถดำเนินการยกเลิกการตรึงราคาก๊าซ LPG ได้ ภายในสิ้นปี 2549
5 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้คงนโยบายราคาก๊าซ LPG ในปัจจุบันต่อไปอีก 6 เดือน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 - 31 ธันวาคม 2549 พร้อมทั้งข้อเสนอให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG และเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจกำหนดอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG เกินกว่าอัตราเงินชดเชยสูงสุดได้ ตามความ เหมาะสมแก่สถานการณ์
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติให้คงนโยบายการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในปัจจุบัน โดยขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ต่อไปอีก 6 เดือน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 - 31 ธันวาคม 2549
2. อนุมัติให้ขยายเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก.ต่อไปอีก 6 เดือน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 - 31 ธันวาคม 2549
3. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความ เห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG และเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจกำหนดอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG เกินกว่าอัตราเงินชดเชยสูงสุดได้ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์ และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมด้านพลังงานและเศรษฐกิจของไทย สนพ. ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดูแลให้ประเทศมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ มั่นคง และมีราคาเหมาะสม จึงได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง และได้รับเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายประจำปีจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสร้าง ความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน โดยใช้สื่อบูรณาการหลากหลาย ทั้งแนวกว้างและแนวลึก ทั้งการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน และสื่อต่างๆ ที่สามารถกำหนดประเด็น และเนื้อหาได้ (Control Media) โดยได้รับอนุมัติงบประมาณประจำปีตั้งแต่ปี 2547 - 2549 เป็นเงิน 19 ล้านบาท 19 ล้านบาท และ 15 ล้านบาท ตามลำดับ
2. ในปี 2549 สนพ. ได้ดำเนินการจัดจ้างและจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ฯ ต่างๆ เพื่อความมั่นคง ด้านพลังงาน อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีสถานการณ์ราคาพลังงานมีแนวโน้มสูงและทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ ผู้รับจ้างได้ดำเนินกิจกรรมบางส่วนแล้วเสร็จเร็วกว่าที่กำหนดไว้ในแผน ซึ่งสื่อที่เผยแพร่ตามสัญญาโดยเฉพาะ Control Media ที่เตรียมไว้ได้หมดลงในช่วงครึ่งปีแรกของสัญญา ทำให้เกิดข้อจำกัดในการประชาสัมพันธ์ในระยะต่อไป เพื่อเร่งผลักดันยุทธศาสตร์ด้านพลังงานอย่างเต็มที่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้ความรู้และความเชื่อมั่นในการใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน ได้แก่ NGV แก็สโซฮอล์ และไบโอดีเซล และเพื่อให้การดำเนิน กิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานในปี 2549 ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สนพ. จึงจำเป็นต้องดำเนินการจัดจ้างเพื่อซื้อสื่อประชาสัมพันธ์ (ส่วนเพิ่ม) โดยขอรับเงินสนับสนุน ค่าใช้จ่ายจากเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นจำนวนเงินเพิ่มอีก 4 ล้านบาท
3. สำหรับรายละเอียดของโครงการ (ส่วนเพิ่ม) จะมุ่งเน้นจัดหาสื่อที่เหมาะสมในการประชาสัมพันธ์นโยบายพลังงาน ยุทธศาสตร์พลังงานเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน และสร้างทัศนคติที่ดีต่อนโยบายพลังงาน ตลอดจนเผยแพร่ผลงานของกระทรวงพลังงานโดยเน้นกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนทั่วไป สื่อมวลชน ผู้นำความคิดเห็นและนักวิชาการ
4. ในส่วนขอบเขตของงาน โดยผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสาร นโยบาย และกิจกรรมด้านพลังงานผ่านสื่อต่างๆ ได้แก่ การจัดบุคคลออกรายการโทรทัศน์ การจัดทำบทความเชิงโฆษณา ทางหนังสือพิมพ์ และจัดทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ อาทิ แถลงข่าว เป็นต้น โดยใช้งบประมาณวงเงิน 4 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 กันยายน 2549 - 31 ธันวาคม 2549 ทั้งนี้ คาดว่าผลที่จะได้รับจะทำให้ประชาชนทั่วไป สื่อมวลชน ผู้นำความคิด นักวิชาการ ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารของกระทรวงพลังงานที่ถูกต้อง และครบถ้วน และมีทัศนคติที่ดีต่อกระทรวงพลังงานมากขึ้น ตลอดจนเพื่อเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ผลงานหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงพลังงาน และตอบโต้ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็วและทันเวลา
5. คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 13) เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549 ได้พิจารณาเรื่อง ทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปีงบประมาณ 2550 - 2553 และได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปี 2550 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ตามการขอปรับรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ ของหน่วยงาน และได้เห็นชอบให้ สนพ. นำเสนอ กบง. เพื่อขอใช้จ่ายเงินสำรอง (จำนวน 80 ล้านบาท) ในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นปีละ 4 ล้านบาท โดยให้ขอเป็นครั้งๆ ในแต่ละปีต่อไป
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ในปีงบประมาณ 2549 ให้กับ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน (ส่วนเพิ่ม) ในวงเงิน 4,000,000.00 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ในหมวดเงินสำรองปีงบประมาณ 2550 ให้กับ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานในวงเงิน 4,000,000 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน)
เรื่องที่ 4 การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการสำรองเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2548 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ผสม MTBE ในวันที่ 1 มกราคม 2550 โดยให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 หรือน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ผสมเอทานอลทดแทน ซึ่งกระทรวงพลังงานได้เร่งดำเนินการผลักดันนโยบายให้สามารถนำไปสู่การปฏิบัติ โดยการเร่งจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ทดแทนน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ซึ่งจากรายงานการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ของกรมธุรกิจพลังงาน ณ เดือนมิถุนายน 2549 อยู่ที่ระดับ 104 ล้านลิตร/เดือน หรือประมาณ ร้อยละ 45.6 ของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ทั้งหมด (224 ล้านลิตร) และมีสถานีบริการจำหน่ายทั่วประเทศ ณ เดือนกรกฎาคม 2549 จำนวน 3,241 แห่ง นอกจากนี้เร่งจัดหาเอทานอลในประเทศ โดยส่งเสริมการสร้างโรงงานผลิตเอทานอล ซึ่งปัจจุบันได้รับอนุมัติก่อสร้างไปแล้ว 24 แห่ง และได้เปิดดำเนินการผลิตแล้ว 5 แห่ง ขณะเดียวกันตามแผนการก่อสร้างโรงงานเอทานอลภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) คาดว่าจะเปิดดำเนินการเพิ่มขึ้นได้อีก 4 แห่งในสิ้นปี 2549 และส่วนที่เหลือจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงปลายปี 2550 - 2551
2. เพื่อเตรียมการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ได้ตามมติคณะรัฐมนตรี สนพ. ได้ประสานความร่วมมือกับ ปตท. ประเมินสถานการณ์การจัดหาและความต้องการเอทานอลในประเทศ เพื่อรองรับความต้องการใช้เอทานอล ณ วันที่ 1 มกราคม 2550 ประมาณ 0.8 ล้านลิตร/วัน พบว่าในการจัดหาเอทานอลปัจจุบันมีโรงงานผลิตเอทานอล ที่เปิดดำเนินการแล้ว 5 แห่ง ได้แก่ บริษัท พรวิไล, ไทยแอลกอฮอล์, ไทยอะโกร, ขอนแก่นแอลกอฮอล์ และไทยง้วน กำลังการผลิตรวม 655,000 ลิตร/วัน แต่สามารถผลิตจริงได้ 495,000 ลิตร/วัน และหากรวมโรงงานเอทานอลที่จะเปิดดำเนินการได้ภายในเดือนธันวาคม 2549 จำนวน 4 แห่ง จะทำให้มีกำลัง การผลิตรวมเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 510,000 ลิตร/วัน โดยคาดว่าจะสามารถผลิตจริงได้ประมาณ 408,000 ลิตร/วัน อย่างไรก็ตาม ปตท. ได้ตรวจสอบข้อมูลการก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลที่คาดว่าจะเปิดอีก 4 แห่ง พบว่า โรงงาน จำนวน 2 แห่ง ไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ทันในสิ้นปี 2549 คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เนื่องจาก ติดปัญหาด้านการเงิน และบริษัท เอกรัฐพัฒนา ติดปัญหาการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2550 สำหรับการจำหน่าย ปตท. ได้รายงานการจำหน่ายเอทานอล ณ เดือนกรกฎาคม 2549 มีปริมาณ 350,000 ลิตร/วัน และคาดว่าจะทยอยเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ก่อนการยกเลิกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในวันที่ 1 มกราคม 2550
3. จากข้อมูลการจัดหาและความต้องการเอทานอล พบว่าปัจจุบันมีการจัดหาเอทานอล ประมาณ 443,000 ลิตร/วัน ความต้องการเอทานอล ประมาณ 350,000 ลิตร/วัน จึงจะมีการจัดหาคงเหลือ ประมาณ 93,000 ลิตร/วัน หรือประมาณ 2.79 ล้านลิตร/เดือน โดยที่กระทรวงพลังงาน ได้ประมาณการความต้องการเอทานอล ในวันที่ 1 มกราคม 2550 ไว้ที่ 800,000 ลิตร/วัน แต่การจัดหาเอทานอล (ผลิตจริง) ประมาณ 673,000 ลิตร/วัน ไม่รวมบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล และ บริษัท เอกรัฐพัฒนา จะทำให้เอทานอลไม่เพียงพอกับความต้องการ ประมาณ 127,000 ลิตร/วัน
4. เพื่อป้องกันปัญหาขาดแคลนเอทานอล เมื่อถึงกำหนดยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในเดือนมกราคม 2550 กระทรวงพลังงาน จึงขอเสนอดังนี้
4.1 ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เก็บสำรองเอทานอลคงเหลือในประเทศ ตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2549 เพื่อรองรับความต้องการใช้ในช่วงไตรมาสแรกของการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปี 2550 ซึ่งอาจจะมีความต้องการ มากกว่า การจัดหา
4.2 สนับสนุนค่าใช้จ่ายในส่วนของดอกเบี้ย และค่าเช่าสถานที่เก็บเอทานอลให้กับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ทั้งนี้ ให้ สนพ. กรมธุรกิจพลังงาน และบริษัท ปตท. ร่วมกันพิจารณาจัดทำแผนการจัดหา การเก็บสำรอง และการใช้เอทานอล พร้อมเป็นผู้กำหนดอัตราชดเชยค่าดอกเบี้ย และค่าเช่าสถานที่เก็บ ที่เหมาะสมให้กับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา7 และมอบหมายให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ตามหลักเกณฑ์ที่ สนพ. กรมธุรกิจพลังงาน และบริษัท ปตท. นำเสนอ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เก็บสำรองเอทานอลคงเหลือในประเทศ ตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2549 เพื่อรองรับความต้องการใช้เอทานอลในช่วงไตรมาสแรกของการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปี 2550 ที่อาจจะมีความต้องการใช้มากกว่าการจัดหา
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกันจัดทำรายละเอียดในการเก็บสำรองเอทานอลตามหลักการในข้อ 1 เพื่อนำเสนอคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2533 และวันที่ 30 มีนาคม 2547 ได้มีมติให้มีการจำกัดปริมาณการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของคลังน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ประเทศขาดดุลการค้าสูงมาก กระทรวงพลังงานจึงได้กำหนดนโยบายให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพและการลดการใช้พลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในภาคการขนส่ง โดยมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานกำหนดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพหรือลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในระบบจ่ายน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนน้ำมัน (Product Exchange) ในระหว่างกลุ่มบริษัท และปรับปรุงระบบการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น
2. กรมธุรกิจพลังงานจึงได้จัดทำโครงการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานครขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนการและกำหนดมาตรการปรับปรุงระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้พลังงานน้อยที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในด้านความปลอดภัยและสามารถตอบสนองต่อปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของประชาชนได้อย่างเพียงพอ
3. ขอบเขตการดำเนินการโครงการฯ โดยการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละพื้นที่ จำนวน สถานที่ตั้ง ความสามารถในการผลิตและปริมาณการเก็บของโรงกลั่นและคลังน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในปัจจุบัน การแลกเปลี่ยนน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างบริษัท และข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ ที่จำเป็นในการศึกษาและวิเคราะห์ระบบการขนส่งและการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ ศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกในการจัดระบบการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานคร รวมทั้งการนำปัจจัยความปลอดภัย ความพึงพอใจและข้อคิดเห็นของประชาชนมาเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาจัดทำแผน ขั้นตอน มาตรการและระยะเวลาในการปรับปรุงระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง
4. วิธีการดำเนินโครงการฯ โดยการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อมาดำเนินการตามวัตถุประสงค์ โดยมีระยะเวลาการศึกษา 12 เดือน ใช้งบประมาณ 10.2680 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานครให้กับกรมธุรกิจพลังงาน ในวงเงิน 10,268,000 บาท (สิบล้านสองแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน
สรุปสาระสำคัญ
1. จากการประกอบกิจการเกี่ยวกับก๊าซปิโตรเลียมเหลวมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ขาดมาตรฐานที่ดีในด้านความปลอดภัย และการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับถังก๊าซหุงต้ม รัฐบาลได้กำหนด แนวทางดำเนินการแก้ไขปัญหา เป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 (ปี 2542 - 2544) การดำเนินการยกเลิกควบคุมราคาและปรับปรุงระบบการค้าให้มีความปลอดภัย ระยะที่ 2 (ปี 2544 - 2546) การดำเนินการแก้ไขปัญหาถังขาวหรือถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบซ่อมบำรุงแทนถังขาวตามโครงการ "รัฐช่วยราษฎร์แลกถังขาวฟรี" และระยะที่ 3 (ปี 2546 เป็นต้นมา) ดำเนินการแก้ไขปัญหาถังก๊าซหุงต้มที่ให้เจ้าของถังก๊าซหุงต้ม (มาตรา 7) เป็นผู้รับผิดชอบในการซ่อมบำรุง
2. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้รวบรวมข้อมูลถังก๊าซหุงต้ม จากผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 พบว่าจำนวน ถังก๊าซหุงต้มที่มีใช้หมุนเวียนในปัจจุบัน มี 7 ขนาด มีจำนวนรวมประมาณ 25 ล้านถัง มีถังก๊าซหุงต้มที่จะต้องทดสอบและซ่อมบำรุงครบวาระ 5 ปี และ 10 ปี จำนวน 11.76 ล้านถัง ดำเนินการซ่อมบำรุงไปแล้ว 3.88 ล้านถัง ยังไม่ได้ดำเนินการอีก จำนวน 7.88 ล้านถัง คิดเป็นร้อยละ 32 ของปริมาณถังทั้งหมด โดยถังก๊าซหุงต้มดังกล่าว แบ่งออกเป็นถังที่ต้องซ่อมบำรุงครบวาระ 5 ปี จำนวน 2.7 ล้านถัง และครบวาระ 10 ปี จำนวน 5.18 ถัง
3. ธพ. เห็นว่าถังก๊าซหุงต้มที่ใช้งานมาเป็นเวลานาน และไม่มีการบำรุงรักษาซ่อมบำรุงและทดสอบตามระยะเวลา 5 ปี ไม่มีความปลอดภัยต่อประชาชนและอาจก่อให้เกิดอุบัติภัยขึ้นได้ จึงจัดทำโครงการเร่งรัด การซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้มที่ครบวาระ 5 ปี และ 10 ปี ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 ดำเนินการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้มที่ครบวาระ ตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัดภายในเวลาที่กำหนด และประชาชนและร้านจำหน่ายก๊าซได้ใช้ถังก๊าซหุงต้มที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย ตลอดจนทำให้เกิดการแข่งขันกันในตลาดการค้าก๊าซหุงต้มอย่างเป็นธรรม
4. ลักษณะโครงการ มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการ และการใช้ถังก๊าซหุงต้มอย่างปลอดภัย ทางสื่อสิ่งพิมพ์และทางโทรทัศน์ และให้ผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 จัดทำแผนการซ่อมบำรุงถังก๊าซ และดำเนินการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้มตามแผนที่เสนอ และให้แล้วเสร็จภายใน 30 เดือน พร้อมทั้งจัดสัมมนาผู้ประกอบการ โรงบรรจุก๊าซ,ร้านจำหน่ายก๊าซ, ผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 และ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ 6 ครั้ง โดยมีเป้าหมายการดำเนินงานอยู่ที่ถังก๊าซหุงต้มที่ต้องซ่อมบำรุง ครบวาระ 10 ปี แต่ยังตกค้างจำนวน 5.18 ล้านถัง และถังก๊าซหุงต้มที่ต้องซ่อมบำรุงครบวาระ 5 ปี จำนวน 2.70 ล้านถัง และการจัดสัมมนาผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ
5. วิธีดำเนินการโครงการ ประกอบด้วย เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ให้ทราบถึงวิธีการเลือกใช้ถังก๊าซหุงต้มที่ถูกต้องตามกฎหมายและได้มาตรฐานความปลอดภัย ทางสื่อต่างๆ เป็นเวลา 2 เดือน จัดสัมมนา ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวม 6 ครั้งๆ ละ 1 วัน และดำเนินการซ่อมบำรุง ถังก๊าซหุงต้มที่ยังตกค้าง โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ถังก๊าซหุงต้มที่ครบวาระ 10 ปี แต่ยังไม่ได้ทำการซ่อมบำรุงให้แล้วเสร็จ ภายใน 18 เดือน และระยะที่ 2 ถังก๊าซหุงต้มที่ครบวาระ 5 ปี แต่ยังไม่ได้ทำการซ่อมบำรุงให้แล้วเสร็จต่อจากระยะที่ 1 ภายใน 12 เดือน นอกจากนี้ กำหนดให้ผู้ค้าฯ ตามมาตรา 7 จัดทำแผนการดำเนินการและรายงานให้สำนักความปลอดภัยธุรกิจก๊าซทราบทุกๆ วันที่ 15 ของเดือน ตลอดจนจัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบการดำเนินการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้ม ตามระยะที่ 1 และ 2 และหากตรวจพบว่ามีการบรรจุก๊าซลงถังก๊าซหุงต้มที่ยังมิได้ทำการซ่อมบำรุง จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย
6. โครงการมีวงเงินค่าใช้จ่ายเป็นเงินรวม 5,960,000 บาท มีระยะเวลาดำเนินการ 30 เดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - ธันวาคม 2551 (สิ้นสุดโครงการระยะที่ 1 เดือนธันวาคม 2550 และระยะที่ 2 เดือนธันวาคม 2551)
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อดำเนินโครงการเร่งรัดให้ผู้ประกอบการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้มครบวาระ 5 ปี และ 10 ปี ให้กับกรมธุรกิจพลังงาน ในวงเงินจำนวน 5,960,000 บาท (ห้าล้านเก้าแสนหกหมื่นบาทถ้วน) โดยมีระยะดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - เดือนธันวาคม 2551
เรื่องที่ 7 โครงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัญหาด้านพลังงานเป็นปัญหาที่สำคัญ และถูกบรรจุไว้เป็นวาระแห่งชาติเมื่อปี 2547 กระทรวง พลังงานได้เสนอแผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ และได้รับความเห็นชอบจากคณะ รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ต่อมาได้ดำเนินการจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร) เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2549 โดยที่แผนยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงานเป็นแผนแบบบูรณาการที่จำเป็นต้องนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง ต้องมีการปรับแผนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา และต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานนอกกระทรวงพลังงานที่เกี่ยวข้องและภาคส่วนต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการแผ่นดินและแผนงบประมาณของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง
2. การผลักดันแผนยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติจำเป็นต้องมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีทีมงานด้านวิชาการสนับสนุน มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และมีงบประมาณ ในการดำเนินกิจกรรมสร้างความเข้าใจ และสร้างแนวร่วม เพื่อให้สามารถนำแผนปฏิบัติการด้านพลังงานไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุดและสามารถแก้ไขปัญหาด้านพลังงานได้อย่างยั่งยืน สนพ. จึงได้ จัดทำโครงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการผลักดันแผนยุทธศาสตร์พลังงานและแผนปฏิบัติการด้านพลังงานไปสู่การปฏิบัติอย่างมีลำดับขั้นตอน และมีการทำงานเป็นทีม และเชื่อมโยงงานกลุ่มนโยบายกับกลุ่มการเงิน
3. สำหรับกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับแผนบริหารราชการแผ่นดิน และแผนงบประมาณแผ่นดิน ได้แก่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ ก.พ.ร. และหน่วยราชการที่ต้องมีความร่วมมือการแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน ได้แก่ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี กระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และองค์กรต่างๆ ผู้นำความคิด นักวิชาการ กรรมาธิการ สส. สว. สื่อมวลชน ประชาชนทั่วไป
4. แนวทางการดำเนินงานโครงการฯ โดยจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันแผนยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นหัวหน้าทีมงาน และมี สนพ. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ มีการบริหารเชิงกลยุทธ์ในการผลักดันแผนยุทธศาสตร์พลังงานให้เกิดเป็นรูปธรรม ประสานและสนับสนุนงานกับหน่วยงานต่างๆ และกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ติดตามและประเมินผลของการผลักดันแผน ยุทธศาสตร์พลังงาน เพื่อ ปรับเปลี่ยนและแก้ไขได้ตามสถานการณ์ปัจจุบัน และสร้างตัวชี้วัด (KPI) ในการปฏิบัติงานรวมถึงประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ และประชาชนทั่วไป อาทิ การจัดประชุมเชิงวิชาการ การสัมมนา รายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินงาน ฯลฯ
5. โครงการฯ จะใช้งบประมาณเพื่อดำเนินการจำนวนเงิน 24,000,000 บาท โดยมีระยะเวลาตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 - กันยายน 2550 (12 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา) โดยผลที่คาดว่าจะได้รับ กล่าวคือ สามารถผลักดันแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการด้านพลังงานไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล เชื่อมโยงกับแผนปฏิบัติราชการแผ่นดิน และมีแผนงบประมาณแผ่นดินเพื่อรองรับการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ ตลอดจนสาธารณชนมีทัศนคติที่ดีและมีส่วนร่วมต่อ "แผนปฏิบัติการด้านพลังงานของประเทศ" เกิดความร่วมมือ กันอย่างจริงจังในเชิงบูรณาการในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจัดทำรายละเอียดโครงการ (TOR) ให้เป็นรูปธรรมและชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อประมาณค่าใช้จ่ายการดำเนินงานให้ถูกต้อง และนำกลับมาเสนอต่อคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป
กพช. ครั้งที่ 66 - วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2540
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2540 (ครั้งที่ 66)
วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2540 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
3.การของดเงินเพิ่มร้อยละ 3 กรณีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายหลังระยะเวลาที่กำหนด
4.มาตรการและแนวทางการใช้เชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ
5.แนวทางการปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
6.มาตรการในการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
7.การลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวสำหรับโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP)
8.การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจที่ปรึกษางานเหมืองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
9.ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
10.ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3
11.เรื่องแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (ฉบับที่ 2) ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
13.การขายหุ้นของกระทรวงการคลังในบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด
14.การแปรรูปกิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีตของการไฟฟ้านครหลวง
15.การขายหุ้นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)
รองนายกรัฐมนตรี นายกร ทัพพะรังสี รองประธานกรรมการ เป็นประธานการประชุม
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและเลขานุการ เป็นเลขานุการที่ประชุม
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน ถึง กลางเดือนตุลาคม 2540 สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ราคาน้ำมันดิบเดือนกันยายนอยู่ในสภาวะทรงตัว โดยราคาเฉลี่ยอยู่ในระดับ 18.0 - 19.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แม้ว่าจะมีน้ำมันดิบจากอิรัคเข้าสู่ตลาด ก็ไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง เนื่องจากประเทศนอกกลุ่มโอเปคมีปริมาณการผลิตลดลง ในขณะที่ความต้องการน้ำมันดิบของโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงครึ่งแรกของเดือนตุลาคม ราคาน้ำมันดิบแข็งตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 19.2 - 21.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นผลจาก ความต้องการน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคและจากกระแสข่าวเหตุการณ์ตึง เครียดในตะวันออกกลาง และเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้เริ่มคลี่คลายในช่วงกลางเดือนตุลาคม ทำให้ราคาอ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 18.8 - 21.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในเดือนกันยายน ราคาน้ำมันเบนซินและก๊าดอยู่ในระดับทรงตัว ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาได้แข็งตัวขึ้นมาประมาณ 0.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากการเริ่มสำรองน้ำมันเพื่อเตรียมไว้สำหรับฤดูหนาว ส่วนในครึ่งแรกของเดือนตุลาคม การจัดหาน้ำมันในภูมิภาคเอเซีย ได้รับผลกระทบจากการปิดซ่อมแซมของโรงกลั่นในอินโดนีเซีย และการเลื่อนการเปิดดำเนินการของโรงกลั่นใหม่ในฟิลิปปินส์ ในขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันอยู่ในระดับสูง ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษ เบนซินธรรมดา ก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเตา เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 25.7, 24.1, 25.5, 23.8 และ 18.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ได้มีการปรับราคาขายปลีก น้ำมันเบนซินและดีเซลรวม 14 ครั้ง เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนตัวลง การปรับภาษีมูลค่าเพิ่มและราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้น รวมทั้งสิ้น 2.49 และ 2.41 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยครั้งที่ 12 และ 13 เป็นการปรับราคาขายปลีก เนื่องจากกระทรวงการคลังได้ปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้น 1 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2540 และรัฐบาลได้ตัดสินใจลดภาษีสรรพสามิตลงมาสู่ระดับเดิม เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2540 ทำให้ราคาขายปลีกลดลงมาสู่ระดับเดิม และครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2540 ได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลเพิ่มขึ้นอีก 0.25 บาท/ลิตร ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาท ได้อ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 39 บาท/เหรียญสหรัฐฯ โดยราคาน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่ว เบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่ว และดีเซลหมุนเร็วอยู่ในระดับ 11.92, 11.53 และ 10.71 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ในช่วงเดือนกันยายน ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับ 0.94 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าปกติ เนื่องจากราคาขายปลีกเพิ่มสูงขึ้นช้ากว่าค่าเงินบาทที่ลดลง และกลับเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.03 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม ส่วนค่าการกลั่นในเดือนกันยายนได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.09 บาท/ลิตร และในครึ่งแรกของเดือนตุลาคม ลงมาอยู่ในระดับ 0.94 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การควบคุมผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและสารละลาย คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 เห็นชอบให้กรมสรรพสามิตปรับปรุงการกำหนดคุณสมบัติของสารละลายประเภทไฮโดร คาร์บอนที่ต้องเสียภาษีใหม่ให้ครอบคลุมถึงสารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอนทุก ชนิดที่มีคุณสมบัตินำไปใช้ปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิงและมีราคาไม่สูงนัก โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2540 ซึ่งกรมสรรพสามิตได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขประกาศกรมสรรพสามิต เรื่องกำหนดคุณสมบัติสารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอน และระเบียบกรมสรรพสามิตว่าด้วยการอนุญาตให้ใช้สารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอน ที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ภายในเดือนตุลาคม 2540
2. การติดตั้งมาตรวัดน้ำมันแบบอัตโนมัติ กรมสรรพสามิตกำลังดำเนินการจัดทำรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ (Specification) ของระบบวัดน้ำมันอัตโนมัติสำหรับคลังน้ำมันแต่ละแห่ง และระบบเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลจากจังหวัดต่างๆ มายังห้องปฏิบัติการฯ โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการประกวดราคาได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2540 และเริ่มติดตั้งประมาณเดือนเมษายน 2541 โดยติดตั้งที่คลังเป้าหมาย จำนวน 4 คลังก่อน สำหรับคลัง น้ำมันส่วนที่เหลือทั้งหมดกรมสรรพสามิตคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จ ทันตามระยะเวลาที่กำหนด คือประมาณเดือนกรกฎาคม 2542
3. การเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร กรมสรรพสามิตกำลังดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติสาร Marker ของบริษัทต่างๆ ที่เสนอมาเพิ่มเติมจำนวน 4 บริษัท คือ บริษัท John Hogg , Biocode, Eastman และ บริษัท Bahf เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า เมื่อนำมาใช้เติมในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ ส่งออกแล้วจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศที่สุจริต โดยทำการตรวจสอบตัวอย่างน้ำมันนำเข้าจากประเทศต่างๆ ว่าได้มีการเติมสาร Marker ชนิดใดชนิดหนึ่งไปแล้วหรือไม่ เพื่อจะนำมาใช้ในการเติมใน น้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ส่งออกต่อไป
4. การแก้ไขกฎเกณฑ์การควบคุมคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิง คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 ให้กรมทะเบียนการค้าแก้ไขกฎเกณฑ์การควบคุมคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิง มิให้นำประกาศกำหนด คุณภาพสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในประเทศ มาใช้บังคับกับน้ำมันที่นำมาเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน (คสน.) และน้ำมันที่ส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ โดยกรมทะเบียนการค้าได้รายงานว่าข้อกำหนดเรื่องคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงตาม ประกาศกระทรวงพาณิชย์ ใช้บังคับเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อจำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น ส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเก็บใน คสน. เพื่อรอการส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศนั้น ไม่ต้องอยู่ในบังคับเรื่องข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงตามประกาศกระทรวง พาณิชย์แต่อย่างใด ซึ่งกรมทะเบียนการค้าได้แจ้งให้กรมศุลกากรทราบแล้ว
5. ผลการจับกุมน้ำมันดีเซลในช่วงระหว่างเดือนมกราคม - กันยายน 2540 สามารถจับกุมน้ำมันลักลอบ หนีภาษีได้จำนวน 2,286,166 ลิตร ลดลงจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณ 4.5 ล้านลิตร
6. ปริมาณจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนสิงหาคม 2540 มีปริมาณ 1,377.7 ล้านลิตร ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 150 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 9.8 และหากไม่รวมปริมาณการใช้ของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะมีปริมาณ 1,341.6 ล้านลิตร ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 62 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 4.4
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้กรมสรรพสามิตดำเนินการปรับแผนการดำเนินการติดตั้งระบบควบคุม การรับ-จ่ายน้ำมัน ณ คลังชายฝั่ง 47 แห่ง (จำนวน 58 คลัง) รวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายระบบข้อมูลจากจังหวัดต่างๆ มายังห้องปฏิบัติการใหม่ของกรมสรรพสามิตให้แล้วเสร็จเร็วขึ้น และให้นำเสนอในที่ประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 3 การของดเงินเพิ่มร้อยละ 3 กรณีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายหลังระยะเวลาที่กำหนด
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมสรรพสามิต ได้ขอให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน พิจารณาเรื่องการของดจ่ายเงินส่วนเพิ่มร้อยละ 3 กรณีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายหลังระยะเวลาที่กำหนดของผู้ค้า น้ำมัน ซึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดในการคำนวณอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อมีการออกประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2539 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันเบนซินและดีเซลเพิ่มขึ้น โดยคำนวณอัตราใหม่เฉพาะปริมาณสารเติมแต่งที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่ได้คำนวณจากปริมาณน้ำมันทั้งหมด
2. การพิจารณาเรื่องดังกล่าวข้างต้นเป็นอำนาจของคณะกรรมการพิจารณานโยบาย พลังงานตาม คำสั่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้พิจารณาแล้วและมีมติเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2540 เห็นชอบให้งดเงินเพิ่มร้อยละ 3 กรณีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ภายหลังระยะเวลาที่กำหนดตามคำร้องขอของผู้ค้าน้ำมัน 3 ราย คือ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด, บริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ (ไทย) จำกัด, และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน 5,381,750.81 บาท; 3,134,524.74 บาท; และ 788,635.68 บาท ตามลำดับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,304,911.23 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 มาตรการและแนวทางการใช้เชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมควบคุมมลพิษได้ขอความร่วมมือให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จัดทำแนวทางในการลดมลภาวะของโรงไฟฟ้าเก่าทุกขนาด เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอค่ามาตรฐานการระบายมลพิษของก๊าซซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ (SO2) ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนในรูปของไนโตรเจนไดออกไซด์ (NOx as NO2) และฝุ่นละออง (TSP) ซึ่งกรมควบคุมมลพิษได้จัดทำขึ้น
2. สพช. ได้จัดให้มีการประชุมโดยเชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมพิจารณา ซึ่งได้ข้อสรุป ดังนี้
2.1 มาตรการและแนวทางการใช้เชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 ในช่วงปี 2540-2542 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องใช้ น้ำมันเตาในโรงไฟฟ้าต่างๆ ในระดับหนึ่ง เพราะปริมาณก๊าซธรรมชาติของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ที่จำหน่ายให้ไม่เพียงพอและยังไม่มีการวางท่อส่งก๊าซเส้นใหม่ไปยังโรงไฟฟ้า
ระยะที่ 2 ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นไป เมื่อ ปตท. วางท่อส่งก๊าซแล้วเสร็จก็จะสามารถส่ง ก๊าซธรรมชาติให้ กฟผ. เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ กฟผ. มีทางเลือกในการใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทนน้ำมันเตา ดังนี้
(1) โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ การใช้น้ำมันเตาในช่วงปี 2543-2551 อยู่ในระดับ 190-317 ล้านลิตรต่อปี และจะเลิกผลิตไฟฟ้า (Retire) ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไป ซึ่งในระหว่างที่ยังดำเนินการอยู่ต้องใช้น้ำมันเตาที่มีปริมาณ Asphaltene ต่ำ และปริมาณกำมะถันไม่เกิน 1% โดยให้ปตท. จัดหาให้แก่โรงไฟฟ้า พระนครเหนือ ตั้งแต่มกราคม 2541 เป็นต้นไป
(2) โรงไฟฟ้าพระนครใต้ มีการใช้น้ำมันเตาปีละ 2,000 ล้านลิตร โดยจะลดการใช้น้ำมันเตา ให้เหลือ 767 ล้านลิตรในปี 2543 และลดลงเหลือ 260 ล้านลิตร ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไป โดยใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทน ในช่วงที่ยังไม่สามารถเพิ่มการใช้ก๊าซธรรมชาติได้ ให้ ปตท. จัดส่งน้ำมันเตาประเภท 2 ที่มีปริมาณ Asphaltene ไม่เกิน 3% และปริมาณกำมะถันไม่เกิน 2% และน้ำมันเตา High Pour Point ซึ่งมีปริมาณกำมะถันไม่เกิน 0.5% ประมาณเดือนละ 40 ล้านลิตร ให้แก่โรงไฟฟ้าพระนครใต้
(3) โรงไฟฟ้าบางปะกง จะลดการใช้น้ำมันเตาลงจากปีละ 3,800 ล้านลิตร เหลือ 724 ล้านลิตรต่อปี ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นไป โดยจะมีการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เนื่องจาก ปตท. จะวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติแล้วเสร็จ
(4) โรงไฟฟ้ากระบี่ใหม่ จะใช้น้ำมันเตาที่มีปริมาณกำมะถัน 2% อย่างเดียว เนื่องจากได้มีการติดตั้งระบบกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์แล้ว
(5) โรงไฟฟ้าสระบุรี หน่วยผลิตไฟฟ้าที่เป็น Gas Turbine จะใช้ก๊าซธรรมชาติ ส่วนที่เป็น Thermal Unit จะใช้น้ำมันเตาที่มีปริมาณกำมะถัน 2% ซึ่งได้มีการติดตั้งระบบกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์แล้ว ทั้งนี้จะต้องใช้ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานาตามสัญญาให้หมดก่อน
(6) โรงไฟฟ้าหนองจอกและไทรน้อย มีการเดินเครื่องโดยใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ววันละ 10-14 ชั่วโมง ทำให้ค่าก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนเกินมาตรฐาน และคาดว่า ปตท. จะสามารถส่งก๊าซธรรมชาติ ให้โรงไฟฟ้าหนองจอกในราวเดือนมกราคม 2542 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้
เพื่อให้การใช้น้ำมันเตาและการจัดหาก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงไฟฟ้าของ กฟผ. สอดคล้องกับมาตรการและแผนการดำเนินการของโรงไฟฟ้าต่างๆ ที่ประชุมได้มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการจัดหา น้ำมันเตาที่มีปริมาณกำมะถันต่ำให้แก่โรงไฟฟ้า รวมทั้งให้เร่งดำเนินการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติเพื่อจัดส่งก๊าซธรรมชาติ ให้แก่ กฟผ. และให้มีการแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับ กฟผ. เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดหาก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าดัง กล่าว
2.2 มาตรฐานการระบายมลพิษจากโรงไฟฟ้าเก่า กรมควบคุมมลพิษรับจะไปดำเนินการออกประกาศมาตรฐานการระบายก๊าซซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน และฝุ่นละอองที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าเก่าทุกขนาดต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 แนวทางการปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2540 เห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ฉบับ 97-01 (PDP 97-01) เพื่อใช้เป็นแผนลงทุนในการดำเนินงานของ กฟผ. โดยแผนดังกล่าวได้จัดทำเป็น 2 แนวทาง คือ แนวทางที่ 1 แผนหลักจัดทำภายใต้ค่าพยากรณ์ ความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีฐาน โดยมีข้อสมมติฐานว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงแผนฯ 8 จะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และแนวทางที่ 2 กรณีศึกษาจัดทำภายใต้ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีต่ำ โดยมีข้อสมมติฐานว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงแผนฯ 8 จะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 6.5 ต่อปี
2. ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2540 การใช้ไฟฟ้าเป็นไปตามค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีต่ำแต่หลังจากรัฐบาล ได้กำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2540 เป็นต้นมา การใช้ไฟฟ้าได้เริ่มชะลอตัวลง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้กำหนดเป้าหมายเศรษฐกิจ มหภาคชุดใหม่ตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ดังกล่าว
3. คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ได้ดำเนินการปรับค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าเป็นชุดกรณีต่ำมาก เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายเศรษฐกิจดังกล่าว ปรากฏว่าความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีต่ำมาก จะทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ฉบับ 97-01 มีมากเกินความจำเป็น ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กฟผ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จึงได้ประชุมหารือเพื่อหาแนวทางการปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. โดยเห็นควรให้มีการดำเนินการ ดังนี้
3.1 ควรชะลอโครงการต่างๆ ของ กฟผ. ยกเว้นโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และปรับแผนงาน ของโครงการในอนาคตให้เหมาะสม โดยการเลื่อนเวลาการดำเนินงานของโครงการต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ในแผนหลัก PDP 97-01 ดังนี้
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี เครื่องที่ 3 จากปี 2544 เป็นปี 2547 และเครื่องที่ 4 จากปี 2545 เป็นปี 2548
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่ เครื่องที่ 2 จากปี 2544 เป็นปี 2546
- สำหรับโครงการอื่นให้เลื่อนออกไปตามการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีต่ำมาก
3.2 จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้ลูกค้าตรงของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) บางรายยกเลิกโครงการหรือลดการใช้ไฟฟ้าลง ซึ่งมีผลทำให้โครงการ SPP บางโครงการไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยประเมินว่าการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP จะลดลงประมาณ 500 เมกะวัตต์
3.3 โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายใหญ่ (IPP) ที่ได้รับคัดเลือกแล้ว 7 ราย ส่วนใหญ่จะเป็นไปตามแผนการรับซื้อเดิม ซึ่งมีเพียงบางโครงการอาจเลื่อนเวลาออกไป 1-6 เดือน ส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ในรอบใหม่จะเลื่อนเวลาออกไปอีก 1 ปี
3.4 โครงการลิกไนต์หงสา และโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 ยังอยู่ระหว่างการเจรจาสัญญารับซื้อไฟฟ้า จึงยังมีความไม่แน่นอนและอาจล่าช้าออกไป ซึ่งได้มีการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าเป็นทางเลือกไว้แล้วและหากโครงการ ดังกล่าวเป็นไปตามข้อตกลง คือ โครงการลิกไนต์หงสาดำเนินการในปี 2545 และโครงการ น้ำงึม 2, 3 ดำเนินการในปี 2546 จะทำให้มีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองสูงสุดในระดับร้อยละ 36.5 ในปี 2547 ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ และจะเกิดขึ้นเพียงปีเดียว ส่วนกรณีที่มีการชะลอออกไปกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง ก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับ 97-01
4. สพช. เห็นว่าการปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าข้างต้นมีความเหมาะสม และเห็นควรให้ กฟผ. นำไปจัดทำรายละเอียดของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ชุดใหม่ แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 มาตรการในการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2540 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องปัญหาเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมเอกชนในการผลิต ไฟฟ้าในรูปของผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) และได้มีมติให้คงนโยบายการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการขายให้ผู้ใช้โดยตรงโดยไม่ใช้สายไฟฟ้าของการไฟฟ้า และได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานตามนโยบายการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กบรรลุผลตาม เป้าหมายและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ได้ดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมติดังกล่าวข้างต้น โดยได้มีการพิจารณาความเหมาะสมในการให้ SPP บางประเภทต้องปฏิบัติตามบางส่วนของ Grid Code การเปิดให้เอกชนใช้บริการสายป้อนของการไฟฟ้า การแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. และ SPP เพื่อบรรเทาผลกระทบของค่าเงินบาทลอยตัว และได้เสนอมาตรการในการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
2.1 การแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ระหว่าง กฟผ. กับ SPP ในขณะนี้สามารถหาข้อยุติได้เกือบ ทุกประเด็นแล้ว โดยประเด็นหลักที่ยังไม่มีข้อยุติเป็นประเด็นเกี่ยวกับการรับก๊าซธรรมชาติ จากการปิโตรเลียม แห่งประเทศไทย (ปตท.) จึงเสนอให้ กฟผ. SPP และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) หาข้อยุติโดยเร็ว หากหาข้อยุติได้ เห็นควรให้ กฟผ. ดำเนินการแก้ไขสัญญาไปได้เลย ในกรณีที่ไม่มีข้อยุติ ให้คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กเป็นผู้ชี้ขาด
2.2 การแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ ระหว่าง ปตท. กับ SPP และการดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP ยังคงมีประเด็นปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับ ปตท. คือประเด็นปัญหากรณีที่ ปตท. ไม่สามารถจัดหาก๊าซให้ SPP ได้ ซึ่งทำให้ SPP ไม่ได้รับค่าไฟฟ้าและยังต้องจ่ายค่าปรับให้ กฟผ. จึงเสนอให้มอบหมายให้ กฟผ. SPP ปตท. และ สพช. เร่งดำเนินการหาข้อยุติให้ได้โดยเร็ว ทั้งนี้ หากหาข้อยุติได้ เห็นควรให้ ปตท. และ กฟผ. ดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ SPP หรือแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP ไปได้เลย ในกรณีที่ไม่มีข้อยุติให้คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบาย ส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กเป็นผู้ชี้ขาด
2.3 การปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว ได้มีข้อสรุปในการปรับอัตราค่าไฟฟ้า ดังนี้
(1) ราคารับซื้อไฟฟ้า กำหนดให้ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Payment) บางส่วน ให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับค่าพลังงานไฟฟ้าที่ SPP ได้รับในแต่ละเดือน จะเป็นไปตามสูตรในปัจจุบัน
(2) ให้ SPP สามารถเจรจาขอปรับโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้า สูตรการปรับค่าพลังไฟฟ้า และการปรับค่าพลังงานไฟฟ้าจากโครงสร้างราคามาตรฐานได้ ทั้งนี้ มูลค่าปัจจุบันของค่าไฟฟ้าที่ผู้ผลิตรายเล็กจะได้รับจะต้องไม่เกินกว่า มูลค่าปัจจุบันของค่าไฟฟ้าตามประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กในงวด นั้นๆ และเพื่อให้การเจรจาโครงสร้างราคามีความรวดเร็ว เห็นควรให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันเจรจาโครงสร้างราคากับ SPP ในกรณีที่มีข้อยุติให้ กฟผ. และ SPP ดำเนินการแก้ไขสัญญาได้เลย ในกรณีที่ไม่มีข้อยุติให้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อหาข้อยุติ
(3) การกำหนดค่า Kp และ Kpp ในการคำนวณปริมาณพลังไฟฟ้าจริง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าของระบบที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นดังนี้ Kp เท่ากับ 3.0/13.5 และ Kpp เท่ากับ 10.5/13.5
2.4 การแก้ไขเงื่อนไขการขอใช้ไฟฟ้าสำรองเนื่องจากปริมาณการขอใช้ไฟฟ้าสำรองของ SPP ยังไม่มีความชัดเจน เห็นควรให้แก้ไขข้อความ เพื่อให้ปริมาณไฟฟ้าสำรองที่ผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) และผู้ผลิตรายเล็กอื่นที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ดำเนิน การโดยเอกชนและไม่ได้จำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้า (IPS) สามารถซื้อจากการไฟฟ้าได้ไม่เกินขนาดกำลังการผลิตของ IPS หรือกำลังการผลิตของ SPP ลบด้วยปริมาณพลังไฟฟ้าที่ SPP ขายให้ กฟผ. และเห็นควรให้ กฟภ. ยกเลิกข้อกำหนดขั้นตอนการขอใช้ไฟฟ้าสำรองที่ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการผลิต ไฟฟ้าร่วมกับพลังงานความร้อน (Cogeneration) จะต้องแสดงสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่นำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพ (Thermal Processes) ต่อการผลิตพลังงานทั้งหมดเป็นรายเดือน นับตั้งแต่เดือนที่ผู้ใช้ไฟฟ้าทำหนังสือแจ้งการไฟฟ้าย้อนหลังไปจนครบ 12 เดือน เพื่อให้ SPP สามารถขอซื้อไฟฟ้าสำรองตั้งแต่วันเริ่มต้นผลิตไฟฟ้าได้
2.5 ขั้นตอนการขอสัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้าล่าช้า เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการพิจารณาคำขอสัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้า และรับไปพิจารณาลดขั้นตอนการขอสัมปทานกิจการไฟฟ้า สำหรับการแก้ไขในระยะยาวเห็นควรให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้การขอใบอนุญาต เกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ารวมอยู่ในหน่วยงานเดียวกัน
2.6 ปัญหาการขอใบอนุญาตการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ใช้เวลานาน เห็นควรให้สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมเร่งพิจารณาหาข้อยุติโดยเร็ว
2.7 ปัญหาระบบเชื่อมโยงกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ล่าช้า ให้ SPP ที่ประสบปัญหาการ เชื่อมโยง เข้าพบหารือกับผู้ว่าการ กฟภ. โดยตรง
2.8 การพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบ เมื่อ กฟผ. ประกาศโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าใหม่แล้ว ให้ กฟผ. แจ้งให้ SPP ยืนยันความประสงค์จะดำเนินโครงการ หาก SPP รายใดไม่ประสงค์จะดำเนินโครงการต่อไป ให้แจ้ง กฟผ. ภายใน 1 เดือน โดยให้ กฟผ. คืนเงินค้ำประกันให้แก่ SPP ดังกล่าว และหาก SPP รายใดมีความประสงค์จะขอเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจ่ายไฟฟ้าให้ติดต่อกับ กฟผ. โดย กฟผ. และ สพช. จะพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบเป็นรายๆ ไป ตามความเหมาะสม
2.9 การปฏิบัติตามบางส่วนของ grid code กฟผ. ได้จัดทำ SPP Grid Code และได้หารือร่วมกับ สพช. และ SPP โดยได้ข้อสรุปเบื้องต้นแล้ว ทั้งนี้หากหาข้อยุติได้ก็ให้ กฟผ. ประกาศใช้ได้เลย หากไม่มีข้อยุติให้ นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อหาข้อยุติ
2.10 การใช้บริการสายป้อนของการไฟฟ้า เห็นชอบข้อเสนออัตราและเงื่อนไขการใช้บริการสายป้อน โดยอัตราค่าใช้บริการสายป้อนซึ่งไม่รวมค่าไฟฟ้าสำรอง และไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มที่ระดับแรงดัน 69 KV ขึ้นไปเท่ากับ 57 บาท/กิโลวัตต์/เดือน และที่ระดับแรงดัน 22-23 KV เท่ากับ 81 บาท/กิโลวัตต์/เดือน และมอบหมายให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ยกร่างข้อตกลงการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า และข้อตกลงการใช้บริการสายป้อนแล้วนำเสนอ สพช. ให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้
2.11 การรับซื้อพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติม เห็นชอบให้ SPP ที่มีความประสงค์จะขายไฟฟ้าให้ กฟผ. เกินกว่าปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาสามารถยื่นข้อเสนอต่อ กฟผ. โดย กฟผ. และ สพช. จะพิจารณาผ่อนผันให้ตามความเหมาะสมเป็นรายๆ ไป และในกรณีที่ระบบเชื่อมโยงและระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าสามารถรับไฟฟ้า ในส่วนที่เกินดังกล่าวได้ ให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจาก SPP ได้ โดยปริมาณพลังงานไฟฟ้าในส่วนที่เกินนั้น กฟผ. จะจ่ายเฉพาะค่าพลังงานไฟฟ้า ในอัตราเท่ากับค่าพลังงานไฟฟ้าตามสัญญาประเภท Firm
2.12 การผ่อนผันคุณสมบัติของ SPP เห็นชอบให้มีการผ่อนผันคุณสมบัติของ SPP ตามที่ระบุไว้ในระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก โดยให้ SPP ที่ประสงค์จะขอผ่อนผัน ติดต่อกับ กฟผ. เป็นรายๆ ไป โดยคุณสมบัติของ SPP ที่จะได้รับการผ่อนผัน ได้แก่ คุณสมบัติการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration และผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของผลบวกของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ และครึ่งหนึ่งของพลังงานความร้อนที่นำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจาก น้ำมันและ/หรือก๊าซธรรมชาติ เป็นเวลา 3 ปี นับจากวันเริ่มต้นจ่ายไฟตามสัญญา
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอของคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ดังรายละเอียด ตามข้อ 2.1-2.12
เรื่องที่ 7 การลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวสำหรับโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลได้มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทของภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วน ร่วมใน กิจการไฟฟ้าอันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการและการให้บริการ รวมทั้งยังเป็นการลดภาระด้านการลงทุนของภาครัฐในระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer: IPP) รอบแรก จำนวน 3,800 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2537 และต่อมาได้ประกาศซื้อเพิ่มอีกประมาณ 10 % รวมกำลังผลิตที่ต้องการซื้อทั้งสิ้นประมาณ 4,200 เมกะวัตต์ และเมื่อถึงกำหนดวันยื่นข้อเสนอมีผู้ยื่นข้อเสนอ 32 ราย รวม 50 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยข้อเสนอทั้งสิ้น 88 ทางเลือก รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 39,067 เมกะวัตต์ โดยใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ 37 ราย ถ่านหิน 12 ราย และออริมัลชั่น 1 ราย
2. การประเมินและคัดเลือกข้อเสนอจาก IPP ดังกล่าวข้างต้น ดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอจาก ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน โดยได้พิจารณาจากปัจจัยด้านราคา (Price Factor) 60% และจากปัจจัยด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากราคา (Non-Price Factors) 40%
3. ต่อมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 อนุมัติในหลักการให้มีการเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในช่วงปี 2543 - 2546 จำนวน 1,600 เมกะวัตต์ โดยคัดเลือกจากโครงการที่ได้ยื่นข้อเสนอ ต่อ กฟผ. และตามประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ในรอบแรก โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประเมินและ คัดเลือกข้อเสนอจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรับไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ได้ให้อำนาจ กฟผ. ที่จะพิจารณา เพิ่มลดปริมาณการซื้อขายกระแสไฟฟ้ากับเอกชนได้ในอัตราร้อยละ 20 เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกระแสไฟฟ้า ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยผลการพิจารณาคัดเลือกการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน เป็นดังนี้
3.1 การรับซื้อไฟฟ้าเอกชนระยะที่ 1 (พ.ศ. 2539-2543) จำนวน 3 ราย รวม 1,721 เมกะวัตต์ ได้แก่ บริษัท Independent Power (Thailand) Co., Ltd. (IPT) จำนวน 700 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็น เชื้อเพลิง, บริษัท Tri Energy Co., Ltd. (TECO) จำนวน 700 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง, และบริษัท Eastern Power and Electric Co., Ltd. (EPEC) ขนาดกำลังผลิต 321.25 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง โดยบริษัท IPT และ TECO ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว
3.2 การรับซื้อไฟฟ้าเอกชนระยะที่ 2 (พ.ศ 2544-2546) จำนวน 4 ราย รวม 4,114 เมกะวัตต์ ได้แก่ บริษัท Union Power Development Co., Ltd. จำนวน 1,400 เมกะวัตต์ ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง, บริษัท Bowin Power Co., Ltd. จำนวน 673 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง, บริษัท BLCP Power Limited จำนวน 1,341 เมกะวัตต์ ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง, และบริษัท Gulf Power Generation Co., Ltd. จำนวน 700 เมกะวัตต์ ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง โดยบริษัท Union Power Development Co., Ltd. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว
4. การดำเนินงานในการบรรเทาผลกระทบของค่าเงินบาทลอยตัวต่อโครงการ IPP มีดังนี้
4.1 โครงการ IPP 3 โครงการที่ได้ลงนามกับ กฟผ. ไปแล้ว คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้า เอกชน ได้รับการยืนยันจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าการออกประกาศของกระทรวงการ คลังเรื่องการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย (Change in Law) ซึ่งตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ผู้ลงทุนมีสิทธิขอให้ กฟผ. พิจารณาปรับราคา และหามาตรการช่วยเหลือ ส่วนโครงการ IPP อีก 4 โครงการที่ได้มีการเจรจาเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการลงนามในสัญญา PPA ตามประกาศเชิญชวน IPP กำหนดให้สามารถเจรจาเพื่อขอปรับสัญญาได้
4.2 คณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการเจรจากับผู้พัฒนาโครงการทั้ง 7 ราย จนสามารถหาข้อยุติ ที่เป็นที่ยอมรับได้ของทั้ง 2 ฝ่าย และได้มีการลงนามในข้อตกลง (Memorandum of Understanding : MOU) ซึ่งสรุปสาระสำคัญของข้อตกลงได้ดังนี้
(1) การปรับราคาซื้อขายไฟฟ้า โดยปรับปรุงสูตรการกำหนดค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment : AP) บางส่วนให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ ค่า AP จะสูงขึ้นหากอัตราแลกเปลี่ยนลดต่ำกว่า 27 บาท/เหรียญสหรัฐฯ
(2) การเพิ่มกำลังการผลิต ตกลงให้ IPP บางรายสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อช่วยให้ IPP สามารถจัดหาเงินกู้มาดำเนินโครงการได้ ดังนี้ BLCP เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 1,346.5 เมกะวัตต์ Bowin เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 713 เมกะวัตต์ และ EPEC เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 350 เมกะวัตต์
(3) การเลื่อนวันเริ่มต้นจ่ายไฟฟ้า เนื่องจากการจัดหาเงินกู้ประสบความล่าช้า จึงตกลงให้ IPT Union Power และ Gulf Power สามารถเลื่อนวันเริ่มต้นจ่ายไฟฟ้าออกไปได้ เป็นเวลาประมาณ 3-6 เดือน
(4) การจำกัดวงเงินค่าปรับสำหรับโครงการก๊าซธรรมชาติ ทั้ง 4 โครงการ ให้จำกัด วงเงินค่าปรับ (Penalties) ของรายรับส่วน AP ไว้ที่ 1% ของค่า APR1n (บาท/กิโลวัตต์) เป็นเวลา 12 เดือน นับจากวันจ่ายไฟเข้าระบบของ กฟผ.
(5) การเปลี่ยนแปลงทางเทคนิค ให้ Union Power เปลี่ยนค่าอุณหภูมิอ้างอิงของ cooling water จาก 32.2 °C เหลือ 28 °C
(6) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสัดส่วนผู้ถือหุ้น ให้ TECO เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสัดส่วนผู้ถือหุ้น เป็นดังนี้ Banpu Gas Power Ltd. 55.6%, Texaco 54.4%
5. คณะกรรมการ กฟผ. ได้พิจารณาเรื่องการแก้ไขผลกระทบที่ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนได้รับจากการเปลี่ยน แปลงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา และได้มีมติเห็นชอบในบางประเด็น ดังนี้
5.1 เห็นชอบหลักการการปรับสูตรราคารับซื้อไฟฟ้าใหม่ โดยสัดส่วนเงินลงทุนที่เป็นเงินตรา ต่างประเทศที่ใช้ในการคำนวณสูตรการปรับราคารับซื้อไฟฟ้าให้แก่ IPP ให้จ่ายตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ ไม่เกิน 90% สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมกังหันก๊าซ และไม่เกิน 72% สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนถ่านหิน
5.2 เห็นชอบการขอปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มเติมในส่วนของ non-price ที่ IPP ทั้ง 6 ราย ขอมา ยกเว้นการขอเพิ่มขนาดกำลังการผลิตของ Bowin, BLCP, และ EPEC
5.3 ไม่เห็นชอบการจำกัดค่าปรับในช่วง 12 เดือนแรกไว้ไม่เกิน 1% ของรายได้จาก APR1 ของโครงการที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
6. IPP ทั้ง 7 ราย ได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการ กฟผ. ในข้อ 5 แล้ว ไม่สามารถรับข้อเสนอของคณะกรรมการ กฟผ. ได้ เนื่องจากจะทำให้โครงการไม่มีความคุ้มทุน และไม่สามารถหาเงินกู้ได้ ดังนั้น เพื่อให้ การดำเนินการแก้ไขปัญหาผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว สำหรับโครงการ IPP มีข้อยุติโดยเร็ว สพช. มีความเห็น ดังนี้
6.1 การดำเนินการแก้ไขผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวต่อโครงการ IPP โดยเร็วเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ มิฉะนั้นจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นใจของผู้ลงทุนและสถาบันการเงินใน เศรษฐกิจไทย และระบบการบริหารงานทางด้านพลังงานของรัฐบาลไทย ประกอบกับ กฟผ. ได้นำโครงการ IPP ทั้ง 7 โครงการ บรรจุไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. แล้ว หากโครงการดังกล่าวจะต้องยกเลิกหรือเลื่อนออกไปอีก ก็จะมีผลต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศ
6.2 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ ผลิตไฟฟ้าเอกชน เป็นผู้เจรจากับผู้พัฒนาโครงการ IPP ซึ่งการเจรจาดังกล่าวได้ ข้อตกลงทั้งส่วนของการปรับราคาซื้อขายไฟฟ้า และการแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้านอกเหนือจากสูตรราคา (Non Price) โดยข้อตกลงทั้ง 2 ส่วน จะแยกจากกันไม่ได้ เนื่องจากคณะอนุกรรมการฯ ได้กำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนฐานอยู่ ณ ระดับ 27 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น IPP จึงขอแก้ไขสัญญาในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับราคาไฟฟ้าด้วย เช่น การเปลี่ยนแปลงขนาดกำลังการผลิต
6.3 การขอเปลี่ยนแปลงขนาดกำลังการผลิตของ IPP นั้นจะมีผลทำให้กำลังการผลิตรวมของทั้ง 7 โครงการเปลี่ยนแปลงจาก 5,835 เมกะวัตต์ เป็น 5,909 เมกะวัตต์ ซึ่งยังอยู่ในอำนาจที่ กฟผ. จะดำเนินการได้ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ที่ได้ให้อำนาจ กฟผ. ที่จะพิจารณาเพิ่มลดปริมาณการ ซื้อขายกระแสไฟฟ้ากับเอกชนได้ในอัตราร้อยละ 20 ของปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าที่ได้รับอนุมัติเพิ่มเติม 1,600 เมกะวัตต์
6.4 คณะกรรมการ กฟผ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2540 และเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2540 ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอของอนุกรรมการฯ เพียงบางส่วน ซึ่งแตกต่างจากข้อตกลงที่ได้ลงนามไปแล้วในสาระสำคัญ และ กฟผ. ได้ดำเนินการแจ้ง IPP ทั้ง 7 โครงการแล้ว ปรากฏว่า IPP ไม่ยอมรับข้อเสนอของคณะกรรมการ กฟผ. หากจะให้ IPP รับข้อเสนอของคณะกรรมการ กฟผ. แล้ว อัตราแลกเปลี่ยนฐานจะต้องลดจาก 27 บาท/เหรียญสหรัฐฯ เป็น 25-26 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น
มติของที่ประชุม
1.อนุมัติข้อเสนอการบรรเทาผลกระทบของค่าเงินบาทลอยตัวต่อโครงการผู้ผลิต ไฟฟ้าอิสระ (IPP) ทั้งในส่วนของการปรับสูตรราคาซื้อขายไฟฟ้า และการปรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสูตรราคาตามที่ได้มี การลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กฟผ. กับ IPP ทั้ง 7 โครงการแล้ว ดังรายละเอียดตามข้อ 4
2.ให้ กฟผ. เร่งดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ IPP ทั้ง 3 โครงการที่ได้มีการลงนามไปแล้ว สำหรับ IPP อีก 4 โครงการ ที่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาให้ กฟผ. ดำเนินการแก้ไขข้อความในสัญญา และให้มีการลงนามโดยด่วนต่อไป
เรื่องที่ 8 การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจที่ปรึกษางานเหมืองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เสนอเรื่องขอจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ระหว่าง กฟผ. บริษัท Rheinbraun Engineering Und Wasser GmbH (RE) และบุคคลอื่น โดยใช้ชื่อบริษัทว่า "EGAT - RHEINBRAUN ENGINEERING COMPANY LIMITED" (EREC) ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายรักเกียรติ สุขธนะ) ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการ และได้ส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการประสาน การดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เพื่อพิจารณาในรายละเอียด ซึ่งรวมถึงร่างสัญญาและข้อตกลงร่วมจัดตั้งบริษัท ประกอบด้วย สัญญาการผูกพัน (Association Contract) และสัญญาการร่วมมือ (Cooperation Contract) ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
2. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าได้มีการพิจารณาในราย ละเอียด เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2540 และมีมติเห็นชอบในหลักการการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจที่ปรึกษางาน เหมือง และมอบหมายให้ กฟผ. จัดทำรายละเอียดแผนงานการดำเนินการจัดตั้งบริษัทฯ เพิ่มเติม และเห็นว่าควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการแข่งขันด้านการตลาดด้วย รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องของข้อความในสัญญาการผูกพัน (Association Contract) ฉบับภาษาอังกฤษ และฉบับภาษาไทยให้สอดคล้องกัน
3. กฟผ. ได้เสนอรายละเอียดแผนงานการดำเนินการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจที่ ปรึกษางานเหมือง เพื่อประกอบเรื่องขออนุมัติจัดตั้งบริษัทร่วมทุนฯ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายปรับโครงสร้างแปรรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดหาไฟฟ้า จากนโยบายดังกล่าว กฟผ. จึงได้พิจารณาข้อเสนอของบริษัท Rheinbraun Engineering Und Wasser GmbH (RE) ที่เชิญชวน กฟผ. ร่วมทุนจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินธุรกิจด้านวิศวกรที่ปรึกษางานเหมืองและงาน อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออก และเห็นว่าข้อเสนอของบริษัท RE จะเป็นประโยชน์ต่องานเหมืองในอนาคต
3.2 บริษัทที่จัดตั้งใหม่เป็นบริษัทร่วมทุนชื่อ "EGAT-RHEINBRAUN ENGINEERING COMPANY LIMITED : EREC" (บริษัทอีแกต-ไรน์บราวน์ เอ็นยิเนียริ่ง จำกัด) ประกอบด้วยผู้ร่วมทุน 3 กลุ่ม คือ กฟผ. ถือหุ้นร้อยละ 49, บริษัท RE ถือหุ้นร้อยละ 40, และบริษัท เอ็กโก้ธุรกิจเหมือง จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 11 โดยบริษัทฯ มีเงินทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 10 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 10,000 หุ้นๆ ละ 1,000 บาท ระยะเวลาดำเนินงานในช่วงแรกประมาณ 2 ปี
3.3 บริษัท EREC มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้บริการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ให้แก่หน่วยงานภายนอก กฟผ. ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณเอเชียตะวันออก เพื่อสร้างชื่อเสียงของบริษัทฯ ให้เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของ กฟผ. ให้เป็นที่ปรึกษาระดับนานาชาติ
3.4 โครงสร้างของบริษัท EREC ประกอบด้วย คณะกรรมการบริษัท มีจำนวนรวม 5 คน และพนักงานของบริษัท ประกอบด้วย กรรมการผู้จัดการ 1 คน ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริษัท และเลขานุการกรรมการผู้จัดการ 1 คน โดยระยะแรกพนักงานทั้ง 2 คน จะเป็นการขอยืมตัวจากพนักงาน กฟผ. มาปฏิบัติงานกับบริษัท EREC ชั่วคราวเป็นระยะเวลา 2 ปี
3.5 แผนธุรกิจ ประกอบด้วย แผนการตลาด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการสร้างยอดขายจากการให้บริการด้านวิศวกรรม เหมืองแร่ และมุ่งสร้างภาพพจน์ด้านชื่อเสียงของบริษัท (Corporate Awareness) และคุณภาพการให้บริการให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะเน้นที่อุตสาหกรรมถ่านหินเป็นอันดับแรก และ แผนการเงิน โดยรายได้หลักของบริษัทฯ มาจากค่านายหน้าในการติดต่องาน และรายได้จากส่วนของการบริหารโครงการต่างๆ
4. กฟผ. ได้ดำเนินการตามมติคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าโดย ได้แก้ไขข้อความในสัญญาการผูกพัน (Association Contract) ฉบับภาษาไทย และฉบับภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกันแล้ว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจที่ปรึกษางานเหมืองของ กฟผ. รวมทั้ง สัญญาการผูกพัน (Association Contract) และสัญญาการร่วมมือ (Cooperation Contract) ทั้งนี้ โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทร่วมทุนจะต้องไม่ทำให้บริษัทร่วมทุนดังกล่าวมี สภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ หากมีสภาพดังกล่าวก็ให้ดำเนินการลด สัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ลง รวมทั้งโครงสร้างดังกล่าวจะต้องไม่ขัดกับข้อตกลงที่รัฐบาลมีกับกองทุนการ เงินระหว่างประเทศด้วย
เรื่องที่ 9 ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 เห็นชอบแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยไปเจรจากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่องการขยายความร่วมมือด้านพลังงานของทั้งสองประเทศ และการเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำจิงหง ในมณฑลยูนนาน เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทย รวมทั้งเห็นชอบในหลักการของร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจาก สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจารับซื้อไฟฟ้ากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อไป
2. หลังจากที่กระทรวงการไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้พิจารณาแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับที่ได้รับความเห็นชอบในหลักการจากคณะรัฐมนตรีแล้วเสร็จ และได้ส่งกลับมาเพื่อให้ฝ่ายไทยได้พิจารณาและดำเนินการต่อไป พร้อมกันนี้ได้เสนอว่า หากมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในระดับกระทรวงต่อกระทรวง แทนที่จะเป็นระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลของทั้งสองประเทศแล้ว ก็จะช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวได้
3. การแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ของกระทรวงการไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนดังกล่าวข้างต้น ได้มีการเสนอขอแก้ไขในข้อ 7 จากที่ฝ่ายไทยเสนอ โดยขอให้แก้ไขเป็น "กระทรวงการไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จะอำนวยความสะดวกและให้ความช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นแก่นักลงทุนและสถาบันการ เงินของไทย ตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนของจีนที่กำหนดไว้ในการดำเนินโครงการไฟฟ้าใน สาธารณรัฐประชาชนจีน"
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับการบริหาร ราชการ หรือสั่งการและปฏิบัติราชการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจในข้อ 1 แต่ทั้งนี้หากทั้งสองฝ่ายเห็นควรให้มีการแก้ไขร่างบันทึกดังกล่าวในราย ละเอียดปลีกย่อย ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญก็ให้รองนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายสามารถลงนามในบันทึกดังกล่าวที่ได้แก้ไขแล้ว
เรื่องที่ 10 ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลง ร่วมกันที่จะส่งเสริมและพัฒนาไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้ประเทศไทยในปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว (คปฟ.-ล) และคณะกรรมการพลังงานและไฟฟ้าแห่ง สปป.ลาว (Committee for Energy and Electric Power-CEEP) เพื่อทำหน้าที่ในการประสานความร่วมมือในการพัฒนาโครงการให้เป็นไปตามบันทึก ความเข้าใจดังกล่าว
2. ในการประชุมระหว่าง คปฟ-ล. กับ CEEP เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2540 ณ สปป.ลาว ทั้ง 2 ฝ่าย ได้เจรจาตกลงการซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 จนสามารถได้ข้อยุติและได้นำไปสู่การเจรจาในรายละเอียดของบันทึกความเข้าใจ ทั้งสองโครงการ
3. หลังจากที่การเจรจาในรายละเอียดของบันทึกความเข้าใจทั้งสองโครงการ ได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย และ คปฟ-ล. ก็ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในร่างบันทึกความเข้าใจของโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 แล้ว การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 จึงได้มีการร่วมลงชื่อย่อเพื่อการผูกพันเบื้องต้น (Initial) และพร้อมนี้ กฟผ. ก็ได้ส่งร่างบันทึกความเข้าใจของทั้งสอง โครงการดังกล่าวมายังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
4. โครงการน้ำงึม 2 เป็นโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ตั้งอยู่บนลำน้ำงึมใน สปป.ลาว มีกำลังผลิต ติดตั้ง 615 เมกะวัตต์ คู่สัญญาประกอบด้วย กฟผ. และ Shlapak Group Co., Ltd มีอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 30 ปี นับจากวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ ในวันที่ 1 มีนาคม 2546 โดยมีจุดส่งมอบไฟฟ้า ณ จังหวัดหนองคาย และจะมีการรับซื้อไฟฟ้า Primary Energy ในราคาเฉลี่ยตลอดอายุโครงการเท่ากับ 5.63 เซนต์สหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง
5. โครงการน้ำงึม 3 เป็นโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ตั้งอยู่บนน้ำงึมใน สปป.ลาว มีกำลังผลิตติดตั้ง 460 เมกะวัตต์ คู่สัญญาประกอบด้วย กฟผ. และ Nam Ngum 3 Power Company Limited (การไฟฟ้าลาวและ MDX Lao Company Limited) มีอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี นับจากวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 มีนาคม 2546 โดยมีจุดส่งมอบไฟฟ้า ณ จังหวัดหนองคาย และจะมีการรับซื้อไฟฟ้า Primary Energy ในราคาเฉลี่ยตลอดอายุโครงการเท่ากับ 5.78 เซนต์สหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง สาเหตุที่ราคา รับซื้อไฟฟ้าของโครงการน้ำงึม 3 สูงกว่าโครงการน้ำงึม 2 เนื่องจากรัฐบาลแห่ง สปป. ลาว เป็นผู้ถือหุ้นใน โครงการนี้ถึงร้อยละ 45 และค่าภาคหลวงของโครงการน้ำงึม 3 ก็สูงกว่าโครงการน้ำงึม 2 ด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 ฉบับที่มีการ ลงชื่อย่อเพื่อการผูกพันเบื้องต้น (Initial) เพื่อให้ กฟผ. นำไปลงนามในบันทึกความเข้าใจกับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการ น้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 ต่อไป
2.อนุมัติในหลักการว่า หากคณะกรรมการพลังงานและไฟฟ้าแห่ง สปป. ลาว (Committee for Energy and Electric power: CEEP) เสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 ซึ่งไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าไฟฟ้าเฉลี่ย หรือมีการเปลี่ยนแปลงแนวสายส่งใน สปป. ลาว สำหรับโครงการทั้งสอง โดยไม่มีผลกระทบต่อระบบส่งฝั่งไทยที่สร้างเพื่อเชื่อมโยงกัน ณ ชายแดนไทย-ลาว ก็ให้ กฟผ. ดำเนินการแก้ไขรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจ เรื่องการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 และ น้ำงึม 3 ในส่วนที่เกี่ยวข้องดังกล่าวได้
เรื่องที่ 11 เรื่องแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (ฉบับที่ 2) ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2539 เห็นชอบแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Pipeline Master Plan) ฉบับที่ 1 ปี ค.ศ. 1997-2005 ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2540 เห็นชอบในหลักการของกรอบและทิศทางการปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปรับปรุงกรอบการลงทุนรวมของประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้จากภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้ส่งผลกระทบต่อปริมาณการ ใช้พลังงานโดยรวมของประเทศ ปตท. จึงได้ปรับแผน การลงทุนและแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซฉบับที่ 1 ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อขออนุมัติแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Pipeline Master Plan) ฉบับที่ 2 ปี ค.ศ. 1998-2006
2.สาระสำคัญของแผนแม่บทระบบท่อก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 2 ปี ค.ศ. 1998-2006 สรุปได้ดังนี้
2.1 การปรับปรุงแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซฯ
(1) ดำเนินการโครงการติดตั้งเครื่องเพิ่มความดันก๊าซฯ ในทะเล (Midline Compressor) ควบคู่ไปกับการวางท่อส่งก๊าซฯ บนบกจากจังหวัดระยองไปโรงไฟฟ้าบางปะกงเส้นที่ 3 และการวางท่อส่งก๊าซฯ จาก JDA ไปยังแท่นชุมทางเอราวัณ 2 (JDA-ERP2) ทดแทนการวางท่อส่งก๊าซฯ เส้นที่ 3 ในทะเลจาก JDA ไปราชบุรี ซึ่งการดำเนินการนี้จะต้องตัดเชื่อมท่อส่งก๊าซฯ สายประธานระยะที่ 1 และท่อคู่ขนานในทะเลด้วย เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ จะทำให้ระบบท่อส่งก๊าซฯ ในทะเลตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ 2 มีขีดความสามารถจัดส่งก๊าซฯ ได้เพิ่มขึ้นประมาณ 650 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เมื่อรวมกับระบบท่อเดิมแล้วจะทำให้ความสามารถของระบบท่อส่งก๊าซฯ ในทะเลเพิ่มขึ้นเป็น 2650 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเพียงพอในการบริการจัดส่งก๊าซฯ ในช่วงระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า
(2) ลดขนาดท่อราชบุรี-วังน้อย จากเดิมเส้นผ่าศูนย์กลาง 36 นิ้ว และเครื่องเพิ่มความดัน ต้นทางและปลายทาง เป็นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 นิ้ว โดยชะลอการลงทุนติดตั้งเครื่องเพิ่มความดันก๊าซฯ ออกไปจนกว่าจะเห็นว่ามีความจำเป็น
2.2 โครงการในแผนแม่บทฯ ฉบับที่ 2 ประกอบด้วย โครงการจำนวน 12 โครงการ ดังนี้
(อัตราแลกเปลี่ยน 1US$ = 36 บาท)
โครงการหลัก | กำหนดแล้วเสร็จ | เงินลงทุน (ล้านบาท) |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งไพลิน | ระยะที่ 1 1998 ระยะที่ 2 1999 |
2,231 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่ง JDA ไปเอราวัณ | ปลายปี 2000 | 20,040 |
โครงการ Midline Compressor พร้อม Platform และท่อต่อ | ปลายปี 2000 | 8,222 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ ระยองไปบางปะกง | ปลายปี 2000 | 9,331 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย | กลางปี 1999 | 8,457 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย ไปโรงจักรพระนครใต้ | ไตรมาสที่ 1 ปี 2000 | 2,832 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งเบญจมาศเชื่อมท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งทานตะวัน | กลางปี 1999 | 487 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากท่อคู่ขนานไปโรงไฟฟ้าทับสะแก | ปลายปี 2006 | 9,172 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่ง JDA ไปสงขลา | ปลายปี 2000 | 5,729 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากสงขลาไปยะลา (ชายแดนไทย-มาเลเซีย) | ปลายปี 2000 | 2,830 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากโรงแยกก๊าซขนอมไปสุราษฎร์ธานี | ปลายปี 2002 | 2,508 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีไปโรงไฟฟ้ากระบี่ | ปลายปี 2004 | 6,239 |
รวมเงินลงทุนทั้งสิ้น | 78,078 |
2.3 โครงการเร่งด่วนที่มีความจำเป็นจะต้องเร่งรัดการดำเนินการมีจำนวน 6 โครงการ เพื่อ สร้างความมั่นคงให้กับระบบจัดจ่ายก๊าซฯ ของประเทศและสามารถจัดส่งก๊าซฯ จากสหภาพพม่าไปเสริมบริเวณโรงไฟฟ้าวังน้อยได้ตามความจำเป็น ดังนี้
ท่อไพลิน - ERP 2 กำหนดแล้วเสร็จปลายปี ค.ศ. 1998
ท่อราชบุรี - วังน้อย กำหนดแล้วเสร็จกลางปี ค.ศ. 1999
ท่อ JDA - เอราวัณ กำหนดแล้วเสร็จกลางปี ค.ศ. 2000
เครื่องเพิ่มความดันก๊าซฯ ในทะเล กำหนดแล้วเสร็จกลางปี ค.ศ. 2000
ท่อระนอง - บางปะกง เส้นที่ 3 กำหนดแล้วเสร็จกลางปี ค.ศ. 2000
ท่อเบญจมาศ กำหนดแล้วเสร็จกลางปี ค.ศ. 1999
2.4 เงินลงทุนในการดำเนินงานตามแผนแม่บทดังกล่าว มีวงเงินรวมประมาณ 78,078 ล้านบาท (ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 US$ = 36 บาท) ซึ่งจะมีการกระจายการลงทุนตามความจำเป็นในช่วงเวลาที่เหมาะสม และแผนการดำเนินงานจะมีวงเงินการลงทุนสูงสุดในปี ค.ศ. 2000 กล่าวคือ ประมาณ 27,423 ล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนส่วนหนึ่งจากรายได้ของ ปตท.เอง และเงินกู้จากต่างประเทศ สัดส่วนประมาณ 25 : 75 ซึ่ง ปตท.จะดำเนินการศึกษาผลตอบแทนการลงทุนโครงการในแผนแม่บทฯ ฉบับที่ 2 ในแต่ละโครงการต่อไป และเมื่อเปรียบเทียบเงินลงทุนของแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซฯ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2 ทำให้เงินลงทุนทั้งหมดเปลี่ยนแปลงจาก 112,394 ล้านบาท มาเป็น 78,078 ล้านบาท (ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 US$ = 36 บาท) ทำให้สามารถลดการลงทุนได้เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 34,316 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 2 ในช่วงปี พ.ศ. 2541-2549 ตามที่ ปตท. เสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบในการลงทุนทางด้านการก่อสร้างระบบท่อและอุปกรณ์ต่างๆ โดยมีโครงการที่จะอนุมัติในช่วงปี พ.ศ. 2541-2549 จำนวน 12 โครงการ วงเงินลงทุนทั้งสิ้น 78,078 ล้านบาท
2.ให้ใช้แผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติตามข้อ 1 เป็นกรอบของการพิจารณาในรายละเอียดของโครงการในช่วงปี พ.ศ. 2541-2549 โดยไม่ต้องเสนอขออนุมัติในระดับนโยบายอีก ยกเว้นโครงการที่มีประเด็นนโยบายพิเศษ โดยมีโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการในช่วง พ.ศ. 2541-2549 จำนวน 12 โครงการ ดังรายละเอียดตามข้อ 2.2 ทั้งนี้ ให้ ปตท. นำเสนอโครงการตามขั้นตอนที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2539
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 เห็นชอบแนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน โดยมอบหมายให้ ปตท. กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะ-กรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปจัดทำรายละเอียดเรื่องการขายหุ้น ปตท. ในบริษัท ปตท.สผ. จำกัด ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) ได้เป็นประธานในการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 และได้มีมติมอบหมายให้ ปตท. จัดทำแผนการขายหุ้นในบริษัท ปตท.สผ. ซึ่งอาจจะว่าจ้างที่ปรึกษาเพิ่มเติมทำการศึกษาเฉพาะเรื่อง เมื่อการจัดทำแผนการขายหุ้นแล้วเสร็จให้มีการจัดประชุมระหว่างหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมแผนการขายหุ้นในบริษัท ปตท.สผ. เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
2. ปตท. ได้มีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา 9 แห่ง ดำเนินการศึกษาแนวทางการแปรรูป ปตท. รวมทั้งการขายหุ้นของ ปตท. ในบริษัท ปตท.สผ. และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ สพช. ได้มีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาเรื่องดังกล่าวเช่นกัน และในการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง สพช. ปตท. และ ปตท.สผ. ได้พิจารณาแผนการจำหน่ายหุ้นของบริษัท ปตท.สผ. ตามผลการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาและเห็นควรให้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ ทั้งนี้คณะกรรมการ ปตท. ได้ให้ความเห็นชอบแผนดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2540
3. ประเด็นพิจารณาประกอบการจัดทำแผนการขายหุ้นในบริษัท ปตท.สผ. ประกอบด้วย ภาวะตลาดหุ้น (Market Position) ทางเลือกในการเสนอขายหุ้น ปตท.สผ. โดยการเสนอขายให้กับพันธมิตรร่วมทุน (Strategic Investor) และการเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป กำหนดเวลาและโครงสร้างในการเสนอขายผลกระทบต่อการ แปรรูปของ ปตท. ผลกระทบต่อ ปตท.สผ. จำนวนหุ้นที่จะเสนอขาย และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการเสนอขาย
4. ข้อเสนอแนวทางการจำหน่ายหุ้น ปตท.สผ. มีดังนี้
4.1 การลดสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. ใน ปตท.สผ. อาจทำโดยวิธีการเพิ่มทุนของ ปตท.สผ. และ/หรือ วิธีการจำหน่ายหุ้นในส่วนเดิมที่ ปตท. ถือครอง
4.2 แนวทางการจำหน่ายหุ้น ปตท.สผ. ควรเลือกวิธีการจำหน่ายหุ้นกับนักลงทุนทั่วไป โดยสัดส่วนนักลงทุนไทยและต่างชาติควรพิจารณาตามภาวะตลาดในช่วงที่เสนอขาย
4.3 ระยะเวลาที่เป็นไปได้ในการจำหน่ายหุ้นของ ปตท.สผ. โดยเร็วที่สุดควรจะเป็นช่วงครึ่งปีแรกของปี 2541 และการจำหน่ายหุ้นของ ปตท. อันเนื่องมาจากการแปรรูป ควรดำเนินการหลังจากการจำหน่ายหุ้นของ ปตท.สผ. แล้วประมาณ 6-12 เดือน ซึ่งจะเป็นช่วงประมาณปลายปี 2541 ถึงต้นปี 2542
4.4 การถือหุ้นของ ปตท. ใน ปตท. สผ. กำหนดให้มีสัดส่วนการถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 51 ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน แต่ภายใต้ภาวะตลาดในปัจจุบันปริมาณหุ้นที่จะจำหน่ายให้กับนักลงทุนในระยะแรก ควรจำหน่ายประมาณร้อยละ 5-10 ของปริมาณหุ้นทั้งหมดของบริษัท และคำนึงถึงการลดสัดส่วนการถือหุ้นโดยการเพิ่มทุนของ ปตท.สผ. เองด้วย
4.5 ให้ ปตท.และ/ หรือ ปตท.สผ. คัดเลือกและว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ดำเนินการจำหน่ายหุ้นด้วยวิธีการขายให้นักลงทุนทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์ และดำเนินการจำหน่ายหุ้นเมื่อตลาดมีความพร้อม
4.6 การขอยกเว้นกฎระเบียบที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายจ่ายโอน หุ้น หรือกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เพื่อให้สามารถดำเนินการจำหน่ายหุ้นได้ในระยะเวลาที่กำหนด โดยการกำหนดราคาและวิธีการจำหน่ายหุ้น ปตท.สผ. จะเป็นไปตามกลไกตลาด และวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมกับสภาวะตลาด ณ ช่วงเวลาที่ดำเนินการจำหน่ายหุ้น
4.7 ปตท.สผ. ควรต้องแก้ไขข้อบังคับของบริษัทในเรื่องข้อจำกัดในการถือหุ้นของผู้ถือหุ้น ต่างชาติ ซึ่งในปัจจุบันกำหนดให้ผู้ถือหุ้นต่างชาติถือได้ร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้นโดยต่างชาติ อยู่ในระดับร้อยละ 20 แล้ว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอแผนการจำหน่ายหุ้นของ บริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน) และมอบหมายให้ ปตท. และบริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน) รับไปดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยให้รายงานผลการดำเนินงานต่อ สพช. ทุกระยะ
เรื่องที่ 13 การขายหุ้นของกระทรวงการคลังในบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 เห็นชอบแนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน โดยมอบหมายให้ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปจัดทำรายละเอียด เรื่อง การขายหุ้นของกระทรวงการคลังในบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัดโดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) ได้เป็นประธานในการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 และได้มอบหมายให้ สพช. และกระทรวงการคลังนัดหารือเพื่อจัดทำข้อเสนอแนวทางในการขายหุ้นของกระทรวง การคลัง โดย สพช. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าว และได้นำเสนอผลการศึกษาเพื่อหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังและสพช. ซึ่งผลการหารือเห็นควรให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อ พิจารณา
2. แผนการขายหุ้นของกระทรวงการคลังในบริษัท เอสโซ่ฯ มีดังนี้
2.1 ประเด็นประกอบการพิจารณา มีดังนี้
(1) วัตถุประสงค์ของการดำเนินการขายหุ้นดังกล่าว ประกอบด้วย
รัฐบาลมีอำนาจการต่อรองทำให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการขายหุ้น
วิธีการเป็นที่ยอมรับและได้รับความร่วมมือจากบริษัท เอสโซ่ฯ
ขั้นตอนการดำเนินการโปร่งใสเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
ระยะเวลาการดำเนินการสั้น
ช่วยระดมเงินทุนจากต่างประเทศ
ช่วยพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นที่สนใจในระดับนานาชาติ
สอดคล้องกับเงื่อนไขในสัญญาของบริษัท เอสโซ่ฯ กับกระทรวงอุตสาหกรรม
(2) ทางเลือกในการเสนอขายหุ้นมี 3 ทางเลือก คือ
ทางเลือกที่ 1 เสนอขายคืนให้กับกลุ่มเอสโซ่ โดยมีการประเมินราคาโดยผู้ประเมินอิสระจำนวนหนึ่ง
ทางเลือกที่ 2 เสนอขายให้แก่พันธมิตรธุรกิจ (Strategic Partner)
ทางเลือกที่ 3 เสนอขายให้กับนักลงทุนโดยทั่วไป และนำบริษัทเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(3) ผลการวิเคราะห์ พบว่าทางเลือกที่ 1 และ 3 คือ การเสนอขายคืนให้แก่บริษัทเอสโซ่ฯ และการเสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป โดยนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดว่า มีความเหมาะสมที่ใกล้เคียงกัน การเปิดทางให้สามารถเจรจาได้ทั้ง 2 วิธี จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
2.2 ข้อเสนอแนะในการเจรจาต่อรอง บริษัทที่ปรึกษาได้มีข้อเสนอแนะเพื่อใช้ประกอบการเจรจาต่อรองกับบริษัทเอส โซ่ฯ ในการซื้อหุ้นคืนโดยกำหนดประเด็นในการเจรจาต่อรองไว้อย่างละเอียด
2.3 ขั้นตอนการดำเนินการขายหุ้นคืน ใช้ระยะเวลาทั้งหมดประมาณ 4 เดือน ส่วนการดำเนินงาน ในการเสนอขายหุ้นให้นักลงทุนทั่วไป ใช้ระยะเวลาทั้งหมดประมาณ 6 เดือน
มติของที่ประชุม
1.ให้กระทรวงการคลังรับไปเจรจากับบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อขายหุ้นคืนทั้งหมดหรือเจรจาทางเลือกอื่นที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่รัฐ มากที่สุด
2.ให้เพิ่มกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการพิจารณาจัดทำแผนการขายหุ้นของกระทรวงการคลังใน บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด ด้วย เนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ในฐานะคู่สัญญาของบริษัท เอสโซ่ฯ และเมื่อการจัดทำแผนแล้วเสร็จให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ พิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 14 การแปรรูปกิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีตของการไฟฟ้านครหลวง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 เห็นชอบแนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน โดยมอบหมายให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) รับไปจัดทำรายละเอียด เรื่อง การแปรรูป กิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีตของ กฟน. เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
2. กฟน. ได้ว่าจ้างบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว และได้มีการนำเสนอผลการศึกษาในการหารือระหว่าง กฟน. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อพิจารณานำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
3. แผนการแปรรูปกิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีต กฟน. มีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้
3.1 การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท จำกัด (ธันวาคม 2540) มีแนวทางดังนี้
(1) โครงสร้างผู้ถือหุ้นในระยะแรก กฟน. ถือหุ้นในบริษัทร้อยละ 100 ส่วนในระยะที่สอง ปี พ.ศ. 2542-2543 กฟน. ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท และมีสัดส่วนการถือหุ้นไม่เกินร้อยละ 49 ส่วนที่เหลือร้อยละ 51 เปิดให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจอื่น และบริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการถือหุ้น
(2) คณะกรรมการบริษัท ประกอบด้วย ประธานกรรมการบริษัท และคณะกรรมการซึ่งมาจาก กฟน. หรือผู้มีความรู้ความสามารถในด้านธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่
(3) โครงสร้างองค์กร ประกอบด้วย ฝ่ายบริหาร ฝ่ายบัญชีและการเงิน ฝ่ายขายและ การตลาด ฝ่ายวิศวกรรม และฝ่ายผลิต
(4) การดำเนินธุรกิจ แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก บริษัทจะผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตประเภทเสาไฟฟ้า และคอนกรีตสำเร็จรูปประเภทต่างๆ ที่ดำเนินการในปัจจุบัน โดยกำหนดราคาเท่ากับราคาที่จำหน่ายให้ กฟน. แต่จะกำหนดให้ลดราคาลงทุกปี เพื่อสามารถแข่งขันได้ โดย กฟน. เป็นตลาดเป้าหมายในระยะแรก และบริษัทมีจำนวนพนักงานไม่เกิน 224 คน ส่วนในระยะสอง บริษัทขยายธุรกิจ หรือ เพิ่มผลิตภัณฑ์โดยเน้นธุรกิจที่อาศัยเทคโนโลยีสูง ซึ่งควรเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนเข้าร่วมทุนและบริหารงาน
3.2 การว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในการวางรูปแบบระยะที่ 2 (มกราคม - ตุลาคม 2541)
3.3 การขออนุมัติยกเว้นคำสั่ง กฎระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจทั่วไปมาใช้บังคับกับบริษัทใน ระยะแรก ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการคล่องตัว
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนการแปรรูปหน่วยงานสำนักงานออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์ เป็น บริษัทออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์ จำกัด ตามข้อเสนอของ กฟน. ทั้งนี้ ให้ กฟน. ปรับแผนการดำเนินการเพื่อให้พ้นการเป็น รัฐวิสาหกิจให้เร็วขึ้น และให้พิจารณาหาพันธมิตรร่วมทุน (Strategic Investor) แทนการเข้าถือหุ้นของรัฐวิสาหกิจอื่น
2.เห็นชอบให้ บริษัท ออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์ จำกัด ที่ กฟน. ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ซึ่ง ยังคงสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจได้รับการยกเว้นคำสั่ง กฎระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรี ที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจทั่วไปมาใช้บังคับ เพื่อให้บริษัทดังกล่าวสามารถดำเนินการได้คล่องตัวเช่นเดียวกับบริษัทเอกชน ทั่วไป
เรื่องที่ 15 การขายหุ้นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 เห็นชอบแนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กฟผ. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (บผฟ.) รับไปจัดทำรายละเอียดเรื่องการขายหุ้นของ กฟผ. ใน บผฟ. โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) ได้เป็นประธานในการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและเร่งรัด การดำเนินการตามแนวทางการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 และได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กฟผ. สพช. และ บผฟ. หารือเพื่อจัดทำข้อเสนอแนวทางในการขายหุ้นของ กฟผ. ใน บผฟ.
2. กฟผ. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาแนวทางในเรื่องดังกล่าว และบริษัทฯ ได้นำเสนอผลการศึกษาให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กฟผ. สพช. และ บผฟ. (กระทรวงการคลังไม่ได้เข้าประชุม) เพื่อพิจารณาผลการศึกษาดังกล่าว และเห็นควรให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ต่อไป
3. แผนการขายหุ้นของ กฟผ. ใน บผฟ. สรุปประเด็นสำคัญของการเสนอขายหุ้น ได้ดังนี้
3.1 แนวทางการเสนอขายหุ้นที่เหมาะสมที่สุด คือ การลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ใน บผฟ. จากที่ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 39.96 ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้ว รวมทั้งหุ้นสำรอง (Warrants) ของ บผฟ. ลงเหลือร้อยละ 25.05 โดยจำหน่ายหุ้นให้กับพันธมิตรร่วมทุน (Strategic Investor) ภายใต้เงื่อนไขว่า ในอนาคต กฟผ. และ บผฟ. จะเปิดโอกาสให้พันธมิตรร่วมทุนสามารถเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน บผฟ. ได้ใน 2 กรณี คือ กรณีที่พันธมิตรร่วมทุนซื้อหุ้นโดยตรงจาก กฟผ. หรือ กรณีที่พันธมิตรร่วมทุนซื้อหุ้นใหม่จากการเพิ่มทุนของ บผฟ. ซึ่งแนวทางนี้ กฟผ. อาจเสียโอกาสในการที่จะได้ราคาหุ้นสูงสุด เนื่องจากการเสนอขายเพียงร้อยละ 14.9 อาจจะไม่ดึงดูดให้เสนอราคาที่มี Premium มากเมื่อเทียบกับการเสนอขายในสัดส่วนที่มีมากกว่าร้อยละ 25
3.2 เกณฑ์ในการพิจารณาราคาขายของหุ้น บผฟ. มูลค่าราคาหุ้นที่จะได้รับจากการเสนอขาย จะขึ้นอยู่กับแนวทางเลือกโครงสร้างของการเสนอขายหุ้น ซึ่งกลุ่มที่ปรึกษามีความเห็นว่า มูลค่าหุ้นที่ควรจะได้รับในการเสนอขายครั้งนี้ ควรจะมีมูลค่าที่สูงกว่าราคาหุ้นเฉลี่ยของ บผฟ. ในช่วงระยะ 3 เดือนก่อนจะมีการเปิดให้ยื่นเสนอซื้อ
3.3 ขั้นตอนในการเสนอขายที่เหมาะสมคือ การพิจารณาคัดเลือกจากพันธมิตรร่วมทุนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม 4-6 ราย แล้วตามด้วยขั้นตอนการพิจารณาคำเสนอซื้อ ซึ่งเสนอโดยพันธมิตรร่วมทุนดังกล่าว คาดว่าขั้นตอนในการเสนอขาย จะมีระยะเวลาประมาณ 6 เดือน
3.4 เกณฑ์ในการพิจารณาคุณสมบัติของพันธมิตรร่วมทุน กลุ่มที่ปรึกษาเสนอให้ กฟผ. และ บผฟ. พิจารณาคุณสมบัติในเบื้องต้น คือ มูลค่าตลาดของขนาดธุรกิจ ข้อมูลทางการเงิน อันดับความน่าเชื่อถือประสบการณ์การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยและภูมิภาคเอ เซีย โครงสร้างที่เสนอเพื่อถือหุ้น แผนการดำเนินธุรกิจ ความเห็นของผู้เสนอซื้อและเงื่อนไขสัญญา
3.5 แผนการใช้เงินที่ได้รับจากการขายหุ้น กฟผ. จะใช้เป็นงบการลงทุนในปี 2541 แทนการใช้เงินกู้ภายในประเทศ และจัดตั้งกองทุนเงินสวัสดิการสำหรับพนักงานที่สมัครใจลาออกก่อนอายุเกษียณ โดยจะขออนุมัติใช้เงินจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนเงินทั้งหมดที่ได้รับจากการขายหุ้น บผฟ.
4. การเข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้น (Share Purchase Agreement) และสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) กฟผ. ตกลงในเบื้องต้นที่จะเข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับพันธมิตรร่วมทุน และ กฟผ. และ บผฟ. ตกลงในเบื้องต้นที่จะเข้าทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นกับพันธมิตรร่วมทุน รวมทั้งสัญญาและ/หรือเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) กับพันธมิตรร่วมทุน
การพิจารณาของที่ประชุม
ประธานฯ ได้ตั้งข้อสังเกตใน 2 ประเด็น คือ ควรคำนึงถึงจังหวะระยะเวลาการขายหุ้นของ บผฟ. เพื่อที่จะให้ได้ราคาสูงสุด และควรมีการศึกษาเปรียบเทียบว่าจำนวนเงินที่ได้มาจากการขายหุ้นครั้งนี้ สามารถลดดอกเบี้ยเงินกู้ของ กฟผ. ได้เพียงใด
มติของที่ประชุม
1.ให้ กฟผ. ขายหุ้นและดำเนินการตามรายละเอียดในข้อ 3
2.ขอยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่าย กิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504
3.ให้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกพันธมิตรร่วมทุน ประกอบด้วย ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการ-นโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง ผู้แทนจากบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (บผฟ.) และผู้แทนจาก กฟผ. เป็นกรรมการ โดยมีหน้าที่คัดเลือกพันธมิตรร่วมทุน และกำหนดราคาหุ้นซึ่ง รวมหุ้นเดิมที่ กฟผ. ประสงค์จะขายและหรือหุ้นออกใหม่จากการเพิ่มทุน และหุ้นที่ กฟผ. จะต้องขายให้กับพันธมิตรร่วมทุนตามสิทธิพึงได้รับก่อน (Rights of First Refusal) ภายใต้สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) แล้วนำเสนอคณะกรรมการ กฟผ. ต่อไป
4.ให้คณะกรรมการ กฟผ. อนุมัติเลือกพันธมิตรร่วมทุนและกำหนดราคาหุ้นที่จำหน่ายตามข้อ 3 ข้างต้น แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
5.ให้ กฟผ. ทำสัญญาซื้อขายหุ้น (Share Purchase Agreement) กับพันธมิตรร่วมทุน และให้ กฟผ. และ บผฟ. เข้าทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น และสัญญาและเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) กับพันธมิตรร่วมทุน และขอทำสัญญาและเอกสารหลักฐานอื่นๆ (ถ้ามี) เป็นภาษาอังกฤษ
6.เงินที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นให้ กฟผ. นำไปจัดสรรดังนี้
(1) จัดสรรร้อยละ 90 ของรายได้สุทธิจากการจำหน่ายหุ้น สำหรับการลงทุนของ กฟผ. ในอนาคตแทนการใช้เงินกู้
(2) จัดสรรร้อยละ 10 ของรายได้สุทธิจากการจำหน่ายหุ้น สำหรับจัดตั้งกองทุนบริหารทรัพยากรบุคคล แล้วนำไปใช้ในโครงการพนักงานลาออกจากงานด้วยความยินดีทั้ง 2 ฝ่าย (Mutual Separation Schemes : MSS) เพื่อชดเชยให้แก่บุคลากรที่ได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลมีนโยบายในการเร่ง รัดการแปรรูป
7.ให้ กฟผ. จ้างกลุ่มที่ปรึกษาทางการเงิน ได้แก่ Kleinwort Benson Limited, Lehman Brothers Limited และ บริษัท หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาเพื่อทำการเสนอขายหุ้นให้กับพันธมิตรร่วมทุน โดยให้ดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ เนื่องจากกลุ่มที่ปรึกษาดังกล่าวได้ทำการศึกษาเรื่องแนวทางการขายหุ้นของ กฟผ. ใน บผฟ. อยู่แล้ว เพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง และแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ดูแลกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เพื่อให้สามารถนำดอกผลอันเกิดจากเงินกองทุนจำนวน 350 ล้านบาท ที่ได้รับจากบริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาโรงกลั่นน้ำมันมาใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมและสนับสนุนงานด้าน พลังงานและปิโตรเลียม โดยมีระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุด หนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 เป็นกรอบในการบริหารงานกองทุน ทั้งนี้ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมทำ หน้าที่พิจารณา จัดระเบียบ วางแนวทางและพิจารณาจัดสรรเงินกองทุน ทั้งนี้ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ทำหน้าที่พิจารณาจัดระเบียบ วางแนวทาง และพิจารณาจัดสรรเงินกองทุน
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดทำรายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่น ปิโตรเลียม ในรอบปีงบประมาณ 2540 เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบ และพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนการจัดสรรเงินในปีงบประมาณ 2541-2543 ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
2.1 ผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ในรอบปีงบประมาณ 2540 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2539 อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2540 จำนวนเงินทั้งสิ้น 55.0 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาอนุมัติวงเงินทั้งสิ้น 55.9 ล้านบาท ดังนี้
หมวดรายจ่าย | วงเงินตามแผน | อนุมัติ |
(1) การค้นคว้า ศึกษา วิจัย | 17.00 | 12.20 |
(2) ทุนการศึกษาและฝึกอบรม | 12.00 | 13.40 |
(3) การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูล | 10.00 | 8.50 |
(4) การดูงาน ประชุม และการจัดประชุม สัมมนา | 10.00 | 8.50 |
(5) การจัดหาเครื่องมือ และอุปกรณ์ | 5.50 | 5.50 |
(6) ค่าใช้จ่ายการบริหารงาน | 0.50 | 0.50 |
รวม | 55.00 | 55.90 |
2.2 รายงานสถานะการเงินกองทุน ณ วันที่ 30 กันยายน 2540 กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม 428.8 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินฝากกระแสรายวัน 0.02 ล้านบาท เงินฝากออมทรัพย์ 41.34 ล้านบาท เงินฝากประจำ 387.13 ล้านบาท และลูกหนี้เงินยืม 0.31 ล้านบาท ในส่วนของหนี้สินและทุนประกอบด้วย หนี้สิน 0.37 ล้านบาท ทุน 350 ล้านบาท และรายรับมากว่ารายจ่ายทั้งสิ้น 78.43 ล้านบาท
2.3 แผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2541-2543 ตามข้อกำหนดในระเบียบว่าด้วยการบริหารกองทุนฯ กำหนดให้มีการทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ อย่างน้อยทุกปีหรือตามความจำเป็น ดังนั้นจึงเห็นสมควรให้มีการปรับแผนการใช้จ่ายเงิน สำหรับปีงบประมาณ 2541-2543 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
หมวดรายจ่าย | ปีงบประมาณ | รวม | ||
2541 | 2542 | 2543 | ||
(1) การค้นคว้า วิจัย ศึกษา | 16.50 | 16.50 | 16.50 | 49.50 |
(2) ทุนการศึกษาและฝึกอบรม | 9.40 | 9.40 | 9.40 | 28.20 |
(3) การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูล | 10.00 | 10.00 | 10.00 | 30.00 |
(4) การดูงาน ประชุม และการจัดประชุม สัมมนา | 8.00 | 8.00 | 8.00 | 24.00 |
(5) การจัดหาเครื่องมือ และอุปกรณ์ | 5.50 | 5.50 | 5.50 | 16.50 |
(6) ค่าใช้จ่ายการบริหารงาน | 0.60 | 0.60 | 0.60 | 1.80 |
รวม | 50.00 | 50.00 | 50.00 | 150.00 |
3. เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตลอดระยะเวลา 3 ปี คือ ปีงบประมาณ 2541-2543 จึงเห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและ โครงการในปีงบประมาณ 2541-2543 ตามแผนการใช้จ่ายเงินข้างต้น วงเงินรวม 150 ล้านบาท และให้คณะ-กรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้ โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯด้วย
มติของที่ประชุม
1.รับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2540
2.เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2541-2543 และมาตรการการบริหารเงินกองทุนฯ ตามที่คณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม เสนอ
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 8 เมษายน 2554
กพช. ครั้งที่ 65 - วันพุธที่ 10 กันยายน 2540
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2540 (ครั้งที่ 65)
วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2540 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.รายงานผลความคืบหน้าในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
3.รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ 2
5.แนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน
7.นโยบายราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
8.แนวทางในการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
9.หนี้ค่าไฟฟ้าของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
10.ราคาก๊าซธรรมชาติที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยจำหน่ายให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
11.ข้อเสนอแก้ไขกฎเกณฑ์ของรัฐเพื่อส่งเสริมโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard)
นายกร ทัพพะรังสี รองนายกรัฐมนตรี รองประธานกรรมการ เป็นประธานการประชุม
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม ถึงต้นเดือนกันยายน 2540 สรุปได้ดังนี้
1. ราคาน้ำมันดิบโดยรวม ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาอยู่ในสภาวะทรงตัว โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ในระดับ 17-20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบเกิดขึ้น เช่น การส่งออกน้ำมันของอิรัก การขายน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ของเยอรมนี แต่ก็มีผลกระทบต่อระดับราคาน้อยมาก
2. ราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันก๊าด ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนกันยายนค่อนข้างทรงตัว โดยราคา ณ ต้นเดือนกันยายนอยู่ในระดับ 25.1 และ 21.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วราคาลดลง 1.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในเดือนกรกฎาคม และปรับตัวสูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในเดือนสิงหาคม โดยราคา ณ ต้นเดือนกันยายนอยู่ในระดับ 22.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเตาราคาปรับตัวสูงขึ้นโดยตลอดในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาประมาณ 1.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคา ณ ต้นเดือนกันยายนอยู่ในระดับ 16.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมาได้มีการ ปรับตัวสูงขึ้นมาตลอด จากการที่รัฐบาลปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวทำให้ค่าเงินบาทลดลงจากอัตราแลก เปลี่ยนเดิมในระดับ 25.80 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ลงมาอยู่ในระดับ 36.70 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในต้นเดือนกันยายน จึงทำให้มีการขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลรวม 9 ครั้ง โดยเป็นการทยอยปรับครั้งละ 15-20 สตางค์/ลิตร รวม 1.79 บาท โดยการปรับราคาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2540 เป็นการปรับราคาจากการที่รัฐบาลเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7 % เป็น 10 % มีผลให้ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่ว เบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่ว และดีเซลหมุนเร็วในปัจจุบันขึ้นมาอยู่ในระดับ 11.22 , 10.83 และ 10.06 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมอยู่ในระดับ 0.99 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าปกติ เนื่องจากราคาขายปลีกเพิ่มสูงขึ้นช้ากว่าค่าเงินบาทที่ลดลง ส่วนในเดือนสิงหาคมหลังจากมีการทยอยปรับราคาหลายครั้งทำให้ค่าการตลาดเพิ่ม สูงขึ้นเป็น 1.03 บาท/ลิตร สำหรับค่าการกลั่นอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำโดยมีระดับต่ำสุดในเดือนกรกฎาคมที่ 0.70 บาท/ลิตร และเพิ่มสูงขึ้นในเดือนสิงหาคมมาอยู่ในระดับ 0.90 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลความคืบหน้าในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... เพื่อให้สามารถริบเรือทุกขนาดที่ใช้ในการกระทำความผิดตามกฎหมายศุลกากรได้ และกำหนดมาตรการห้ามขนถ่ายสิ่งของในทะเลนอกเขตท่า ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจร่างของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีคำสั่งที่ 2/2540 ลงวันที่ 14 สิงหาคม 2540 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ของรัฐเพื่อป้องกันและ แก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีอำนาจหน้าที่ครอบคลุมการแก้ไขกฎเกณฑ์อื่นๆ ที่ยังเป็นอุปสรรคในการดำเนินงานปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งหมด
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดการสัมมนา เรื่อง การเติมสาร Marker ในน้ำมันเชื้อเพลิงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลจากการสัมมนาทำให้สามารถกำหนดขั้นตอนและรายละเอียดการปฏิบัติได้อย่าง สมบูรณ์ ตั้งแต่การเติมสาร Marker การตรวจสอบน้ำมันว่ามีสาร Marker หรือไม่ และการดำเนินคดีเมื่อพบการกระทำผิด ซึ่งขณะนี้กรมสรรพสามิต กรมตำรวจ และ สพช. กำลังจัดทำรายงานเพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความ เห็นชอบในการประชุมคราวต่อไป และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเติมสาร Marker ได้ในช่วงต้นปี 2541 เป็นต้นไป
4. ผลการจับกุมของหน่วยงานปราบปรามในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2540 สามารถจับกุม น้ำมันลักลอบหนีภาษีได้จำนวน 2,092,667 ลิตร ลดลงจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณ 4.6 ล้านลิตร
5. การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนกรกฎาคม 2540 มีปริมาณ 1,512.8 ล้านลิตร ลดลงจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน 57 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราร้อยละ 3.8 และหากไม่รวมปริมาณการใช้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะมีปริมาณ 1,476.0 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 43 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราร้อยละ 3
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ 2
สรุปสาระสำคัญ
1. ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยนำผู้แทนส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องเดิน ทางไปร่วมการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่สอง ณ เมืองเอดมันตัน มณฑลอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 26-27 สิงหาคม 2540
2. ผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงาน ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในแนวทางที่สำคัญดังนี้
2.1 เห็นชอบร่วมกันตามแนวทางที่ได้เห็นชอบไว้ในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งแรก คือ การพัฒนาสาขาพลังงานในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค จะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเพื่อการพัฒนาภูมิ ภาคเอเซีย-แปซิฟิคอย่างยั่งยืนต่อไป
2.2 รับทราบผลการประชุมกลุ่มธุรกิจด้านพลังงาน (Energy Business Forum) ซึ่งจัดขึ้นควบคู่ในโอกาสเดียวกัน และที่ประชุมได้สนับสนุนบทบาทของภาคเอกชนในการแปรรูปกิจการรัฐวิสาหกิจและ การเปิดการค้าเสรีสาขาพลังงาน ด้วยการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในรูปผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producers - IPP) และผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producers - SPP)
2.3 รับทราบผลการดำเนินการตามแนวหลักการนโยบายที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ (14 Non-Binding Policy Principles) ซึ่งที่ประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคครั้งแรกที่ซิดนีย์ได้เห็นชอบให้ทุก ประเทศถือเป็น แนวทางการดำเนินการด้านพลังงาน และที่ประชุมได้มีมติให้ทุกประเทศยังคงยึดถือแนวนโยบายนี้เป็นหลัก ในการพัฒนาสาขาพลังงานของตนต่อไป
2.4 เห็นชอบหลักการการปฏิบัติที่ดีที่สุดในการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในการ ผลิตไฟฟ้า (Best Practice Principles for Independent Power Producers)
2.5 เห็นชอบแนวทางการพัฒนาบริการพื้นฐานซึ่งเหมาะสมสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม โดยมีมติให้ทุกประเทศยึดถือปฏิบัติตามหลักสิ่งแวดล้อมที่ดีในการพัฒนา โครงการด้านไฟฟ้า และให้ผนวกเข้าไว้เป็นแนวทางการปฏิบัติของแต่ละประเทศ
2.6 เห็นชอบข้อเสนอให้จัดทำความร่วมมือทางด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์พลังงาน และได้มีมติเห็นชอบให้มีความตกลงพหุภาคีเรื่องมาตรฐานผลิตภัณฑ์พลังงานต่างๆ โดยให้ยอมรับผลการทดสอบจากสถาบันทดสอบที่ได้ผ่านการรับรองแล้ว
3. คณะผู้แทนไทยได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ก่อนการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค การประชุมทวิภาคีกับสาธารณรัฐประชาชนจีน และรัฐบาลมณฑลอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 การประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการก่อนการประชุมรัฐมนตรี พลังงาน เอเปคเพื่อกำหนดท่าทีของกลุ่มอาเซียนในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคให้ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยรัฐมนตรีพลังงานอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเร่งเปิดเสรีการค้าด้านพลังงานของเอเปคให้เร็ว กว่ากำหนด โดยทั้ง 3 ประเทศประสงค์จะให้กลุ่มอาเซียนสนับสนุนการค้าเสรีของกลุ่มเอเปคตามกำหนด ระยะเวลาซึ่งกลุ่มเอเปคได้เห็นชอบกันแต่เดิม คือ สำหรับประเทศกำลังพัฒนากำหนดให้เปิดเสรีสาขาพลังงานในปี ค.ศ. 2020
3.2 การประชุมทวิภาคีกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ฝ่ายไทยได้ขอบคุณสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน โดยผ่านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และได้ขอร้องให้ทางฝ่ายจีนจัดทำ Statement of Confidence จากผู้นำจีน เพื่อแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่าฝ่ายจีนยังมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของไทย รวมทั้งแสดงถึงความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ซึ่งในเรื่องนี้ฝ่ายจีนได้แจ้งว่ายินดีที่จะดำเนินการให้ต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาถ่านหินในสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกัน รวมทั้งการศึกษาโครงการผลิตไฟฟ้าในมณฑลยูนนานและขายไฟฟ้าให้แก่ไทย โดยฝ่ายไทยจะส่งผู้แทนไปพบกับฝ่ายจีน เพื่อดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
3.3 การประชุมทวิภาคีกับรัฐบาลมณฑลอัลเบอร์ต้า ฝ่ายไทยได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีมณฑลอัลเบอร์ต้า และได้มีการหารือด้านความร่วมมือทางด้านการพัฒนาหินน้ำมัน (Oil shale) ในประเทศไทย โดยฝ่ายรัฐบาลอัลเบอร์ต้ายินดีที่จะให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและเทคโนโลยี การพัฒนาหินน้ำมันแก่ไทย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 การแก้ไขสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียมระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม กับ บริษัทสุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด
สรุปสาระสำคัญ
1. บริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด ได้มีหนังสือถึงกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อขอยกเลิกหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาจำนวน 1,400 ล้านบาท (หนึ่งพันสี่ร้อยล้านบาทถ้วน) ที่บริษัทฯ ได้วางไว้กับกระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่มีการลงนามในสัญญา เนื่องจาก บริษัทฯ เห็นว่าในระหว่างการก่อสร้างโรงกลั่นปิโตรเลียม บริษัทฯ มีภาระทางด้านการเงินจำนวนมาก จึงขอให้รัฐบาลช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการเงินโดยอ้าง มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2540
2. การยกเลิกหนังสือค้ำประกันตามคำร้องขอของบริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด ไม่สามารถดำเนินการได้ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2540 เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นเรื่อง ข้อเสนอปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อส่งเสริมการแข่งขันของโรงกลั่นปิโตรเลียม ซึ่งเป็นการแก้ไขสัญญาของโรงกลั่นปิโตรเลียม 4 รายคือ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยออยล์ จำกัด, บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด, และบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด เพื่อยกเลิกการเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษ รวมทั้ง ให้ดำเนินการเช่นเดียวกัน หากได้รับการร้องขอจากโรงกลั่นปิโตรเลียมอีก 3 ราย คือ บริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด, บริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด, และบริษัท ไทยบิทูเมน จำกัด ดังนั้นหากจะดำเนินการตามคำร้องขอของบริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อน
3. การกำหนดให้ต้องมีการค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาเกิดจากในอดีตรัฐควบคุมการ จัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียม จึงต้องใช้การค้ำประกันเป็นเครื่องมือบังคับให้ผู้รับอนุญาตจัดตั้งโรงกลั่น ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาอย่างจริงจังและภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ในปัจจุบันรัฐเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมได้อย่างเสรี และยกเลิกการกำหนดให้ผู้ขออนุญาตจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมต้องทำสัญญากับ กระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้ไม่ต้องมีการยื่นหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญากับรัฐอีกต่อไป
4. บริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด เป็นผู้รับอนุญาตจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมรายสุดท้ายในช่วงของการควบคุมการ จัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียม และเป็นรายเดียวที่ยังมีหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาต่อรัฐ เนื่องจากระยะเวลาในการก่อสร้างโรงกลั่นตามสัญญายังไม่สิ้นสุด
มติของที่ประชุม
เห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่น ปิโตรเลียมเพื่อการส่งออก ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับ บริษัทสุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด เพื่อยกเลิกข้อ 4 ผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐ ข้อ 5 เงินผลประโยชน์พิเศษ และข้อ 14 หนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่น ปิโตรเลียมเพื่อการส่งออก ฉบับลงวันที่ 23 สิงหาคม 2539 และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการลงนามในสัญญาดังกล่าวโดยเร็ว ต่อไป
เรื่องที่ 5 แนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐวิสาหกิจทางด้านพลังงานมีทั้งหมด 6 แห่งคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (ปตท. สผ.) และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (บจป.) และมีกิจการด้านพลังงานที่รัฐหรือรัฐวิสาหกิจถือหุ้นอยู่ (ไม่รวมกิจการด้านปิโตรเคมี ซึ่ง ปตท. ถือหุ้น) อีก 9 แห่ง คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด, บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (EGCO), บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด, บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด, บริษัท Thai LNG Power จำกัด, บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด, บริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด, และบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบิน กรุงเทพ จำกัด
2. การดำเนินการเพื่อเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงานในช่วงที่ผ่านมา ที่สำคัญ คือ การกระจายหุ้นให้ประชาชนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ การกระจายหุ้นของบริษัท ปตท. สผ. EGCO และ บจป. การดำเนินการส่งเสริมเอกชนลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้า ได้แก่ โครงการ IPP และ SPP รวมทั้งการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ประเทศลาว พม่า และ จีน ซึ่งจะทำให้ลดภาระการลงทุนของ กฟผ. ในด้านการผลิตไฟฟ้าลงได้ สำหรับกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติเป็นกิจการผูกขาดโดยธรรมชาติ (Natural Monopoly) ดังนั้น การเพิ่มบทบาทเอกชนจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการแปรรูปและปรับโครงสร้าง เพื่อเพิ่มการแข่งขันและหลีกเลี่ยงการโอนกิจการผูกขาดของรัฐไปเป็นการผูกขาด ของเอกชน
3. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับการแปรรูปกิจการด้านพลังงาน ได้แก่ กฟผ. กฟน. กฟภ. และ ปตท. ดังนี้
3.1 กำหนดให้แยกโรงไฟฟ้าพลังความร้อนของ กฟผ. จัดตั้งเป็นบริษัทจำกัด และขายหุ้นให้ประชาชน/เอกชน โดย กฟผ. จะเหลือธุรกิจสายส่งและการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ ซึ่งจะยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป โดยในช่วงแรก กฟผ. จะเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตต่างๆ (Central Supplier) แต่ในช่วงต่อไปจะเปิดให้มีการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ ไฟฟ้า โดยใช้บริการสายส่งและสายจำหน่ายของการไฟฟ้า ทั้งนี้รัฐจะเป็นผู้กำกับดูแลอัตราค่าใช้บริการ (Wheeling Charge) นอกจากนี้จะมีการจัดตั้ง Electricity Pool ในการซื้อขายไฟฟ้า โดยในขณะนี้ กฟผ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาซึ่งสรุปผลได้ว่า ควรมีการจัดตั้งบริษัทย่อย ของ กฟผ. รวม 10 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า 3 บริษัท และบริษัทสนับสนุนอื่นๆ 7 บริษัท ส่วนในด้านการกำกับดูแลนั้น สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อพิจารณารูปแบบการกำกับดูแลที่เหมาะสมซึ่งจะ สอดคล้องกับรูปแบบโครงสร้างกิจการไฟฟ้าดังกล่าวในอนาคต
3.2 กำหนดให้ กฟภ. ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ให้มีการจัดตั้งบริษัทในเครือ 4 แห่งเพื่อรับผิดชอบกิจการจำหน่ายไฟฟ้าในแต่ละภาค
3.3 กำหนดให้ กฟน. ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่แยกกิจการบางประเภทออกเป็นบริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัทบริการระบบไฟฟ้า บริษัทออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์คอนกรีต และบริษัทบริการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (ESCO)
3.4 กำหนดให้มีการแปรรูป ปตท. และกระจายหุ้นให้ประชาชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งขณะนี้ ปตท. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อพิจารณาในรายละเอียดการแปรรูปและกระจายหุ้น ในขณะเดียวกัน สพช. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาแนวทางในการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซ ธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมให้มี การแข่งขันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในการให้ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติขายก๊าซฯได้โดยตรงแก่ผู้ใช้ โดยใช้บริการท่อ (Third Party Access) และให้เอกชนลงทุนในบางส่วนของระบบท่อก๊าซฯ
4. แนวทางในการเร่งแปรรูปกิจการด้านพลังงานโดยการลดบทบาทของรัฐ ดำเนินการได้โดยแบ่งเป็น ระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว ดังนี้
4.1 การขายหุ้นของรัฐที่ดำเนินการได้เร็ว มีดังนี้
(1) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(บจป .) มีกระทรวงการคลังถือหุ้น 48% ควรหาStrategic Investor เข้าถือหุ้นแทนในส่วนนี้ ซึ่งจะทำให้กระทรวงการคลังได้รับเงิน 3,758 ล้านบาท ในกรณีที่ขายหุ้นได้ 15 บาท/หุ้น ในส่วนของ ปตท. ที่ถือหุ้นอยู่ 24% ควรพิจารณาหา Strategic Partner เข้าถือหุ้นแทนเช่นกัน
(2) บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด ปัจจุบัน กระทรวงการคลังถือหุ้น 12.5% ซึ่งการถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว ก็เพื่อความมั่นคงในการจัดหาน้ำมัน แต่ภายใต้สภาวะการณ์แข่งขันของตลาดน้ำมันในปัจจุบันไม่มีความจำเป็นแล้ว ประกอบกับการถือหุ้นในระดับ 12.5% ไม่มีอำนาจเพียงพอในการกำหนดนโยบายของบริษัทฯ หรือ ทิศทางการบริหารงานของบริษัทฯ จึงเห็นควรให้กระทรวงการคลังรับไปเจรจากับบริษัท เอสโซ่ฯ เพื่อขายหุ้นคืนทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะได้เงินอย่างน้อย 4,000 ล้านบาท
(3) ปตท.สผ. มี ปตท. ถือหุ้น 70.98% และประชาชน 29.02% เนื่องจากเงื่อนไขเงินกู้ของ ปตท.สผ. กำหนดให้ ปตท. ต้องถือหุ้นอย่างน้อย 51% จึงเสนอให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. ลงเหลือ 49-51% โดยจำหน่ายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่ง ปตท. จะมีรายได้ประมาณ 25,000 ล้านบาท และให้ ปตท. นำเงินดังกล่าวส่งคลังต่อไป
(4) บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (EGCO) ปัจจุบัน กฟผ. ถือหุ้นใน EGCO ถึง 40.7% จึงทำให้ EGCO ไม่สามารถเข้าร่วมในการประมูล IPP ได้ เพราะจะเกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น จึงควรให้ กฟผ. ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 0% โดย EGCO ควรสรรหา Strategic Partner เข้าถือหุ้นแทน ซึ่งจะทำให้มีรายได้ประมาณ 13,765 ล้านบาท
4.2 การขายหุ้นของรัฐที่จะดำเนินการในขั้นต่อไป มีดังนี้
(1) การแปรรูป กฟผ. โดยลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ในบริษัทผลิตไฟฟ้าที่จะจัดตั้งขึ้นแต่ละบริษัทเหลือ 49% โดยการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และหากยังมีความจำเป็นในการลดบทบาทของ กฟผ. ก็ให้ลดสัดส่วนของ กฟผ. เหลือ 0% โดยหา Strategic Investor ที่เหมาะสม สำหรับระยะเวลาในการขายหุ้นบริษัทผลิตไฟฟ้าแต่ละบริษัทให้คำนึงถึงปัจจัย ต่างๆ ประกอบด้วย ซึ่งระยะเวลาที่เหมาะสมควรเป็นดังนี้ บริษัทผลิตไฟฟ้าที่ 1 (บางปะกง) มิถุนายน 2541, บริษัทผลิตไฟฟ้าที่ 3 (แม่เมาะ) มีนาคม 2542, และบริษัทผลิตไฟฟ้าที่ 2 (ราชบุรี) มีนาคม 2543 ตามลำดับ โดยรายได้สุทธิจากการขายหุ้นส่วนหนึ่ง อาจนำไปชำระหนี้สินของ กฟผ. และกระทรวงการคลังอาจกำหนดให้นำเงินส่งคลังอีกจำนวนหนึ่ง
(2) การแปรรูป ปตท. ควรดำเนินการหลังจากการกำหนดนโยบายการแปรรูปกิจการ ก๊าซธรรมชาติแล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อยุติภายในเดือนตุลาคม 2540 นี้ สำหรับแนวทางการแปรรูป ปตท. ให้ดำเนินการแยกกิจการท่อก๊าซธรรมชาติ (Main System) ออกเป็นบริษัทจำกัด และกำหนดให้เป็น Common Carrier รวมทั้งให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท.ลงเหลือ 49% ส่วนกิจการอื่นของ ปตท. อาจแยกเป็นบริษัทลูกภายใต้ Holding Company ที่ตั้งขึ้นใหม่ โดยขั้นแรกปตท. อาจถือหุ้น 100% แล้วจึงนำ Holding เข้าตลาด หลักทรัพย์ฯ โดยลดสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. เหลือ 49% และควรทยอยดำเนินการ โดยเริ่มจากการกระจายเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระดับ 30% ก่อนแล้วจึงเพิ่มเป็น 51% ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ในเดือนตุลาคม 2541 และจะทำให้รัฐมีรายได้ประมาณ 153,000 ล้านบาท นอกจากนี้ให้ ปตท. เจรจากับบริษัทเชลล์ฯ และบริษัทคาลเท็กซ์เพื่อขายหุ้นให้บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด ตามลำดับ และให้ ปตท. ซื้อหุ้นของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด จากบริษัทเชลล์ฯ และบริษัทคาลเท็กซ์ฯ
(3) การแปรรูป กฟน. และ กฟภ. เนื่องจากกิจการจำหน่ายไฟฟ้าเป็นกิจการผูกขาด ซึ่งการดำเนินการแปรรูปเป็นเอกชนจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับทั้งพระราช บัญญัติการไฟฟ้านครหลวง และพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งมีการออกกฎหมายใหม่ในการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า ดังนั้น ในระยะสั้นสมควรมีการพิจารณาว่ามีธุรกิจใดของ กฟน. และ กฟภ. ที่ควรแปรรูปหรือยกเลิก ซึ่ง สพช. เห็นว่า ธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีต (ทำเสาไฟฟ้า) น่าจะเป็นธุรกิจที่มีความเหมาะสมที่จะขายให้เอกชนไปดำเนินการได้ในช่วง 2 ปีนี้
4.3 การขายหุ้นของรัฐในระยะยาว ได้แก่ การขายหุ้นใน บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด, บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด, และบริษัท Thai LNG Power จำกัด
4.4 การเพิ่มบทบาทเอกชนในโครงการใหม่ มีดังนี้
(1) กฟผ. สามารถเปลี่ยนโครงการทับสะแกที่กำหนดให้ กฟผ. ดำเนินการเอง เป็นการเปิดประมูล IPP ในรอบต่อไปแทนได้หากยังมีความจำเป็น รวมทั้งสามารถขายโรงไฟฟ้าลำตะคองแบบสูบกลับ ให้เอกชนได้ เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับการชลประทาน โดยอาจแยกเป็นบริษัทที่ 4 หรือผนวกไว้กับบริษัท ผลิตไฟฟ้าบริษัทใดบริษัทหนึ่งก็ได้
(2) การลงทุนในการขยายระบบท่อก๊าซฯ ของ ปตท. บางเส้นอาจให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการขายหุ้นของรัฐที่ดำเนินการได้เร็วตามข้อ 4.1 โดยให้ ปตท. รับไปพิจารณาขายหุ้นของ ปตท.ในบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ให้แก่ Strategic Investor ที่เหมาะสมด้วย ทั้งนี้ ให้หน่วยงานดังต่อไปนี้รับไปจัดทำรายละเอียดแล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ (กพช.) ภายใน 1 เดือน ดังนี้
(1) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) : กฟผ., บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด, กระทรวงการคลัง, และ สพช.
(2) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) : ปตท., กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงการคลัง, และ สพช.
(3) บริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) : กระทรวงการคลัง, สพช., บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด และ ปตท.
(4) บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด : กระทรวงการคลัง และสพช.
2.รับทราบแนวทางในการแปรรูป กฟผ. และ ปตท. ตามข้อ 4.2 (1)-(2) 4.3 และ 4.4 โดยมอบหมายให้ กฟผ. ปตท. และ สพช. เร่งดำเนินการศึกษาแนวทางในการแปรรูปในข้อ 4.2 (1)-(2) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วและศึกษาความเหมาะสมของแนวทางในการแปรรูปเพิ่มเติมตาม ข้อ 4.4 แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ภายในเดือนพฤศจิกายน 2540
3.ให้ กฟน. และ กฟภ. จัดทำรายละเอียดในการแปรรูปกิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีต แล้วนำเสนอ กพช. ภายใน 1 เดือน
เรื่องที่ 6 การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา
สรุปสาระสำคัญ
1. ในปี 2535 รัฐบาลมีนโยบายยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเตา ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม โดยให้เก็บเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มเพียงประเภทเดียว แต่คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน มีความเห็นว่า น้ำมันเตาในช่วงนั้นยังมีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร จึงได้เสนอให้ยังคงจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา โดยปัจจุบันมีการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตากำหนดเป็นมูลค่าที่ 17.5% ของราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้า ภาษีเทศบาลเท่ากับ 10% ของภาษีสรรพสามิต กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.06 บาท/ลิตร กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 0.01 บาท/ลิตร และภาษีมูลค่าเพิ่ม 10%
2. ในปี 2537 ได้มีการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาให้ดีขึ้น โดยการลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเตาที่จำหน่ายในกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ เป็นไม่เกิน 2% โดยน้ำหนัก ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2537 ส่วนในเขตจังหวัดอื่น ให้ลดลงเป็นไม่เกิน 2-3% โดยน้ำหนัก และจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 นอกจากนี้รัฐบาลยังได้กำหนดคุณภาพน้ำมันเตาที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เข้มงวดกว่าน้ำมันที่จำหน่ายทั่วไป โดยจะต้องใช้น้ำมันเตาที่มีปริมาณกำมะถันโดยเฉลี่ยต่อเดือนไม่สูงกว่า 2% และ 1.7% โดยน้ำหนัก ตามลำดับ รวมทั้งได้มีการกำหนดมาตรฐานการระบายของทั้ง โรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม
3. จากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นแบบลอยตัว ทำให้ค่าเงินบาทลดลงและได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้า ทั้ง 3 แห่ง โดยเฉพาะ กฟผ. แม้ว่าจะสามารถเพิ่มค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติตาม ราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น แต่ก็ยังคาดว่า กฟผ. จะประสบการขาดทุนในปีงบประมาณ 2540 และคาดว่าในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับ 35 บาท/เหรียญสหรัฐฯ จะต้องมีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2540 อันเป็นผลจากผลกระทบของค่าเงินบาทต่อภาระหนี้สินของการไฟฟ้า ในระดับ 15 สตางค์/กิโลวัตต์ชั่วโมง
4. การเก็บภาษีสรรพสามิตทำให้ราคาน้ำมันเตาสูงกว่าที่ควร ในขณะที่เชื้อเพลิงอื่นที่ใช้ทดแทน น้ำมันเตาไม่ถูกเก็บภาษีสรรพสามิต จึงเป็นผลให้น้ำมันเตาเสียเปรียบเชื้อเพลิงอื่นและเกิดการบิดเบือน การตัดสินใจเลือกใช้เชื้อเพลิงของโรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า ประกอบกับรัฐบาลได้กำหนดนโยบาย ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาให้ดีขึ้นและมีการกำหนดมาตรฐานการระบายของโรง ไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างเข้มงวด ฉะนั้นในหลักการจึงไม่ควรมีการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาอีกต่อไป โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าน้ำมันเตาจะมีเหลือต้องส่งออกประมาณ 3,000 ล้านลิตร ในขณะที่ประเทศไทยต้องนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นการสูญเสียเงินตราต่างประเทศโดย ไม่จำเป็น
5. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จึงได้จัดทำข้อเสนอการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา เป็น 2 ทางเลือก คือ ยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา หรือลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาลงเหลือร้อยละ 8 ของมูลค่า ซึ่งจะมีผลทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีปี 2541 ประมาณ 9,807 ล้านบาท สำหรับทางเลือกที่ 1 และ 5,324 ล้านบาท สำหรับทางเลือกที่ 2 แต่จะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ขายให้ประชาชนลดลง 6 และ 3 สตางค์/กิโลวัตต์ชั่วโมง ตามลำดับ ซึ่งจะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นในช่วง ปลายปี
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการว่าไม่ควรมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา แต่ในขณะนี้เห็นควรให้ยังคงจัดเก็บภาษีตามเดิมไปก่อน จนกว่าฐานะการเงินการคลังของประเทศจะอยู่ในภาวะที่เหมาะสมแล้ว จึงพิจารณาดำเนินการให้มีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาต่อไป
เรื่องที่ 7 นโยบายราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเดียวที่มีการควบคุมราคา โดยราคาขายปลีกและราคาขายส่งที่กำหนดในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรจะ เป็น เมื่อเทียบกับราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งกำหนดโดยอิงกับราคา LPG ในตลาดโลก ทำให้ต้องจ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยให้แก่ผู้ผลิตก๊าซ LPG ประกอบกับการกำหนดนโยบายราคาขายส่ง ณ คลังก๊าซเท่ากันทั่วประเทศทำให้ต้องจ่ายชดเชยค่าขนส่งก๊าซให้แก่การ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) อีกส่วนหนึ่ง ในขณะที่อัตราภาษีสรรพสามิตของ LPG เท่ากับ 2.17 บาท/กิโลกรัม ราคาขายปลีกของก๊าซหุงต้มเท่ากับ 10.75 บาท/กิโลกรัม และค่าการตลาดเท่ากับ 2.3566 บาท/กิโลกรัม
2. จากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นแบบลอยตัว และการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 10 ทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่า กองทุนน้ำมันฯ จะสามารถรับภาระจ่ายเงินชดเชยได้จนถึงเดือนกันยายน 2540 เท่านั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG โดยพิจารณาเพิ่มราคาขายปลีกและหรือลดอัตราภาษีสรรพสามิตของ ก๊าซ LPG และหรือเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันชนิดอื่น
3. ในหลักการไม่ควรมีการเก็บภาษีสรรพสามิตจากก๊าซ LPG ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้ม ควรเก็บเฉพาะที่ใช้กับยานพาหนะ และเนื่องจากก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดและก่อให้เกิดมลพิษน้อยกว่าน้ำมันเตา ประกอบกับกำลังผลิตก๊าซ LPG ในปัจจุบันสูงกว่าความต้องการใช้ในประเทศ จึงควรส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซ LPG แทนการใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าหรือใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยลดอัตราภาษีสรรพสามิตก๊าซ LPG ให้ต่ำลง
4. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดทำข้อเสนอนโยบายราคาก๊าซ LPG เพื่อแก้ไขปัญหากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งไม่สามารถรับภาระจ่ายเงินค่าชดเชยก๊าซ LPG อีกต่อไป และเพื่อให้ราคาก๊าซ LPG สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง โดยกำหนดเป็น 3 แนวทาง ดังนี้
- แนวทางที่ 1 : ยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซ LPG และยกเลิกการกำหนดราคาขายส่ง LPG ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศ และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่น
- แนวทางที่ 2 : ยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซ LPG แต่ยังคงชดเชยค่าขนส่ง LPG เพื่อให้ราคาขายส่ง LPG ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศ และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่น
- แนวทางที่ 3 : ไม่เปลี่ยนแปลงราคาขายปลีก LPG และยังคงระบบการกำหนดราคา LPG เช่นเดิม โดยใช้มาตรการด้านภาษีและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อรักษาระดับราคา LPG ได้แก่
พลิงของน้ำมันชนิดอื่น พร้อมลดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อให้ราคาขายปลีกคงที่
ในการดำเนินการตามแนว
(1) ลดอัตราภาษีสรรพสามิต LPG
(2) เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันชนิดอื่น
(3) เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเ
ทางที่ 1 และ 2 จะต้องมีการดำเนินการเพื่อเพิ่มการแข่งขันในตลาด การค้าก๊าซ LPG ก่อน โดยการยกเลิกการควบคุมการนำเข้า และให้ ปตท. ให้บริการเป็นผู้รับจ้างขนส่งและเก็บรักษาก๊าซของผู้ค้าก๊าซทุกราย (Third Party Access) โดยผู้ค้าก๊าซทุกรายสามารถจะใช้บริการคลังก๊าซภูมิภาคของ ปตท.
5. การดำเนินการตามแนวทางต่าง ๆ จะมีผลกระทบดังต่อไปนี้
5.1 แนวทางที่ 1 และ 2 ราคาขายส่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มของก๊าซ LPG จะเพิ่มขึ้นเท่ากับอัตราเงิน ชดเชย และราคาขายปลีกในส่วนกลางจะสูงขึ้นเท่ากันทั้ง 2 แนวทาง ส่วนราคาขายปลีกในส่วนภูมิภาคตามแนวทางที่ 1 จะสูงขึ้นตามส่วนกลางบวกกับค่าขนส่งไปยังแต่ละพื้นที่ แต่แนวทางที่ 2 จะไม่เปลี่ยนแปลง โดยทั้ง 2 แนวทาง ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่น ๆ จะลดลงตามอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลง
5.2 แนวทางที่ 3 (1) เป็นการลดอัตราภาษีสรรพสามิตเป็นศูนย์ และเพิ่มอัตรากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันชนิดอื่นให้เพียงพอกับการจ่ายชดเชยก๊าซ LPG ดังนั้น จะกระทบต่อราคาขายปลีกของน้ำมันชนิดอื่น ๆ ยกเว้นก๊าซ LPG
5.3 แนวทางที่ 3 (2) การเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันเบนซิน ดีเซลหมุนเร็ว ดีเซลหมุนช้า และน้ำมันเตาจะทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดังกล่าวเพิ่มขึ้นเท่ากัน ในขณะที่ตาม แนวทางที่ 3 (3) การเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันชนิดดังกล่าวไม่มีผลต่อราคา ขายปลีก เนื่องจากได้ลดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดังกล่าวเท่ากัน
5.4 ทางเลือกที่ 1, 2, 3 (2) ประชาชนโดยรวมมิได้จ่ายเงินมากขึ้น เพราะถ้ามีการยกเลิกการ ควบคุมราคาก็จะมีการลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากน้ำมันต่างๆ เพื่อชดเชยราคา LPG ด้วย โดยราคาน้ำมันจะลดลง ในขณะที่ราคา LPG จะสูงขึ้นบ้าง ซึ่งจะเป็นธรรมสำหรับประชาชนในชนบทซึ่งใช้น้ำมัน แต่ต้องจ่ายเงินชดเชยให้ LPG ผ่านราคาน้ำมันมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ LPG มีการใช้ในเขตเมืองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทางเลือกที่ 3 (1) และ (2) แม้ว่าประชาชนไม่ต้องซื้อน้ำมันและก๊าซที่แพงขึ้น แต่รัฐก็จะขาดรายได้ภาษีกว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งอาจต้องมีการตัดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมหรือเพิ่มภาษีประเภทอื่น
6. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า ในหลักการควรดำเนินการตามข้อเสนอในแนวทางที่ 1 เพราะจะทำให้ราคาก๊าซ LPG สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงมากที่สุด แต่เนื่องจากจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในชนบทมากเกินไป จึงควรบรรเทาผลกระทบ โดยในขั้นแรกให้ดำเนินการตามข้อเสนอในแนวทางที่ 2 ไปก่อน และเมื่อสภาวการณ์เหมาะสมจึงค่อยดำเนินการยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งก๊าซฯ ต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอปรับปรุงนโยบายราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ตามแนวทางที่ 2 ทั้งนี้ ให้นำระบบลอยตัวเต็มที่ หรือ ระบบกึ่งลอยตัวมาใช้ และให้พิจารณาลดอัตราภาษีสรรพสามิตและปรับปรุงสูตรราคา ณ โรงกลั่น เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะมีต่อประชาชน โดย
1.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง ในการลดอัตราภาษีสรรพสามิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว และมอบหมายให้ สพช. และ ปตท. รับไปพิจารณาปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่น
2.ให้นำผลการดำเนินการตามข้อ 1 เสนอต่อคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเพื่อพิจารณากำหนดโครงสร้างราคาและ ขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจน รวมทั้ง ดำเนินการออกประกาศและประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ในการกำหนดราคาต่อไป
เรื่องที่ 8 แนวทางในการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2538 เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในเรื่องแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2538-2554) โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทำการศึกษาความเหมาะสมของสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบ เพื่อใช้เป็น แนวทางในการวางแผนพัฒนาพลังงานในอนาคตต่อไป
2. กฟผ. ได้ดำเนินการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา Electronic Data Systems Corporation (EDS) ทำการศึกษาถึงความเหมาะสมในการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และได้จัดทำรายงานผลการศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดย กฟผ. ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน และ สพช. ร่วมพิจารณาผลการศึกษาการซื้อไฟฟ้าจากภายนอกประเทศ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2540 ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่าผลการศึกษาของ บริษัทที่ปรึกษา EDS ดังกล่าว อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ เนื่องจากได้คำนึงถึงประเด็นที่สำคัญต่างๆ ไว้อย่างเพียงพอ
3. ผลการศึกษาการซื้อไฟฟ้าจากภายนอกประเทศของบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าว ได้ข้อสรุปที่สำคัญดังนี้
3.1 จำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเดียว ไม่เกินร้อยละ 13 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
3.2 จำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจาก 2 ประเทศ ไม่เกินร้อยละ 25 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
3.3 จำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจาก 3 ประเทศ ไม่เกินร้อยละ 33 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
3.4 จำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจาก 4 ประเทศ ไม่เกินร้อยละ 38 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
ทั้งนี้ ในการรับซื้อไฟฟ้าจากหลายประเทศ จะต้องจำกัดให้การรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศใดประเทศหนึ่งไม่เกินร้อยละ 13 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมดด้วย
4. ในปัจจุบันการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านได้ขยายตัวออกไปอย่างมาก โดยรัฐบาลไทยได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 และรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่าในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2553 ขณะเดียวกันก็ได้มีการหารือเพื่อแลกเปลี่ยนนโยบายการซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. และการไฟฟ้ายูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำจิงหง ปริมาณ 1,200 เมกะวัตต์ แต่ความร่วมมือในการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวยังไม่มีข้อตกลงอย่างเป็นทางการใน ระดับรัฐบาลของทั้งสองประเทศ
5. เพื่อให้การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังน้ำจิงหงคืบหน้าต่อไป รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) จึงได้พิจารณาเห็นสมควรให้มีการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็น ทางการ เพื่อเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ซึ่งยังอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากภายนอกประเทศ โดย สพช. ได้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ได้กำหนดให้ กฟผ. หรือหน่วยงานอื่นที่ได้รับมอบหมาย รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ได้ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) และได้กำหนดให้รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนต้องยินยอมให้ผู้ลงทุนไทยมีส่วน ร่วมในการดำเนินโครงการ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบกับข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากภายนอกประเทศตามที่ กฟผ. เสนอ ตามข้อ 3 ของระเบียบวาระที่ 4.5 เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ต่อไป
2.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ไปเจรจากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในเรื่องการขยายความร่วมมือด้านพลังงานของทั้งสองประเทศ และการเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำจิงหง ในมณฑลยูนนาน เพื่อจำหน่ายไฟฟ้า ให้แก่ประเทศไทย
3.เห็นชอบในหลักการร่างบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจารับซื้อไฟฟ้ากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อไป
เรื่องที่ 9 หนี้ค่าไฟฟ้าของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2534 เห็นชอบแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระของส่วน ราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนั้นๆ โดยให้นำงบประมาณค่าสาธารณูปโภคที่ได้รับไปชำระค่าสาธารณูปโภค โดยมิให้นำไปใช้จ่ายเพื่อการอื่น หากงบประมาณที่ตั้งไว้ไม่พอชำระ ให้โอนเงินงบประมาณเหลือจ่ายจากหมวดอื่นไปจ่ายชำระค่าสาธารณูปโภคส่วนที่ เกินงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยให้ถือเป็นความสำคัญลำดับแรกของการใช้เงินเหลือจ่าย และให้รีบดำเนินการชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคให้แก่รัฐวิสาหกิจผู้ขายให้แล้ว เสร็จ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งหนี้
2. ปัจจุบันส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจหลายแห่งยังไม่ได้ถือปฏิบัติเกี่ยวกับ มาตรการการชำระหนี้ค่าไฟฟ้าให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทำให้เกิดหนี้สะสมเป็นจำนวนมาก ถึง 2,379 ล้านบาท แบ่งเป็นในเขตการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) 1,089 ล้านบาท และเขตการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 1,290 ล้านบาท
3. ส่วนการชำระเงินค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทย (กฟผ.) ให้แก่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จะเป็นไปตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเตา ระหว่าง กฟผ. และ ปตท. สัญญาทั้ง 2 กำหนดเงื่อนไขการชำระเงินภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ กฟผ. ได้รับใบแจ้งหนี้ มีการกำหนดเบี้ยปรับการชำระเงินล่าช้าระหว่าง กฟผ. และ ปตท. โดยคิดเบี้ยปรับเป็นรายวัน นับถัดจากวันครบกำหนดชำระในอัตราเท่ากับดอกเบี้ยขั้นต่ำของเงินกู้เบิกเกิน บัญชี (MOR) ซึ่งประกาศโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด ณ เดือนที่ผิดนัดบวกด้วยสอง อย่างไรก็ตามหาก กฟน. หรือ กฟภ. ชำระค่าไฟแก่ กฟผ. ล่าช้า จะไม่มีเบี้ยปรับ
4. การค้างชำระค่าไฟฟ้าของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายมากรวมถึงการส่งเงินรายได้ เข้ารัฐ และการชำระค่าซื้อไฟฟ้าแก่ กฟผ. ดังนั้น การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย จึงเสนอให้เรียกเก็บเงินค่าดอกเบี้ยสำหรับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ชำระ หนี้เกินกำหนด 15 วัน ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เช่นเดียวกับที่ได้ดำเนินการกับผู้ใช้ไฟรายใหญ่
5. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีการพิจารณาเรื่องหนี้ค่าไฟฟ้าของส่วนราชการและ รัฐวิสาหกิจเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2540 และได้มีมติ ดังนี้
5.1 ให้ส่วนราชการที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 250,000 หน่วยต่อเดือน ซึ่งจะต้องซื้อไฟฟ้าในอัตราเดียวกันกับธุรกิจเอกชนทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไปอยู่แล้ว และรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง มีวิธีการชำระเงิน ค่าไฟฟ้าเช่นเดียวกับธุรกิจเอกชน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ดำเนินการแจ้งให้หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจดังกล่าว มาทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าด้วย
5.2 ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายชำระเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับใบแจ้งหนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการชำระเงินค่าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป หากชำระเงินเกิน 30 วัน ให้มีเบี้ยปรับโดยคิดเป็นรายวันในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำของเงินกู้เบิกเกิน บัญชี (MOR) ประกาศโดยธนาคารกรุงไทย บวกด้วยสอง
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้ส่วนราชการที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 250,000 หน่วยต่อเดือนต่อมิเตอร์ ซึ่งจะต้องซื้อไฟฟ้าในอัตราเดียวกันกับธุรกิจเอกชนทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไปอยู่แล้ว และรัฐวิสาหกิจทุกแห่งมีวิธีการชำระเงินค่าไฟฟ้าเช่นเดียวกับธุรกิจเอกชน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ดำเนินการแจ้งให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดังกล่าว มาทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าด้วย
2.ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายชำระเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับใบแจ้งหนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการชำระเงินค่าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป หากชำระเงินเกิน 30 วัน ให้มีเบี้ยปรับโดยคิดเป็นรายวันในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำของเงินกู้เบิกเกิน บัญชี (MOR) ประกาศโดยธนาคารกรุงไทย บวกด้วยสอง
3.ในกรณีที่การดำเนินการในข้อ 1 มีปัญหาในทางปฏิบัติเกี่ยวกับเบี้ยปรับที่เกิดจากการชำระค่าไฟฟ้าเกินกำหนด ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปพิจารณาแก้ไขปัญหาร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ แล้วนำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานให้ความเห็นชอบเพื่อให้ส่วนราชการ ถือปฏิบัติต่อไป
เรื่องที่ 10 ราคาก๊าซธรรมชาติที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยจำหน่ายให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2540 อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจ เรื่อง รายงานการดำเนินการแก้ไขปัญหาการส่งออก โดยในเรื่อง ค่ากระแสไฟฟ้าและพลังงาน ได้ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำหน่ายก๊าซธรรมชาติให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ในโครงสร้างราคาเดียวกับที่จำหน่ายให้ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ซึ่งต่อมา ปตท. ได้ขอให้พิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้คำนึงถึงปริมาณจำหน่ายก๊าซฯ ที่แตกต่างกัน ระหว่าง IPP กับSPP รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการส่งก๊าซฯ และความเสี่ยงในการจัดการบริหารสัญญาซึ้อขายก๊าซธรรมชาติ
2. นโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ได้มีการกำหนดราคาและเงื่อนไขการซื้อขายก๊าซธรรมชาติ สำหรับสัญญาระยะยาวที่มีความแน่นอน (Firm) ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) หรือคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยมีการกำหนดหลักการของการกำหนดราคาไว้ ดังนี้
ราคาก๊าซธรรมชาติ = ราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซ + ค่าตอบแทนในการจัดหา และจำหน่าย + ค่าผ่านท่อ
โดยกำหนดค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่ายเท่ากับ 1.75% ของราคาเนื้อก๊าซฯ หลักการ ดังกล่าว ในขณะนี้มีการนำไปใช้กับราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. จำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ IPP แต่ยังไม่ได้มีการนำไปใช้สำหรับ SPP โดยสูตรราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. ขายให้ SPP ในปัจจุบัน เป็นดังนี้
ราคาก๊าซธรรมชาติของ SPP = ราคาก๊าซฯ ที่ กฟผ. ซื้อ + X · Wy/Wo
โดยที่ X = ค่าการตลาดที่มีค่าเบื้องต้นที่ 11 บาทต่อล้านบีทียู และจะมีค่าลดลงตามปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากซื้อก๊าซฯ ในปริมาณสูงมากกว่า 500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ค่า X จะเท่ากับ 0
Wy = ดัชนีราคาขายส่ง (Wholesale Price Index) ในช่วงเวลา y
5. สูตรราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. ขายให้ SPP ดังกล่าว ทำให้ราคาขายก๊าซฯ สูงกว่าราคาขายให้ IPP ทั้งๆ ที่เป็นกิจกรรมการผลิตไฟฟ้าเหมือนกัน ดังนั้น SPP จึงขอให้มีการปรับปรุงแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซฯ บางประการ โดยเฉพาะในเรื่องสูตรราคาขาย และการกำหนดปริมาณก๊าซฯ ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าของ SPP ลดลงประมาณ 9.5 สตางค์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ จะทำให้ ปตท. ขาดรายได้จากที่ควรจะได้รับไปประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี
6. ปตท. ได้เสนอใช้สูตรราคาเหมือน IPP แต่กำหนดค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่ายในระดับ 9.33% ของราคาเนื้อก๊าซฯ แทนที่จะเป็น 1.75% เช่นในกรณีของ IPP ดังนี้
ราคาขายก๊าซฯ ของ SPP = ค่าเนื้อก๊าซ (Pool 3) + ค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่าย (9.33% หรือ 6.4177 บาท/ล้านบีทียู) + ค่าผ่านท่อ
7. สพช. ปตท. และ SPP ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2540 และ 3 กันยายน 2540 เพื่อปรับปรุงเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ SPP เพื่อให้สัญญาดังกล่าวมีความสอดคล้องกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP จนได้ข้อยุติในประเด็นที่สำคัญๆ และ ปตท. ได้จัดทำร่างสัญญามาตรฐานแล้ว ซึ่งประกอบด้วยการแก้ไขในประเด็นสำคัญๆ เช่น ปริมาณก๊าซฯ ที่ซื้อขาย คุณภาพก๊าซฯ และระดับความดันก๊าซฯ Make Up Period ระยะเวลาทดสอบ ความรับผิดชอบของ ปตท. ในกรณีส่งก๊าซฯ ไม่ได้คุณภาพตามที่กำหนดในสัญญา และระยะเวลาการชำระเงิน
มติของที่ประชุม
1.รับทราบการดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ SPP เพื่อให้สอดคล้องกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP ตามแนวทางการแก้ไขในข้อ 5 ของระเบียบวาระที่ 4.7
2.เห็นชอบโครงสร้างราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. ขายให้กับ SPP ตามที่ ปตท. เสนอในข้อ 4 ของระเบียบวาระที่ 4.7
3.มอบหมายให้ ปตท. รับไปดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ SPP เพื่อให้เป็นไปตามร่างสัญญามาตรฐานตามเอกสารแนบ 3 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7 และเพื่อให้ราคาซื้อขายเป็นไปตามโครงสร้างราคาใหม่ ทั้งนี้ให้โครงสร้างราคาขายใหม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2540
4.สำหรับ SPP ที่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญาให้ ปตท. ยึดถือร่างสัญญามาตรฐานตามเอกสารแนบ 3 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7 และโครงสร้างราคาใหม่เป็นหลักในการดำเนินการ
5.มอบหมายให้ สพช. และ ปตท. พิจารณาความเหมาะสมของโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติและสัญญาซื้อขายก๊าซ ธรรมชาติที่ ปตท. จำหน่ายให้กับผู้ใช้ก๊าซประเภทอื่นๆ นอกจาก IPP และ SPP โดยกำหนดประเภทผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติที่เป็นลูกค้าของ ปตท. เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าและในกระบวนการผลิต และกลุ่มผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในการผลิต ทั้งนี้ โครงสร้างราคาขายก๊าซธรรมชาติดังกล่าวอาจมีลักษณะเป็นขั้นบันได โดย มีหลักการให้ผู้ใช้ก๊าซฯ ในปริมาณมากได้รับราคาที่ถูกกว่า ผู้ใช้ก๊าซฯ ในปริมาณที่น้อยกว่า แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติในเดือนมีนาคม 2532 เห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคใต้โดยสร้างสะพานเศรษฐกิจเชื่อมระหว่างทะเล อันดามันและอ่าวไทย ประกอบด้วย ท่าเรือน้ำลึกทั้งสองฝั่งทะเลเชื่อมโยงด้วยระบบถนน รถไฟ และท่อส่งน้ำมันมาตรฐานสูง โดยให้ ปตท. เป็นแกนนำในการพัฒนาโครงการในส่วนของกิจการที่เกี่ยวกับปิโตรเลียม และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 เห็นชอบให้ ปตท. ศึกษาในขั้นรายละเอียด (Feasibility Study) 3 โครงการ คือ โครงการระบบท่อส่งน้ำมันดิบกระบี่ - ขนอม โครงการโรงกลั่นน้ำมันในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ และโครงการปิโตรเคมี ซึ่ง ปตท. ได้ว่าจ้าง Fluor Daniel Inc. ดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จและในปัจจุบัน ปตท. กำลังดำเนินการศึกษาทบทวนในรายละเอียดของโครงการ เพื่อปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และเชิญชวนบริษัทที่สนใจเข้าร่วมลงทุนกับ ปตท. ซึ่งมีบางรายได้แสดงความสนใจ เช่น ITOCHU เป็นต้น
2. ตามโครงการดังกล่าวในส่วนของคลังน้ำมันจะมีการดำเนินการจัดตั้งเป็นคลัง สินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน (คสน.) เพื่อรองรับการเป็นคลังน้ำมันปลอดภาษีสำหรับการซื้อขายระหว่างประเทศใน ภูมิภาคตะวันออกไกล แต่เนื่องจากกฎเกณฑ์ของรัฐในปัจจุบันยังไม่สอดคล้องกับการจัดตั้งคลังน้ำมัน เป็นสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็นน้ำมัน (คสน.) ดังนี้
2.1 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ให้กรมศุลกากรระงับการอนุมัติให้จัดตั้งคลัง คสน. ไว้ก่อนจนกว่าปัญหาความเสี่ยงภัยในการเกิดการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง จะได้รับการแก้ไขให้เสร็จเรียบร้อย
2.2 ประกาศกรมศุลกากร ฉบับที่ 12/2539 เรื่องระเบียบเกี่ยวกับคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน ข้อ 16 และระเบียบของกรมศุลกากรว่าด้วยการตรวจผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและของเหลวซึ่งนำ เข้าในลักษณะ BULK CARGO กำหนดให้การนำเข้าน้ำมันของคลัง คสน. ถือปฏิบัติเช่นเดียวกันกับการนำเข้าตามปกติเพื่อใช้ในประเทศคือน้ำมันที่นำ เข้าต้องมีคุณภาพ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
3. เพื่อให้สามารถจัดตั้งคลัง คสน. ได้ตามโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการค้าปิโตรเลียมได้ใน อนาคตและจะช่วยให้มีน้ำมันสำรองในประเทศมากขึ้น จึงเห็นควรปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐ โดยขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ในเรื่องการระงับการอนุมัติให้จัดตั้งคลัง คสน. โดยมิให้ใช้บังคับกับการจัดตั้งคลัง คสน. ตามโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ และให้กรมทะเบียนการค้าแก้ไขกฎเกณฑ์การควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมิให้นำประกาศกำหนดคุณภาพสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในประเทศมาใช้บังคับ น้ำมันที่นำมาเก็บในคลัง คสน. และน้ำมันที่ส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ รวมทั้ง ให้มีการแก้ไขประกาศกรมศุลกากร ฉบับที่ 12/2539 ดังกล่าวข้างต้นด้วย
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐ เพื่อจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน (คสน.) บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าปิโตรเลียมและมีน้ำมันสำรองใน ประเทศมากขึ้น โดยให้ดำเนินการปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐ ดังนี้
1.ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ในเรื่องการระงับการอนุมัติให้จัดตั้งคลัง คสน. โดยมิให้ใช้บังคับการจัดตั้ง คสน. ตามหลักเกณฑ์ที่จะได้มีการกำหนดขึ้น โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติรับไปศึกษาและนำเสนอหลักเกณฑ์ใน การจัดตั้งคลัง คสน. ที่เหมาะสมต่อไป
2.ให้กรมทะเบียนการค้าแก้ไขกฎเกณฑ์การควบคุมคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิง มิให้นำประกาศกำหนดคุณภาพสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในประเทศ มาใช้บังคับกับน้ำมันที่นำมาเก็บในคลัง คสน. และน้ำมันที่ส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ
3.ให้กรมศุลกากรแก้ไขประกาศกรมศุลกากร ฉบับที่ 12/2539 เรื่อง ระเบียบเกี่ยวกับคลังสินค้า ทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน มิให้นำหลักเกณฑ์วิธีการที่กรมศุลกากรถือปฏิบัติสำหรับการนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิงเพื่อใช้ในประเทศ มาใช้บังคับกับการนำเข้าของคลัง คสน. เพื่อให้คลัง คสน. สามารถนำเข้า - ส่งออกและเก็บรักษาน้ำมันที่มีคุณภาพแตกต่างจากที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ กำหนดได้