Super User
รายชื่อผู้ผ่านการเลือกสรรเพื่อจัดจ้างเป็นพนักงานราชการทั่วไปตำแหน่งนักวิชาการเงินและบัญชี วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559
กพช. ครั้งที่ 71 - วันพุธที่ 26 มกราคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 71)
วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 3201 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 3 รัฐสภา
1.การประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การขอทบทวนบทบาทและหน้าที่ขององค์กรในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม2542 เห็นชอบแนวทางในการแก้ปัญหาน้ำมันราคาแพง ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การเลือกใช้พลังงาน การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว การลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง การส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคคมนาคมขนส่ง การเจรจาปรับลดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น การตรึงราคาค่าโดยสารรถไฟและรถประจำทาง และการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลชั่วคราวเป็นเวลา 3 เดือน
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาแพง สรุปได้ดังนี้
2.1 การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน สพช. ได้เร่งรัดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้มีประสิทธิภาพและมีผลเป็น รูปธรรมมากยิ่งขึ้น ได้แก่ การเร่งดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ ส่งเสริมให้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพในการใช้ พลังงานสูง เร่งรัดให้มีการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่ใช้ไฟฟ้า และกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ รวมทั้งการติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์ทดสอบประสิทธิภาพพลังงานที่มีมาตรฐาน ตลอดจนเร่งดำเนินการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานในสาขาขนส่ง
2.2 การเลือกใช้พลังงานให้เหมาะสม ประกอบด้วย การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกชนิด การลดการใช้น้ำมันเตาและดีเซลในการผลิตไฟฟ้า การส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น การกระจายแหล่งและชนิดของเชื้อเพลิงในระยะยาว เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการจัดหาเชื้อเพลิงของประเทศ
2.3 การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซ ปิโตรเลียมเหลว ซึ่งกองทุนน้ำมันฯ จะสามารถตรึงราคาได้เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 11 เดือน
2.4 การลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า โดยได้มีการผ่อนผันให้ กฟผ. สามารถใช้น้ำมันเตากำมะถันไม่เกิน 1.0% และค่าแอสฟัลทีนระดับปกติ มาใช้ในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือได้ และ ปตท. อยู่ระหว่างการเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันและ กฟผ. เพื่อหาทางเลือกต่างๆ ที่จะทำให้น้ำมันเตาที่จำหน่ายให้ กฟผ. มีราคาต่ำที่สุด
2.5 การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบ ด้วยกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.) ได้เพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นในการติดตาม ตรวจสอบ เพื่อป้องกันปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2.6 การส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคคมนาคมขนส่งมากขึ้น โดยสนับสนุนการขยายจำนวนรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาเพื่อให้โครงการสามารถปฏิบัติได้อย่างเป็น รูปธรรม
2.7 การเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น ขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการเจรจากับโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อปรับลดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันเชื้อเพลิง
2.8 กระทรวงคมนาคม รับไปดำเนินการตรึงราคาค่าโดยสารสำหรับรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. รถไฟ และรถโดยสารของบริษัท ขนส่ง จำกัด รวมทั้ง ให้พิจารณาลดค่าธรรมเนียมที่เก็บจากรถร่วมบริการเพื่อเป็นการลดต้นทุนของผู้ ประกอบการ โดยให้พิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังในการพิจารณาหารายได้ส่วนอื่นมาชดเชย
2.9 กระทรวงการคลัง ได้ปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเป็นการชั่วคราว ระยะเวลา 3 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2542 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2543 ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลง 0.50 บาท/ลิตร และได้ปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตของยาสูบ มีผลตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2542 เป็นต้นมา และคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลเป็น 0 บาท/ลิตร เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบของราคาขายปลีกที่จะสูงขึ้นเมื่อครบกำหนดขึ้นภาษี สรรพสามิต ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2543 เป็นต้นมา ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับสูงขึ้นเพียง 0.23 บาท/ลิตร
3. ราคาน้ำมันดิบในเดือนมกราคมได้ปรับตัวสูงขึ้น มีสาเหตุมาจากแนวโน้มการขยายเวลาการจำกัดการผลิต สภาพอากาศที่หนาวเย็นมากในอเมริกาและแคนาดา ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบสูงขึ้น และข่าวการส่งออกน้ำมันของอิรัคที่จะลดลง โดยน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น$4.5 ต่อบาร์เรล อยู่ในระดับ $ 29.9 ต่อบาร์เรล น้ำมันดิบดูไบปรับตัวขึ้น $1.5 ต่อบาร์เรล อยู่ในระดับ$ 24.7 ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันสำเร็จรูป ในตลาดจรสิงคโปร์ปรับสูงขึ้นเช่นกัน จากการลดกำลังกลั่นในสิงคโปร์และอินเดีย และการปิดของโรงกลั่น ไทยออยล์ ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปเข้าสู่ตลาดน้อยลง ในขณะที่แรงซื้อน้ำมันมีมาก โดยน้ำมันเบนซินและดีเซล สูงขึ้น $3 - 4 -ต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ $31 -ต่อบาร์เรล- -น้ำมันก๊าดสูงขึ้น $2.7 ต่อบาร์เรล เป็น $33.9 ต่อบาร์เรล น้ำมันเตาราคาเฉลี่ยลดลง $ 1 ต่อบาร์เรล แต่หลังจากกลางเดือนราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ $23.2 ต่อบาร์เรล
4. ราคาน้ำมันในประเทศในเดือนมกราคม ช่วงต้นเดือนมีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลขึ้น 23 สตางค์/ลิตร จากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ซึ่งถูกชดเชยด้วยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนหนึ่ง และได้มีการปรับราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้นอีก 2 ครั้ง รวม 60 และ 50 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และ 87 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 26 มกราคม 2543 อยู่ในระดับ 14.39, 13.59, 13.17 และ11.52 บาท/ลิตร- ตามลำดับ ค่าการตลาดและค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ในระดับ 1.02 และ 0.69 บาท/ลิตร
5. สพช. คาดการณ์แนวโน้มของราคาน้ำมันว่า ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจะอยู่ในระดับสูงสุดในเดือนมกราคม หลังจากนั้นสภาพอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันจะเริ่มลดลง และค่าการกลั่นดีขึ้น จะทำให้โรงกลั่นเพิ่มการผลิต รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง จะทำให้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของไตรมาสแรกอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสก่อน โดยน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ในระดับ $22-23 ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันสำเร็จรูปจะอ่อนตัวลง ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาขายปลีกของไทยมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวเช่นกัน
มติของที่ประชุม
1.ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ติดตามประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างใกล้ชิด
2.ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ประเมินผลกระทบต้นทุนสินค้าและบริการในสาขาที่เกี่ยวข้องจากราคาน้ำมันที่ สูงขึ้น พร้อมทั้งเสนอแนะมาตรการบรรเทาผลกระทบที่ชัดเจน
3.ให้กระทรวงการคลัง พิจารณาความเป็นไปได้ในการนำกองทุนต่างๆ ที่มีการจัดตั้งอยู่ทั้งหมดในขณะนี้ว่าสามารถนำมาใช้ในการบรรเทาผลกระทบใน สาขาต่าง ๆ ได้มากน้อยเพียงใด
4.ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
5.ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม จัดทำรายงานผลความก้าวหน้าการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมและโรง งานควบคุมภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน
ทั้งนี้ ให้นำเสนอรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมวันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543
เรื่องที่ 2 การขอทบทวนบทบาทและหน้าที่ขององค์กรในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 มอบหมายให้กองทัพเรือเป็นศูนย์กลางในการจัดทำแผนงานปราบปราม ควบคุมและประสานการปฏิบัติงานกับกรมศุลกากรและกรมตำรวจในการปราบปรามทางทะเล ให้เป็นเอกภาพ รวมทั้งเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลข่าวสารในการปราบปรามทางทะเล ประเมินผลการปฏิบัติงาน ตลอดจนปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะการปฏิบัติงานในพื้นที่ทางทะเลจนถึงชายฝั่ง เพื่อแก้ไขปัญหาและจุดอ่อนด้านความพร้อมของการปราบปรามทางทะเล โดยให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมืออำนวยความสะดวก เพื่อประสานการปฏิบัติงานแก่กองทัพเรือโดยตรง
2. กองทัพเรือได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล (ศอปล.) ขึ้น เพื่อดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมาย แต่จากการประเมินผลการดำเนินการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา(ปี 2539 - 2542) พบว่าศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเลมิได้มีการใช้ประโยชน์อย่างจริง จัง โดยการดำเนินการจับกุมของแต่ละหน่วยงานต่างเป็นเอกเทศ มิได้มีการประสานงานข้อมูลข่าวสารการปราบปรามทางทะเลตามวัตถุประสงค์ที่วาง ไว้ และไม่สามารถตอบสนองนโยบายของรัฐตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายให้เป็นศูนย์อำนวย การเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล โดย 4 ปีที่ผ่านมา กองทัพเรือสามารถจับกุมน้ำมันเถื่อนได้เฉลี่ยเพียงปีละ 2.6 แสนลิตร หรือคิดเป็นร้อยละ 4 ของการจับกุมทั้งหมด ในขณะที่กรมศุลกากรสามารถจับกุมได้ร้อยละ 18.4 และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางสามารถจับกุมได้ถึงร้อยละ 77.6
3. ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.) เป็นศูนย์กลางการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งทาง บกและทางทะเล ด้วยเหตุผลดังนี้
3.1 การประกาศเขตต่อเนื่องไปอีก 12 ไมล์ทะเล ทำให้ตำรวจน้ำและเจ้าหน้าที่ศุลกากรสามารถปฏิบัติงานได้ครอบคลุมกว้างขวาง ยิ่งขึ้น อีกทั้ง 2 หน่วยงานยังได้พัฒนาขีดความสามารถในการหาข้อมูลข่าวสารได้เอง จนกระทั่งสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้บ่อยครั้งโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาข้อมูล ข่าวสารของกองทัพเรือในการปฏิบัติงาน ดังนั้นความจำเป็นในการพึ่งพาการลาดตระเวนของกองทัพเรือที่จะช่วยสนับสนุน ด้านการข่าวให้แก่ตำรวจน้ำและเจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงหมดไป
3.2 การลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบออกไป เป็นการลักลอบนำสารโซลเว้นท์ปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง และการขอคืนภาษีน้ำมันส่งออกโดยมิได้ถูกส่งออกไปจริง ทำให้ภารกิจในการตรวจเฝ้าการลักลอบนำเข้าน้ำมันทางทะเลลดลง
3.3 ปัจจุบัน ศปนม. ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการป้องกันและปราบปรามฯ ทางบกอยู่แล้ว ดังนั้นการกำหนดให้ ศปนม. -เป็นศูนย์กลางประสานงานทั้งทางบกและทางทะเล จึงทำให้การทำงานมีความเป็นเอกภาพและประสิทธิภาพสูงสุด
3.4 สามารถประหยัดงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ โดยในส่วนของกองทัพเรือให้ขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดินเป็นหลัก
4. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ในการประชุม ครั้งที่ 1/ 2542 (ครั้งที่ 31) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2542 จึงได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบให้ทบทวนบทบาทและหน้าที่องค์กรในการป้องกันและ ปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้มีการทบทวนบทบาทและหน้าที่องค์กรในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
1.1 ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 มีนาคม2539 ในการมอบหมายให้กองทัพเรือเป็นศูนย์กลางในการประสานงานปราบปรามทางทะเล และมอบหมายให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อ เพลิง (ศปนม.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่แทนกองทัพเรือในการเป็นศูนย์กลางในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบ นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งทางบกและทางทะเล
1.2 ให้กองทัพเรือ กรมสรรพสามิต กรมทะเบียนการค้า กรมศุลกากร กรมประมง กรมเจ้าท่า และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยให้ความร่วมมือทั้งด้านการประสานงาน การให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบ จับกุมผู้กระทำผิดและร่วมตรวจสอบจับกุมผู้กระทำผิด เมื่อได้รับการร้องขอจาก ศปนม.
1.3 มอบหมายให้ ศปนม. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จัดทำข้อเสนอการจัดทำโครงข่ายการประสานการปฏิบัติงานของ ศปนม. ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งทาง บกและทางทะเล เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
2.ให้กรมทะเบียนการค้า กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต ร่วมกันตรวจสอบปรับปรุงข้อมูลการส่งออกน้ำมันให้มีความสอดคล้องกัน เพื่อใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานต่อไป
ครั้งที่ 4 - วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2546
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 4)
วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2547
3. การขยายระยะเวลาปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุน จำนวน 7 สตางค์ต่อหน่วย
4. การรับภาระของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจากการตรึงค่า Ft
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 ราคาน้ำมันดิบโอมานและดูไบเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 0.10 - 0.37 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในอิรัก และเหตุการณ์การก่อการร้ายอย่าง ต่อเนื่องในตะวันออกกลางและประเทศตุรกี ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์และ WTI ได้ปรับตัว ลดลง 0.27 - 0.56 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการคาดว่ากลุ่มโอเปคจะผลิตเกินโควต้าอยู่ประมาณ 1 ล้านบาร์เรล/วัน ในช่วง ต้นเดือนธันวาคมราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง 0.38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ทรงตัว จากผลการประชุมของโอเปค เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2546 ให้คงการผลิต ไว้ที่ระดับ 24.5 ล้านบาร์เรล/วัน ประกอบกับอิรักสามารถส่งออกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 0.35 ล้านบาร์เรล/วัน มาอยู่ที่ระดับ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน โดยราคาน้ำมันดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 27.52 และ 28.82 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้น 0.23 และ 1.27 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากจีนลดการส่งออกและโรงกลั่นปิดซ่อมบำรุง และอุปทานน้ำมันเข้ามาในภูมิภาคลดลง ประกอบกับความต้องการใช้ของออสเตรเลียเพิ่มขึ้น แต่ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 92 ปรับตัวลดลง 0.20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการส่งออกของไต้หวัน อินเดีย และประเทศในตะวันออกกลาง ประกอบกับออสเตรเลียชะลอการนำเข้า ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวสูงขึ้น 0.89 - 1.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อของเวียดนามและบังคลาเทศ ประกอบกับญี่ปุ่นลดการส่งออก เนื่องจากโรงกลั่นปิดซ่อมบำรุง ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวลดลง 0.24 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล โดยอุปทานในภูมิภาคเพิ่มขึ้นจากมีน้ำมันจากตะวันออกกลางเข้ามาขายในภูมิภาคเอเซีย ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 , น้ำมันก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเตา ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 37.48, 35.98, 37.78, 33.48 และ 25.84 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ในเดือนพฤศจิกายน ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ทรงตัว น้ำมันเบนซินออกเทน 91 สุทธิปรับขึ้น 0.10 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วสุทธิปรับขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกในช่วงต้นเดือนธันวาคม ไม่เปลี่ยนแปลง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 16.69 , 15.89 และ 14.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในเดือนพฤศจิกายน และช่วงต้นเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 1.2323 และ1.4320 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการกลั่นเฉลี่ยของเดือนพฤศจิกายนและช่วงต้นเดือนธันวาคม อยู่ที่ระดับ 0.7306 และ 0.9841 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนธันวาคม 2546 ปรับตัวสูงขึ้น 32 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ ในระดับ 312 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 11.84 บาท/กก. อัตราเงิน ชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 3.64 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 662 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันฯ มี รายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 982 ล้านบาท/เดือน จึงมีเงินไหลออกกองทุนฯ สุทธิ 80 ล้านบาท/เดือน ยอดเงินคงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 อยู่ในระดับ 2,449 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2546 รวม 5,292 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 2,843 ล้านบาท
6. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ให้จำกัดอัตราชดเชยราคาก๊าซ LPG ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2546 - มิถุนายน 2547 ไม่เกิน 3 บาท/กก. สนพ. จึงได้ดำเนินการออกประกาศ กบง. ฉบับที่ 70 พ.ศ. 2546 ปรับขึ้นราคาขายส่งก๊าซ LPG ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 0.9345 บาท/กก. ซึ่งจะทำให้ราคาขายส่ง/ราคาขายปลีกรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.00 บาท/กก. หรือ 15 บาท/ถัง 15 กก. เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2546 เป็นต้นไป
7. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะยังทรงตัวในระดับสูง ในช่วงปลายปี 2546 จึงคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 27 - 29 และ 29 - 32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อราคาน้ำมัน คือ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง การส่งออกของอิรัก และการผลิตของประเทศนอกกลุ่มโอเปคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรัสเซียและนอร์เวย์ ส่วนแนวโน้มของราคา น้ำมันเบนซินออกเทน 95 จะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 35 - 38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์ของออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ประกอบกับอุปทานในภูมิภาคลดลงจากจีนลดการส่งออก ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 32 - 36 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้นเนื่องจากประเทศต่างๆ ได้เริ่มเก็บสะสม น้ำมันเพื่อความอบอุ่น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2547
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 เรื่องการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยเห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค (กฟภ.) โดยได้กำหนดให้มีการชดเชยรายได้จาก กฟน. ไปยัง กฟภ. เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544-2546 ในลักษณะเหมาจ่าย (Lump Sum Financial Transfer) เท่ากับ 8,153 8,589 และ 9,041 ล้านบาทต่อปี ตามลำดับ ทั้งนี้ ให้นำจำนวนเงินชดเชยรายได้ดังกล่าวมาเฉลี่ยเป็นรายเดือน และให้ กฟน. นำส่งเงินชดเชยรายได้ให้แก่ กฟภ. เป็นรายเดือน ในปีงบประมาณนั้น ซึ่งอัตราการชดเชยรายได้ดังกล่าวสิ้นสุดลงในปีงบประมาณ 2546
2. ในการประชุมหารือเพื่อพิจารณาฐานะการเงินของการไฟฟ้า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2546 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้ว่าการการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้พิจารณาเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า ซึ่งที่ประชุมเห็นควรให้มีการชดเชยรายได้ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง โดยให้ กฟน. และ กฟภ. ซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. โดยมีส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าซื้อไฟฟ้าตั้งแต่ค่าซื้อไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2546 และ กฟภ. ได้มีหนังสือถึง สนพ. ขอให้พิจารณาดำเนินการเร่งนำเรื่องเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อขอความเห็นชอบวิธีปฏิบัติในการจ่ายเงินชดเชย รายได้เป็นการชั่วคราวตามแนวทางการหารือเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2546 เนื่องจาก กฟภ. ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินและการดำเนินงานของ กฟภ.
3. การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าก่อนเดือนตุลาคม 2543 จะเป็นการชดเชยรายได้ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง โดยการกำหนดเป็นส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง กล่าวคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะขายไฟฟ้าให้กับ กฟน. ในราคาค่าไฟฟ้าขายส่ง บวกส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า และขายให้ กฟภ. ในอัตรา ค่าไฟฟ้าขายส่ง และหักด้วยส่วนลดค่าไฟฟ้า
4. แนวทางการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2547 ให้มีการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในปีงบประมาณ 2547 เป็นการชั่วคราว ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง จำนวน 9,041 ล้านบาท เท่ากับจำนวน เงินชดเชยรายได้ในปีงบประมาณ 2546 โดย กฟน. จะรับภาระการชดเชย 7,000 ล้านบาท และ กฟผ. รับภาระการชดเชยรายได้ด้วย จำนวน 2,041 ล้านบาท ดังนี้
ส่วนเพิ่มส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวม VAT)
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546
หน่วยซื้อไฟฟ้า (ประมาณการปีงบประมาณ 2547) (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาทต่อหน่วย) |
|
กฟน. | 39,909 | 0.1754 |
กฟภ. | 73,563 | (0.1229) |
ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อยุติการกำหนดเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าแล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวน เงินชดเชยรายได้ดังกล่าวย้อนหลังถึงเดือนตุลาคม 2546
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในปีงบประมาณ 2547 เป็นการชั่วคราว ผ่านค่า ไฟฟ้าขายส่ง จำนวน 9,041 ล้านบาท โดย กฟน. รับภาระการชดเชยรายได้ จำนวน 7,000 ล้านบาท และ กฟผ. รับภาระการชดเชยรายได้ จำนวน 2,041 ล้านบาท ดังนี้
ส่วนเพิ่มส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวม VAT)
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546
หน่วยซื้อไฟฟ้า (ประมาณการปีงบประมาณ 2547) (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาทต่อหน่วย) |
|
กฟน. | 39,909 | 0.1754 |
กฟภ. | 73,563 | (0.1229) |
ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อยุติการกำหนดเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าแล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวน เงินชดเชยรายได้ดังกล่าวย้อนหลังถึงเดือนตุลาคม 2546
2. มอบหมายให้ สนพ. ดำเนินการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง ขายปลีก และการชดเชยรายได้ให้แล้วเสร็จก่อนการกระจายหุ้น กฟผ. เข้าตลาดหลักทรัพย์ และเตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำกับศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าต่อไป
3. มอบหมายให้คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า เร่งรัดการปรับปรุงข้อมูลการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าของประเทศให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2546 เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่
เรื่องที่ 3 การขยายระยะเวลาปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุน จำนวน 7 สตางค์ต่อหน่วย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ในการประชุมครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 35) เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2544 เห็นชอบให้มีการปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุน จำนวน 7 สตางค์/หน่วย เนื่องจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งปรับลดแผนการลงทุนในปีงบประมาณ 2544-2546 ลงจากแผนเดิม 55,000 ล้านบาท ส่งผลให้ความต้องการรายได้สมทบการลงทุนลดลง 14,000 ล้านบาท สามารถลดค่าไฟฟ้าให้ ประชาชนได้ 7 สตางค์/หน่วย เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2544 - กันยายน 2546 โดยมอบหมายให้ คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการ
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 86) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2544 และในการประชุมครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 87) เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2544 ได้มีมติรับทราบผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามมติ กพง. ดังกล่าว
3. การปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนจำนวน 7 สตางค์/หน่วย ตามมติ กพง. และ กพช. ข้างต้น ได้สิ้นสุดลงเมื่อเดือนกันยายน 2546 การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้มีหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ขอให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ขอความชัดเจนในการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย เพื่อเป็นหลักปฏิบัติสำหรับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ที่ยืดระยะเวลาไปจากมติ กพง. อีก 4 เดือน คือ เดือนตุลาคม 2546-มกราคม 2547 ทั้งนี้ กฟภ. เห็นว่า หากยังคงให้ กฟภ. รับภาระส่วนลดดังกล่าวต่อไปอีก สมควรให้มีการพิจารณาปรับโครงสร้างราคาขายส่งให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมโดยเร็วต่อไป
4. การดำเนินการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์ต่อหน่วย ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
4.1 คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในการประชุม ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 100) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการแบ่งรับภาระการปรับลดค่าไฟฟ้าจากการ ปรับลดแผนการลงทุนจำนวน 7 สตางค์/หน่วย โดยพิจารณาจากฐานะการเงินของการไฟฟ้า ในปี 2545 - 2546 ได้แก่ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. รับภาระ 4.2 0.6 และ 22 สตางค์/หน่วย ตามลำดับ
4.2 จากการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ผ่านการปรับค่า Ft เป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่ตุลาคม 2544 - กันยายน 2546 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ลดค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชนรวม 14,170 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 8,502 1,215 และ 4,453 ล้านบาท ตามลำดับ
5. ข้อเสนอแนวทางการขยายระยะเวลาการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย
5.1 เนื่องจากกระทรวงพลังงานมีนโยบายบรรเทาการเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้า โดยการตรึงค่า Ft ณ ระดับ 26.12 สตางค์/หน่วย สำหรับการเรียกเก็บจากประชาชนในเดือนมิถุนายน 2546 ถึงมกราคม 2547 ดังนั้น จึงควรให้มีการขยายระยะเวลาการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน ในช่วงเดือนตุลาคม 2546 - มกราคม 2547 ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการตรึงค่า Ft ดังกล่าว โดยให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง แบ่งรับภาระในลักษณะเดิม คือ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 4.2 6.6 และ 2.2 ล้านบาท ตามลำดับ โดย มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการต่อไป
5.2 การขยายระยะเวลาการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน จะมีผลกระทบต่อรายได้ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง รวม 2,550 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 1,530 219 และ 801 ล้านบาท ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย อันเนื่องมาจากการปรับลดการลงทุน ในการคำนวณค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ต่อไปจนกว่าจะมีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่
เรื่องที่ 4 การรับภาระของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจากการตรึงค่า Ft
ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ขอให้ที่ประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบการรับภาระจากการตรึงค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในช่วงเดือนมิถุนายน 2546 - มกราคม 2547 ประมาณ 3,743 ล้านบาท ตามมติของที่ประชุมเรื่องการปรับลดแผนการลงทุนและการเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า เมื่อวันพุธที่ 24 กันยายน 2546
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ กฟผ. รับภาระการตรึงค่า Ft ในช่วงเดือนมิถุนายน 2546-มกราคม 2547 จำนวนประมาณ 3,743 ล้านบาท (เป็นค่าประมาณการเบื้องต้น ซึ่งค่าจริงจะปรากฏเมื่อครบกำหนดการตรึงค่า Ft ในเดือนมกราคม 2547) ไปก่อน โดยให้ถือเป็นรายได้ค้างรับ และจะเกลี่ยไปในอนาคตในช่วงที่ค่าไฟฟ้าลดลง ทั้งนี้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี (ภายในปี 2549)
2. มอบหมายให้ กฟผ. ดำเนินการปรับปรุงใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าที่สอดคล้องกับมติข้อ 1 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2546 และจัดส่งให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายโดยเร็ว
กพช. ครั้งที่ 70 - วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2542 (ครั้งที่ 70)
วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2542 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล
2.ผลการศึกษาแนวทางการจัดเก็บน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว
3.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ผลกระทบและทางเลือก
3.1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและแนวโน้มราคาในอนาคต
3.2 การจัดหา โครงสร้างการใช้ และการแข่งขันในตลาดน้ำมัน
3.3 โครงสร้างภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงและรายได้
3.4 สถานการณ์การลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากภาวะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น
3.5 ผลกระทบราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจส่วนรวม (สศช.)
3.6 ผลกระทบต่อราคาสินค้า (กรมการค้าภายใน)
3.7 ปัจจัยที่มีผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ
6.มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 เห็นชอบแนวทางและขั้นตอนการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว การปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีความคืบหน้าในการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
1.1 ขั้นตอนการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้มีการดำเนินการดังนี้
1.1.1 การเตรียมการ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดประชุมสัมมนา สื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับ จังหวัดในเขตกรุงเทพฯ และทุกภาค เพื่อทำความเข้าใจในนโยบายและซักซ้อมวิธีปฏิบัติ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2542 รวมทั้งได้มีการประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ เป็นระยะๆ นอกจากนี้ กรมการค้าภายใน ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด กำหนดให้โรงบรรจุก๊าซ และร้านค้าก๊าซปิดป้ายแสดงราคา ณ สถานที่จำหน่าย โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2542 เป็นต้นมา
1.1.2 การยกเลิกการควบคุมราคาขายปลีก
(1) สพช. ได้ออกประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ปรับลดราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เหลือ 7.3434 บาท/กิโลกรัม เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2542 เป็นต้นมา ซึ่งมีผลให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มปรับลดตามราคาขายส่งเหลือ 10.70 บาท/กิโลกรัม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 เป็นต้นมา หลังจากนั้น ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจการปรับลดราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มทั่วประเทศ พบว่าร้านค้าก๊าซส่วนใหญ่ในทุกจังหวัดให้ความร่วมมือในการปรับลดราคาขายปลีก ตามนโยบายราคาก๊าซลอยตัวของรัฐเป็นอย่างดี
(2) กรมการค้าภายใน ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้า และป้องกันการผูกขาด กำหนดให้โรงบรรจุก๊าซและร้านค้าก๊าซในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต้องแจ้งราคาขายส่ง ณ โรงบรรจุ และราคาขายปลีก ณ ร้านค้าก๊าซ ณ วันที่ 5 เมษายน 2542 ต่อกรมการค้าภายใน สำหรับ ต่างจังหวัดให้แจ้งต่อสำนักงานการค้าภายในจังหวัด
(3) คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2542 เห็นชอบให้ปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียม จากเดิมที่กำหนดให้ใช้ราคาประกาศเปโตรมิน ประเทศซาอุดิอาระเบีย บวกค่าขนส่ง 15 $/ตัน เป็นเท่ากับราคาประกาศเปโตรมิน โดยให้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2542 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ยังเห็นชอบสูตรการปรับราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดย อัตโนมัติ โดยหลักเกณฑ์การเปลี่ยนแปลงราคาจะพิจารณาจากการรักษาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อ เพลิง หรือ ความสามารถในการรับภาระการไหลออกของกองทุนน้ำมันฯ โดย สพช. สามารถดำเนินการเปลี่ยนแปลงราคาขายส่งตามสูตรอัตโนมัติได้ทันทีหากอยู่ในขอบ เขตครั้งละไม่เกิน 1 บาท/กก. และให้มีการปรับเพิ่มค่าการตลาดก๊าซหุงต้ม 0.30 บาท/กก. และให้ปรับราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นลงมาในระดับเดียวกัน เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อราคาขายปลีก โดยให้มีผลบังคับใช้ภายในเดือนกันยายน 2542
(4) สพช. อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำคู่มือการกำกับดูแลการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียม เหลวที่ชัดเจน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2542 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้เป็นแนวทางในการกำกับดูแลหลังจากการยกเลิกควบ คุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งจะมีการถอดรายชื่อออกจากสินค้าควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ หลังจากนั้น จะดำเนินการยกเลิกการควบคุมราคาขายปลีกต่อไป
1.2 การปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้มีการดำเนินการ ดังนี้
1.2.1 การส่งเสริมการแข่งขัน
สพช. และ กรมทะเบียนการค้า อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการยื่นขอเป็นผู้ประกอบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว แยกออกจากการเป็นผู้ค้าน้ำมัน ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 รวมทั้ง กำหนดเงื่อนไขของการเป็นผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่เหมาะสม เพื่อผ่อนคลายกฎเกณฑ์สำหรับผู้ค้าก๊าซรายใหม่ นอกจากนี้ กรมโยธาธิการได้ออกประกาศกรมโยธาธิการ เรื่อง มาตรฐานความปลอดภัยของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทที่ 1 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2542 เพื่อกำหนดให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถจำหน่ายก๊าซหุงต้มได้
1.2.2 การแก้ไขความไม่เป็นธรรมในระบบการค้า
(1) กรมการค้าภายใน ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด ลงวันที่ 11 มีนาคม 2542 เพื่อให้ร้านจำหน่ายก๊าซหุงต้มต้องปิดป้ายราคาจำหน่ายให้เห็นได้อย่างชัดเจน
(2) สพช. ได้ดำเนินการออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2542 ลงวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2542 เพื่อกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ต้องดูแล รับผิดชอบการบรรจุก๊าซใส่ถังก๊าซหุงต้มที่แสดงเครื่องหมายการค้าของตนอย่าง ทั่วถึงทุกท้องที่ และรับผิดชอบในการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้ม นอกจากนี้ เพื่อกำหนดให้การบรรจุก๊าซใส่ถังก๊าซหุงต้มต้องมีการปิดผนึกลิ้นหรือวาล์ว ของถังก๊าซ และแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุถังก๊าซไว้ที่ฝาปิดผนึกลิ้นด้วย เพื่อเป็นหลักประกันให้ประชาชนได้รับก๊าซอย่างครบถ้วน และถ้าไม่ครบ จะมีหลักฐานเอาผิดแก่ผู้บรรจุก๊าซได้
(3) สพช. ร่วมกับกรมทะเบียนการค้า กรมโยธาธิการ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการประชุมกำหนดแนวทางให้มีการตรวจสอบแทนกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการ ตรวจสอบระบบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว และได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้น รวม 4 คณะ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบแทนกันในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทำหน้าที่ปราบปรามและป้องกันการผลิตถังขาว และทำหน้าที่ประสานสนับสนุนการดำเนินการตรวจสอบแทนกัน โดย ได้จัดให้มีการฝึกอบรมแนววิธีการตรวจสอบร่วมกันให้กับหัวหน้าสำนักงานใน สังกัดทั่วประเทศแล้วเมื่อกลางเดือนกันยายน 2542
(4) กรมทะเบียนการค้า ได้ออกประกาศ ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2542 เพื่อให้ ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มสามารถมอบหมายให้ผู้ค้า น้ำมันตามมาตรา 6 รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้ และจำหน่ายให้ทั่วถึงทุกท้องที่ที่มีการใช้ถังก๊าซหุงต้มซึ่งแสดงเครื่อง หมายการค้าของตน และเพื่อให้การบรรจุก๊าซต้องทำการปิดผนึกลิ้น (Valve) ถังก๊าซหุงต้ม ทุกครั้งที่บรรจุก๊าซ รวมทั้งต้องมีเครื่องหมายประจำตัวผู้บรรจุก๊าซแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น (Seal) ถังก๊าซหุงต้ม ส่วนการออกกฎหมายเพื่อให้มีการคืนค่ามัดจำถังก๊าซหุงต้ม ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครอง ผู้บริโภค อยู่ระหว่างการจัดทำร่างกฎหมายดังกล่าว
1.2.3 ด้านความปลอดภัย
สพช. ได้ประสานงานกับกรมโยธาธิการ ขอผ่อนผันให้ผู้ค้าก๊าซฯ สามารถทำการบรรจุก๊าซลงถังขาวได้ในระยะเริ่มต้น และจะห้ามบรรจุก๊าซหุงต้มลงถังขาวอย่างเด็ดขาดตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2543 ทั้งนี้ เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดต่อผู้บริโภคที่มีถังขาวอยู่ในครอบครอง นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะช่วยสนับสนุนการปราบปรามการลักลอบการผลิตถังขาวด้วย
1.3 การประชาสัมพันธ์
สพช. ได้จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2542 ทั้งในเรื่องนโยบายการยกเลิกควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว การเปลี่ยนแปลงราคาขายส่งและขายปลีก มาตรฐานความปลอดภัยของถังก๊าซหุงต้ม และค่ามัดจำถังก๊าซฯ เป็นต้น และในขณะนี้ได้มีการขยายโครงการประชาสัมพันธ์ออกไปอีก 7 เดือน ในช่วงเดือนกันยายน 2542- มีนาคม 2543
2. สถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สรุปได้ดังนี้
2.1 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกได้เริ่มปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา โดยปรับสูงขึ้น 157 $/ตัน มาอยู่ในระดับ 290 $/ตัน ในเดือนกันยายน ราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวอยู่ในระดับ 11.7861 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการรับภาระภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าที่เพิ่มขึ้น 1,032 ล้านบาท/เดือน ในขณะที่มีเงินไหลเข้ากองทุนจากน้ำมันชนิดอื่น 130 ล้านบาท/เดือน ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลออกสุทธิ 902 ล้านบาท/เดือน ฐานะ กองทุนน้ำมันฯ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2542 อยู่ในระดับ 3,580 ล้านบาท
2.2 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2542 เห็นชอบให้ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าของน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และก๊าซปิโตรเลียมเหลว เหลือร้อยละศูนย์ โดยให้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2542 เป็นต้นไป ทำให้ภาระการจ่ายเงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวของกองทุนน้ำมันฯ ลดลง 1.60 บาท/กก. หรือ 184 ล้านบาท/เดือน
2.3 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกของเดือนตุลาคม 2542 ได้อ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 266 $/ตัน ทำให้ต้นทุนราคาก๊าซและอัตราเงินชดเชยลดลงอีกประมาณ 0.98 บาท/กก. หรือ 121 ล้านบาท/เดือน โดยมีเงินไหลออกจากกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 569 ล้านบาท/เดือน และคาดว่ากองทุนน้ำมันฯ จะสามารถรับภาระในการรักษาระดับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้ประมาณ 6 เดือน หรือจนถึงเดือนมีนาคม 2543
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ผลการศึกษาแนวทางการจัดเก็บน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปศึกษา เกี่ยวกับการกำจัดหรือนำน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วมาใช้ประโยชน์ และต่อมา สพช. ได้ดำเนินการจัดทำข้อเสนอ การแก้ไขปัญหาน้ำมันหล่อลื่นคุณภาพต่ำอย่างเป็นระบบและครบวงจร ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2537 และมอบหมายให้ สพช. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป
2. สพช. ได้จ้างบริษัท เบอร์รา จำกัด ดำเนินการศึกษาธุรกิจการค้าน้ำมันหล่อลื่นของประเทศ และ ต่อมาได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยและเทคโนโลยี การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ทำการศึกษาเพิ่มเติม ในประเด็นแนวทางการจัดระบบการจัดเก็บ รวบรวม ขนส่งน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว และสร้างแรงจูงใจให้มีการ จัดเก็บน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว เพื่อนำไปกำจัดหรือใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง
3. ผลการศึกษาการหาแนวทางจัดเก็บน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วทั่วประเทศ ในกลุ่มผู้ประกอบการในกิจการน้ำมันหล่อลื่นและกลุ่มผู้ใช้ โดยกลุ่มผู้ใช้แบ่งออกเป็น การใช้ในยานยนต์ (ผู้บริโภคและสถานีบริการ) อุตสาหกรรม เกษตร ประมง หน่วยราชการ/รัฐวิสาหกิจ และรวมไปถึงผู้จัดเก็บรวบรวมจำหน่าย/แปรสภาพน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว ผลการวิเคราะห์ถึงความเหมาะสมทางเศรษฐกิจเบื้องต้นและภาระของการสนับสนุนจาก ภาครัฐ สามารถสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้
3.1 ปริมาณน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว ในปี 2540 มีประมาณ 329 ล้านลิตร (ปีฐานของการศึกษา) และเพิ่มขึ้นเป็น 330 และ 348 ล้านลิตร ในปี 2542 และ 2544 ตามลำดับ โดยกลุ่มยานยนต์ มีปริมาณน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วประมาณ 223 ล้านลิตร/ปี กลุ่มอุตสาหกรรมมีปริมาณการใช้ประมาณ 73 ล้านลิตร/ปี กลุ่มเกษตรกรรมมีปริมาณการใช้ประมาณ 17 ล้านลิตร/ปี กลุ่มประมงมีปริมาณการใช้ประมาณ 11 ล้านลิตร/ปี กลุ่มราชการและรัฐวิสาหกิจมีปริมาณการใช้ประมาณ 5 ล้านลิตร/ปี
3.2 การตรวจสอบคุณสมบัติน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วก่อนบำบัดและหลังบำบัดสรุปได้ว่า ขบวนการบำบัดในประเทศขณะนี้ไม่เหมาะแก่การนำไปใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ใช้ใหม่ (Re-Used) แต่น่าจะ เหมาะแก่การนำไปทดแทนเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น ปูนซีเมนต์ หรือ อาจจะนำไปผสมกับน้ำมันดิบในขบวนการกลั่นของโรงกลั่น จะให้คุณค่าทางเศรษฐกิจในการจัดการดีกว่าวิธีอื่นๆ
3.3 กิจกรรมในการจัดการน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วมี 4 ส่วนหลัก คือ ส่วนผลิต/แหล่งกำเนิด ส่วน ผู้รับขนส่ง/จัดเก็บ ส่วนกิจกรรมคลังและผู้รวบรวม และส่วนกำจัด/บำบัด หรือ ผู้ใช้ประโยชน์น้ำมันหล่อลื่น ใช้แล้ว ซึ่งแนวทางการตั้งราคาเพื่อดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมมีข้อเสนอ 2 แนวทางหลัก คือ การกำหนดให้มูลค่าน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วในกิจกรรมส่วนผลิต/แหล่งกำเนิด มีค่าต้นทางเป็นศูนย์ และการกำหนดให้มีมูลค่าการซื้อและขายน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วในทุกกิจกรรมมี ราคาตามตลาด ซึ่งแนวทางหลังนี้อาจมีค่าเสมือนเป็นศูนย์ในระยะเริ่มแรกเมื่อภาครัฐให้การ ชดเชย (Subsidies) เพื่อให้ระบบสามารถดำเนินการและปรับตัวได้ และเมื่อธุรกิจมีการพัฒนาจนได้กำไรจากการดำเนินงานที่คุ้มค่าการลงทุนแล้ว รัฐจะสามารถลดการสนับสนุนลงจนไม่มีการชดเชยในที่สุด
3.4 ในกิจกรรมหรือธุรกิจหลักที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว มีอยู่ 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจการจัดเก็บ/ขนส่งน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว (Collection Concession) ซึ่งเป็นธุรกิจที่บุคคล หน่วยงาน หรือนิติบุคคล ดำเนินการในการซื้อขายน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว ณ จุดรวบรวมเบื้องต้น และธุรกิจคลังเก็บน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว (Depot Concession) เป็นธุรกิจที่รับผิดชอบต่อการเก็บรักษารวบรวมน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว ซึ่งมีกิจกรรมในการซื้อและขาย ณ จุดคลัง
3.5 ปัจจุบัน (ปลายปี 2541) น้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วมีราคาขายที่จุดเริ่มต้นอยู่ในช่วงประมาณ 1.50-2.00 บาทต่อลิตร ราคาขายให้แก่อุตสาหกรรมบางประเภท 3.00-3.50 บาทต่อลิตร สำหรับปูนซีเมนต์รับซื้อภายใต้เงื่อนไขคุณภาพที่กำหนดในราคา 1.50 บาทต่อลิตร และเมื่อวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ของกิจกรรมโดยรวมแล้ว รัฐต้องเข้าแทรกแซงราคาเพื่อให้โครงการนี้เกิดขึ้นและมีความเป็นไปได้ในการ ลงทุน
4. สพช. จะนำเสนอผลการศึกษาข้างต้นให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมโรงงาน กรม ควบคุมมลพิษ และกรมโยธาธิการ ต่อไป เพื่อให้การดำเนินการจัดการน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วเป็นไปอย่างต่อเนื่องและ บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง สรุปสาระสำคัญ สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ผลกระทบและทางเลือก
เรื่องที่ 3-1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและแนวโน้มราคาในอนาคต
สรุปสาระสำคัญ
1. การประชุมของกลุ่มโอเปค ณ กรุงเวียนนา ผลปรากฏว่ากลุ่มประเทศโอเปคและประเทศนอกกลุ่มยังคงยืนระดับเพดานการผลิตเดิม ออกไปจนกระทั่งเดือนมีนาคมปีหน้า เนื่องจากเห็นว่าปริมาณน้ำมันดิบสำรองในตลาดยังอยู่ในระดับสูง จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นประมาณ $ 0.7 ต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ $ 22.7-24.9 ต่อบาร์เรล โดยน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับ $ 22.7 ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันสำเร็จรูปใน ตลาดจรสิงคโปร์ ราคาน้ำมันก๊าด ดีเซล และเตา อยู่ในระดับ $27, $ 24 และ $ 21 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันเบนซินได้เริ่มปรับตัวลดลงช่วงปลายเดือน โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 97 อยู่ในระดับ $ 27 ต่อบาร์เรล เมื่อปลายเดือนกันยายน
2. ผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงจากระดับ 25.50 บาท/เหรียญสหรัฐ มาอยู่ในระดับ 40-41 บาท/เหรียญสหรัฐ ทำให้ต้นทุนน้ำมันสูงขึ้น 2.40 บาท/ลิตร และการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินเมื่อ ต้นปี 2541 ทำให้ราคาเบนซินและดีเซลปรับตัวสูงขึ้น 3.60 และ 2.40 บาท/ลิตร ตามลำดับ รวมทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกของปีนี้ได้แข็งตัวขึ้น ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยได้แข็งตัวขึ้นตาม โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เบนซินออกเทน 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ สิ้นเดือนกันยายนอยู่ ในระดับ 13.89, 13.09 และ 10.74 บาท/ลิตร ตามลำดับ
3. ระดับค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ เป็นผลจากการแข่งขันที่สูงในตลาดน้ำมัน ซึ่งค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ของประเทศโดยปกติอยู่ในระดับ 1.20-1.30 บาท/ลิตร แต่ปัจจุบันเคลื่อนไหวในระดับเพียง 0.50-0.90 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นอยู่ในระดับ 0.40-0.60 บาท/ลิตร
4. แนวโน้มของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในไตรมาสที่ 4 ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ในระดับ $ 25-26 ต่อบาร์เรล ซึ่งสูงขึ้นจากระดับปัจจุบัน $ 1.0-1.5 ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบดูไบจะขึ้นไปเคลื่อนไหวในระดับ $ 23.5-24.5 ต่อบาร์เรล และหากน้ำมันดิบมีแนวโน้มจะพุ่งสูงเกินระดับ $ 30 ต่อบาร์เรล กลุ่มประเทศ โอเปคจะต้องมีการพิจารณาทบทวนเพดานการผลิตใหม่ เพราะราคาจะกระตุ้นผู้ใช้ให้มองหาพลังงานรูปแบบอื่น และจูงใจให้มีการผลิตเกินโควต้าของประเทศในกลุ่มโอเปค
5. การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในประเทศ โดยการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันสำเร็จรูป $ 1 ต่อบาร์เรล จะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศเปลี่ยนแปลงตาม 0.24 บาท/ลิตร และการอ่อนตัวของค่าเงินบาทจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนราคาน้ำมันของประเทศ โดยการสูงขึ้นของอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท/เหรียญสหรัฐ จะมีผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลสูงขึ้น 0.17 และ 0.15 บาท/ลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-2 การจัดหา โครงสร้างการใช้ และการแข่งขันในตลาดน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
1. ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2542 มีการผลิตน้ำมันดิบ 805 ล้านลิตร น้ำมันเบนซิน ดีเซลและเตา 5,374; 9,878 และ 4,713 ล้านลิตร ตามลำดับ มีปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบ 23,287 ล้านลิตร น้ำมันเบนซิน ดีเซลและเตา 16; 561 และ 500 ล้านลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซิน ดีเซลและเตามีปริมาณ 1,114; 1,292 และ 298 ล้านลิตร ตามลำดับ
2. มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในปี 2541 และในครึ่งแรกของปี 2542 อยู่ในระดับ 141,662 และ 66,916 ล้านบาท ตามลำดับ การที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นในช่วงปี 2542 ได้ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปสูงขึ้นตาม และเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการนำเข้าในช่วงครึ่งแรกปี 2542 และ ครึ่งหลังปี 2542 ตามสมมติฐานการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ 3 กรณี คือ กรณีราคาต่ำ กรณีราคาสูง กรณีราคาสูงมาก โดยราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกเท่ากับ 7.54, 8.84 และ 10.84 $/บาร์เรล ตามลำดับ พบว่า มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปสูงขึ้น 42,525; 49,489 และ 59,934 ล้านบาท ในแต่ละกรณีตามลำดับ
3. การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแยกตามผลิตภัณฑ์ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2542 อยู่ในระดับ 21,582 ล้านลิตร โดยน้ำมันดีเซลมีการใช้สูงสุดร้อยละ 42 รองลงมา คือ น้ำมันเตาและเบนซินร้อยละ 22 และ 19 ตามลำดับ ภาคคมนาคมขนส่งจะมีการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลมากที่สุดร้อยละ 98 และ 81 ตามลำดับ รองลงมา คือ ภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ส่วนน้ำมันเตาร้อยละ 54 ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า รองลงมาเป็นการใช้ในภาคอุตสาหกรรม สำหรับภาคการขนส่งแยกตามการใช้ของประเภทรถยนต์ น้ำมันเบนซินใช้ในรถยนต์ส่วนบุคคลร้อยละ 43.6 จักรยานยนต์ร้อยละ 32.2 และใช้ในรถแท็กซี่และรถปิคอัพร้อยละ 16.6 และ 7.6 ตามลำดับ ในขณะที่น้ำมันดีเซลหมุนเร็วใช้ในรถบรรทุกร้อยละ 51.4 รถปิคอัพร้อยละ 24.6 รถโดยสารร้อยละ 18.2 โดยเป็นรถยนต์และรถแท็กซี่ร้อยละ 1.5
4. การใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2542 อยู่ในระดับ 820 ล้านกิโลกรัม ใช้เพื่อการหุงต้มร้อยละ 65 อุตสาหกรรมร้อยละ 15 รถยนต์ร้อยละ 5 และใช้เป็นวัตถุดิบร้อยละ 14 และจากการสำรวจรถแท็กซี่จากสหกรณ์แท็กซี่ จำนวน 8 แห่ง มีประชากรแท็กซี่รวมทั้งสิ้น 7,523 คัน พบว่า ใช้น้ำมันเบนซิน 5,569 คัน หรือร้อยละ 74 ของจำนวนทั้งหมด และใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นจำนวน 1,954 คัน หรือร้อยละ 26 ของทั้งหมด
5. ตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา การแข่งขันในตลาดน้ำมันได้เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ จากเดิมโรงกลั่นน้ำมัน 3 โรง ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 6 โรง กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 27,000 ล้านลิตร/ปี เป็น 50,000 ล้านลิตร/ปี ในขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศมีเพียง 37,000 ล้านลิตร/ปี ทำให้ปัจจุบันประเทศมีน้ำมันเหลือต้องส่งออกประมาณ 7,000-12,000 ล้านลิตร/ปี การแข่งขันในตลาดน้ำมันมีความรุนแรงมากขึ้นในปี 2541 ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังการผลิตที่เกินความต้องการที่ลดลงจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจ และผลมาจาก การขยายตัวของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากปี 2538 มีจำนวน 8,014 แห่ง เพิ่มขึ้นเป็น 14,044 แห่ง ในปี 2541 และจากการที่ราคาส่งออกน้ำมันมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคา ในประเทศ ทำให้ผู้ค้าน้ำมันได้นำนโยบายด้านราคามาเป็นกลยุทธในธุรกิจค้าปลีก ในปี 2542 ค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับ 0.50-0.90 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-3 โครงสร้างภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงและรายได้
สรุปสาระสำคัญ
1. โครงสร้างภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยภาษีสรรพสามิตจะมีการจัดเก็บในอัตราตามปริมาณและอัตราตามมูลค่า ภาษีเทศบาลจะเป็นร้อยละ 10 ของภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มจะเป็นร้อยละ 7 ของราคาจำหน่าย ภาระภาษีทั้งหมดของน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็น 4.96 และ 3.24 บาท/ลิตร ตามลำดับ คิดเป็นร้อยละ 35 และ 30 ของราคาขายปลีก
2. การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิง กำหนดเป็น 2 ลักษณะ คือ อัตราตามปริมาณ และอัตราตามมูลค่า โดยตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา ได้มีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 3 ครั้ง คือ (1) เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2541 ได้มีการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเบนซินขึ้น 1 บาท/ลิตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ (2) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2542 ได้มีการปรับลดอัตราภาษี สรรพสามิตของน้ำมันเตาเหลือร้อยละ 5 ของมูลค่า ตามมาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้น 0.10 และ 0.09 บาท/ลิตร เพื่อชดเชยรายได้ภาษีน้ำมันเตาที่ลดลง (3) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2542 ได้ยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าของน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซลและก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยกำหนดอัตราภาษีเท่ากับร้อยละศูนย์
3. ในปีงบประมาณ 2542 กระทรวงการคลังได้ประมาณการรายได้จากภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เชื้อเพลิงที่ 65,300 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเก็บภาษีได้ทะลุเป้าที่ตั้งไว้ ส่วนในปีงบประมาณ 2543 คาดว่าจะสามารถจัดเก็บได้ 67,100 ล้านบาท
4. การปรับภาษีสรรพสามิตลดลง 1 บาท/ลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน ดีเซล และก๊าด และลดลง 1 บาท/กก. สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวจะมีผลกระทบต่อรายได้ของรัฐบาล โดยรายได้ภาษีของน้ำมันแต่ละชนิดจะลดลงปีละ 9,179; 18,416; 64 และ 1,709 ล้านบาท ตามลำดับ และราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงจะ ลดลง 1.18 บาท/ลิตร ส่วนราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวจะลดลง 1.18 บาท/กิโลกรัม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-4 สถานการณ์การลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากภาวะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น
สรุปสาระสำคัญ
1.ภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้น ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศสูงขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง และทำให้เกิดแรงจูงใจในการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาจำหน่ายใน ประเทศทางชายแดนจังหวัดภาคใต้มากขึ้น โดยการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทางบก มีการขนน้ำมันจากประเทศมาเลเซีย ผ่านด่านปาร์ดังเบซา ด่านสุไหงโกลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงการเติมใส่ถังน้ำมันรถตามปกติ สำหรับพื้นที่นอกเขตด่านศุลกากรมีการลักลอบในลักษณะกองทัพมดเที่ยวละประมาณ 20-200 ลิตร ส่วนใหญ่นำไปใช้ในกิจการของตนเองหรือนำไปขายสถานีบริการรายย่อยและแพปลา ส่วนการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทางทะเล ด้านอันดามันมีการใช้เรือประมงขนาดเล็กหรือขนาดกลางไปรับซื้อน้ำมันจากเมือง ปะลิส เกาะลังกาวี และเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย หรือซื้อจากเรือบรรทุกน้ำมัน (Tanker) ที่ลอยลำจำหน่ายบริเวณเกาะแป๊ะเสือ (เกาะ หัวโล้น) บริเวณเขตรอยต่อของประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยทางด้านอ่าวไทย จะมีเรือ Tanker ขนาด 2-5 ล้านลิตร จอดลอยลำจำหน่ายน้ำมันบริเวณนอกเขตต่อเนื่องคือประมาณ 25 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งขนถ่ายน้ำมันให้แก่เรือประมงดัดแปลงลักลอบนำมาขายแก่ สถานีบริการชายฝั่งและแพปลา นอกจากนี้ยังพบว่ามีการนำสารโซลเว้นท์ไปปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งในระบบ และนอกระบบ จำหน่ายให้กับเรือประมงและแพปลาอีกด้วย
2. ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (ศปนม.) ได้เพิ่มมาตรการเฉพาะในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว คือ การเพิ่มความเข้มในการตรวจการณ์ทางทะเล โดยให้กองกำกับ 1-5 กองตำรวจน้ำ ออกตรวจสอบและพิสูจน์ทราบเรือประมงที่แล่นอยู่ในทะเลอาณาเขตและเขต ต่อเนื่อง ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย โดยให้ชุดปฏิบัติการทางบกเน้นการตรวจสอบแพปลาและสถานีบริการ ชายฝั่ง การตรวจสอบอู่ต่อเรือเพื่อป้องกันมิให้ทำการต่อเรือประมงดัดแปลงเป็นเรือ บรรทุกน้ำมัน และการเฝ้าติดตามโรงกลั่น ผู้ผลิตสารละลายไฮโดรคาร์บอน (โซลเว้นท์) ตัวแทนนายหน้า (Jobber) และผู้ใช้สารละลาย โซลเว้นท์ปลายทาง เพื่อมิให้นำสารโซลเว้นท์ออกนอกระบบไปปลอมปนกับน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่าย ในสถานีบริการ ตลอดจนการตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงริมน้ำ และท่าเทียบเรือบริเวณปากอ่าวไทย ลำน้ำ เจ้าพระยา และลำน้ำท่าจีนเพื่อป้องกันปราบปรามมิให้นำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยกเว้นภาษี ออกมาขายในสถานีบริการ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-5 ผลกระทบราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจส่วนรวม (สศช.)
เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
1. เนื่องจากผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันในกลุ่ม OPEC ได้มีข้อตกลงจำกัดปริมาณการผลิต ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไทยเพิ่มสูง ขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวในปี 2542 คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2542 มอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประมาณการผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมในกรณีที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงในไตรมาส ที่ 4 ของปี 2542 ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1.1 นักวิเคราะห์ตลาดน้ำมันคาดว่าราคาเฉลี่ยของน้ำมันดิบจากกลุ่ม OPEC จะมีราคาเฉลี่ย 22.5 ดอลลาร์ สรอ./บาร์เรล ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2542 ทั้งนี้โดยมีข้อสมมติฐานของภาวะอากาศในฤดูหนาวในขั้นปกติ และไม่มีอุปสรรคของการผลิตน้ำมันเนื่องจากสถานการณ์การเมืองหรือ Y2K เกิดขึ้น
1.2 ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลต่อเศรษฐกิจส่วนรวม 3 ด้าน ได้แก่
(1) ราคาขายปลีกของน้ำมันประเภทต่างๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย (หากรัฐบาลไม่ใช้มาตรการ ภาษีเพื่อลดผลกระทบต่อราคาขายปลีก) ซึ่งจะทำให้ระดับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น
(2) รายได้ที่จับจ่ายใช้สอยได้ ณ ราคาแท้จริง (Real Disposable Income) ลดลงและส่งผล ให้การบริโภคภาคเอกชนลดลง
(3) การเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้าในประเทศมีผลให้ความสามารถในการส่งออกลดลง (เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง หรืออัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ Real Effective Exchange Rate สูงขึ้น) หากประเทศคู่แข่งไม่ถูกผลกระทบจากราคาน้ำมัน นอกจากนั้นผลต่อเศรษฐกิจโลกจะส่งผลให้อุปสงค์ต่อสินค้าส่งออกของไทยลดลง
1.3 การประเมินผลกระทบกรณีราคาน้ำมันดิบ 22.60 เหรียญ สรอ./บาร์เรล เทียบกับกรณีฐานสรุปได้ดังนี้
(1) ราคาขายปลีกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จะทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.27
(2) ระดับราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.27 จะทำให้รายได้ที่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ ณ ราคาแท้จริงลดลงร้อยละ 0.27
(3) ถ้ารายได้ที่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ลดลงร้อยละ 1 จะทำให้การบริโภคภาคเอกชน ลดลงร้อยละ 0.867
(4) สศช. คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ในปี 2542 หรือมีมูลค่าประมาณ 1,547,162.5 ล้านบาท ณ ราคาปีฐาน 2531 ดังนั้นหากราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จะ ทำให้การบริโภคภาคเอกชนลดลงเหลือ 1,543,526.7 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 3,636 ล้านบาท หรือ การขยายตัวของการบริโภคน้อยกว่ากรณีที่ไม่มีผลจากราคาน้ำมันในไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 0.28
(5) สศช. คาดว่าปริมาณการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 ในปี 2542 ดังนั้น หากราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จะทำให้อัตราการขยายตัวของปริมาณการส่งออกลดลง โดยขยายตัวร้อยละ 4.36
(6) จากปัจจัยการขยายตัวด้านการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกที่ลดลง ส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจต่ำกว่ากรณีที่ไม่มีผลจากราคาน้ำมันไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 0.39
(7) จากการคำนวณโดยตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตปี 2533 หากราคาน้ำมันขายส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 สาขาที่มีแรงกดดันต่อต้นทุนการผลิตเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ได้แก่ สาขาประมงทะเล เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.22 สาขาการขนส่งทางบกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.22-0.25 สาขาการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางน้ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.29 และการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.15
2. ในปัจจุบันรัฐบาลได้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมัน เช่น การชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม LPG จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 7.66 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 938 ล้านบาทต่อเดือน) เพื่อให้มี ราคาต่ำ และการบรรเทาภาระของผู้ประกอบการประมงโดยชดเชยราคาน้ำมันดีเซลในอัตรา 0.97 บาท/ลิตร โดย คชก. จัดสรรวงเงินไว้ประมาณ 190 ล้านบาท เป็นต้น การบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันควรพิจารณาข้อดีข้อเสียของทางเลือกที่สำคัญๆ ได้แก่
2.1 การประหยัดพลังงาน ประเทศไทยยังคงพึ่งการนำเข้าน้ำมัน โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2542 มีการนำเข้าน้ำมัน 55,328 ล้านบาท มากกว่ารายได้จากการส่งออกของสินค้าเกษตรหลัก ได้แก่ ข้าว ยางพารา และผลไม้ซึ่งสร้างรายได้จากการส่งออกรวมกันเท่ากับ 53,031 ล้านบาท ดังนั้นการประหยัดการใช้พลังงานจึงเป็นมาตรการสำคัญ
2.2 การลดภาษีสรรพสามิต หากรัฐบาลพิจารณาลดภาษีน้ำมันเบนซินและ น้ำมันดีเซลลงเพื่อมิให้ราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อไปอีก ปริมาณการใช้น้ำมันจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากประมาณการเดิมของสำนักงานคณะ กรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจดังกล่าวข้างต้นจะลดลง แต่จะเกิดผลกระทบต่อรายได้จากภาษีดังนี้
(1) ราคาหน้าโรงกลั่นที่เพิ่มขึ้น 1 บาท/ลิตร และรัฐบาลจะต้องลดภาษีสรรพสามิตลง 0.90 บาท/ลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกคงอยู่ที่ระดับปัจจุบัน จะส่งผลกระทบต่อรายได้ภาษีสรรพสามิตของรัฐบาล โดยหากรัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตเฉพาะน้ำมันดีเซลลงจะทำให้รายได้ภาษีสรรพสามิต ของรัฐบาล ลดลง 13,687 ล้านบาท และหากรัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตทั้งน้ำมันดีเซลและเบนซินลงจะทำให้รายได้ภาษี สรรพสามิตของรัฐบาลลดลง 20,405.7 ล้านบาท
(2) การลดภาษีสรรพสามิตจะส่งผลให้ภาษีเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันลดลงด้วย เช่น การลดภาษี สรรพสามิตน้ำมันเบนซินธรรมดาลง 0.90 บาท/ลิตร จะทำให้ภาษีท้องที่ลดลง 0.09 บาท/ลิตร สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มของราคาขายส่งจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยคือ 0.0007 บาท/ลิตร ทั้งนี้เนื่องจากราคา ณ โรงกลั่นเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากรัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตเฉพาะน้ำมันดีเซลจะทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่ม ราคาขายส่งเพิ่มขึ้น 5.23 ล้านบาท
(3) ดังนั้นการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและดีเซลลงลิตรละ 0.90 บาทจะทำให้ รายได้จากภาษีน้ำมันโดยรวมลดลงประมาณ 22,430.4 ล้านบาท และในกรณีที่รัฐบาลไม่พิจารณาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ระดับราคาสินค้าที่สูงขึ้นจะทำให้การบริโภคภาคเอกชนลดลงประมาณ 3,636 ล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลงของภาษีมูลค่าเพิ่มประมาณ 210 ล้านบาท
(4) การลดราคาขายปลีกน้ำมันลง 1 บาท โดยการลดภาษีจะทำให้ขาดดุลงบประมาณ เพิ่มขึ้นประมาณ 20,400 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นภาระเพิ่มขึ้นจากการขาดดุลงบประมาณปี 2543 ซึ่งเดิมคาดว่า จะขาดดุลประมาณ 110,000 ล้านบาท จึงต้องพิจารณาถึงการชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้น เช่น การเพิ่มภาษีประเภทอื่นๆ การหารายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น อย่างไรก็ตามมาตรการชดเชยการขาดดุลอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเช่นกัน นอกจากนั้นการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนลง หากนักลงทุนเห็นว่าจะเป็นผลเสียต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต
3. ทางเลือกที่น่าจะพิจารณาโดยมีหลักการที่จะช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจที่มีผลกระทบ ต่อประชาชน ส่วนใหญ่นอกเหนือจากการช่วยเหลือโดยการชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม และน้ำมันดีเซลในสาขาประมง เช่น อาจมีการพิจารณาชะลอราคาค่าบริการขนส่งมวลชน และค่าไฟฟ้า เป็นต้น โดยรัฐให้การชดเชยส่วนต่างราคาน้ำมัน ที่เพิ่มขึ้นเป็นเพียงบางส่วน รวมทั้ง ควรส่งเสริมแหล่งพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อช่วยลด การพึ่งพิงน้ำมันในระยะยาว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-6 ผลกระทบต่อราคาสินค้า (กรมการค้าภายใน)
อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ราคาน้ำมันดีเซลได้เพิ่มสูงขึ้น จากเฉลี่ยลิตรละ 8.30 บาท ในเดือนมิถุนายน 2542 เป็นลิตรละ 11.04 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 ซึ่งคาดว่าจะมีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าร้อยละ 0.03 - 4.51 โดย รถยนต์นั่งจะกระทบน้อยที่สุด คือร้อยละ 0.03 หรือ 89.13 บาทต่อคัน ในขณะที่ปูนซีเมนต์ (ปอร์ตแลนต์) จะกระทบมากที่สุดคือร้อยละ 4.51 หรือ 100.08 บาทต่อตัน
2. การที่ผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำ เนื่องจากสัดส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงในโครงสร้างต้นทุนรวมของการผลิตสินค้า ดังกล่าวไม่สูงนัก แต่โดยรวมแล้วผู้ประกอบการจะมีค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น
3. ปัจจุบันมีสินค้าอุตสาหกรรมที่แจ้งขอปรับราคา จำนวน 2 รายการ โดยเป็นการปรับราคาเนื่องจากต้นทุนนำเข้าหรือวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น สืบเนื่องมาจากค่าเงินบาทอ่อนตัว มิใช่เป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันเพิ่ม สูงขึ้น คือ ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน จำนวน 1 รายการ โดยเป็นยานำเข้าที่รักษาเฉพาะโรค และสายไฟฟ้า จำนวน 1 รายการ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ คือทองแดงมีราคาสูงขึ้นตามภาวะตลาดโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการวิเคราะห์ต้นทุนยังมิได้อนุมัติให้ปรับราคา แต่อย่างใด และจากการตรวจสอบสภาวะตลาดในเขต กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งต่างจังหวัด ราคาสินค้าส่วนใหญ่ยังไม่เปลี่ยนแปลง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-7 ปัจจัยที่มีผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ
ฝ่ายเลขานุการ ฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 69) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 มีความเห็นว่า การที่รัฐจะเข้าไปแทรกแซงการกำหนดราคาน้ำมัน ควรจะพิจารณาจากระดับราคาน้ำมันที่จะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยให้ใช้ระดับราคาน้ำมันที่ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงร้อยละ 0.5 จากแนวโน้มเดิม เป็นระดับราคาเบื้องต้นที่รัฐเข้าไปแทรกแซง ซึ่งประกอบด้วยราคาน้ำมันดิบดูไบในระดับ 25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็นเกณฑ์ และให้คำนึงถึงราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนร่วมด้วย
2. ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทย ได้แก่ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยน โดยราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกที่เป็นราคาอ้างอิงของไทยใช้ราคาในตลาดจร สิงคโปร์ เนื่องจากเป็นตลาดซื้อ/ขายน้ำมันแหล่งใหญ่ที่ใกล้ไทยมากที่สุด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันดิบแต่ในระดับที่แตก ต่างกัน โดยช่วงฤดูหนาวความต้องการใช้น้ำมันดีเซลจะสูง แต่น้ำมันเบนซินจะต่ำ การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดีเซลในฤดูหนาวจึงมากกว่าราคาน้ำมันดิบ
3. การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันสำเร็จรูป $ 1 ต่อบาร์เรล จะมีผลให้ราคาขายปลีกของไทยเปลี่ยนแปลงประมาณ 25 สตางค์/ลิตร และค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง 1 บาท/เหรียญสหรัฐ จะทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลของไทยสูงขึ้น 17 และ 15 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ ปัจจุบันราคาน้ำมันดูไบอยู่ในระดับ $ 22.6 ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 97 เบนซินออกเทน 92 และดีเซลหมุนเร็ว อยู่ในระดับ $ 27.5, $ 25.4 และ $ 23.8 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-8 ทางเลือกในการแก้ไขปัญหา
ฝ่ายเลขานุการ ฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบถึงทางเลือกต่างๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบรรเทา ผลกระทบที่เกิดจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจของรัฐบาล สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การใช้กองทุนเพื่อแทรกแซงการกำหนดราคาน้ำมัน มีแนวทางดังนี้
1.1 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
(1) ตั้งขึ้นตามเจตนารมย์ของพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อ เพลิง พ.ศ. 2516 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกลไกของรัฐในการป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมัน เชื้อเพลิง และ ในกรณีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นจะใช้ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมัน เชื้อเพลิงของประเทศ หลังจากปี 2534 รัฐบาลได้ยกเลิกการควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และเหลือเพียงก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ยังคงมีการควบคุมราคาอยู่ ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจึงใช้ในการรักษาระดับราคาก๊าซปิโตรเลียม เหลวเป็นหลัก และส่วนหนึ่งใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการปราบปรามน้ำมันเถื่อน และการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
(2) ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2542 อยู่ในระดับ 3,580 ล้านบาท และจะต้องใช้ในการจ่ายชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประมาณเดือนละ 600 ล้านบาท ซึ่งจะต้องจ่ายชดเชยจนกระทั่งสิ้นฤดูหนาวเป็นเวลาอย่างน้อย 5 เดือน เพื่อไม่ให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งการชดเชยจะต้องใช้เงินในระดับที่ใกล้เคียงกับฐานะกองทุนฯ ในปัจจุบัน ดังนั้น ฐานะกองทุนน้ำมันฯ จึงไม่เพียงพอที่จะใช้ในการแก้ปัญหาน้ำมันราคาแพงในขณะนี้ได้
1.2 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(1) ตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลืออุด หนุนการดำเนินการเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน ตามมาตรา 25 ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ปัจจุบันมีการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จากน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเตาในอัตรา 4 สตางค์/ลิตร
(2) ฐานะกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2542 มีเงิน กองทุนฯ คงเหลือ 14,812 ล้านบาท โดยมีรายจ่ายสำหรับปีงบประมาณ 2543 ในระดับ 6,000 ล้านบาท/ปี การใช้เงินกองทุนฯ เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันไม่สามารถกระทำได้ในปัจจุบัน เนื่องจากไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย และหากจะนำมาใช้ก็ต้องมีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
1.3 การใช้เงินจากกองทุนชดเชยราคาน้ำมันเป็นเพียงการชะลอการปรับขึ้นราคาขาย ปลีกออกไป ทำให้ราคาน้ำมันไม่สะท้อนต้นทุนจริง และในที่สุดก็ต้องชะลอการปรับลดราคาลงเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่กองทุนก่อน ซึ่งในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงแล้ว แต่ราคาในประเทศยังคงเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคจะไม่ยอมรับการขึ้นราคา นอกจากนั้น จะทำให้เกิดการบิดเบือนโครงสร้างราคา ส่งผลให้มีการบริโภคน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับ ต้นทุนการนำเข้าของประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจส่วนรวมและดุลบัญชีเดินสะพัด
2. การแทรกแซงราคาน้ำมันโดยการลดภาษีสรรพสามิต มีแนวทางดังนี้
2.1 การลดภาษีสรรพสามิตสามารถกระทำได้ทันที โดยกระทรวงการคลังออกประกาศกระทรวงการคลังเพื่อลดอัตราภาษีสรรพสามิต ซึ่งจะมีผลให้ราคาขายปลีกปรับลดลงตาม และสามารถแบ่งเบาภาระของประชาชนจากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้ส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม การลดภาษีสรรพสามิตจะทำให้รัฐมีรายได้ลดลง ดังนั้น จะต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบ นอกจากนี้ อัตราของการลดอัตราภาษีสรรพสามิตต้องไม่เป็นระดับที่สูงเกินไป จนทำให้เกิดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุน และไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2.2 การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน ก๊าด และดีเซล 1 บาท/ลิตร จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแต่ละชนิดลดลง 1.18 บาท/ลิตร และจะมีผลกระทบต่อปริมาณการใช้น้ำมันและรายได้ภาษีของรัฐ โดยปริมาณการใช้น้ำมันเบนซิน และดีเซลหมุนเร็วจะเพิ่มขึ้นเป็น 215 และ 476 ล้านลิตร/ปี ตามลำดับ และ รายได้ภาษีของรัฐโดยรวมจะลดลงปริมาณ 26,000 ล้านบาท/ปี
2.3 การลดภาษีสรรพสามิตเป็นการชะลอการปรับขึ้นราคาขายปลีก โดยใช้ภาษีสรรพสามิตเป็นตัวรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ได้ส่วนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกขึ้นหากต้นทุนราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น มาก โดยรัฐต้องสูญเสียรายได้ ซึ่งในสภาพปัจจุบันรัฐขาดดุลงบประมาณอยู่แล้ว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องขึ้นภาษีสินค้าอื่น หรือกู้เงินเพิ่มเพื่อให้พอเพียงงบประมาณรายจ่ายหรือลดงบประมาณ รายจ่ายลง นอกจากนี้ การลดภาษีสรรพสามิตทำให้ราคาไม่สะท้อนต้นทุน ทำให้การใช้พลังงานไม่มีประสิทธิภาพ
3. การใช้เพดานและฐานภาษีสรรพสามิตเพื่อแทรกแซงราคาน้ำมันในระยะยาว โดยใช้อัตราภาษีสรรพสามิตเพื่อเป็นตัวรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นของราคาน้ำมัน ในตลาดโลกในระดับหนึ่ง โดยเป็นการชะลอการปรับราคาขายปลีกออกไป ในทางกลับกันเมื่อต้นทุนราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง จะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสู่ระดับหนึ่ง เพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐที่หายไปในช่วงปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต โดยกำหนดเป็นเพดานและฐานของอัตราภาษีสรรพสามิต และกำหนดเพดานและฐานของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเข้าไป แทรกแซง ซึ่งแนวทางนี้ก็จะเป็นเพียงการชะลอการปรับราคาขายปลีกออกไป ทำให้ราคาน้ำมันไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง โดยเฉพาะเมื่อราคาตลาดโลกเริ่มลง แต่ราคาในประเทศไม่ลดลง ทำให้เกิดการบิดเบือนโครงสร้างราคา เกิดการบริโภคน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนการนำเข้าของประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ส่วนรวมและดุลบัญชีเดินสะพัด
4. การเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น : เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กำลังการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศมีมากเกินปริมาณความต้องการ ทำให้มีน้ำมันเหลือต้องส่งออก โดยในปี 2541 มีปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปส่งออก 5,255 ล้านลิตร ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเบนซิน ส่วนน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตามีการส่งออกเป็นบางช่วง ซึ่งราคาส่งออกส่วนใหญ่จะมีราคาต่ำยกเว้นช่วงที่น้ำมันส่งออกเป็นที่ต้องการ ของตลาด ผู้บริโภคจึงควรจะได้รับประโยชน์จากส่วนนี้ โดยมอบหมายให้ ปตท. ไปเจรจากับโรงกลั่นเพื่อปรับลดราคาน้ำมันที่โรงกลั่นจำหน่ายในประเทศลงมา อยู่ในระดับใกล้เคียงกับราคาส่งออก (Export Parity) ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกลดลงในระดับ 0.10-0.20 บาท/ลิตร
นอกจากนี้ การกำหนดราคาน้ำมันเตาของโรงกลั่น ซึ่งอิงกับราคาน้ำมันเตาปริมาณกำมะถัน 3.5% โดยน้ำหนักบวกพรีเมี่ยม ซึ่งการกำหนดพรีเมี่ยมจะคำนวณจากความแตกต่างระหว่างราคาน้ำมันเตากำมะถัน 2% และกำมะถัน 3.5% ในตลาดจรสิงคโปร์ในช่วงเวลาหนึ่ง ปัจจุบันความแตกต่างของราคาน้ำมันเตาทั้งสองชนิดในตลาดจรสิงคโปร์ได้แคบลง ดังนั้น จึงควรให้ ปตท. รับไปเจรจากับโรงกลั่นเพื่อลดพรีเมี่ยมในสูตรการคำนวณราคาน้ำมันเตาหน้าโรงก ลั่น ซึ่งจะมีผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าถูกลง
5. การควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิง : ซึ่งในอดีตก่อนปี 2534 รัฐมีการควบคุมราคาขายส่ง ค่าการตลาด และราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับคงที่ แต่มีการเปลี่ยนแปลงนาน ๆ ครั้ง การกลับไปควบคุมราคาขายปลีกดังกล่าวจะมีแต่ข้อเสีย กล่าวคือ ระบบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเพียงการชะลอปรับราคาขายปลีกออกไป แต่ในที่สุดก็จำเป็นต้องมีการปรับเมื่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรับภาระไม่ได้ ทำให้ไม่มีเสถียรภาพทางด้านราคาในระยะยาว และการปรับราคาขายปลีกไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง การควบคุมค่าการตลาดในระดับที่ต่ำกว่าการลงทุนทำให้ไม่เกิดการแข่งขันและ พัฒนาในตลาดน้ำมัน และการบิดเบือนโครงสร้างราคา ทำให้เกิดการบริโภคน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนการนำเข้าของประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจส่วนรวมและดุลบัญชีเดินสะพัด
6. การไม่แทรกแซงการกำหนดราคา โดยปล่อยให้การกำหนดราคาน้ำมันเป็นไปตามกลไกตลาด จะมีข้อเสียเพียงประการเดียว คือ ประชาชนต้องรับภาระตามต้นทุนราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นมาทันที แต่ราคาดังกล่าวจะเป็นการส่งสัญญาณที่แท้จริงให้ผู้บริโภคและตลาดน้ำมันปรับ ตัว สิ่งที่ตามมาจึงเป็นผลดี คือ กลไกตลาดสามารถทำงานได้เต็มที่ ราคาน้ำมันจะปรับตัวตามต้นทุน และผู้บริโภคจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคให้สอดคล้องกับต้นทุนราคา โดยบริโภคน้อยลงเมื่อราคาสูงขึ้น ไม่เกิดการบิดเบือนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและลักษณะการบริโภคน้ำมันของ ประเทศทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุนที่รัฐไม่แทรกแซงระบบการค้าเสรี
7. โครงการส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ : เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่ราคาน้ำมันของประเทศได้ปรับตัวสูงขึ้นตาม ราคาน้ำมันในตลาดโลกและการเปลี่ยนแปลงเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้อ่อนตัวลง และเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนทราบถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและ ประหยัดจะช่วยลดทั้งการลงทุนในการจัดหาพลังงานและค่าใช้จ่ายทางด้านเชื้อ เพลิงของประเทศ รวมทั้งยังช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศในภาวะที่ประเทศประสบปัญหาวิกฤตทาง เศรษฐกิจอีกด้วย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานในสาขา ที่มีการใช้พลังงานสูงให้เป็นไปอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้มีการลดการนำเข้าพลังงาน และลดการขาดดุลการค้าของประเทศ เป็นการดำเนินนโยบายพลังงานของประเทศเพื่อมีส่วนในการช่วยแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจของประเทศ
8. มาตรการระยะยาวสำหรับการส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติแทนน้ำมันในภาคขน ส่งมากขึ้น โดยการสนับสนุนการขยายจำนวนยานยนต์ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งในขณะนี้ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้มีการจัดทำแผนการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ต่างๆ ซึ่ง นอกจากจะเป็นการช่วยทดแทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ยังช่วยลดปัญหามลพิษในอากาศได้อีกด้วย เนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด ดังนั้น รัฐจึงควรให้การส่งเสริมโดยการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในการลงทุน ยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์การดัดแปลงเครื่องยนต์ ถังก๊าซฯ และอุปกรณ์ที่ใช้ในสถานีบริการก๊าซฯ และใช้เงิน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้การสนับสนุน เช่น การให้เงินสนับสนุนแก่เจ้าของรถที่มีความประสงค์จะดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น และหากเอกชนสนใจลงทุนในอุตสาหกรรม ดัดแปลงรถยนต์ หรือจัดตั้งสถานีบริการก๊าซฯ ควรให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนด้วย
การพิจารณาและข้อสังเกตของที่ประชุม
1.สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้วิเคราะห์ผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะนี้ว่า จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่ากรณีที่ไม่มีผลจากราคาน้ำมัน ที่สูงขึ้นในไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 0.39 และผลกระทบทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคสูงขึ้นเพียงร้อยละ 0.27 ส่วนกรมการค้าภายในได้วิเคราะห์ว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าไม่มากนัก เนื่องจากน้ำมันคิดเป็นต้นทุนในการผลิตสินค้าค่อนข้างต่ำ
2.การสูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกในขณะนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงตามภาวะ ปกติ ไม่ได้เกิดจากวิกฤตการณ์น้ำมันในตลาดโลกแต่อย่างใด แต่การสูงขึ้นของราคาขายปลีกของไทยเป็นผลจากภาวะภายในประเทศ คือ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงมาก จาก 25.50 บาท/เหรียญสหรัฐ มาอยู่ในระดับ 39-41 บาท/เหรียญสหรัฐ ซึ่งประชาชนจะต้องเผชิญกับค่าเงินบาทในระดับนี้ต่อไปในอนาคต การแก้ปัญหาที่ถูกต้องควรเป็นการ ทำให้ประชาชนยอมรับกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ว่าเป็นสถานการณ์ปกติ และจะต้องปรับตัวตามสภาวะแวดล้อมใหม่ มาตรการที่จะเป็นประโยชน์และควรกระทำมากที่สุด ได้แก่ การเร่งรัดและส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยใช้พลังงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และปลูกฝังจิตสำนึกของประชาชนให้ตระหนักถึงการใช้พลังงานอย่างมีประโยชน์และ คุ้มค่า
3.การกำหนดอัตราภาษีน้ำมันที่ต่ำเกินไป จะทำให้การใช้พลังงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ในปัจจุบันภาษีน้ำมันในประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ ดังนั้น ในระยะยาวควรมีการพิจารณาปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันให้สูงขึ้น
4.การพิจารณาแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันนั้นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อวินัยทางการคลังของประเทศ เพราะในขณะนี้รัฐบาลก็ขาดดุลการคลังในระดับที่สูงมากอยู่แล้ว การลดภาษีสรรพสามิตจะต้องไม่เป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ถูกต้อง อันจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล และอัตราแลกเปลี่ยน และหากอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนตัวลงก็จะมีผลทำให้ราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้นอีก ดังนั้น หากมีการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน รัฐบาลจะต้องหารายได้จากแหล่งอื่นมาชดเชยเพื่อมิให้การขาดดุลการคลังเพิ่ม ขึ้น
5.เนื่องจากน้ำมันดีเซลมีการใช้กันมากในภาคการขนส่ง การเกษตรและประมง จึงควรมีการพิจารณาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง โดยการลดภาษีสรรพสามิตลง 0.42 บาท/ลิตร เป็นเวลา 3 เดือน จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลง 0.50 บาท/ลิตร และรายได้ภาษีรวมลดลง 1,918 ล้านบาท แยกเป็นภาษี สรรพสามิต 1,629 ล้านบาท ภาษีเทศบาล 163 ล้านบาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 126 ล้านบาท
6.การลดภาษีน้ำมันดีเซลอาจมีผลกระทบต่อโครงสร้างการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง กล่าวคือ ผู้ใช้น้ำมันเบนซินบางส่วนอาจเปลี่ยนมาใช้ดีเซลมากขึ้น จึงควรให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ติดตามสถานการณ์การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศอย่างใกล้ชิด
7.ผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้เรียนต่อที่ประชุมว่า การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต จะทำให้เกิดภาระส่วนต่างของภาษีที่ได้ชำระไว้เดิม ชั้นวัตถุดิบสูงกว่าภาษีใหม่เมื่อมีการเติมสารเติมแต่ง (Additive) ซึ่งไม่สามารถขอคืนหรือขอลดหย่อนภาษีได้ แต่ในกรณีที่มีการปรับเพิ่มอัตราภาษี ผู้ค้าน้ำมันจะต้องเสียภาษีส่วนเพิ่ม ทำให้ไม่เป็นธรรมต่อผู้ค้าน้ำมัน ซึ่งรองอธิบดีกรมสรรพสามิต (นางเรณู รื่นกลิ่น) ได้ชี้แจงว่า กรมสรรพสามิตได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความและได้มีการ วินิจฉัยว่า วัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้าที่จะใช้ในการขอลดหย่อนภาษีสรรพสามิต ตามมาตรา 101 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 จะต้องเป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบเฉพาะที่นำมาใช้ต้องเป็นส่วนหนึ่งของ สินค้าที่ผลิตขึ้นโดยตรงเท่านั้น แต่น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำมาเติมสารเติมแต่งมิใช่วัตถุดิบหรือส่วนประกอบที่ ใช้ในครั้งแรก จึงไม่สามารถนำภาษีที่เสียไว้ในชั้นวัตถุดิบเดิมมาหักลดหย่อนภาษีใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปดูรายละเอียดในเรื่อง นี้อีกครั้ง
มติของที่ประชุม
ให้เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน โดยเร่งรัดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้มีประสิทธิภาพ และมีผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ดังนี้
1.1 เร่งดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ
1.2 ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรงงาน ควบคุมและอาคารควบคุม ซึ่งเป็นโรงงานและอาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก
1.3 ส่งเสริมให้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพในการใช้ พลังงานสูง ตลอดจนส่งเสริมระบบตลาดให้สามารถเข้ามารองรับการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์ พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.4 เร่งรัดให้มีการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่ใช้ไฟฟ้า และกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ รวมทั้ง การติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์ทดสอบประสิทธิภาพพลังงานที่มีมาตรฐาน
1.5 เร่งดำเนินการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานในสาขาขนส่ง โดยมีมาตรการดังนี้
1.5.1 มาตรการระยะสั้น
(1) สร้างตัวอย่างที่ดีแก่สังคมในการประหยัดพลังงาน ให้ข้าราชการและผู้นำทางสังคมทำตัวเป็นตัวอย่าง และประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ ส่งเสริม ยกย่องชุมชนหรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จ ในการลดการใช้พลังงานในสาขาขนส่ง
(2) ลดจำนวนรถยนต์บนถนน กระตุ้นให้ประชาชนทราบถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดจะช่วย ลดทั้งการลงทุนในการจัดหาพลังงานและค่าใช้จ่ายทางด้านเชื้อเพลิงของประเทศ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ภายใต้โครงการรวมพลังหารสอง ทำการรณรงค์ผ่านสื่อและกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร (กทม.) สำนักงานคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (สจร.) และจังหวัดที่มีการจราจรหนาแน่น เพื่อจูงใจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเดินทางโดยใช้พาหนะร่วมกันไปที่ หมายเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน (Car Pool) เดินทางโดยใช้จักรยาน หรือบริการขนส่งมวลชนในการเดินทาง ลดการเดินทางด้วยการติดต่อสื่อสารลักษณะอื่นแทน เช่น โทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์ หรือการใช้บริการส่งเอกสารและวัสดุแทนการส่งด้วยตนเอง
(3) จัดการจราจร ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน เช่น สจร. และ กทม. ในการให้สิทธิรถสาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคคลที่มีผู้โดยสารตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ได้สิทธิใช้เส้นทางด่วนกำหนดพื้นที่ชั้นในของ กทม. ที่ผู้ใช้รถจะต้องเสียค่าผ่านทาง เพื่อให้มีการเปลี่ยนมาใช้บริการรถสาธารณะมากขึ้นในการ เข้าเมือง จัดทำทางวิ่งจักรยานยนต์ทางด่วน และบนทางเท้าที่สามารถทำได้
(4) วางแผนก่อนเดินทาง ให้ สพช. สจร. และ กทม. เผยแพร่การให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ใช้รถพิจารณาและตรวจสอบความจำเป็นใน การเดินทาง วางแผนการเดินทางเพื่อกำหนดเส้นทางและช่วงเวลาการเดินทางถึงที่หมายอย่าง เหมาะสม หลีกเลี่ยงและลดการเดินทางในช่วงเวลาเร่งด่วน
(5) บำรุงรักษารถยนต์ สนับสนุนให้มีการตรวจวัดสภาพและปรับแต่งระบบควบคุมเครื่องยนต์ให้ถูกต้องตาม คุณลักษณะของรถ เพื่อให้การทำงานของเครื่องยนต์ดีขึ้น ส่งผลให้สิ้นเปลืองพลังงานน้อยลง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงได้ประมาณ 10% โดยพิจารณาให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเสริมให้เกิดธุรกิจ บริการตรวจวัดสภาพเครื่องยนต์ โดยร่วมมือกับหน่วยงานหรือองค์กรหลัก เช่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กรมการขนส่งทางบก หรือสถานีบริการน้ำมันที่สามารถให้บริการตรวจวัดสภาพและปรับแต่งระบบควบคุม เครื่องยนต์ให้ถูกต้อง นอกจากนั้น ให้ สพช. และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องทำการประชาสัมพันธ์กระตุ้นเจ้าของรถยนต์ให้ตระหนักถึงประโยชน์ที่ ได้รับหากรู้จักดูแลบำรุงรักษา ตรวจซ่อมเครื่องยนต์และรถอย่างสม่ำเสมอ เช่น การตรวจดูลมยางรถยนต์ให้มีความดันพอเหมาะกับการใช้งาน การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง และไส้กรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะส่งผลให้มีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ การทำงานของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพ และไม่สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
(6) ใช้รถยนต์ถูกวิธี สนับสนุนกรมการขนส่งทางบก หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องในการฝึกอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้ขับรถ เพื่อให้ทราบถึงวิธีการใช้รถยนต์อย่างถูกวิธี ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถปฏิบัติได้โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม แต่ยังได้รับประโยชน์เป็นเงินที่ประหยัดค่าน้ำมันได้ เช่น ไม่เร่งเครื่องยนต์ เมื่อเริ่มออกเดินทาง ขับเคลื่อนด้วยความเร็วสม่ำเสมอ เลือกขับที่ความเร็ว 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อ ลดการสึกหรอ และเพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เลือกใช้เกียร์ความเร็วและความเร็วรอบที่ สอดคล้องกัน หลีกเลี่ยงการติดตั้งอุปกรณ์เสริมหรือตกแต่งที่จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก ขึ้น หรือทำให้เกิดการต้านลมขณะเดินทาง หลีกเลี่ยงและลดการบรรทุกสัมภาระสิ่งของที่ไม่จำเป็นในการเดินทางเพื่อลด น้ำหนักของรถ เลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสมให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาด และสอดคล้องกับชนิดของเครื่องยนต์ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพลดการสูญเสียพลังงาน เช่น ไม่ใช้น้ำมันที่มีออกเทนสูงเกินความจำเป็นของเครื่องยนต์
1.5.2 มาตรการระยะปานกลาง
(1) ร่วมมือและสนับสนุนองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพในการปรับปรุงคุณภาพการให้ บริการของรถเมล์ และเร่งรัดให้การก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนต่างๆ ให้เสร็จตามเวลาที่กำหนด
(2) ปรับเปลี่ยนแนวทางในการให้การสนับสนุนและการเก็บภาษี เพื่อให้เกิดการใช้รถสาธารณะให้มากที่สุด ผู้ที่ต้องการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น รถส่วนบุคคลจะต้องเสียภาษีในการจดทะเบียนและภาษีป้ายวงกลมสูงขึ้นตามขนาดและ ประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องยนต์ นอกจากนั้นเจ้าของรถส่วนตัวจะต้องเสียภาษีน้ำมันสูงขึ้นด้วย
(3) ส่งเสริมการขายรถยนต์ประสิทธิภาพสูง โดยอาจใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสนับสนุนการประชา สัมพันธ์เพื่อจูงใจให้มีการติดฉลากหรือโฆษณาประชาสัมพันธ์รถยนต์ประสิทธิภาพ สูง
(4) ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสนับสนุนสถาบันการศึกษาค้นคว้า วิจัย และพัฒนาต้นแบบของยานพาหนะหรืออุปกรณ์ประกอบยานพาหนะที่มีการใช้เชื้อเพลิง ที่มีประสิทธิภาพ
(5) ส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด เช่น ก๊าซธรรมชาติอัด (Compressed Natural Gas : CNG) ในรถประจำทางและรถขนส่งมวลชนหรือการใช้ยานพาหนะที่สามารถเปลี่ยนชนิดเชื้อ เพลิงได้ เช่น Hybrid Vehicles หรือยานพาหนะอื่นที่ประหยัดพลังงานหรือก่อให้เกิดมลพิษน้อยในเขตเมืองเพื่อ ช่วยลดมลภาวะทางอากาศ
1.5.3 มาตรการระยะยาว
(1) สนับสนุนกรมการผังเมืองให้มีการนำผังเมืองที่มีผลต่อการลดความต้องการในการ เดินทางมาใช้อย่างจริงจัง ผังเมืองดังกล่าวเป็นผังที่ทำให้บ้าน โรงเรียน และที่ทำงานอยู่ใกล้กัน
(2) ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการในการปรับปรุงคุณภาพของโรงเรียนให้ ใกล้เคียงกันจะเป็นผลให้ผู้ปกครองส่งนักเรียนเรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน ลดความต้องการในการเดินทาง และเพิ่มคุณภาพชีวิต
1.6 ส่งเสริมมาตรการอนุรักษ์พลังงานในสาขาเกษตร โดย
(1) สนับสนุนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ศึกษาโครงสร้างการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ และพลังงานแบบดั้งเดิมในสาขาการเพาะปลูก สาขาการประมง และการเกษตรอื่นๆ และแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
(2) ร่วมมือและสนับสนุนสถาบันการศึกษาปรับปรุงพัฒนาการของเครื่องจักรเครื่อง ยนต์ในการเกษตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น รถแทรกเตอร์ รถไถนา 2 ล้อ ระหัดวิดน้ำ เครื่องสูบน้ำ และ เครื่องพ่นยาปราบศัตรูพืช เป็นต้น
(3) ส่งเสริมให้องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นมีการใช้ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ และเครื่องสกัดสารกำจัดศัตรูพืชพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดปริมาณการใช้เครื่องยนต์ดีเซล
1.7 ส่งเสริมและรณรงค์ให้เกิดการตื่นตัวต่อการประหยัดพลังงานในระดับชาติ โดยดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนทุกระดับทั่วประเทศเกิด กระแสความร่วมมือในการอนุรักษ์พลังงานและสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ พลังงานให้กับกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ให้ใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งไม่ได้รับการจัดสรรค่าใช้จ่ายส่วนนี้จากงบประมาณปกติ หรือได้รับแต่ไม่เพียงพอที่จะใช้พัฒนางานให้สำเร็จได้อย่างจริงจัง หรืออาจให้เป็นค่าใช้จ่ายสมทบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปในการจัดซื้อจัดหา อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมทั้งจัดหาบุคลากร หรือที่ปรึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถดำเนินงานและประสานกับหน่วยงานอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ให้มีการเลือกใช้พลังงาน ดังนี้
2.1 ส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกประเภทสอดคล้องกับความต้องการของเครื่อง ยนต์ และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้า) สพช. และ ปตท. รับไปดำเนินการเจรจากับผู้ค้าน้ำมันในการลดค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินพิเศษ จากออกเทน 97 เหลือ 95 และเบนซินธรรมดาจากออกเทน 92 เหลือ 91 ตามมาตรฐานของทางราชการ เพื่อลดความสูญเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
2.2 ลดการใช้น้ำมันเตาและดีเซลในการผลิตไฟฟ้า โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการดังนี้
(1) ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มมากขึ้นในโรงไฟฟ้าบางปะกง และพระนครใต้
(2) เร่งรัดการติดตั้งหน่วยกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ 4-7 ให้แล้วเสร็จ และสามารถใช้งานได้ในเดือนมกราคม 2543
(3) ให้จัดหาถ่านลิกไนต์คุณภาพสูง (กำมะถันต่ำ) จากภาคเอกชนมาใช้ในโรงไฟฟ้า แม่เมาะอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ ในการผลิตไฟฟ้า
(4) ให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป.ลาว เพิ่มขึ้น ได้แก่ โครงการ น้ำเทิน-หินบุน ห้วยเฮาะ น้ำงึม และเซเสด
(5) ให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) และรายเล็ก (SPP) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน หรือพลังงานนอกรูปแบบเป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
2.3 ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล และการแปรรูปจากมูลฝอยโดยเฉพาะเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้กองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงานให้การสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว เพื่อช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
2.4 ในระยะยาวให้มีการกระจายแหล่งและชนิดของเชื้อเพลิง เพื่อความมั่นคงในการจัดหา เชื้อเพลิงของประเทศ การพึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไปจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการ จัดหาเชื้อเพลิงให้แก่ประเทศ และเนื่องจากถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่มีแหล่งสำรองอยู่มาก และกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้ง ราคาค่อนข้างมีเสถียรภาพ ถ่านหินจึงน่าจะเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของประเทศในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าลงได้
กำหนดแนวทางในการตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภคน้อยที่สุด โดย
3.1 ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
3.2 ปรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้าลดลงจากระดับปัจจุบัน (ซึ่ง เท่ากับราคาปิโตรมิน+0$) หากราคาก๊าซฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจุบันอีกจนถึงระดับที่กองทุนฯ ไม่สามารถ รับการชดเชยต่อไปได้
3.3 หลังจากดำเนินการตามข้อ 3.1-3.2 แล้ว หากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่สามารถรับภาระการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียม เหลวได้ ให้ดำเนินการปรับเพิ่มราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ให้ กฟผ. สามารถใช้น้ำมันเตากำมะถันไม่เกิน 1.0% และค่าแอสฟัลทีนระดับปกติมาใช้ในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือได้ ทั้งนี้โดยความเห็นชอบของกรมควบคุมมลพิษ
เร่งรัดการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
5.1 เพิ่มความเข้มในการตรวจการณ์ทางทะเล โดยให้กองกำกับ 1-5 กองตำรวจน้ำออกตรวจสอบและพิสูจน์ทราบเรือประมงที่แล่นอยู่ในทะเลอาณาเขตและ เขตต่อเนื่อง (ช่วง 0-24 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง) ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย เพื่อตัดโอกาสมิให้ลักลอบนำน้ำมันจากเรือประมงดัดแปลงจำหน่ายให้กับเรือ ประมงหรือนำขึ้นฝั่ง
5.2 ตรวจสอบแพปลา และสถานีบริการชายฝั่งโดยให้ชุดปฏิบัติการทางบกศูนย์ป้องกันและปราบปรามการ ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (ศปนม.) เน้นตรวจสอบบริเวณแพปลา และสถานีบริการชายฝั่งเป้าหมายมิให้มีการขนถ่ายหรือลักลอบนำขึ้นฝั่งทุก รูปแบบ
5.3 ตรวจสอบอู่ต่อเรือ เพื่อป้องกันปราบปรามมิให้ทำการต่อเรือประมงดัดแปลงเป็นเรือบรรทุกน้ำมัน เพื่อใช้ในการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงหลีกเลี่ยงภาษีเข้ามาในราชอาณาจักร
5.4 เฝ้าติดตามโรงกลั่น ผู้ผลิตสารละสายไฮโดรคาร์บอน (โซลเว้นท์) ตัวแทนนายหน้า (Jobber) และผู้ใช้สารละลายโซลเว้นท์ปลายทาง มิให้นำสารโซลเว้นท์ออกนอกระบบไปปลอมปนกับน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายใน สถานีบริการ
5.5 ตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงริมน้ำ และท่าเทียบเรือบริเวณปากอ่าวไทย ลำน้ำ เจ้าพระยา และลำน้ำท่าจีนเพื่อป้องกันปราบปรามมิให้นำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยกเว้นภาษี เช่น น้ำมันเชื้อเพลิงที่เติมให้กับเรือสินค้าต่างประเทศออกมาขายในสถานีบริการ
6.ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคคมนาคมขนส่งมากขึ้น โดยสนับสนุนการขยายจำนวน รถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ได้แก่ รถโดยสารประจำทางของ ขสมก. รถบรรทุก รถแท๊กซี่ และ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยทดแทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ยังช่วยลดปัญหามลพิษในอากาศได้อีกด้วย เนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด โดยรัฐควรให้การส่งเสริมโดยการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในการลงทุน ยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์การดัดแปลงเครื่องยนต์ ถังก๊าซฯ และอุปกรณ์ที่ใช้ในสถานีบริการก๊าซฯ และใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้การสนับสนุน เช่น การให้เงิน สนับสนุนแก่เจ้าของรถที่มีความประสงค์จะดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ก๊าซ ธรรมชาติ เป็นต้น และหากเอกชนสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมดัดแปลงรถยนต์ หรือจัดตั้งสถานีบริการก๊าซฯ ควรให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนด้วย โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
6.1 มอบหมายให้ ปตท. เร่งรัดการดำเนินการตามแผนการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่งตามที่ได้กำหนดไว้แล้ว
6.2 มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้การสนับสนุนในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการส่งเสริมการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในภาค ขนส่งบรรลุผลสำเร็จ
7.ให้มีการเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น ดังนี้
7.1 มอบหมายให้ ปตท. รับไปเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อปรับลดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมัน เชื้อเพลิงเพื่อให้ราคาน้ำมันที่โรงกลั่นจำหน่ายในประเทศลดลงมาอยู่ในระดับ ที่ใกล้เคียงกับราคาส่งออก (Export Parity) ทั้งนี้เนื่องจาก ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กำลังการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศมีมากเกินปริมาณความต้องการทำให้มี น้ำมันเหลือต้องส่งออก ซึ่งราคาส่งออกส่วนใหญ่จะต่ำกว่าราคาที่ขายภายในประเทศ
7.2 มอบหมายให้ ปตท. รับไปเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อลดราคาน้ำมันเตาที่จำหน่ายให้ กฟผ. เพื่อให้ราคาน้ำมันเตาอยู่ในระดับไม่สูงกว่าราคาที่สามารถนำเข้าได้จาก สิงคโปร์
8.มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการตรึงราคาค่าโดยสารสำหรับรถโดยสาร ประจำทางของ ขสมก. รถไฟ และรถโดยสารของบริษัท ขนส่ง จำกัด รวมทั้ง ให้พิจารณาลดค่าธรรมเนียมที่เก็บจาก รถร่วมบริการเพื่อเป็นการลดต้นทุนของผู้ประกอบการ โดยให้พิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังในการพิจารณาหารายได้ส่วนอื่นมาชดเชย
9.มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 0.42 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราว มีระยะเวลา 3 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2542 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2543 และให้กระทรวงการคลังรับไปจัดทำข้อเสนอในการจัดเก็บภาษีอื่นมาชดเชยรายได้ ที่ขาดหายไปจากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เช่น การเพิ่มภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ เป็นต้น แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานในการจัดทำแนวทางการพัฒนา พลังงานในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนงาน/โครงการด้านพลังงานของหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องซึ่งแนวทางการพัฒนาพลังงานดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติแล้ว เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2540
2. จากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางด้านพลังงานของประเทศ สพช. ได้ทำการประเมินผลการพัฒนาพลังงานในช่วง 2 ปีแรก (พ.ศ. 2540-2541) พบว่าความต้องการใช้พลังงานของประเทศชะลอตัวลงอย่างมาก โดยการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2540-2541 ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 1.4 ในขณะที่การผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7.8 ในช่วงเวลาเดียวกัน การพึ่งพาพลังงานเชิงพาณิชย์จากต่างประเทศลดลงจากระดับร้อยละ 65.6 ในปี 2539 เหลือเพียงร้อยละ 57.1 ในปี 2541 การนำเข้าโดยส่วนใหญ่ยังเป็นน้ำมันดิบและถ่านหิน แต่ปริมาณการนำเข้าได้ลดลง การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงปี 2540-2541 ลดลงร้อยละ 0.4 และ 9.6 ตามลำดับ ดังนั้น ในปี 2541 จึงมีการส่งออกสุทธิของน้ำมันเกือบทุกชนิด ยกเว้น น้ำมันเตา โดยน้ำมันเบนซินยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลัก
3. จากสถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายและ แนวทางการพัฒนาพลังงานของประเทศในระยะต่อไป ดังนั้น สพช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้มีการพิจารณาปรับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาพลังงานในช่วงที่เหลือของ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 สรุปได้ดังนี้
3.1 ได้มีการปรับเป้าหมายการพัฒนาพลังงานจากที่กำหนดไว้เดิมเพื่อให้สอดคล้องกับ สถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยลดการผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์จากเดิมที่กำหนดไว้ในอัตราร้อยละ 5.0 ต่อปี เหลือร้อยละ 3.0 ต่อปี ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 และรักษาสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจาก ต่างประเทศ จากเดิมที่กำหนดไว้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 75 เป็นไม่เกินร้อยละ 64 ในปี 2544 นอกจากนี้ ยังลดเป้าหมายการผลิตก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ คอนเดนเสท และถ่านหิน/ลิกไนต์ในประเทศ และการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการที่ลดลง นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้ มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับไม่ต่ำกว่า 4 เมกะวัตต์ ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8
3.2 แนวทางการพัฒนาพลังงานส่วนใหญ่มีแนวทางที่ต่อเนื่องจากแนวทางที่ได้ดำเนิน การมาแล้ว แต่ได้ปรับปรุงให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนไปมากขึ้น สรุปได้ดังนี้
(1) ด้านการจัดหาพลังงาน เน้นการสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการพัฒนาและสำรวจแหล่งพลังงานจากภายใน ประเทศขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น ทั้งปิโตรเลียมและถ่านหิน รวมทั้ง การสำรวจและพัฒนาก๊าซธรรมชาติจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียขึ้นมาใช้ ประโยชน์ และในขณะเดียวกันก็ให้มีการเจรจาเลื่อนการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการใน สปป.ลาว และพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่าให้เป็นไปตามกรอบของบันทึกความเข้าใจที่ ได้มีการลงนามแล้ว
(2) ด้านการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด ให้มีการกำกับดูแลราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซปิโตรเลียมเหลว และการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและค่าผ่านท่อ รวมทั้ง ให้มีการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าให้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง โปร่งใส และเป็นธรรม นอกจากนี้ ให้มีการเร่งดำเนินการทางด้านการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าและการอนุรักษ์ พลังงานตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เพื่อให้มีการนำแผนงานอนุรักษ์พลังงานสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรมมากขึ้น
(3) ด้านการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการพลังงานและเพิ่มบทบาทของภาคเอกชน ดำเนินการปรับโครงสร้างและแปรรูปกิจการพลังงานสาขาไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ และแปรรูป ปตท. ให้เป็นไปตามกรอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ และส่งเสริมให้มีการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจอุตสาหกรรมก๊าซปิโตรเลียมเหลว รวมทั้ง ให้มีการปรับปรุงระบบการขนส่งน้ำมันและก๊าซปิโตรเลียมเหลวของประเทศให้มี ประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนการขนส่งในระยะยาว นอกจากนี้ ให้มีการติดตามการดำเนินงานของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่และรายเล็กตามที่ได้ มีการคัดเลือกแล้วให้สามารถดำเนินการได้ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และให้มีการพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามความเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการไฟฟ้าของประเทศ
(4) ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ให้มีการปรับปรุงข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพื่อลดมลภาวะ เพิ่มเติมจากที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และพิจารณาความเหมาะสม ในการลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเตาลงจากเดิมตามสภาพความรุนแรงของปัญหาใน เขตกรุงเทพฯ และในเขตที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่หนาแน่น รวมทั้ง ให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อให้มีการควบคุมและกำกับดูแลการจัดเก็บและ กำจัดกากน้ำมันหล่อลื่นและส่งเสริมการลงทุนในการนำน้ำมันหล่อลื่นใช้ แล้วกลับมาใช้ใหม่ให้ถูกหลักวิชาการ กำหนดให้คลังน้ำมัน รถบรรทุกน้ำมัน สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ต้องติดตั้งอุปกรณ์กักเก็บไอน้ำมัน ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดในภาคอุตสาหกรรมและ ภาคคมนาคมขนส่งมากขึ้น
(5) ด้านพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและกลไกการบริหารงานด้านพลังงาน เร่งดำเนินการออกพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... และดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแล้ว เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติโดยเร็ว รวมทั้งแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพื่อให้ ธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลวมีความปลอดภัยและเป็นไปอย่างมีระบบและมีความเสมอ ภาคระหว่างผู้ประกอบการ ตลอดจนดำเนินการยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระในสาขาพลังงาน เพื่อให้สามารถจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลกิจการพลังงานภายหลังการ แปรรูปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการพัฒนาพลังงานปี 2542-2544 ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ตามที่ สพช. เสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานของหน่วยราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุม ครั้งที่ 4/2537 (ครั้งที่ 47) เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2537 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2537-2542 ซึ่งมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 19,286 ล้านบาท (หนึ่งหมื่นเก้าพันสองร้อยแปดสิบหกล้านบาทถ้วน)
2. การดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายของโครงการต่างๆ เป็นเงินทั้งสิ้น 6,237 ล้านบาท โดยโครงการที่ดำเนินการแล้วและสามารถประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานได้ อย่างชัดเจน คือ โครงการอาคารของรัฐ ภายใต้แผนงานภาคบังคับ ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว 573 อาคาร และการสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ 91 โครงการ คาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและสามารถทดแทนพลังงานสิ้นเปลืองได้ คิดเป็นเงินประมาณ 525 ล้านบาท/ปี และสามารถชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้ คิดเป็นมูลค่า 2,115 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับในส่วนที่ไม่สามารถประเมินศักยภาพ การอนุรักษ์พลังงานและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนเงินได้
3. เนื่องจากแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2537-2542 กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน 2542 คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้เสนอแผนอนุรักษ์พลังงาน แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับ ความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณา โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 29,110.61 ล้านบาท ซึ่งหลักเกณฑ์ แนวทาง เงื่อนไข และการจัดลำดับความสำคัญของแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ส่วนใหญ่แล้วยังเป็นไปตามแผนฯ เดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงในประเด็นใหญ่ 5 หัวข้อ ดังนี้
3.1 ปรับเปลี่ยนงบประมาณโครงการอาคารและโรงงานทั่วไปจากแผนงานภาคบังคับไปไว้ภาย ใต้แผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางในการปฏิบัติงานในช่วงที่ผ่านมา
3.2 ปรับเปลี่ยนงบประมาณโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน รับผิดชอบจากแผนงานสนับสนุนไปไว้ภายใต้แผนงานภาคบังคับ เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของ แผนงานภาคบังคับ
3.3 การเพิ่ม "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เป็นอีกโครงการหนึ่งภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อจูงใจให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ เข้ามาร่วมผลิตและขายไฟฟ้า โดยใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนราคารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน
3.4 ดำเนินโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง จนถึงเดือนมีนาคม 2543 เท่านั้น และให้การสนับสนุนเฉพาะอาคารของรัฐที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเท่านั้น แล้วให้มีการประเมินผลโครงการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาการดำเนินโครงการฯ ในช่วงต่อไป
3.5 ไม่จำกัดขอบเขตงานโครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบทไว้ที่ กิจการขนาดเล็กที่ใช้พลังไฟฟ้าต่ำกว่า 300 กิโลวัตต์ และมีสถานที่ตั้งนอกเขตเทศบาลและสุขาภิบาล
นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับแนวทางการใช้เงินจากกองทุนฯ เพื่อนำไปดำเนินการในโครงการต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
4. แผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ประกอบด้วย 3 แผนงานรอง และ 12 โครงการหลัก คาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน โดยสามารถทดแทนพลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงได้ คิดเป็นเงินประมาณ 12,870 ล้านบาท/ปี และสามารถลดความต้องการพลังไฟฟ้าได้ คิดเป็นเงินประมาณ 38,085 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1.รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2538-2542 ปัญหา อุปสรรค และการประเมินผลการดำเนินงาน การศึกษาเชิงนโยบายเพื่อใช้ในการกำหนดแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วง ปีงบประมาณ 2543-2547 และแนวทางการดำเนินงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ตามที่ปรากฏในส่วนที่ 4 - ส่วนที่ 7 ของเอกสารประกอบวาระ 4.3.1
2.เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ปรากฏในส่วนที่ 8 ของเอกสารประกอบวาระ 4.3.1 โดยให้มีการปรับปรุงแผนอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2542 (ครั้งที่ 70) เรื่อง สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ผลกระทบ และทางเลือก ซึ่งมีมติเห็นชอบให้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และเร่งรัดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้มีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 เป็นต้นไป
3.มอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดสรรเงิน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543-2547 ตามวงเงินในข้อ 2.4 (รายละเอียดตามที่ปรากฏในส่วนที่ 9 ของเอกสารประกอบวาระ 4.3.1) ซึ่งมีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้ โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ ด้วย
เรื่องที่ 6 มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เห็นชอบแนวทางในการปรับโครงสร้างและ การแปรรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศ และได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จัดทำมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าและระบบการประเมินผล เพื่อให้การปฏิบัติงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คำนึงถึงคุณภาพการให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งมาตรฐานคุณภาพบริการดังกล่าว จะใช้ประกอบการพิจารณาฐานะการเงินของการไฟฟ้า และจะกำหนดให้เป็นตัวแปรหนึ่งในการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจการ ไฟฟ้าต่อไป
2. สพช. ได้ดำเนินการหารือร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และผู้ใช้ไฟฟ้า โดยได้ข้อสรุปมาตรฐานด้านเทคนิคและมาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟน. และ กฟภ. เพื่อใช้ในการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า ดังนี้
2.1 มาตรฐานทางด้านเทคนิค (Technical Standards) ประกอบด้วย มาตรฐานแรงดันไฟฟ้า มาตรฐานการจ่ายไฟฟ้า และมาตรฐานความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า
2.2 มาตรฐานการให้บริการ (Customer Service Standards) ประกอบด้วย
(1) มาตรฐานการให้บริการทั่วไป (Overall Standards) ประกอบด้วย การจ่ายไฟฟ้า คืนหลังจากระบบจำหน่ายขัดข้อง การร้องเรียนในเรื่องแรงดันไฟฟ้า การอ่านหน่วยไฟฟ้าที่ใช้จริง ใบแจ้งหนี้ ค่าไฟฟ้า และการตอบข้อร้องเรียนจากผู้ใช้ไฟฟ้า
(2) มาตรฐานการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้า (Guaranteed Standards) ประกอบด้วย คุณภาพไฟฟ้า ระยะเวลาที่ลูกค้ารายใหม่ขอใช้ไฟฟ้า ระยะเวลาตอบสนองที่ลูกค้าร้องขอและปฏิบัติตามเงื่อนไข และระยะเวลาต่อกลับการใช้ไฟฟ้ากรณีถูกงดจ่ายไฟ โดยมาตรฐานการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกันนี้มีบทลงโทษโดยคิดเป็นค่าปรับ ที่การไฟฟ้าจะต้องจ่ายให้ผู้ใช้ไฟ ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนด โดยค่าปรับจะอยู่ระหว่าง 50-2,000 บาท
3. การกำหนดแนวทางการกำกับดูแล และแนวทางการประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อให้มีการกำหนดมาตรฐานทางด้านเทคนิคและมาตรฐานการให้บริการผู้ใช้ไฟฟ้า รวมทั้งเพื่อให้มีการประเมินผลการดำเนินงานของการไฟฟ้าให้เป็นไปตามเป้าหมาย มีดังนี้
3.1 แนวทางการกำกับดูแลตามมาตรฐานคุณภาพบริการ ประกอบด้วย
(1) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)/สพช. ทำหน้าที่พิจารณาอนุมัติ ข้อเสนอของการไฟฟ้าเกี่ยวกับมาตรฐานทางด้านเทคนิคและมาตรฐานการให้บริการ
(2) กพช./สพช. ติดตามการดำเนินงานโดยพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างรายงานการดำเนินงานที่ กฟน. และ กฟภ. จะต้องจัดทำขึ้นเป็นรายปี กับมาตรฐานที่กำหนด
(3) กพช./สพช. กำหนดบทลงโทษสำหรับการไฟฟ้าที่มีการดำเนินงานไม่เป็นไปตาม มาตรฐานที่กำหนด
3.2 การประเมินผลการดำเนินงาน สามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอน ดังนี้
(1) กฟน. และ กฟภ. จัดทำรายงานประจำปี แสดงผลการดำเนินงานในรอบปีเปรียบเทียบกับมาตรฐานคุณภาพบริการที่กำหนด พร้อมทั้งชี้แจงผลการดำเนินงานโดยละเอียด
(2) สพช. พิจารณาผลการดำเนินงานในข้อ (1)
(3) สพช. เป็นผู้กำกับบริษัทที่ปรึกษาที่ตรวจสอบการลงทุนของการไฟฟ้า ว่าเป็นไปตามแผนการลงทุนที่อนุมัติหรือไม่ โดยอาจจัดทำทุก 3-5 ปี
(4) สพช. เป็นผู้กำกับบริษัทที่ปรึกษาทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับ การให้บริการ เป็นประจำทุกปี โดย กฟน. และ กฟภ. จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบมาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟน. และ กฟภ. รายละเอียดตามเอกสารแนบ 2 และ 3 ของเอกสารแนบวาระ 4.4.1
2.เห็นชอบแนวทางการกำกับดูแลมาตรฐานคุณภาพบริการ รายละเอียดตามข้อ 3
3.ให้นำมาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟน. และ กฟภ. มาบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นไป เนื่องจากในช่วงต้นปี พ.ศ. 2543 ระบบคอมพิวเตอร์อาจเกิดการขัดข้องจากปัญหา Y2K
กพช. ครั้งที่ 69 - วันอังคารที่ 21 กันยายน 2542
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 69)
วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2542 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.ข้อเสนอการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าของน้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซปิโตรเลียมเหลว
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ข้อเสนอการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าของน้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซปิโตรเลียมเหลว
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ได้มีการหารือระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะมี การประชุม และที่ประชุมได้มีความเห็นดังนี้
1. ในภาวะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ได้อ่อนค่าลง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศสูงขึ้นจนถึงระดับที่ทำให้ภาษีสรรพสามิตตาม มูลค่ามีค่ามากกว่า ตามปริมาณ และจะต้องมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามมูลค่า ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จึงควรให้มีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามมูลค่า
2. ถ้าราคาน้ำมันดูไบสูงขึ้นไปจนถึงระดับ 25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะเป็นระดับที่จะมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รัฐจะต้องเข้ามาหามาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ ประชาชน
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ถ้าราคาน้ำมันยังคงเพิ่มสูงขึ้นและค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอีก การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของน้ำมันจะต้องเปลี่ยนจากการคิดตามปริมาณมาเป็นตาม มูลค่าซึ่งอัตราจะสูงกว่าเดิม ดังนั้น เพื่อมิให้เป็นการเพิ่มภาระแก่ประชาชน จึงเห็นควรให้มีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าเป็นอัตราร้อยละศูนย์ เพื่อให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเป็นอัตราตามปริมาณคงที่ ซึ่งในเรื่องนี้บริษัทน้ำมันหลายแห่งก็ได้มีหนังสือแจ้งว่าอยากให้รัฐมีการ จัดเก็บภาษีเป็นอัตราคงที่สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล แทนที่จะมีการจัดเก็บตามมูลค่า อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตจะต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
2.รัฐบาลได้ยกเลิกการควบคุมราคาน้ำมันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เพื่อให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด และในช่วงที่ผ่านมากลุ่มโอเปครวมตัวกันไม่ได้จึงทำให้ราคาน้ำมันดิบลดต่ำลง ประชาชนจึงเคยชินกับราคาน้ำมันที่มีราคาต่ำ แต่ปัจจุบันกลุ่มโอเปคสามารถรวมตัวกันได้ราคาน้ำมันจึงสูงขึ้น ในขณะเดียวกันไทยยังต้องนำเข้าน้ำมันจากประเทศเหล่านี้ จึงต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่ารัฐบาลไม่สามารถกำหนดราคาน้ำมันได้เอง และหากราคาน้ำมันสูงขึ้นไปกว่านี้ก็จะต้องหามาตรการรองรับเพื่อให้ประชาชน ไม่เดือดร้อนมากไปกว่านี้ และเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่ารัฐบาลให้ความใส่ใจกับปัญหาของประชาชน
3.การพิจารณาปรับลดภาษีสรรพสามิตมีประเด็นสำคัญที่ควรนำมาพิจารณา 2 ประเด็นคือ ความเดือนร้อนของประชาชน และผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจากการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่าว่าถ้าราคาน้ำมันดิบดูไบ ขึ้นไปถึง 25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงร้อยละ 0.5 จากแนวโน้มเดิม และถ้าราคาน้ำมันดิบสูงถึง 29 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงร้อยละ 0.8 และที่ประชุมเห็นว่าถ้าราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับ 25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รัฐจะต้องหามาตรการแก้ไขเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน อย่างไรก็ตามเห็นควรได้มีการติดตามผลการประชุมของกลุ่ม โอเปคในวันที่ 22 กันยายน 2542 ก่อนว่าผลจะเป็นอย่างไร และให้มีการติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน อย่างใกล้ชิดเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในครั้งต่อไป และเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทต่อดอลล่าร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงส่งผล กระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งการกำหนดราคาขายส่งน้ำมันสำเร็จรูปของไทย อิงกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงค์โปร์ ดั้งนั้น จึงควรนำประเด็นทั้งสองมาร่วมพิจารณาในการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ด้วย
4.ประธานฯ ได้ขอให้ที่ประชุมรับทราบเรื่องเพื่อทราบตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอในการประชุมเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2542 รวม 5 เรื่อง คือ
(1) สถานการณ์พลังงานในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2542
(2) รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
(3) ความก้าวหน้าของการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว
(4) รายงานผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจสาขาพลังงาน ปีงบประมาณ 2542
(5) รายงานความคืบหน้าในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ IPP และ SPP
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตตาม มูลค่าของน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันดีเซลหมุนช้า น้ำมันก๊าด และก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้เหลือในอัตรา ร้อยละศูนย์เพื่อให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดังกล่าวเป็นอัตราตาม ปริมาณเท่านั้น โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุมในวันอังคารที่ 28 กันยายน 2542 นี้
2.ถ้าราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นสู่ในระดับ 25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและต่อประชาชน รัฐบาลควรจะพิจารณาหามาตรการแก้ไขเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว แต่ทั้งนี้ให้คำนึงถึงราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ และราคาขายปลีกในประเทศด้วย
ครั้งที่ 3 - วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 3)
วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. สถานการณ์พลังงานในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546
3. ยุทธศาสตร์พลังงานเพื่อการแข่งขันของประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนสิงหาคมปรับตัวสูงขึ้น 0.90 - 2.05 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อการร้ายในอิรัก และเริ่มมีการสะสมน้ำมันเพื่อความอบอุ่น ส่วนในเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลง 1.35 - 3.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานในช่วง ฤดูหนาวผ่อนคลายลง หลังจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบของโลกเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ในช่วงปลายเดือนราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากกลุ่มโอเปคมีมติปรับลดเพดานการผลิตมาอยู่ที่ระดับ 24.5 ล้านบาร์เรล/วัน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2546 เดือนตุลาคมราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.99 - 2.60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากตลาดคาดว่าอุปทานน้ำมันดิบจะตึงตัวในช่วงฤดูหนาว ประกอบกับมีปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ เช่น อิสราเอลและ ปาเลสไตน์ ปากีสถาน และอินเดีย โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 27.15 และ 28.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 2546 ปรับตัวสูงขึ้น 2.88 และ 2.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากจีนและไต้หวันได้ลดการส่งออกและโรงกลั่นน้ำมันของญี่ปุ่น 3 แห่ง ปิดดำเนินการจากเหตุไฟไหม้และปิดซ่อมบำรุง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวสูงขึ้น 3.21 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการซื้อของเวียดนามและฮ่องกงเพื่อใช้ในการทำประมง ในเดือนกันยายนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวลดลง 4.19 และ 3.81 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ อุปสงค์น้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาลดลง เนื่องจากสิ้นสุดฤดูท่องเที่ยว ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 1.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อุปทานเพิ่มขึ้นจากประเทศในตะวันออกกลาง จีน ไต้หวัน และอินเดีย ประกอบกับอินโดนีเซียชะลอการซื้อน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และในเดือนตุลาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวสูงขึ้น 2.41 และ 2.32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการที่จีนและไต้หวันลดการส่งออก ประกอบกับโรงกลั่นสิงคโปร์ลดการเดินเครื่อง และโรงกลั่น SPRC ของไทยมีแผนปิดซ่อมบำรุง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จีนและเกาหลีใต้ลดการส่งออกประกอบกับความต้องการซื้อของญี่ปุ่นเนื่องจากโรงกลั่นปิดซ่อมหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 35.93 34.53 และ 32.25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันของไทย ในเดือนสิงหาคมทุกผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวม 0.60 และ 0.50 บาท/ลิตร ในเดือนกันยายน ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 ปรับลง 4 ครั้ง รวม 1.20 และ 1.10 บาท/ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วปรับลง 3 ครั้ง รวม 0.70 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม 2546 มีการปรับราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 0.90, 0.90 และ 0.80 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซล หมุนเร็ว ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 16.69, 15.79 และ 14.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม อยู่ที่ระดับ 0.8572, 1.2742 และ 1.1350 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการกลั่นเฉลี่ยของเดือนสิงหาคม กั นยายน และตุลาคม อยู่ที่ระดับ 0.6482, 0.7279 และ 0.4525 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนตุลาคม 2546 ได้ปรับตัวลดลง 14.8 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ ในระดับ 258.0 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 9.56 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจาก กองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 1.36 บาท/กก. กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายชดเชยรวม 661 ล้านบาท/เดือน ยอดเงิน คงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2546 อยู่ในระดับ 1,646 ล้านบาท โดยมีเงิน ชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2546 รวม 4,556 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานการณ์พลังงานในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546
สรุปสาระสำคัญ
1. ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546 มีความต้องการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการใช้พลังงานปิโตรเลียมมากที่สุดในสัดส่วนถึงร้อยละ 45 รองลงมาได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน/ลิกไนต์ และไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้า ตามลำดับ ในขณะเดียวกันการผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ได้ เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 6.9 โดยเฉพาะการผลิตน้ำมันดิบซึ่งสูงถึงร้อยละ 31.8 รองลงมาคือ ก๊าซธรรมชาติและลิกไนต์ ตามลำดับ สำหรับการนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์ได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12.7 สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่ามาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ นอกจากนี้ มาจากการนำเข้าถ่านหินเพื่อใช้ทดแทนลิกไนต์ในภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้อัตราการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 62 ในปีก่อน เป็นร้อยละ 66 ในปีนี้ ทั้งนี้ โดยมีมูลค่าการนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2545 ถึงร้อยละ 27.9 โดยมีมูลค่าการนำเข้าพลังงานทั้งหมดประมาณ 279,979 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นมากในช่วงต้นปี และการเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่า
2. ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546 ปริมาณการผลิตและการใช้ก๊าซธรรมชาติได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยมีปริมาณการผลิตอยู่ที่ระดับ 2,105 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 และนำเข้าจากสหภาพพม่าเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) โดยนำเข้าจำนวน 701 ล้านลูกบาศก์ฟุต ต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 สำหรับน้ำมันดิบปริมาณการผลิตได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 97.0 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.8 แต่เนื่องจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทของประเทศคิดเป็นร้อยละ 18 ของความต้องการใช้ในการกลั่น จึงต้องมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศจำนวน 785 พันบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นมูลค่า 236,593 ล้านบาท ส่วนปริมาณการผลิตลิกไนต์ได้ลดลงร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการใช้ลิกไนต์เพื่อการผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) เสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนการใช้ลิกไนต์ในภาคอุตสาหกรรมลดลงถึงร้อยละ 51.4 เนื่องจากถูก ทดแทนด้วยถ่านหินนำเข้าซึ่งมีปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 59.9 โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 3,478 พันตัน เป็น 5,561 พันตัน
3. การใช้น้ำมันสำเร็จรูปในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 655 พันบาร์เรลต่อวัน โดยมีปริมาณการใช้น้ำมันเบนซิน ดีเซล และก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพิ่มขึ้นร้อยละ
4.3, 7.4 และ 2.1 ตามลำดับ ในขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันเตาและน้ำมันเครื่องบินลดลงร้อยละ 1.8 และ 2.4 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ปริมาณการผลิตยังคงสูงกว่าความต้องการภายในประเทศเป็นผลให้มีการส่งออกมากกว่านำเข้า โดยผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่มีการส่งออกมาก ได้แก่ LPG น้ำมันดีเซล เบนซิน และน้ำมันเครื่องบิน โดยมีการส่งออกสุทธิจำนวน 26, 20, 18 และ 3 พันบาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ ทั้งนี้ โดยมีการนำเข้า (สุทธิ) น้ำมันสำเร็จรูปจำนวน 9 พันบาร์เรลต่อวัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ยุทธศาสตร์พลังงานเพื่อการแข่งขันของประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ "ยุทธศาสตร์พลังงาน ครั้งที่ 1 : พลังงานเพื่อการแข่งขันของประเทศไทย" ขึ้น เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2546 ณ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลพลาซ่า โดยมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร) เป็นประธาน ซึ่งผลการประชุมดังกล่าวนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานของประเทศด้วยการลดสัดส่วนอัตราการเติบโตของการใช้พลังงานต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Energy Elasticity) จาก 1.4:1 เป็น 1:1 ภายในปี 2550 และได้กำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศ 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในภาคคมนาคมขนส่งและภาคอุตสาหกรรม 2) ยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานทดแทน 3) ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และ 4) ยุทธศาสตร์การปรับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค
2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์พลังงานดังกล่าว พร้อมทั้งให้ข้อสังเกตแก่กระทรวงพลังงานเพื่อนำไปประกอบการปรับปรุงยุทธศาสตร์ฯ เพิ่มเติมต่อไป โดยการดำเนินงานในปัจจุบันกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการประสานงานและร่วมมือกับส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณานำเอายุทธศาสตร์พลังงานมาปรับเป็นแผนปฏิบัติการด้านต่างๆ และเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ฯ ให้มีผลออกมาเป็นรูปธรรมอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ได้มีนโยบายรวมศูนย์การดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ภายใต้กระทรวงพลังงาน เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างมีเอกภาพและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เป็น หน่วยงานกลางในการประสานงานและบริหารจัดการงานด้านประชาสัมพันธ์ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม มีเอกภาพ และเกิดประสิทธิผลสูงสุด นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งโฆษกกระทรวงพลังงาน เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับนโยบาย ด้านพลังงานของกระทรวงไปสู่สาธารณชน รวมทั้งรับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการงานด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงาน
2. แม้กระทรวงพลังงานจะมีการดำเนินงานมา 1 ปีแล้ว ชื่อและภาพลักษณ์ของกระทรวงยังไม่เป็นที่รู้จักของประชาชนและสาธารณชนมากนัก ประกอบกับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านพลังงานที่จะดำเนินการ ต่อไปหลายเรื่องมีความซับซ้อน อาทิ ยุทธศาสตร์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม ยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานทดแทน ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน และยุทธศาสตร์การส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานในภูมิภาค เป็นต้น ดังนั้น การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินไปอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง และมีช่องทางในการสื่อสารที่มากเพียงพอที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายมีความรู้ ความเข้าใจ ด้านนโยบายพลังงานเป็นอย่างดี อันจะส่งผลให้ ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและตระหนักถึงบทบาทและความสำคัญของการดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน
3. การดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์จะดำเนินการในวงเงิน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยจะจัดจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ที่มีความรู้ ความเข้าใจในบทบาท ภารกิจ และนโยบาย พลังงานต่างๆ ของกระทรวงพลังงานเป็นอย่างดี ตลอดจนมีความชำนาญและมีประสบการณ์ในการประชาสัมพันธ์ด้านนโยบายพลังงาน เพื่อให้สามารถสนับสนุนภารกิจของการดำเนินนโยบายต่างๆ ของกระทรวงพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ที่จะดำเนินงานจะต้องมีความหลากหลาย และครอบคลุม สื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งนี้ กิจกรรมที่ดำเนินการควรประกอบด้วย การผลิตสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ การผลิตและเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ การโต้ตอบข่าว การตอบข้อสงสัยของสื่อมวลชน การจัดสัมภาษณ์ ผู้บริหาร จัดให้ผู้บริหารออกรายการในสื่อต่างๆ การจัดสัมมนาและดูงานสำหรับสื่อมวลชน การจัดแถลงข่าว การจัดทำรายการทางวิทยุ การพัฒนาบุคลากรด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงาน และการประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ภายในกระทรวงพลังงานทั้ง 12 ภูมิภาค ฯลฯ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงชื่อระเบียบวาระเป็น "การขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน" ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อให้สถานการณ์พลังงานมีเสถียรภาพ
2. อนุมัติการสนับสนุนค่าใช้จ่าย ในวงเงิน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) เพื่อดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน ทั้งนี้ โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปพิจารณาจัดทำรายละเอียดการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้มีความเหมาะสม ตลอดจนรับผิดชอบดูแลการจัดจ้างให้เป็นไปตามระเบียบราชการ โดยให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณาอนุมัติโครงการ
3. ให้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 เห็นชอบการเร่งรัดพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานกำหนดแนวทางแผนงานและโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาศูนย์กลางพลังงานฯ ครอบคลุมพื้นที่ Sriracha Hub และพื้นที่ Strategic Energy Landbrige ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานการพัฒนายุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (กพภ.) ขึ้น เพื่อประสานการพัฒนาตามแผนยุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาคให้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
2. คณะกรรมการ กพภ. ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2546 และได้กำหนดแนวทางการ ดำเนินงานและประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2547 ซึ่งต่อมาสำนักงานปลัด
กระทรวงพลังงานได้จัดทำรายละเอียดประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการบริหารโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค และเสนอขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในวงเงิน 4,998,370 บาท โดยแบ่งเป็นงบบุคลากร งบดำเนินการ (ค่าตอบแทนใช้สอยวัสดุ) งบลงทุน (ค่าครุภัณฑ์) และงบรายจ่ายอื่นๆ จำนวน 1,279,520 บาท 2,159,250 บาท 407,000 บาท และ 1,152,600 บาท ตามลำดับ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าค่าใช้จ่ายที่เสนอมาจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานในภูมิภาค ได้ในอนาคต นอกจากนั้นยังสามารถเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน ดังนั้นจึงเห็นควรให้ความเห็นชอบในการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงาน (Strategic Energy Landbridge) ในวงเงินดังกล่าวให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานตามที่เสนอมา
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงิน 4,998,370 บาท (สี่ล้านเก้าแสนเก้าหมื่นแปดพันสามร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) ให้คณะกรรมการประสานการพัฒนายุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (กพภ.) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (Strategic Energy Landbridge) ประจำปีงบประมาณ 2547
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2545 รับทราบผลการดำเนินงานและการบริหารงาน เงินนอกงบประมาณของกระทรวงการคลัง ในการโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนต่างๆ จากกระทรวงการคลังให้เจ้าของโครงการที่รับผิดชอบเป็นผู้ดำเนินการ ต่อมากระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้ประสานกับกระทรวงพลังงานเพื่อโอนงานตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ซึ่งกระทรวงพลังงานโดยความเห็นชอบของ ปลัดกระทรวงพลังงาน เห็นควรให้โอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเข้ามาอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงานโดยให้สถาบันบริหารกองทุน พลังงาน (องค์การมหาชน) รับไปดำเนินงานต่อไป
2. กรมบัญชีกลาง และ สนพ. ได้หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางขั้นตอนในการดำเนินงานเพื่อโอนงานการเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยการโอนงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกระทรวงพลังงานจะต้องมีการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2546 เพื่อให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทนปลัดกระทรวงการคลัง และนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งต่อไป หลังจากนั้นต้องประสานกับกรม บัญชีกลางในการแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อให้ปลัดกระทรวงพลังงานมีอำนาจในการออกระเบียบกระทรวงพลังงานแทน ทั้งนี้โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2546 สำหรับการดำเนินงานโอนงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้กับกระทรวงพลังงานจะต้องมีการขอแก้ไขพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งอาจใช้ระยะเวลานานเพราะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย
3. สนพ. ได้ยกร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาก่อนนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีลงนามต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ .. /2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้ยกร่างขึ้น โดยมีสาระสำคัญคือ เพื่อให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทนปลัดกระทรวงการคลัง พร้อมทั้งให้แก้ไขบางข้อความตามข้อสังเกตของที่ประชุม
2. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อทำหน้าที่พิจารณาเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และให้ กบง. ทำหน้าที่พิจารณาเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านพลังงานเพื่อกลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ทั้งนี้ โดยให้รองปลัดกระทรวงพลังงานซึ่งได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
กพช. ครั้งที่ 68 - วันจันทร์ที่ 20 กันยายน 2542
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 2/2542 (ครั้งที่ 68)
วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2542 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุมตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ผลกระทบและแนวทางการแก้ไข
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ผลกระทบและแนวทางการแก้ไข
สรุปสาระสำคัญ
1. ปริมาณการใช้น้ำมันสำเร็จรูปของไทยในปี 2541 แยกเป็น เบนซินมีปริมาณการใช้ 7,173 ล้านลิตร ดีเซลหมุนเร็ว 15,265 ล้านลิตร และน้ำมันเตา 7,941 ล้านลิตร เบนซินมีการใช้ในภาคคมนาคมเป็นส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 97.8 ส่วนใหญ่ใช้ในรถเก๋ง น้ำมันดีเซลประมาณร้อยละ 81.6 ใช้ในการขนส่ง ร้อยละ 10.5 ใช้ในภาคเกษตรซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในสาขาประมงและมักจะซื้อมาจากนอกน่านน้ำไทย เป็นส่วน ใหญ่เนื่องจากไม่มีภาษี ส่วนน้ำมันเตาประมาณร้อยละ 53.6 ใช้ในกิจการไฟฟ้า อีกร้อยละ 43.8 ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งทางเรือ
2. โครงสร้างการจัดเก็บภาษีน้ำมันในขณะนี้ ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยภาษีสรรพสามิตมีการจัดเก็บมากที่สุด คือ เบนซินมีการจัดเก็บในอัตรา 3.685 บาท/ลิตร ดีเซล 2.305 บาท/ลิตร และน้ำมันเตา 0.2378 บาท/ลิตร ในช่วงที่ผ่านมามีการปรับภาษีสรรพสามิต รวม 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2541 มีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเบนซิน 1 บาท/ลิตร และเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2542 มีการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาเหลือร้อยละ 5 ของมูลค่า และปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตเบนซินและดีเซล 0.10 บาท/ลิตร และ 0.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ เพื่อชดเชยรายได้ภาษีที่ลดลงจากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา รายได้ของรัฐจากภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่มของน้ำมันในปีงบประมาณ 2542 มีจำนวน 94,867 ล้านบาท
3. ราคาน้ำมันดิบในขณะนี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากกลุ่มประเทศโอเปคและประเทศ ผู้ส่งออกน้ำมันนอกกลุ่มโอเปค ได้ตกลงร่วมกันในการลดปริมาณการผลิตลงตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 เป็นต้นมา ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดและได้ส่งผลกระทบ ต่อราคาน้ำมันสำเร็จรูป การปรับตัวของราคาน้ำมันเบนซินมีมากกว่าน้ำมันดีเซล เนื่องจากความต้องการใช้เพื่อการขับขี่ในฤดูร้อน แต่นับตั้งแต่ กลางเดือนสิงหาคมราคาน้ำมันเบนซินเริ่มทรงตัว เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกเริ่มชะลอตัวลงในช่วงปลายฤดูร้อน ในขณะเดียวกันประเทศต่างๆ เริ่มสำรองน้ำมันดีเซลและน้ำมันก๊าดสำหรับฤดูหนาวที่จะมาถึง ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันก๊าดปรับสูงขึ้นตามความต้องการของช่วงฤดูกาล ผลการประชุมของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบคาดว่าจะยังคงยืนเพดานการผลิตเดิมออกไป จนกระทั่งเดือนมีนาคมปีหน้า
4. ราคาน้ำมันดิบที่ขึ้นมาอยู่ในระดับ 22-23 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นราคาที่อยู่ในระดับภาวะปกติเมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติทาง เศรษฐกิจในเอเซีย แต่สาเหตุที่ประชาชนมีความรู้สึกว่าราคาเพิ่มขึ้น สูงมากก็เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบมีราคาต่ำกว่าปกติอยู่ในระดับ 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นราคาที่ไม่เคยต่ำเช่นนี้มาตั้งแต่ปี 2529 และเป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบ 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล นี้ เป็นราคาที่คงอยู่ไม่นานเนื่องจากเป็นราคาที่ต่ำเกินไปทำให้ไม่จูงใจให้มี การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ดังนั้น ราคาน้ำมันดิบในขณะนี้จึงถือว่าเป็นราคาที่อยู่ในภาวะปกติ โดยใน ช่วงหน้าหนาวราคาอาจจะสูงขึ้นและช่วงหน้าร้อนอาจจะลดลงบ้าง แต่จะไม่ลดลงไปอยู่ที่ระดับ 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เหมือนปีที่แล้ว
5. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาด โลก แต่การปรับราคาขายปลีกของผู้ค้าน้ำมันทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันสูง และค่าการตลาดของผู้าค้าน้ำมันก็ลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในขณะนี้ ราคาเบนซินพิเศษอยู่ที่ 13.59 บาท/ลิตร ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ราคาดีเซลอยู่ที่ 10.14 บาท/ลิตร ซึ่งยังคงต่ำกว่าราคาสูงสุดปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 11.70 บาท/ลิตร ราคานี้ดูเหมือนว่ามีการปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคิดเป็นเงินบาท แต่เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 25 บาท แล้วราคาจะต่ำลงกว่านี้ 2 บาท ดังนั้น ราคาเบนซินพิเศษ 13.59 บาท/ลิตร เมื่อเทียบอัตราแลกเปลี่ยนที่ 25 บาท ราคาจะลดลงเหลือ 11.59 บาท เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าสถานการณ์ขณะนี้ไม่ได้มีวิกฤติการณ์ทางด้านน้ำมัน เกิดขึ้นในโลก แต่เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนตัวลงจึงทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ในประเทศอื่นๆ ราคาน้ำมันก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน และเมื่อเปรียบเทียบการจัดเก็บภาษี ของไทยกับหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศแถบยุโรปและเอเซียบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ มีการจัดเก็บภาษีประมาณร้อยละ 50-70 ของราคาขายปลีก ซึ่งสูงกว่าของไทยซึ่งมีการจัดเก็บอยู่ ในกลุ่มร้อยละ 30-50 ของราคาขายปลีก
6. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้วิเคราะห์ผลกระทบของการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล เบนซินและน้ำมันเตาต่อเศรษฐกิจมหภาค โดยมีสมมุติฐาน เป็น 2 กรณี คือ กรณีฐาน สมมุติว่าราคาน้ำมัน ในครึ่งหลังปี 2542 เฉลี่ยเท่ากับราคาในช่วงครึ่งแรกของปี 2542 และกรณีที่ราคาน้ำมันในครึ่งหลังของปี 2542 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.5 เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรก โดยราคาเฉลี่ยปี 2542 จะสูงกว่าราคา ในกรณีฐานร้อยละ 11.8 ซึ่งสรุปผลการวิเคราะห์ได้ดังนี้
6.1 การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันทำให้ต้นทุนของผู้ใช้น้ำมันทั้งภาคการผลิตและ บริโภคสูงขึ้น มี ผลให้อุปสงค์รวมที่แท้จริง (Real Demand) ของระบบเศรษฐกิจลดลง และทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจรวมลดลงร้อยละ 0.6 โดยภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวต่ำกว่ากรณีฐานร้อยละ 0.9 ส่วนภาคบริการจะขยายตัวต่ำลงร้อยละ 0.6
6.2 อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นจากกรณีฐาน เพียงร้อยละ 0.2 สาเหตุที่เงินเฟ้อสูงไม่มากเนื่องจาก อุปสงค์รวมที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจลดลง ในขณะที่มีกำลังผลิตส่วนเกิน (Excess Capacity) อยู่ในระบบมาก ดังนั้นผู้ประกอบการไม่สามารถผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งหมดให้ผู้บริโภคได้
6.3 การส่งออกลดลงเล็กน้อยเนื่องจากราคาที่สูงขึ้นกระทบต่อผู้ใช้น้ำมันทั่วโลก มูลค่าการนำเข้าสูงขึ้นประมาณ 9,123 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้มูลค่าการนำเข้าในหมวดน้ำมันสูงขึ้น ดุล การค้าจะลดลง 10,586 ล้านบาท ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลง 9,733 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกรณีฐาน
7. สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้นับว่าอยู่ในภาวะปกติ แนวโน้มราคาน้ำมันเบนซินในช่วงครึ่งหลังของปี 2542 จะคงไม่สูงขึ้นมาก ส่วนราคาน้ำมันดีเซลคาดว่าจะสูงขึ้นตามความต้องการที่สูงขึ้นในฤดูหนาว แนวทางการแก้ไขจึงควรพิจารณาลดต้นทุนการใช้พลังงานของกิจกรรมต่างๆ และการประหยัดพลังงานก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนการลดภาษีสรรพสามิตนั้น จะมีผลกระทบต่อรายได้ของรัฐ จึงควรพิจารณาเป็นทางเลือกสุดท้าย โดยฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้มีการแก้ไขปัญหา ดังนี้
7.1 ให้เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน โดยเร่งรัดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานซึ่งได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ให้มีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น ดังนี้
(1) เร่งดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ
(2) ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรงงาน ควบคุมและอาคารควบคุม ซึ่งเป็นโรงงานและอาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก
(3) ส่งเสริมให้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพในการใช้ พลังงานสูง ตลอดจนส่งเสริมระบบตลาดให้สามารถเข้ามารองรับการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์ พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(4) เร่งรัดให้มีการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ไฟฟ้า และกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ รวมทั้ง การติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงาน และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์ทดสอบประสิทธิภาพพลังงานที่มีมาตรฐาน
(5) ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในการขนส่ง ได้แก่ การส่งเสริมการเดินทางโดยใช้พาหนะร่วม (Car Pool) เพื่อลดการใช้รถยนต์ ลดการเดินทางด้วยการสื่อสารลักษณะอื่นแทน เช่น โทรศัพท์ โทรสาร หรือการใช้บริการส่งเอกสารและวัสดุแทนการส่งด้วยตนเอง การรณรงค์ให้มีการบำรุงรักษาเครื่องยนต์และการใช้รถยนต์ให้ถูกวิธี ในระยะปานกลางและระยะยาวควรเร่งปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ รถเมล์ และเร่งก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนให้เสร็จทันเวลา ปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีให้ประชาชน หันมาใช้รถสาธารณะมากขึ้น ลดการใช้รถส่วนตัว รวมทั้ง ปรับปรุงระบบผังเมืองให้มีผลต่อการลดความต้องการในการ เดินทาง เช่น บ้าน โรงเรียน และที่ทำงานอยู่ใกล้กัน เป็นต้น
(6) ส่งเสริมและรณรงค์ให้เกิดการตื่นตัวต่อการประหยัดพลังงานในระดับชาติ โดยดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนทุกระดับทั่วประเทศเกิด กระแสความร่วมมือในการอนุรักษ์พลังงานและสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ พลังงานให้กับกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง
7.2 ให้มีการเลือกใช้พลังงาน ดังนี้
(1) ส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกประเภท โดยเพิ่มการใช้เบนซินธรรมดาทดแทนเบนซินพิเศษ
(2) ลดการใช้น้ำมันเตาและดีเซลในการผลิตไฟฟ้า โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการดังนี้
(2.1) ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มมากขึ้นในโรงไฟฟ้าบางปะกง และพระนครใต้
(2.2) เร่งรัดการติดตั้งหน่วยกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ของโรงไฟฟ้า แม่เมาะ เครื่องที่ 4-7 ให้แล้วเสร็จ และสามารถใช้งานได้ในเดือนมกราคม 2543
(2.3) ให้จัดหาถ่านลิกไนต์คุณภาพสูง ( กำมะถันต่ำ ) จากภาคเอกชนมาใช้ในโรงไฟฟ้าแม่เมาะอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ ในการผลิตไฟฟ้า
(2.4) ให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป.ลาว เพิ่มขึ้น ได้แก่ โครงการน้ำเทิน-หินบุน ห้วยเฮาะ น้ำงึม และเซเสด
(2.5) ให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) และรายเล็ก (SPP) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน หรือพลังงานนอกรูปแบบเป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
(3) ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล และการแปรรูปจากมูลฝอยโดยเฉพาะเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้การสนับสนุนการดำเนินการดัง กล่าว เพื่อช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
(4) ในระยะยาวให้มีการกระจายแหล่งและชนิดของเชื้อเพลิง เพื่อความมั่นคงในการจัดหา เชื้อเพลิงของประเทศ การพึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไปจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการ จัดหาเชื้อเพลิงให้แก่ประเทศ และเนื่องจากถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่มีแหล่งสำรองอยู่มาก และกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้ง ราคาค่อนข้างมีเสถียรภาพ ถ่านหินจึงน่าจะเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของประเทศในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าลงได้
7.3 กำหนดแนวทางในการตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภคน้อยที่สุด โดย
(1) ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว จนถึงเดือนมีนาคม 2543
(2) ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่า
(3) ปรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้าลดลงจากระดับ ปัจจุบัน (ซึ่งเท่ากับราคาปิโตรมิน +0$) หากราคาก๊าซฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจุบันอีกจนถึงระดับที่กองทุนฯ ไม่สามารถรับการชดเชยต่อไปได้
(4) หลังจากดำเนินการตามข้อ (1)-(3) แล้ว หากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่สามารถรับภาระการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียม เหลวได้ ให้ดำเนินการปรับเพิ่มราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
7.4 เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ควรให้ กฟผ. มีทางเลือกในการใช้น้ำมันเตาในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โดยให้ กฟผ. สามารถใช้น้ำมันเตากำมะถันไม่เกิน 1.0% และค่าแอสฟัลทีนระดับปกติมาใช้ในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือได้
7.5 เร่งรัดการแก้ไขการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะที่มีการนำเข้าจากประเทศมาเลเซีย ดังนี้
(1) เร่งรัดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมศุลกากร เพิ่มการลาดตระเวนตรวจสอบ เรือขนส่งน้ำมันจากประเทศมาเลเซีย รวมทั้ง เรือประมงที่ดัดแปลงเป็นเรือขนน้ำมัน ซึ่งเดินทางเข้ามาประเทศไทยทั้งด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน รวมทั้ง การลักลอบขนน้ำมันเถื่อนทางบกในบริเวณแนวชายแดนไทย - มาเลเซีย
(2) เพิ่มการปฏิบัติการตรวจสอบปราบปรามทางทะเลในทุกท้องที่ให้มากขึ้น เพราะเรือน้ำมันเถื่อนในทะเลที่เคยซื้อน้ำมันจากสิงคโปร์อาจเปลี่ยนไปซื้อ จากมาเลเซีย ทำให้ไม่ต้องขึ้นราคาจำหน่ายหรือขึ้นราคาจำหน่ายน้อยกว่าน้ำมันที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้มีผู้ลักลอบขนขึ้นฝั่งมากขึ้นเพราะได้กำไรสูงขึ้น และพื้นที่ลักลอบที่เพิ่มสูงอาจเกิดขึ้นได้ในทุกที่ตลอดแนวชายฝั่งทั้งด้าน อ่าวไทยและทะเลอันดามัน
7.6 หากจะต้องมีการลดภาษีสรรพสามิตตามปริมาณให้ปรับลดอัตราภาษีน้ำมันเบนซินลง โดยลดอัตราภาษีน้ำมันเบนซินออกเทนระหว่าง 95.0-96.0 ลง 20 สตางค์/ลิตร และเบนซินออกเทน 91 และ 87 ลง 50 สตางค์/ลิตร เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกประเภท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบกับแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้นตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ ดังนี้
1.ให้เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน โดยเร่งรัดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานซึ่งได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ให้มีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น ดังนี้
1.1 เร่งดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ
1.2 ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรงงาน ควบคุมและอาคารควบคุม ซึ่งเป็นโรงงานและอาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก
1.3 ส่งเสริมให้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพในการใช้ พลังงานสูง ตลอดจนส่งเสริมระบบตลาดให้สามารถเข้ามารองรับการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์ พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.4 เร่งรัดให้มีการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่ใช้ไฟฟ้า และกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ รวมทั้ง การติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงาน และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์ทดสอบประสิทธิภาพพลังงานที่มีมาตรฐาน
1.5 ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในการขนส่ง ได้แก่ การส่งเสริมการเดินทางโดยใช้พาหนะร่วม (Car Pool) เพื่อลดการใช้รถยนต์ ลดการเดินทางด้วยการสื่อสารลักษณะอื่นแทน เช่น โทรศัพท์ โทรสาร หรือการใช้บริการส่งเอกสารและวัสดุแทนการส่งด้วยตนเอง การรณรงค์ให้มีการบำรุงรักษาเครื่องยนต์และการใช้รถยนต์ให้ถูกวิธี ในระยะปานกลางและระยะยาวควรเร่งปรับปรุงคุณภาพการให้บริการรถเมล์ และเร่งก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนให้เสร็จทันเวลา ปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีให้ประชาชน หันมาใช้รถสาธารณะมากขึ้น ลดการใช้รถส่วนตัว รวมทั้ง ปรับปรุงระบบผังเมืองให้มีผลต่อการลดความต้องการในการเดินทาง เช่น บ้าน โรงเรียน และที่ทำงานอยู่ใกล้กัน เป็นต้น
1.6 ส่งเสริมและรณรงค์ให้เกิดการตื่นตัวต่อการประหยัดพลังงานในระดับชาติ โดยดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนทุกระดับทั่วประเทศเกิด กระแสความร่วมมือในการอนุรักษ์พลังงานและสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ พลังงานให้กับกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง
2.ให้มีการเลือกใช้พลังงาน ดังนี้
2.1 ส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกประเภท โดยเพิ่มการใช้เบนซินธรรมดาทดแทนเบนซินพิเศษ
2.2 ลดการใช้น้ำมันเตาและดีเซลในการผลิตไฟฟ้า โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการดังนี้
(1) ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มมากขึ้นในโรงไฟฟ้าบางปะกง และพระนครใต้
(2) เร่งรัดการติดตั้งหน่วยกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ 4-7 ให้แล้วเสร็จ และสามารถใช้งานได้ในเดือนมกราคม 2543
(3) ให้จัดหาถ่านลิกไนต์คุณภาพสูง (กำมะถันต่ำ) จากภาคเอกชนมาใช้ในโรงไฟฟ้า แม่เมาะอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ ในการผลิตไฟฟ้า
(4) ให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป.ลาว เพิ่มขึ้น ได้แก่ โครงการ น้ำเทิน-หินบุน ห้วยเฮาะ น้ำงึม และเซเสด
(5) ให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) และรายเล็ก (SPP) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน หรือพลังงานนอกรูปแบบเป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
2.3 ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล และการแปรรูปจากมูลฝอยโดยเฉพาะเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้กองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงานให้การสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว เพื่อช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
2.4 ในระยะยาวให้มีการกระจายแหล่งและชนิดของเชื้อเพลิง เพื่อความมั่นคงในการจัดหาเชื้อเพลิงของประเทศ การพึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไปจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการ จัดหาเชื้อเพลิงให้แก่ประเทศ และเนื่องจากถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่มีแหล่งสำรองอยู่มาก และกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้ง ราคาค่อนข้างมีเสถียรภาพ ถ่านหินจึงน่าจะเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของประเทศในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าลงได้
3.กำหนดแนวทางในการตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภคน้อยที่สุด โดย
3.1 ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
3.2 ปรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้าลดลงจากระดับปัจจุบัน (ซึ่ง เท่ากับรา คาปิโตรมิน +0$) หากราคาก๊าซฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจุบันอีกจนถึงระดับที่กองทุนฯ ไม่สามารถรับการชดเชยต่อไปได้
3.3 หลังจากดำเนินการตามข้อ 3.1-3.2 แล้ว หากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่สามารถรับภาระ การชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้ ให้ดำเนินการปรับเพิ่มราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4.เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า จึงให้ กฟผ. มีทางเลือกในการใช้น้ำมันเตาในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โดยให้ กฟผ. สามารถใช้น้ำมันเตากำมะถันไม่เกิน 1.0% และค่าแอสฟัลทีนระดับปกติมาใช้ในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือได้ ทั้งนี้โดยความเห็นชอบของกรมควบคุมมลพิษ
5.เร่งรัดการแก้ไขการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะที่มีการนำเข้าจากประเทศมาเลเซีย ดังนี้
5.1 เร่งรัดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมศุลกากร เพิ่มการลาดตระเวนตรวจสอบเรือ ขนส่งน้ำมันจากประเทศมาเลเซีย รวมทั้ง เรือประมงที่ดัดแปลงเป็นเรือขนน้ำมัน ซึ่งเดินทางเข้ามาประเทศไทย ทั้งด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน รวมทั้ง การลักลอบขนน้ำมันเถื่อนทางบกในบริเวณแนวชายแดนไทย - มาเลเซีย
5.2 เพิ่มการปฏิบัติการตรวจสอบปราบปรามทางทะเลในทุกท้องที่ให้มากขึ้น เพราะเรือน้ำมันเถื่อนในทะเลที่เคยซื้อน้ำมันจากสิงคโปร์อาจเปลี่ยนไปซื้อ จากมาเลเซีย ทำให้ไม่ต้องขึ้นราคาจำหน่ายหรือขึ้นราคาจำหน่ายน้อยกว่าน้ำมันที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้มีผู้ลักลอบขนขึ้นฝั่งมากขึ้นเพราะได้กำไรสูงขึ้น และพื้นที่ลักลอบที่เพิ่มสูงอาจเกิดขึ้นได้ในทุกที่ตลอดแนวชายฝั่งทั้งด้าน อ่าวไทยและทะเลอันดามัน
ครั้งที่ 1 - วันพุธ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2546
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2546 (ครั้งที่ 1)
วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ชั้น 6
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2. การยกเลิกคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
3. โครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี"
4. ผลการตรวจสอบบัญชีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
5. การยกเลิกคณะอนุกรรมการที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานขึ้นแทนคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน การประชุมครั้งนี้จึงเป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในช่วงเดือนมกราคม 2546 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.1 - 2.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากเหตุการณ์ประท้วงในเวเนซูเอล่าที่ยังคงยืดเยื้อ ทำให้ปริมาณน้ำมันดิบหายไปจากตลาดโลกประมาณ 2.5 ล้านบาร์เรล/วัน ส่วนอุปทานในตลาดโลกได้ตึงตัว เนื่องจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ยังคงตึงเครียด โดยสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้ส่งกำลังทหารเพิ่มเติมเข้าไปในอ่าวเปอร์เซีย แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มโอเปคได้มีมติเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2546 ได้ปรับโควต้าการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 24 ล้านบาร์เรล/วัน ราคาน้ำมันดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 10 มกราคม 2546 อยู่ในระดับ 27.13 และ 30.00 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในช่วงเดือนมกราคม 2546 ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และการนำ Arbitrage Cargoes จากภูมิภาคเอเซียส่งออกไปจำหน่ายยังสหรัฐอเมริกา รวมทั้งโรงกลั่นน้ำมัน ของไต้หวันปิดซ่อมบำรุง ในขณะเดียวกันความต้องการในภูมิภาคได้เพิ่มสูงขึ้น ราคาเฉลี่ยของน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 และดีเซลหมุนเร็วได้เพิ่มขึ้น 2.5 และ 1.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 10 มกราคม 2546 อยู่ในระดับ 32.45 และ 32.43 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในช่วงเดือนมกราคม 2546 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วราคาไม่เปลี่ยนแปลง โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 13 มกราคม 2546 อยู่ในระดับ 16.79, 15.79 และ 14.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการกลั่นและค่าการตลาด ในเดือนมกราคม 2546 อยู่ที่ระดับ 1.32 บาท/ลิตร และ 0.84 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในไตรมาสที่ 1 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 26 - 32 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรักและการประท้วงในเวเนซูเอล่ายังไม่ยุติ แต่ปัญหาในส่วนนี้อาจจะบรรเทาลงเนื่องจากปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5 - 2.0 ล้านบาร์เรล/วัน สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ ในระดับ 28 - 35 และ 27 - 35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ และราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วในประเทศจะอยู่ที่ระดับ 15 - 17 , 14 - 16 และ 13 - 15 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลก เดือนมกราคม 2546 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 12.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ในระดับ 339.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 13.97 บาท/กิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 5.77 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 975 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายในการชำระหนี้ 400 ล้านบาท/เดือน รวมกองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 1,375 ล้านบาท/เดือน โดย กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 878 ล้านบาท/เดือน จึงมีเงินไหลออกจากกองทุนฯ สุทธิ 497 ล้านบาท/เดือน ยอดเงินคงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 9 มกราคม 2546 อยู่ในระดับ 6,754 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2545 รวม 10,953 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การยกเลิกคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ขึ้น ซึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สั่งและปฏิบัติราชการในสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติแทนนายกรัฐมนตรี) เป็นประธานกรรมการ และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานเป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่เสนอแนะนโยบายการบริหารและพัฒนา และมาตรการทางด้านพลังงาน รวมทั้ง เสนอความเห็นต่อ กพช. ต่อมาเมื่อมีการปรับโครงสร้างและปฏิรูประบบราชการของประเทศและได้มีการจัดตั้งกระทรวงพลังงานขึ้น ส่งผลให้มีการปรับปรุงองค์ประกอบของ กพง. ให้มีความเหมาะสม
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุม ครั้งที่ 5/2545 (ครั้งที่ 92) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้ง "คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน" ขึ้น เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน โดยให้มีองค์ประกอบของคณะกรรมการ จำนวน 11 คน และต่อมา กพช. ได้ออกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 4/2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน โดยให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 4/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2543 และให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานขึ้น ประกอบด้วย ประธานกรรมการและหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เป็นกรรมการและเลขานุการ พร้อมทั้งผู้แทน สนพ. เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ทั้งนี้มีหน้าที่เสนอแนะนโยบาย แผนการบริหารและพัฒนา และมาตรการทางด้านพลังงาน และกำหนดราคาและอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามกรอบและแนวทางที่ กพช. มอบหมาย รวมทั้ง เสนอแนะนโยบายและมาตรการทางด้านราคาพลังงาน และกำกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ทำหน้าที่พิจารณาและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ เกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และมาตรการอื่นๆ ที่จะออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยปฏิบัติงานในหน้าที่ตามความจำเป็น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี"
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ในการประชุม ครั้งที่ 4/2544 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการแลกเปลี่ยนถังขาวเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เลิกใช้ถังขาว และให้จ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อช่วยเหลือผู้ค้าก๊าซฯ ในการแลกเปลี่ยนถังขาวในวงเงิน 600 ล้านบาท และได้ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด เพื่อทำหน้าที่กำหนดวิธีการ มาตรการ และเงื่อนไขการผ่อนผันการบรรจุก๊าซฯ ลงถังขาว รวมถึงทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนถังขาว และในการตรวจนับถังขาวเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในการจ่ายเงินช่วยเหลือจากกองทุนน้ำมันได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ส่วนจังหวัดขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนถังขาว และตรวจนับถังใหม่และถังขาวที่นำมาแลกเปลี่ยนในโครงการแลกเปลี่ยนถังขาวในแต่ละจังหวัด
2. การจ่ายเงินช่วยเหลือฯ ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ทำหน้าที่ตรวจสอบหลักฐาน และรองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการกำกับฯ รับรองผลการตรวจสอบ เพื่อเสนอต่อเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อสั่งจ่ายเงินช่วยเหลือส่งไปยังกรมบัญชีกลางต่อไป การเบิกจ่ายเงินดังกล่าวมีการยืนยันความถูกต้อง โดยมีการตรวจนับจำนวนถังขาวที่ทำลายแล้ว ณ ศูนย์ทำลายของผู้ค้าก๊าซฯ แต่ละราย หากพบว่าจำนวนถังขาวที่ทำลายแล้วต่ำกว่าจำนวนถังขาวที่ได้รับเงินช่วยเหลือ คณะอนุกรรมการกำกับฯ จะเรียกเงินคืนในส่วนถังขาวที่หายไป
3. ผลการดำเนินการแลกเปลี่ยนถังขาวภายใต้โครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ใน 10 พื้นที่ ได้ดำเนินการสิ้นสุดไปแล้ว โดยมีจำนวนถังขาวที่แลกเปลี่ยนได้ในเบื้องต้น ณ 30 พฤศจิกายน 2545 จำนวน 1,065,738 ใบ จำนวนถังขาวที่แลกเปลี่ยนได้แยกตามรายพื้นที่ ดังนี้ กทม. และปริมณฑล 204,204 ถัง ภาคกลาง 130,671 ถัง ภาคตะวันออก 64,932 ถัง ภาคตะวันตก 87,005 ถัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 70,298 ถัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 59,597 ถัง ภาคเหนือตอนล่าง 65,160 ถัง ภาคเหนือตอนบน 35,851 ถัง ภาคใต้ตอนบน 66,957 ถัง ภาคใต้ตอนล่าง 99,064 ถัง และส่วนขยายเวลา กทม. และปริมณฑล 40,701 ถัง ภาคกลางและภาคตะวันออก 120,592 ถัง พื้นที่พิเศษ 20,706 ถัง และจำนวนถังขาวที่แลกเปลี่ยนได้และที่ทำลายแล้ว ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2545 มีถังขาวที่ถูกทำลายแล้ว 87,858 ถัง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 82 จากจำนวนถังขาวที่แลกได้ 1,065,738 ถัง
4. การเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 ได้เบิกจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ค้าก๊าซฯ ตามหลักฐานการตรวจนับถังของคณะอนุกรรมการส่วนจังหวัดฯ ไปแล้ว ณ วันที่ 6 มกราคม 2546 เป็นจำนวนเงิน 228,094,645 บาท แยกตามรายผู้ค้าก๊าซฯ พบว่า บริษัท สยามแก๊สฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 43,606,180 บาท บริษัท ปตท.ฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 106,932,000 บาท บริษัท เวิลด์แก๊สฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 14,835,160 บาท บริษัท ยูเนี่ยนแก๊สฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 40,236,405 บาท บริษัท ยูนิคแก๊สฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 19,235,900 บาท และบริษัท แสงทองฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 3,249,000 บาท
5. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รายงานผลการจับกุมการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ตั้งแต่เริ่มโครงการ " รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ในช่วงเดือนมกราคม - ตุลาคม 2545 ปรากฏว่าได้มีการจับกุมผู้กระทำความผิด จำนวน 220 ราย เป็นข้อหาการลักลอบบรรจุก๊าซฯ ลงถังก๊าซหุงต้มในสถานีบริการก๊าซฯ 65 ราย บรรจุข้ามยี่ห้อ 50 ราย บรรจุก๊าซฯ ลงในถังที่ไม่ได้มาตรฐาน มอก. (ถังเถื่อน) 37 ราย เก็บก๊าซฯ ไว้จำหน่ายเกินกว่าปริมาณที่กฎหมายกำหนด 20 ราย จำหน่ายหรือบรรจุก๊าซฯ โดยไม่ติดผนึกลิ้น (ซีล) หรือใช้ผนึกลิ้นของผู้อื่น 13 ราย บรรจุก๊าซหุงต้มลงในถังขาว 5 ราย และข้อหาอื่นๆ 30 ราย
6. เนื่องจากยังมีถังขาวที่ตกค้างในพื้นที่ที่ได้สิ้นสุดการดำเนินการแลกเปลี่ยนไปแล้ว คณะอนุกรรมการกำกับฯ จึงได้กำหนดศูนย์แลกถังขาวตกค้างในพื้นที่พิเศษ (กรุงเทพฯ และปริมณฑล) ขึ้นเพื่อขยายเวลารับแลกถังขาวตกค้างทั่วประเทศ จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2546 โดยมีศูนย์การแลกถังขาวของผู้ค้าก๊าซฯ ประกอบด้วย บริษัท ปตท.ฯ ณ คลังน้ำมัน ปตท. ลำลูกกา อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี บริษัท สยามแก๊สฯ ณ บริษัท อุตสาหกรรมแก๊สสยาม บางนา กรุงเทพฯ บริษัท เวิลด์แก๊สฯ ณ บริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) รังสิต กรุงเทพฯ บริษัท ยูนิคแก๊สฯ ณ บริษัท ยูนิคแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมิคัลส์ สาขานนทบุรี บริษัท ยูเนียนแก๊สฯ ณ โรงบรรจุพลังพัฒนา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม และบริษัท แสงทอง ณ บริษัท แสงทองอุตสาหกรรมถังแก๊ส จำกัด อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร
7. ความสำเร็จจากการดำเนินการโครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ทั่วประเทศใน 10 พื้นที่รวมพื้นที่ส่วนขยาย ปรากฏว่าแลกถังขาวไปแล้วเป็นจำนวน 1,065,738 ใบ จากผลการแลกถังขาวดังกล่าว จะสามารถช่วยประชาชนให้เลิกใช้ถังขาวได้ประมาณ 1 ล้านครัวเรือน และเมื่อสิ้นสุดการรับแลกเปลี่ยนถังขาวในพื้นที่พิเศษ หรือโครงการนี้ดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถช่วยเหลือประชาชนให้เลิกใช้ถังขาวกว่า 1.2 ล้านครัวเรือน ก่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากการใช้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือนของประชาชน ซึ่งความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุการใช้ก๊าซฯหากสามารถป้องกันไว้ล่วงหน้าจะช่วยลดความสูญเสียที่ไม่สามารถประมาณค่าได้ทั้งของผู้ที่เกี่ยวข้องและประเทศชาติ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ผลการตรวจสอบบัญชีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ได้มีมติให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อมาคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ได้มีมติให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันไปใช้จ่าย ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม แต่เนื่องจากในปี 2545 หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ยังคงมีภาระผูกพันค้างจ่ายในปี 2546 ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี โดยให้มีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของหนี้ผูกพันที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2545 สามารถเบิกจ่ายหนี้ผูกพันเหลื่อมปีงบประมาณ 2546 ได้
2. จากการตรวจสอบบัญชีของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เกี่ยวกับส่วนราชการที่ได้รับเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2544 ได้ข้อสังเกตประกอบการตรวจบัญชีพบว่า เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณแล้ว มีหน่วยงานที่ไม่ส่งเงินเหลือจ่ายพร้อมทั้งดอกผลคืนกองทุนน้ำมันฯ ภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นสุดการดำเนินงานตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งประกอบด้วย
(1) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง) ได้ส่งเงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (งบปกติ) จำนวน 22,488,953.80 บาท พร้อมดอกผลจำนวน 278,862.59 บาท คืนกองทุนฯ หลังกลางเดือนพฤศจิกายน 2544 โดยครบถ้วนเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2545
(2) กรมศุลกากร ได้ส่งเงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (งบปกติ) จำนวน 452,476.24 บาท พร้อมดอกผล 7,175.44 บาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 28,056.75 บาท พร้อมดอกผลจำนวน 1,016.39 บาท คืนกองทุนฯ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2544
(3) กรมธุรกิจพลังงาน (กรมทะเบียนการค้าเดิมและกรมโยธาธิการเดิม) ซึ่งกรมทะเบียนการค้าเดิมได้ส่งเงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (งบปกติ) จำนวน 732,830.82 บาท พร้อมดอกผล 4,967.10 บาท คืนกองทุน เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2544 และในส่วนของกรมโยธาธิการเดิมได้ส่งเงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบโรงบรรจุก๊าซหุงต้ม จำนวน 1,322,395.20 บาท พร้อมดอกผลจำนวน 807.84 บาท คืนกองทุนฯ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544
3. ในปีงบประมาณ 2543 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจพบว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมธุรกิจพลังงาน หรือกรมทะเบียนการค้า (เดิม) ได้ส่งเงินคืนล่าช้ากว่ากำหนด และสำนักงานตำรวจ แห่งชาติได้ชี้แจงในการประชุมคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ครั้งที่ 1/2545 (ครั้งที่ 38) ได้มีการส่งเงินคืนตามกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ แต่เกิดความล่าช้าในขั้นตอนของการอนุมัติ ซึ่ง กพง. ได้กำชับให้ทั้งสองหน่วยงานปฏิบัติตามมติอย่างเคร่งครัด
4. สำหรับปีงบประมาณ 2545 การส่งเงินเหลือจ่ายคืนให้กับกองทุนน้ำมันฯ ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว แต่มีส่วนของหนี้ผูกพันที่เกิดขึ้นในปี 2545 ที่หน่วยงานสามารถเบิกจ่ายหนี้ผูกพันเหลื่อมปีงบประมาณ 2546 ได้ ซึ่งในส่วนการคืนเงินเหลือจ่ายงบผูกพันในปี 2546 สนพ. จะได้ดำเนินการประสานงานให้หน่วยงานที่ส่งเงินคืน ล่าช้า ให้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัดในการคืนเงินเหลือจ่ายงบผูกพัน ปี 2546
5. เพื่อให้เกิดความชัดเจนของการคืนเงินกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นสมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมธุรกิจพลังงาน (ในส่วนของกรมโยธาธิการและกรมทะเบียนการค้า) และกรมศุลกากรได้ชี้แจงให้ กบง. ทราบเหตุผลการคืนเงินกองทุนน้ำมันฯ ล่าช้า
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 การยกเลิกคณะอนุกรรมการที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 ของพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ จำนวน 21 คณะ ประกอบด้วย ด้านปิโตรเลียม, ไฟฟ้า, และอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 11, 9, และ1 คณะ ตามลำดับ เพื่อให้การดำเนินงานนโยบายด้านปิโตรเลียม ไฟฟ้า และอนุรักษ์พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
2. เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2545 ได้มีมติอนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่แทน กพง. และต่อมา ได้มีคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ 4/2545 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2545 ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสอดคล้องและเหมาะสมกับอำนาจและหน้าที่ของ กบง. และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจึงขอเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณายกเลิกคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นโดย กพง. ที่หมดความจำเป็นออกไปรวม 16 คณะ ดังนี้
(1) คณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด (คำสั่ง กพง. ที่ 3/2543)
(2) คณะอนุกรรมการปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ของรัฐเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2540)
(3) คณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซิน (คำสั่ง กพง. ที่ 4/2539)
(4) คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (พิเศษ) (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2539)
(5) คณะอนุกรรมการพิจารณาความปลอดภัยเกี่ยวกับธุรกิจปิโตรเลียมเหลว (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2539)
(6) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการปรับปรุงโครงสร้างของ ปตท. และการส่งเสริมการค้าเสรีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม (คำสั่ง กพง. ที่ 4/2538)
(7) คณะอนุกรรมการร่างกฎหมายปฏิบัติงานศุลกากรในเขตต่อเนื่อง (คำสั่ง กพง. ที่ 3/2538)
(8) คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์และส่งเสริมการตั้งสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2536)
(9) คณะอนุกรรมการประเมินผลกระทบน้ำมันลอยตัว (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2536)
(10) คณะทำงานศึกษาการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2544)
(11) คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2544)
(12) คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2541)
(13) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2540)
(14) คณะอนุกรรมการเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากประเทศมาเลเซีย (คำสั่ง กพง. ที่ 5/2538)
(15) คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าเอกชน (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2538)
(16) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานหมุนเวียน (คำสั่ง กพง. ที่ 7/2539)
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ยกเลิกคณะอนุกรรมการฯ ที่แต่งตั้งขึ้นโดย กพง. ที่หมดความจำเป็นออกไปทั้ง16 คณะ โดยจะคงมีคณะอนุกรรมการฯ ภายใต้การกำกับ ดูแลของ กบง. อีก 5 คณะ ได้แก่
(1) คณะอนุกรรมการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและคำสั่งนายกรัฐมนตรี (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2543)
(2) คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (คำสั่ง กพง. ที่ 4/2545)
(3) คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า (คำสั่ง กพง. ที่ 4/2544)
(4) คณะอนุกรรมการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2542)
(5) คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า (คำสั่ง ที่ กพง. 3/2544)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน รวม 16 คณะ ตามข้อ 2 และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการที่เหลืออยู่ 5 คณะ ตามข้อ 3 ให้เหมาะสมตามสภาพการณ์ปัจจุบัน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. จากคำสั่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ที่ 3/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาดลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2543 เพื่อทำหน้าที่กำหนดวิธีการ มาตรการ และเงื่อนไขในการผ่อนผันการบรรจุก๊าซฯ ลงถังขาว รวมทั้งเร่งรัดการผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนถังขาวจากตลาด ตลอดจนทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนถังขาว
2. ในปัจจุบันหน้าที่รับผิดชอบของคณะอนุกรรมการกำกับฯ ประกอบด้วย การกำกับดูแลโครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ซึ่งได้ดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2545 โดยขณะนี้ โครงการฯ ดังกล่าวได้เสร็จสิ้นแล้ว แต่เนื่องจากยังมีถังขาวตกค้างในมือประชาชน ในพื้นที่ที่ได้สิ้นสุดการแลกเปลี่ยนไปแล้ว คณะอนุกรรมการฯ จึงได้กำหนดศูนย์แลกถังขาวตกค้างในพื้นที่พิเศษ (กทม. ปริมณฑล) เพื่อขยายเวลารับ แลกถังขาวตกค้างทั่วประเทศ จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2546 นอกจากนี้ ทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและเสนอจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ค้าก๊าซฯ จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในการแลกเปลี่ยนถังขาวในวงเงิน 600 ล้านบาท โดยขณะนี้การดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และยังคงค้างการจ่ายเงินของพื้นที่ 9 และ 10 และพื้นที่พิเศษที่ขยายเวลารับแลกถังขาวตกค้างทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าการดำเนินการเบิกจ่ายเงินในการแลกเปลี่ยนถังขาวจะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน 2546
3. พระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ทำให้การปฏิบัติงานตามโครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ ผู้ค้าก๊าซได้ เนื่องจากได้มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของประธานคณะอนุกรรมการฯ และอนุกรรมการฯ บางส่วน มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยงาน ทำให้องค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ เปลี่ยนไป และเพื่อให้คณะอนุกรรมการฯ สามารถปฏิบัติงานต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับฯ ขึ้นใหม่ ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้ดำเนินการยกร่างคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ที่ .../2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน สำนักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยมีอำนาจหน้าที่คงเดิม และให้บรรดาคำสั่ง มติ ประกาศ และการปฏิบัติงานทั้งหลายของคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด (เดิม) ที่มีผลใช้บังคับอยู่ในวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป จนกว่าจะได้มีคำสั่ง มติ หรือประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามคำสั่งนี้ออกใช้บังคับแทน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด ตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินการของหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้เสนอให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน อนุมัติจัดสรรงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสนับสนุนการปฏิบัติงานแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการจัดสรรงบประมาณในช่วงปี 2539 - 2545 ได้มีการสนับสนุนเงินแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองทัพเรือ กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสรรพสามิต กรมธุรกิจพลังงาน (กรมทะเบียนการค้า) และ สนพ. รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 2,279.3 ล้านบาท
2. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบในการแก้ปัญหาภาระหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลงานด้านการป้องกันและปราบปรามการกระความทำผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม และรับไปดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป และกรมสรรพสามิตได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลังให้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2546 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม และสำนักงบประมาณได้จัดสรรยอดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2546 เพื่อการดังกล่าวให้กับ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 300,000,000 บาท
3. กรมธุรกิจพลังงานได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมประจำปี 2546 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 15,450,000 บาท (สิบห้าล้านสี่แสนห้าหมื่นบาทถ้วน) ซึ่งได้เสนอขอรับการสนับสนุนเงินค่าจ้างเหมาลูกจ้างปฏิบัติงานเพื่อปฏิบัติงานในโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ปีงบประมาณ 2546 เป็นเงิน 560,880 บาท (ห้าแสนหกหมื่นแปดร้อยแปดสิบบาทถ้วน) รวม 2 โครงการ ได้แก่
1) โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติงานค่าจ้างเหมาเจ้าหน้าที่และพนักงาน จำนวน 5 อัตรา เวลา 1 ปี เป็นจำนวนเงิน 339,360 บาท ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานทะเบียนการค้า จำนวน 1 อัตรา และเจ้าพนักงานทะเบียนการค้า จำนวน 3 อัตรา รวมทั้งพนักงานขับรถ จำนวน 1 อัตรา
2) โครงการจัดเก็บ วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อสนับสนนุการปราบปรามลักลอบนำเข้าส่งออก และการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าจ้างเหมาเจ้าหน้าที่และพนักงาน จำนวน 3 อัตรา เวลา 1 ปี เป็นจำนวนเงิน 221,520 บาท ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานทะเบียนการค้า จำนวน 2 อัตรา และเจ้าพนักงานทะเบียนการค้า จำนวน 1 อัตรา
4. ต่อมากรมสรรพสามิต ได้ประสานให้กรมธุรกิจพลังงานปรับค่าจ้างเหมาเป็นค่าจ้างชั่วคราว และจ้างได้เพียง 10 เดือน (ธันวาคม 2545 - กันยายน 2546) เป็นเงิน 450,800 บาท และสำนักงบประมาณได้อนุมัติเงินประจำงวดที่ 1 ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างลูกจ้างชั่วคราว ประมาณร้อยละ 50 เป็นเงิน 227,400 บาท เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2545 แต่เนื่องจากกรมธุรกิจพลังงานได้มีการจ้างลูกจ้างปฏิบัติงานแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2545 เป็นต้นมา และภารกิจที่ปฏิบัติเป็นงานต่อเนื่องจากปีงบประมาณ 2545 แต่ไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนในช่วงเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน 2545 จึงขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าจ้างลูกจ้างปฏิบัติงานในโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม รวม 2 เดือน (ตุลาคม - พฤศจิกายน 2545) รวมเป็นเงิน 90,160 บาท
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีความเห็นว่า การขอเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อการดังกล่าวข้างต้น ของกรมธุรกิจพลังงานอาจจะขัดกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ซึ่งได้มีมติให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 ทั้งนี้ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณในการจัดสรรงบประมาณตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไป และหากมีความจำเป็นคงต้องขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งจำนวนงบประมาณดังกล่าวไม่มากนัก การขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีอาจไม่คุ้มค่าและไม่เหมาะสม ดังนั้นกรมธุรกิจพลังงานควรจะขอโอนเงินจากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติแล้ว มาเพื่อใช้จ่ายเป็นค่าจ้างชั่วคราวปฏิบัติงานของกรมธุรกิจพลังงานในช่วง 2 เดือนดังกล่าว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงานไปหารือกับกรมสรรพสามิตจัดหาเงินเพื่อใช้เป็นค่าจ้างลูกจ้างปฏิบัติงานในโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ของกรมธุรกิจพลังงาน จำนวน 8 อัตรา รวม 2 เดือน (ตุลาคม - พฤศจิกายน 2545) เป็นเงินทั้งสิ้น 90,160 บาท (เก้าหมื่นหนึ่งร้อยหกสิบบาท)
กพช. ครั้งที่ 67 - วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 1/2542 (ครั้งที่ 67)
วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
2.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.ความคืบหน้าในการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทยกับ สปป.ลาว สหภาพพม่า และสาธารณรัฐประชาชนจีน
4.การปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
5.รายงานผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
7.แนวทางในการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศในระยาว
8.แผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
10.การผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรม
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานปี 2541
สรุปสาระสำคัญ
1. ภาพรวมความต้องการ การผลิต การนำเข้าและส่งออกพลังงานเชิงพาณิชย์ สรุปได้ดังนี้
1.1 ปี 2541 ประเทศไทยยังประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย มีการคาดการณ์อัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จะติดลบประมาณร้อยละ 7.8 ส่งผลให้ความต้องการพลังงานเชิงพาณิชย์ลดลง ร้อยละ 7.0
1.2 ภาพรวมการผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์เปลี่ยนแปลงจากปี 2540 ไม่มากนัก ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ คอนเดนเสท และก๊าซธรรมชาติ ยังคงเพิ่มขึ้น ขณะที่การผลิตลิกไนต์ลดลงถึงร้อยละ 13.0 ส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำลดลงมากเนื่องจากปริมาณน้ำในเขื่อนมีน้อย
1.3 การนำเข้าพลังงาน (สุทธิ) ลดลงถึงร้อยละ 14.2 เป็นผลจากความต้องการภายในประเทศลดลงมาก แต่การนำเข้ากระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 111.6 เนื่องจากได้มีการนำเข้ากระแสไฟฟ้าจากโครงการน้ำเทิน-หินบุน ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นอกจากนั้นยังมีการส่งออกสุทธิของน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นเป็นปีที่สอง ติดต่อกัน ทำให้การพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศลดลงจากร้อยละ 61 ในปี 2540 เหลือร้อยละ 56 ในปี 2541
2. สถานการณ์พลังงานแต่ละชนิด สรุปได้ดังนี้
2.1 ปริมาณการผลิตและการใช้ก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในปี 2541 อยู่ในระดับ 1,699 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 นอกจากนี้ยังมี การนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่าเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าราชบุรี โดยมีการทดลองจ่ายเข้าระบบท่อส่งก๊าซในช่วงเดือนสิงหาคม 2541 และเริ่มผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าชั่วคราวที่ราชบุรี ขนาด 25 เมกะวัตต์ โดยใช้ ก๊าซธรรมชาติประมาณ 9 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2541 เป็นต้นมา
2.2 ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบมีจำนวน 29.4 พันบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 ซึ่งคิดเป็น สัดส่วนร้อยละ 4 ของความต้องการน้ำมันดิบในการกลั่นเท่านั้น จึงต้องมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศจำนวน 676 พันบาร์เรล/วัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 136,000 ล้านบาท
2.3 ปริมาณการผลิตลิกไนต์ของปี 2541 ลดลงร้อยละ 15.3 โดยร้อยละ 72 เป็นการผลิตจากเหมืองแม่เมาะของ กฟผ. ส่วนร้อยละ 28 ผลิตจากเหมืองเอกชน การใช้ลิกไนต์เพื่อผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะลดลงมากเนื่องจากเครื่องกำ จัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ที่ติดตั้งเสร็จไม่นานนักเกิดขัดข้อง จนก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ส่วนการใช้ลิกไนต์/ถ่านหินในภาคอุตสาหกรรมลดลงมาก เช่นเดียวกัน ปริมาณการนำเข้าถ่านหินลดลงร้อยละ 52 เมื่อเทียบกับปี 2540 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการที่ชะลอตัวลงของอุตสาหกรรมและอีกส่วนหนึ่ง เป็นผลมาจากค่าเงินบาทลดลง ทำให้ถ่านหินนำเข้ามีราคาสูงขึ้น
2.4 การใช้น้ำมันสำเร็จรูปในปี 2541 ลดลงร้อยละ 10.0 ปริมาณการใช้อยู่ในระดับ 630 พันบาร์เรล/วัน แม้ว่าโรงกลั่นต่างๆ จะลดกำลังการกลั่นลงเหลือเพียงร้อยละ 88 ของกำลังการกลั่น แต่ก็ยังคงสูงกว่าความต้องการภายในประเทศ ทำให้มีการส่งออกมากกว่านำเข้า ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่มีการส่งออกมาก ได้แก่ น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล ก๊าซ LPG และน้ำมันเครื่องบิน ยกเว้น น้ำมันเตาที่การผลิตภายในประเทศ ต่ำกว่าความต้องการเล็กน้อย จึงมีการนำเข้า (สุทธิ) จำนวน 8 พันบาร์เรล/วัน
2.5 รายได้ภาษีสรรพสามิตและฐานะกองทุนน้ำมัน ในปี 2541 รัฐบาลมีรายได้ภาษี สรรพสามิตจากน้ำมันสำเร็จรูปประมาณ 66,355 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2540 เป็นจำนวน 1,680 ล้านบาท สำหรับฐานะของกองทุนน้ำมัน ณ สิ้นปี 2541 กองทุนน้ำมันมีเงินเหลือประมาณ 4,371 ล้านบาท
3. สถานการณ์ไฟฟ้า สรุปได้ดังนี้
3.1 กำลังการผลิตติดตั้ง ในปี 2541 มีจำนวนทั้งสิ้น 18,164 เมกะวัตต์ แยกเป็นกำลังการผลิตติดตั้งของ กฟผ. ร้อยละ 84.6 ของเอกชน (IPP, SPP และอื่นๆ) ร้อยละ 14.4 และการรับซื้อกระแสไฟฟ้าจากต่างประเทศร้อยละ 1.0
3.2 ปริมาณการผลิตพลังงานไฟฟ้าลดลงร้อยละ 2.4 ขณะที่ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในระดับ 14,180 เมกะวัตต์ ลดลงร้อยละ 2.3
3.3 การใช้พลังงานไฟฟ้าในปี 2541 ลดลงร้อยละ 2.4 จากปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยในเขตนครหลวงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงมากที่สุด ทำให้การใช้ไฟฟ้าในเขตนครหลวง ในปี 2541 ลดลงจากปีที่แล้ว ร้อยละ 5.4 โดยเฉพาะในสาขาธุรกิจ-อุตสาหกรรมและอื่นๆ ในเขตภูมิภาคความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 0.5 โดยการใช้ประเภท ที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง มีสาเหตุจากประชาชนลดการเที่ยวบริการนอกบ้านลงและใช้เวลาอยู่ในบ้านมากขึ้น หรือมีการประกอบกิจการภายในครัวเรือนเพื่อเสริมรายได้แก่ครอบครัว ขณะที่สาขาธุรกิจ-อุตสาหกรรมและอื่นๆ มีอัตราการใช้ลดลง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2541 ดังนี้
1. จากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำในเอเซีย รัสเซีย และละตินอเมริกา และอากาศที่อุ่นกว่าปกติในช่วงต้นปี ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันของปี 2541 ลดลง ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงกว่า 5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เมื่อเทียบกับปี 2540 ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ในระดับ 12.1 - 14.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ได้อ่อนตัวลงเช่นเดียวกัน ราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตา ได้ลดลง 7, 9, 9 และ 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. แม้ค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลง แต่ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงได้ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันโดยรวมของไทยลดลง ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงจากปี 2540 จำนวน 27 สตางค์/ลิตร แต่ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินสูงขึ้น 1.1 - 1.4 บาท/ลิตร เนื่องจากการปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน 1 บาท/ลิตร
3. ในการปล่อยให้ราคาน้ำมันลอยตัวตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา ก่อให้เกิดการขยายตัวของ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นจาก 3,764 แห่ง เป็น 13,657 แห่ง ทำให้การแข่งขันในตลาดน้ำมันได้ ทวีความรุนแรงขึ้น ผู้ค้าน้ำมันใช้กลยุทธ์ปรับราคาขึ้นช้าแต่ลงเร็ว ส่งผลให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีอยู่ในระดับ 1.2707 บาท/ลิตร ปัจจุบันสถานีบริการเริ่มขาดทุนและต้องปิดกิจการ แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันใกล้ถึงจุดอิ่มตัว สำหรับค่าการกลั่นในปี 2541 เฉลี่ยอยู่ในระดับ 0.7672 บาท/ลิตร และจากผลของการ ขยายตัวของโรงกลั่นในภูมิภาคนี้กับสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว ได้ทำให้ธุรกิจการกลั่นตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเดือนมกราคม 2542 ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้น 0.7 - 1.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เฉลี่ยอยู่ในระดับ 10.5 - 12.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นผลจากอากาศ ที่หนาวเย็นทางซีกโลกตอนเหนือ แนวโน้มการลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของโอเปค และการกลับมาซื้อน้ำมันของจีน ส่วนราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ได้ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตา ปรับตัวสูงขึ้น 1.0, 1.7, 2.1 และ 0.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลของไทยปรับขึ้นรวม 21 และ 40 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ และในช่วงปลายเดือนได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 12 สตางค์/ลิตร สำหรับค่าการตลาดเฉลี่ยของผู้ค้าน้ำมันในเดือนนี้อยู่ ในระดับ 0.8090 บาท/ลิตร และค่าการกลั่นอยู่ที่ระดับ 0.8856 บาท/ลิตร
5. สถานการณ์ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2542 ราคาได้อ่อนตัวลงมาอยู่ ในระดับ 133 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ทำให้ระดับการชดเชยอยู่ใกล้เคียงกับศูนย์ สำหรับประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2542 จะอยู่ในระดับ 4,166 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ความคืบหน้าในการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทยกับ สปป.ลาว สหภาพพม่า และสาธารณรัฐประชาชนจีน
สรุปสาระสำคัญ
1. การรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว มีโครงการที่คณะกรรมการพลังงานและไฟฟ้าแห่ง สปป. ลาว (Committee for Energy and Electric Power: CEEP) ได้เสนอให้ คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) พิจารณาแล้วมีจำนวน 8 โครงการ กำลังผลิต ณ จุดส่งมอบรวมทั้งสิ้น 3,576 เมกะวัตต์ ซึ่งมีความคืบหน้าพอสรุปได้ดังนี้
1.1 โครงการที่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ น้ำเทิน-หินบุน และโครงการห้วยเฮาะ
1.2 โครงการที่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาและอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขอปรับเลื่อน การ รับซื้อไฟฟ้า มีจำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำงึม 2 โครงการน้ำงึม 3 โครงการลิกไนต์หงสา โครงการ เซเปียน-เซน้ำน้อย โครงการน้ำเทิน 2 และโครงการเซคามาน 1
2. ในปัจจุบัน CEEP ได้เสนอขอให้ คปฟ-ล. และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำเทิน 2 ก่อนโครงการอื่นๆ โดยทาง CEEP คาดว่าจะสามารถส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ได้ประมาณต้นปี 2548 ซึ่ง คปฟ-ล. ได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้ กฟผ. รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ น้ำเทิน 2 ในช่วงก่อนกำหนดการรับซื้อในเชิงพาณิชย์ (เดือนธันวาคม 2549) ในราคา Non-Firm สำหรับโครงการอื่นๆ อีก 5 โครงการ คปฟ-ล. ได้เสนอขอให้ CEEP รับไปพิจารณาจัดเรียงลำดับความสำคัญของโครงการใหม่
3. ในส่วนของความคืบหน้าการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทยกับสหภาพพม่า ในปัจจุบันสหภาพพม่า ได้เสนอโครงการผลิตไฟฟ้าที่จะขายให้ไทยจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการ NAM KOK โครงการ HUTGYI โครงการ TASANG และโครงการ KANBAUK แต่เนื่องจากสหภาพพม่ากำลังประสบปัญหา ขาดแคลนไฟฟ้าอย่างมากในขณะนี้ คณะกรรมการเพื่อดำเนินการส่งออกไฟฟ้าแห่งสหภาพพม่าจึงได้ติดต่อ ขอซื้อไฟฟ้าจากประเทศไทยเข้าระบบในปริมาณ 100-150 เมกะวัตต์ โดยขอให้ กฟผ. ส่งไฟฟ้าผ่านจุด เชื่อมโยงจากสถานีไฟฟ้าแรงสูงฝั่งไทยที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ไปยังสถานีไฟฟ้าแรงสูงฝั่งพม่าที่เมือง Bago (หงสาวดี) รวมระยะทางของสายส่งทั้งสิ้น 431 กิโลเมตร ทั้งนี้บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ได้เสนอตัวเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างสายส่งในช่วงดังกล่าว โดยในระยะแรกจะรับไฟฟ้าจาก กฟผ. เข้าระบบไฟฟ้า ของสหภาพพม่าส่งไปยังเมือง Bago ส่วนในอนาคตเมื่อมีการรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่า ก็อาจจะใช้สายส่งเส้นนี้ส่งกลับเข้ามาขายยังฝั่งไทย ซึ่งคาดว่าโครงการก่อสร้างสายส่งจะแล้วเสร็จและสามารถส่งไฟฟ้าขายให้แก่ สหภาพพม่าได้ประมาณปี 2544-2545
4. สำหรับความคืบหน้าของการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปัจจุบันได้มีการร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจาก สาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2541 โดยประเทศไทยจะรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ได้ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2560 และเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามข้อตกลงในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว งานที่จะต้องดำเนินงานในขั้นตอนต่อไป คือ การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้มีอำนาจในการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้า การคัดเลือก ผู้ลงทุน และการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับแต่ละโครงการที่มีความเป็นไปได้เป็นรายๆ ไป ทั้งนี้ โครงการแรกที่คาดว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเสนอมาให้ฝ่ายไทยพิจารณารับซื้อ คือ โครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจิงหง ในปริมาณ 1,200 เมกะวัตต์
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 การปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2534 เห็นชอบให้มีการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Automatic Adjustment Mechnism : Ft) เพื่อให้อัตราค่าไฟฟ้าสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง และลดผลกระทบ ของความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดย ให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งปรับค่าไฟฟ้า เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงในค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของการไฟฟ้า ทั้งนี้ สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ มีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้มีความเหมาะสมหลายครั้ง โดยในปัจจุบันค่า Ft จะเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยดังต่อไปนี้
1.1 การเปลี่ยนแปลงของค่าเชื้อเพลิง (ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเตา น้ำมันดีเซล และถ่านหิน นำเข้า) ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. รับซื้อจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
1.2 การเปลี่ยนแปลงของรายได้ที่เกิดขึ้นจากยอดจำหน่ายไฟฟ้า และราคาขายปลีกที่จะได้รับจริงแตกต่างไปจากการประมาณการ ซึ่งใช้เป็นฐานในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
1.3 การเปลี่ยนแปลงของเงินลงทุนในการดำเนินการของกิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่ายและกิจการบริการลูกค้า อันเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อและยอดขายแตกต่างจากค่าที่ใช้ในการประมาณการ ฐานะการเงิน
1.4 การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศซึ่งมีผลกระทบต่อภาระหนี้ ของการไฟฟ้า
2. การปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดย อัตโนมัติ ซึ่งเดิมมีรองผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธาน และประกอบด้วยผู้แทนจากส่วนราชการ ได้แก่ ผู้แทนจากกรมบัญชีกลาง (กบ.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และผู้แทนการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
3. ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ ใหม่ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2541 โดยมีผู้แทนจากผู้บริโภคและนักวิชาการเพิ่มขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นประธาน ประกอบด้วย ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) , สศค., กบ., กฟผ., การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ผู้แทนจากกลุ่มผู้บริโภค ได้แก่ ผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย และนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาอีก 3 ท่าน
4. คณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าว มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดวิธีการคำนวณ และคำนวณการปรับอัตราค่าไฟฟ้าภายใต้กรอบของสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้ รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ให้ความเห็นชอบการคำนวณการปรับอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดย อัตโนมัติ และแจ้ง กฟน. และ กฟภ. ให้ดำเนินการปรับอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft
5. การปรับอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ได้มีการดำเนินการมา เป็นลำดับ ดังนี้
5.1 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้เรียกเก็บค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ มาตั้งแต่การเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายน 2535 โดยมีการนำค่า Ft ที่คำนวณได้ไปรวมกับ ค่าไฟฟ้าตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าปกติ โดยค่า Ft จะเปลี่ยนแปลงเป็นรายเดือน ต่อมา มีการร้องเรียนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ไม่ต้องการให้ Ft มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยเกินไป ปัจจุบัน จึงมีการพิจารณาให้ใช้ค่าเฉลี่ย 4 เดือน
5.2 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2540 ถึงปัจจุบัน ได้มีการปรับค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามสูตร Ft ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นระบบอัตราแลก เปลี่ยนลอยตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ส่งผลให้ราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าและราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิต เอกชนมีราคา สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีผลต่อภาระหนี้เงินกู้ต่างประเทศของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ส่งผลให้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด จึงมีการปรับค่า Ft เพิ่มขึ้น รวม 3 ครั้ง ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2540-พฤศจิกายน 2541 ทำให้ ค่า Ft เพิ่มขึ้นรวม 29 สตางค์/หน่วย จาก 26.73 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 55.77 สตางค์/หน่วย
5.3 ต่อมา ในเดือนธันวาคม 2541 ได้มีการพิจารณาปรับค่า Ft ลดลง 5.06 สตางค์/หน่วย โดย Ft ได้ปรับลดจาก 55.77 สตางค์/หน่วย เหลือ 50.71 สตางค์/หน่วย เนื่องจากผลของราคาน้ำมัน ในตลาดโลกที่ลดลง และอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีขึ้น ทั้งนี้ หากอัตราแลกเปลี่ยนและราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับปัจจุบัน คาดว่าในอีก 4 เดือนถัดไปคือ ระหว่างเดือนเมษายน-กรกฎาคม 2542 ค่า Ft จะลดลงเหลือประมาณ 42.49 สตางค์/หน่วย นอกจากนี้ได้มีการพิจารณาปรับสูตร Ft ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนี้
(1) ในกรณีที่ กฟผ. ดำเนินการผลิตและส่งกระแสไฟฟ้าผิดพลาดจากแผนที่วางไว้ กฟผ. ต้องรับภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นไว้เองโดยไม่ผลักภาระผ่านเข้าไปในค่า Ft
(2) ต้นทุนที่สูงขึ้นจากความสูญเสียในระบบสายส่งและสายจำหน่าย โดยไม่มีเหตุผล อันสมควร ไม่ให้ผลักภาระให้กับประชาชนเข้าไปในค่า Ft
(3) กรณีการขาดทุนจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว การชำระดอกเบี้ยและเงินต้นของหนี้ต่างประเทศของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งที่สูงขึ้นนั้น ให้เลิกใช้สูตรเดิมและให้ใช้ตามค่าที่เกิดขึ้นจริง เฉพาะส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิน 27 บาท/เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น ทั้งนี้เพราะภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเดิม (แบบตะกร้า) ก็มีความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในระดับหนึ่ง ซึ่ง กฟผ. กฟน. กฟภ. ต้องรับภาระเองอยู่แล้ว การดำเนินการดังกล่าวทำให้ลดภาระของผู้ใช้ไฟฟ้าได้ 907 ล้านบาท
(4) ให้นำค่าพลังไฟฟ้าที่ กฟผ. รับซื้อจากโรงไฟฟ้าระยองออกจากค่า Ft เพื่อให้เหมือนกับในกรณีการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมและโรงไฟฟ้าอื่น ๆ ที่จะแปรรูปในอนาคต ซึ่งลดค่า Ft ได้ 5 สตางค์/หน่วย
(5) การปรับค่า Ft ให้สูงขึ้นอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการกำหนดราคาขายส่งเป็นแบบอัตราค่า ไฟฟ้าที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาของการใช้ (Time-of-Use Rate : TOU) ตั้งแต่ 1 มกราคม 2540 มีผลให้ราคาขายส่งเฉลี่ยลดลง และได้นำผลต่างดังกล่าวไปบวกในค่า Ft ทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นนั้น ให้นำผลกระทบดังกล่าวออกจากค่า Ft เพราะถือว่าเป็นเรื่องระหว่าง 3 การไฟฟ้า ซึ่งสามารถลดภาระของผู้ใช้ไฟฟ้าได้ 910 ล้านบาท
5.4 คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2542 ได้พิจารณาให้มีการทบทวนการจัดซื้อน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล ระหว่าง กฟผ. กับ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ภายหลังจากที่ สพช. ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันเตา และน้ำมันดีเซลที่ กฟผ. ใช้ในการคำนวณค่า Ft เห็นว่า ทั้งราคาน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลที่ กฟผ. ซื้อจาก ปตท. อาจอยู่ในระดับที่สูงเกินควร จึงควรมีการพิจารณาทบทวนเพื่อหาแนวทางในการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้ค่า Ft สามารถลดลงได้ เนื่องจาก กฟผ. จัดซื้อน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลจาก ปตท. แต่เพียงผู้เดียว
6. สพช. ได้ดำเนินการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีใน การประชุมเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2541 โดยได้ดำเนินการจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา Pricewaterhouse Coopers และ Merz & McLellan ทำการศึกษาเรื่องโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ขณะนี้บริษัทที่ปรึกษาฯ ได้เริ่มดำเนินการศึกษา ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2542 และคาดว่าการศึกษาจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกันยายน 2542
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 รายงานผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สถานการณ์การลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงมาตรการสำคัญ ๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. รูปแบบการลักลอบ การลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงในอดีต ส่วนใหญ่เป็นการลักลอบนำเข้าทางทะเล ซึ่งน้ำมันที่มีการลักลอบนำเข้าเกือบทั้งหมดเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ทั้งนี้เนื่องจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วถือเป็นน้ำมัน "เศรษฐกิจ" ซึ่งมีความจำเป็นสูงสุดต่อภาคการขนส่ง การผลิตกระแสไฟฟ้า และใช้ อย่างแพร่หลายในเครื่องจักรเครื่องกลทางเกษตรกรรม ซึ่งการลักลอบนำเข้าทำได้หลายลักษณะคือ ลักลอบ นำเข้าโดยเรือประมง หรือเรือประมงดัดแปลงที่ซื้อน้ำมันจากนอกเขตน่านน้ำแล้วนำมาจำหน่ายในประเทศ ลักลอบนำเข้ามาโดยเรือขนส่งน้ำมันขนาดใหญ่เข้าสู่คลังน้ำมันชายฝั่งต่างๆ โดยวิธีการปลอมแปลงเอกสารด้วยการแจ้งปริมาณนำเข้าต่ำกว่าที่นำเข้าจริง หรือไม่มีการแจ้งเลย รวมทั้งลักลอบนำเข้าโดยเรือขนส่งน้ำมันชายฝั่ง ซึ่งใช้ขนส่งระหว่างโรงกลั่น หรือคลังน้ำมันในประเทศ ไปรับน้ำมันจากเรือขนส่งน้ำมันในทะเลนอกเขตน่านน้ำของประเทศและลักลอบนำเข้า คลังโดยการปลอมแปลงเอกสาร หรือโดยไม่แจ้ง
2. มูลเหตุจูงใจในการลักลอบ คือน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่นำเข้าโดยหลีกเลี่ยงภาษีจะมีต้นทุนต่ำกว่าปกติถึง ประมาณลิตรละ 3 บาท เนื่องจากไม่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตและเทศบาล และเงินเรียกเก็บเข้ากองทุนต่างๆ รวมทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม
3. ผลกระทบจากการค้าน้ำมันเถื่อน รัฐสูญเสียรายได้จากการเก็บภาษีสรรพสามิตและเทศบาล อากรขาเข้า และเงินเรียกเก็บเข้ากองทุนปีละหลายพันล้านบาท รวมทั้งทำให้ผู้ค้าน้ำมันและผู้ประกอบกิจการสถานีบริการที่สุจริต สูญเสียโอกาสทำการค้าเนื่องจากถูกแย่งส่วนแบ่งการตลาดโดยไม่เป็นธรรม อีกทั้งประชาชนผู้ใช้น้ำมันได้รับผลกระทบจากการใช้น้ำมันที่ไม่ได้มาตรฐาน
4. มาตรการในการแก้ไขปัญหา รัฐบาลได้กำหนดมาตรการต่างๆ หลายมาตรการและได้มอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยแยกออกได้ 5 มาตรการหลัก ดังนี้
4.1 การจัดตั้งองค์กรในการป้องกันและปรามปรามน้ำมันเถื่อน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการป้องกันและปราบปรามการ ลักลอบฯ และมีการประสานการทำงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีองค์กรหลักในการประสานการทำงานที่สำคัญ 3 องค์กร คือ
(1) ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล (ศอปล.) มีกองทัพเรือทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดทำแผนปราบปราม ควบคุม ประสานงานการปฏิบัติงานในการปรามปรามทางทะเล
(2) ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (ศปนม.) ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ปราบปราม การลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนทั้งทางทะเลและบนบก
(3) ศูนย์รวมการประสานการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาการประสานงาน ระหว่างหน่วยงานปราบปรามต่าง ๆ ทั้งทางทะเลและบนบก
4.2 มาตรการป้องกันและปราบปรามทางทะเล ได้กำหนดให้หน่วยงานปราบปรามจัดกำลังเจ้าหน้าที่ทำการตรวจลาดตระเวนการขนส่ง น้ำมันในทะเลและได้ประกาศเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทยในท้องทะเลบริเวณ ขยายออกไปจากน่านน้ำทะเลอาณาเขตอีก 12 ไมล์ทะเล พร้อมกับแก้ไขพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 และพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 เพื่อให้หน่วยงานปราบปรามมีอำนาจกระทำการในเขตต่อเนื่องได้ รวมทั้งมาตรการด้านการข่าว การตรวจสอบภาษี และมาตรการอื่นๆ
4.3 มาตรการป้องกันและปราบปรามทางบก มอบให้กรมศุลกากรและกรมตำรวจ จัดหา สายสืบเฝ้าตรวจสอบคลังน้ำมัน รวมทั้งมาตรการติดตั้งมิเตอร์คลังชายฝั่งทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังมีมาตรการกำหนดเงื่อนไขในการนำเข้าเพิ่มเติม เช่น ให้มีการตรวจสอบปริมาณน้ำมันที่นำเข้าโดยผู้ตรวจวัดอิสระ การตรวจสอบการขนส่งลำเลียงทางบกโดยการจัดตั้งด่านตรวจสอบรถบรรทุกน้ำมันทุก คันว่ามีการขนส่งน้ำมันลักลอบนำเข้าหรือไม่ การตรวจสอบคุณภาพน้ำมันโดยรถตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเคลื่อนที่ และการดำเนินการขยายพิกัดภาษีผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและสารละลายให้ครอบคลุมทุก ผลิตภัณฑ์ เพื่อแก้ปัญหาการนำเอาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปจำหน่ายหรือปลอมปนน้ำมันเชื้อ เพลิงจำหน่ายตามสถานีบริการ เป็นต้น
4.4 มาตรการในการดำเนินคดี ได้ให้สำนักงานอัยการสูงสุดถือว่าคดีลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นคดี สำคัญ หากพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องทุกข้อหา บางข้อหา หรือสั่งไม่ริบของกลางก่อนมีความเห็นและคำสั่งให้บันทึกความเห็นเสนออัยการ สูงสุดก่อน ทั้งนี้ เพื่อมิให้พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องได้
4.5 มาตรการสนับสนุนทางการเงิน ได้เริ่มตั้งแต่ ปี 2539 - ปี 2541 โดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้อนุมัติให้นำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบ ปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ในวงเงิน 145.8, 885.3 และ 262.1 ล้านบาท ตามลำดับ
5. การจัดสรรงบประมาณประจำปี 2542 ประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้พิจารณาเห็นว่า การสนับสนุนเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อการปราบปรามน้ำมันเถื่อนควร สนับสนุนเป็นการชั่วคราว และจัดสรรเพิ่มเติมในส่วนที่จำเป็นหรือในกรณีที่งบประมาณที่ได้รับปกติไม่ เพียงพอเท่านั้น ซึ่งเงินค่าใช้จ่ายหลักควรมาจากเงินงบประมาณแผ่นดินประจำ โดยได้สั่งการให้ สพช. ประสานงานกับกรมบัญชีกลางจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปได้ คือขอให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจัดสรร งบประมาณ ในปีงบประมาณ 2542 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิงไปก่อน เนื่องจากการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปี 2542 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว และรัฐก็ไม่มี เงินเหลือเพียงพอที่จะเจียดจ่าย ส่วนในปีงบประมาณ 2543 ให้ใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดินประจำปี แต่ เนื่องจากความรุนแรงของปัญหาไม่สม่ำเสมอกันในแต่ละปี จึงยังคงขอให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสนับสนุนค่า ใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อเสริมเฉพาะในส่วนที่จำเป็นต่อไป
6. ผลการจับกุมน้ำมันเถื่อน จากผลการปราบปรามจับกุมน้ำมันเถื่อนตั้งแต่ปี 2537-2541 พบว่าในปี 2539 สามารถจับกุมน้ำมันเถื่อนได้ปริมาณถึง 14.8 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากปี 2537 และปี 2538 ซึ่งจับกุมได้เพียงระดับ 2-2.6 ล้านลิตร ส่วนในปี 2540 ผลการจับกุมได้ปริมาณน้ำมันลักลอบนำเข้าลดน้อยลงเหลือเพียง 2.4 ล้านลิตร ทั้งนี้เกิดจากมาตรการต่างๆ ที่ดำเนินการตั้งแต่ปี 2539 เริ่มเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะมาตรการป้องกันโดยการติดตั้งมิเตอร์ในคลังน้ำมันชายฝั่งจำนวน 37 คลัง ทำให้การลักลอบนำเข้าในปริมาณมากๆ จากเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ทำได้ยากยิ่งขึ้น สำหรับปี 2541 สามารถจับกุมได้ เพิ่มขึ้นเป็นปริมาณน้ำมัน 6.2 ล้านลิตร เนื่องจากน้ำมันที่จับกุมได้ส่วนหนึ่งเป็นน้ำมันที่ลักลอบจากแหล่งใหม่ คือ การนำสารละลาย (Solvent) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมและไม่ต้องเสียภาษีไปปลอมปนลงในน้ำมันเชื้อเพลิง
7. รูปแบบการลักลอบใหม่ๆ สถานการณ์การลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่ปี 2541 เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบออกไปจากเดิม โดยมีรูปแบบใหม่ 3 รูปแบบ คือ
7.1 การลักลอบนำ Solvent มาปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง โดย Solvent มีคุณสมบัติคล้ายน้ำมันเบนซินหรือน้ำมันก๊าดผลิตขึ้นเพื่อใช้เป็นสารละลาย สิ่งอื่น ๆ เช่น ละลายสี หรือกาว เป็นต้น และไม่ต้องเสียภาษี ในปัจจุบันได้มีการนำ Solvent มาปลอมปนในน้ำมันเบนซินและดีเซลจำหน่ายในสถานีบริการต่างๆ อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคเหนือ ในเดือนธันวาคมปี 2541 พบว่าจากตัวอย่างน้ำมันที่ตรวจ 755 ราย มีน้ำมันไม่ได้คุณภาพถึง 87 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 12 และในจำนวนนี้มี 36 ราย หรือร้อยละ 41 ของน้ำมันที่พบผิดเป็นน้ำมันที่ปลอมปนด้วย Solvent และครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2542 พบว่า น้ำมันที่ปลอมปน Solvent ที่ตรวจสอบมีค่า ออกเทน เพียง 60-80 เท่านั้น ซึ่งมีค่าต่ำกว่าความต้องการออกเทนของรถยนต์อย่างมาก ทำให้เครื่องยนต์ เกิดการน็อคเสียหาย และจะทำให้เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้นเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่อาจเกิดอุบัติเหตุ ได้ในการเร่งแซง และในปี 2542 เริ่มมีแนวโน้มในการนำ Solvent ไปปลอมปนในน้ำมันดีเซลมากขึ้นอีกด้วย
7.2 การลักลอบนำน้ำมันส่งออกมาจำหน่ายในประเทศและขอคืนภาษี จากการตรวจสอบ สืบสวน พิสูจน์ทราบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่า มีพฤติกรรมการกระทำผิดรูปแบบต่าง ๆ เช่น ส่งออกน้ำมันไปนอกราชอาณาจักร แล้วย้อนกลับเข้ามาจำหน่ายในประเทศพร้อมขอคืนภาษี กระบวนการฉ้อฉลทางเอกสาร แจ้งว่าส่งออกน้ำมันแต่มิได้ส่งออกน้ำมันไปจริง หรือส่งออกจริงน้อยกว่าเอกสารข้อมูลส่งออกของศุลกากร และปลอมแปลงเอกสารการขอรับคืนภาษีสรรพสามิตที่ส่งออกน้ำมันไปต่างประเทศ และลักลอบ นำน้ำมันผ่านแดนไปประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งไม่ต้องเสียภาษีออกจากขบวนรถขนส่งแล้วจำหน่ายในประเทศ เป็นต้น
7.3 การลักลอบนำน้ำมันเติมเรือเดินทางไปต่างประเทศกลับเข้ามาจำหน่ายในประเทศ เป็นรูปแบบการลักลอบอีกแบบหนึ่งที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ หลังจากที่การลักลอบนำเข้าทางทะเลกระทำได้ยากยิ่งขึ้น วิธีการลักลอบทำได้โดยแจ้งปริมาณน้ำมันดีเซลหรือน้ำมันเตาที่เติมเรือสินค้า ต่างประเทศหรือเรือไทย เพื่อเป็นเชื้อเพลิงเดินทางไปต่างประเทศเกินกว่าปริมาณที่เติมจริง เพื่อให้ได้ภาษีคืนมากกว่าที่ควรได้รับ หรือขนถ่ายน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาที่เหลือจากการใช้ในเรือต่างประเทศซึ่ง ไม่เสียภาษี ลงเรือบรรทุกน้ำมันขนาดเล็กส่งต่อเป็นทอดๆ เพื่อนำขึ้นคลังย่อยส่งขายให้กับลูกค้า รวมทั้งการแจ้งส่งน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาไปเติมเรือสินค้าต่างประเทศหรือ เรือไทยที่เดินทางออกไปต่างประเทศอันเป็นเท็จ โดยไม่มีเรือจริงตามที่ขออนุญาต แล้วขอคืนภาษี
เนื่องจากรูปแบบการกระทำผิดทั้ง 3 รูปแบบนี้ เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นใหม่ สพช. จะดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษา เพื่อทำการศึกษาพฤติกรรมการลักลอบรูปแบบดังกล่าวโดยละเอียดชัดเจน เพื่อนำไปสู่การวางแผน กำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการลักลอบอย่างได้ผลต่อไป
มติของที่ประชุม
1.รับทราบรายงานผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2.เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินประจำปีตั้งแต่ปีงบประมาณ 2543 เป็นต้นไป เป็นเงินสนับสนุนหลักในการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้า น้ำมันเชื้อเพลิง และให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสนับสนุนค่าใช้จ่ายในส่วนที่หน่วยงานต่างๆ มีความต้องการใช้เพิ่มเติมระหว่างปี โดยจะต้องเป็นการดำเนินการเฉพาะกิจ เร่งด่วน หรือภารกิจเสริม
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของไทยที่ชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในปี 2541 ทำให้ความต้องการไฟฟ้า ในปี 2541 ลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ส่งผลให้แผนการลงทุนของ กฟผ. ที่จัดทำเมื่อปลายปี 2540 (PDP 97-02) ไม่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า จึงได้จัดทำการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดใหม่ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ไทยในปัจจุบัน โดยค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าได้จัดทำเป็น 3 กรณี ตามสมมุติฐานทางเศรษฐกิจซึ่งได้จัดทำไว้ 3 กรณี คือ กรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว กรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวปานกลาง และกรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า
2. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. พ.ศ. 2542 - 2554 (PDP 99-01 : ฉบับปรับปรุง) โดยใช้ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า กรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวปานกลางเป็นฐานในการจัดทำ และจัดทำเป็นกรณีศึกษาสำหรับค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าอีก 2 กรณี คือ กรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว และกรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ทั้งนี้ การปรับปรุงแผนฯ ดังกล่าว กฟผ. ได้มีการหารือกันอย่างใกล้ชิดกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่ประสบปัญหาไม่สามารถจัดหาแหล่งเงินกู้ในการดำเนิน โครงการได้ด้วย
3. สาระสำคัญของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. พ.ศ. 2542 - 2554 ฉบับปรับปรุง สรุปได้ดังนี้
(1) กำลังผลิตติดตั้งในปลายปี 2554 มีจำนวน 39,390.9 เมกะวัตต์ โดยสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. จะลดลงจากร้อยละ 78 ในปี 2542 เหลือร้อยละ 53 ในปี 2554 และสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าของเอกชนจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 20 ในปี 2542 เป็นร้อยละ 37 ในปี 2554
(2) ชะลอ/เลื่อนโครงการต่างๆ ของ กฟผ. จากแผนฯ เดิม (PDP 97-02) ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำลำตะคองแบบสูบกลับ โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนคีรีธารแบบสูบกลับ โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนทับสะแก โครงการขยายระบบไฟฟ้าระยะที่ 10 และ 11
(3) ให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนดำเนินการในโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี 3-4
(4) ปรับลดการลงทุนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมสุราษฎร์ธานี โดยย้ายเครื่องกังหันแก๊สขนาด 2 x 100 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าไทรน้อย มาติดตั้งในปี 2543 และลงทุนซื้อเฉพาะเครื่องกังหันไอน้ำขนาด 100 เมกะวัตต์ มาติดตั้งในปี 2546
(5) โครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว จำนวน 3,300 เมกะวัตต์ เลื่อนเป็นปี 2549-2551
(6) เปลี่ยนแปลงการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายใหญ่ (IPP) และโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายเล็ก (SPP) ตามผลการเจรจาครั้งล่าสุด
(7) สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติจะอยู่ในระดับร้อยละ 60-70 สัดส่วนของเชื้อเพลิงน้ำมันเตาและลิกไนต์ จะลดลงเนื่องจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ส่วนสัดส่วนของเชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 19 ในปี 2554
(8) เงินลงทุนจนถึงสิ้นปี 2549 ลดลงจากแผนฯ เดิม เป็นจำนวนเงิน 175,000 ล้านบาท
(9) กำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง ในช่วงปี 2543-2548 อยู่ในระดับร้อยละ 33.5 - 52.1 และ จะลดลงเป็นร้อยละ 25 ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นไป สำหรับกรณีศึกษาถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว จะแก้ไขโดยเลื่อนโครงการต่างๆ ตั้งแต่ปี 2548 ให้เร็วขึ้น แต่ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า จะต้องปรับแผนการลงทุนใหม่ โดยเลื่อนโครงการต่างๆ ออกไป และตัดบางโครงการออกจากแผนฯ
4. สพช. มีความเห็นว่าควรให้นำโรงไฟฟ้าทับสะแกออกจากแผนการลงทุนนี้ และให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินงานแทน ส่วนในเรื่องการขอเลื่อนกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ดำเนินโครงการและเป็นประโยชน์ต่อประเทศด้วย จึงเห็นควรให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันพิจารณาเลื่อน วันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้เป็นรายๆ ไปตามความเหมาะสม
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าในช่วง พ.ศ. 2542-2554 และกำหนดวันเริ่มต้น จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามผลการเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และ สปป.ลาว ตามที่ กฟผ. เสนอ (รายละเอียดตามเอกสารประกอบวาระ 4.1) เพื่อใช้เป็นกรอบในการลงทุนทางด้านการขยายระบบผลิตและระบบส่งของประเทศ โดยไม่ต้องเสนอขออนุมัติในระดับนโยบายอีก ยกเว้นโครงการที่มีประเด็นนโยบาย สำหรับขั้นตอนการเสนอและการอนุมัติให้ยึดถือตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้เคย มีมติไปแล้ว เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2538 ทั้งนี้ ให้มีการแก้ไขแผนฯ ตามที่ สพช. เสนอดังนี้
(1) ให้นำโรงไฟฟ้าทับสะแกออกจากแผนการลงทุนของ กฟผ. เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปกิจการไฟฟ้าตามแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ
(2) สำหรับโครงการ SPP ของบริษัท ที แอล พี โคเจนเนอเรชั่น ให้ สพช. และ กฟผ. ไปเจรจาและกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบต่อไป
2.เห็นชอบ "กรณีศึกษา" เป็นกรอบทางเลือกในการดำเนินการของ กฟผ. ในกรณีที่การใช้ไฟฟ้าในอนาคตไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่คาดการณ์ไว้
3.มอบหมายให้ กฟผ. และ สพช. ติดตามความคืบหน้าของโครงการ IPP และ SPP อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกำหนดการจ่ายไฟฟ้าตามสัญญา และให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้เป็นรายๆ ไป ตามความเหมาะสม
4.ให้ กฟผ. พิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ช่วงปี พ.ศ. 2542-2554 เป็นระยะๆ เนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง และให้ กฟผ. รับไปศึกษาเกณฑ์กำหนดปริมาณสำรองการผลิตไฟฟ้าของประเทศที่เหมาะสมต่อไป
เรื่องที่ 7 แนวทางในการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศในระยาว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 เห็นชอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อใช้เป็นกรอบในการแปรรูปและปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ โดยในส่วนของแผนแม่บทฯ ภายใต้สาขาพลังงานได้ระบุทิศทางของโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติในอนาคตที่ มุ่งให้มีการแข่งขันอย่างเสรี ก่อให้เกิด ความเป็นธรรม และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดหาพลังงานให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้ ได้กำหนดให้มีการแข่งขันเสรีโดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นไป
2. โครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติตามแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ได้กำหนดให้มีการแยกระบบท่อส่ง ท่อจำหน่าย (Transportation & Distribution Pipelines) และการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ (Gas Traders) ออกจากกันโดยการจัดตั้งบริษัทที่ดำเนินการด้านท่อส่งก๊าซฯออกต่างหาก รวมทั้ง การส่งเสริมการแข่งขันในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ โดยการเปิดให้บุคคลที่สามสามารถใช้บริการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้ ทั้งนี้ จะต้องมีการกำกับดูแลโดยองค์กรกำกับดูแลอิสระ เพื่อกำหนดราคาที่เป็นธรรม และเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในการใช้บริการ
3. การดำเนินการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะยาว ได้แบ่งการดำเนินการออกเป็น 6 เรื่อง ดังนี้
3.1 การจัดโครงสร้างของกิจการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และกิจการจัดหาและจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ (Separation of transmission and supply & marketing businesses)
3.2 การให้บริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อแก่บุคคลที่สาม (Third Party Access)
3.3 การกำหนดคำจำกัดความของแหล่งก๊าซธรรมชาติปัจจุบันและแหล่งก๊าซธรรมชาติใหม่ (Existing gas supply and new gas supply)
3.4 การกำหนดคำจำกัดความของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติปัจจุบันและความต้องการ ก๊าซธรรมชาติใหม่ (Existing gas demand and new gas demand)
3.5 การกำหนดขอบเขตของการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในระบบท่อก๊าซธรรมชาติ หรือการเพิ่มการแข่งขันในระบบท่อก๊าซธรรมชาติ (Pipeline Competition) ดังนี้
(1) การให้สัมปทานเอกชนเข้าร่วมในการลงทุนและดำเนินการในระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติหลัก (Transmission Pipeline)
(2) การให้สัมปทานเอกชนเข้าร่วมในการบริการท่อจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ (Distribution Pipeline)
3.6 การกำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติ
4. เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะยาวและ ส่งเสริม ให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรี จึงควรมีการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยธุรกิจ ปตท. ก๊าซธรรมชาติของการปิโตรเลียม แห่งประเทศไทย (ปตท.) ใหม่ ดังนี้
4.1 ปตท. ก๊าซธรรมชาติยังคงเป็นหน่วยธุรกิจหนึ่งใน ปตท. / บริษัท ปตท. จำกัด/(มหาชน) โดยมีหน้าที่ดำเนินธุรกิจทางด้านการจัดหาและจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ (Supply & Marketing) และธุรกิจ โรงแยกก๊าซธรรมชาติ (GSP)
4.2 ให้จัดตั้ง บริษัท ปตท.ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จำกัด ขึ้นมา โดยให้ ปตท. / บริษัท ปตท. จำกัด/ (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด เพื่อให้บริษัทดังกล่าวทำหน้าที่ดำเนินการบริหารระบบท่อส่งก๊าซฯของ ปตท. และของผู้ลงทุนรายอื่นที่จะมาเชื่อมต่อกับเครือข่ายระบบท่อส่งก๊าซฯ ของ ปตท.
5. การดำเนินการในระยะต่อไป คือ การเปิดเสรีอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ (Liberalisation of Gas Industry) โดยมีการดำเนินการ ดังนี้
5.1 ดำเนินการจัดตั้งบริษัท ปตท.ท่อส่งก๊าซฯ จำกัด เป็นบริษัทลูก โดยมี ปตท./บริษัท ปตท. จำกัด/(มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด
5.2 พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อรองรับการมี Third Party Access ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2542
5.3 พิจารณากำหนดเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตต่างๆ ให้เสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2542
5.4 พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแล ให้เสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2542
5.5 ทบทวนอัตราค่าผ่านท่อก๊าซฯ และโครงสร้างราคาก๊าซฯ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน2542
5.6 พิจารณาอนุมัติแผนการลงทุนระบบท่อ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2542
6. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้เสนอแนวทางในการปรับ โครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ดังนี้
6.1 เห็นควรให้ความเห็นชอบโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะยาว ซึ่งเป็นโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซ ธรรมชาติของประเทศ และสมควรให้ ปตท. ใช้เป็นแนวทางในการแปรสภาพ ปตท. เป็น บริษัท จำกัด/(มหาชน) ตามโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติที่กำหนด
6.2 เพื่อให้มีการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ตามโครงสร้างกิจการ ก๊าซธรรมชาติในระยะยาวดังกล่าว ควรให้ ปตท. กระทรวงอุตสาหกรรม และ สพช. รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้
(1) ให้ ปตท. ดำเนินการแยกกิจการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ออกจากกิจการจัดหาและจำหน่ายก๊าซธรรมชาติของ ปตท. และเปิดให้บริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อแก่บุคคลที่สาม (Third Party Access : TPA)
(2) ให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดการกำหนดแหล่งก๊าซฯ และตลาดก๊าซฯ ในปัจจุบัน เพื่อให้มีการเปิดแข่งขันในแหล่งก๊าซฯ และตลาดก๊าซฯ ใหม่ต่อไป
(3) ให้ สพช. และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกำหนดหลักเกณฑ์การเปิดประมูลแข่งขันเงื่อนไขสัมปทาน และหลักเกณฑ์สำคัญในสัญญาการให้บริการท่อจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ หลักเกณฑ์ทางด้านเทคนิค และคุณภาพบริการสำหรับการให้บริการท่อจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ และให้ สพช. / คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กระทรวงอุตสาหกรรม และ ปตท. ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติในด้านการส่งเสริมและขจัดอุปสรรคในการ แข่งขัน การกำกับดูแลทางด้านอัตราค่าผ่านท่อก๊าซฯ การลงทุน และคุณภาพบริการ รวมทั้ง การออกใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการจัดหาและจำหน่ายก๊าซฯ การลงทุนระบบท่อส่งก๊าซฯ และการให้สิทธิในการดำเนินการระบบท่อจำหน่ายก๊าซฯ
(4) ให้ ปตท. กระทรวงอุตสาหกรรม และ สพช. / กพช. ทำหน้าที่ประมาณการอุปสงค์อุปทานของก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้มีความมั่นคงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติ และมีความสมดุลระหว่างอุปสงค์ อุปทานของก๊าซธรรมชาติในที่สุด
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะยาว (รายละเอียดตามข้อ 4 ในเอกสารแนบ 1 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2) โดยมอบหมายให้ ปตท. ใช้เป็นแนวทางในการแปรสภาพ ปตท. เป็นบริษัทจำกัด ตามโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติ ซึ่งกำหนดให้มีการแยกระบบท่อส่งและท่อจำหน่าย (Transportation & Distribution Pipelines) และการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ (Gas Traders) ออกจากกัน โดยการจัดตั้งบริษัท ที่ดำเนินการด้านท่อส่งก๊าซฯ ออกต่างหาก รวมทั้งการส่งเสริมการแข่งขันในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ โดย การเปิดให้บุคคลที่สามสามารถใช้บริการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้ ทั้งนี้ จะต้องมีการกำกับดูแลโดยองค์กรกำกับดูแลอิสระ เพื่อกำหนดราคาที่เป็นธรรม และเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในการใช้บริการ
2.มอบหมายให้ ปตท. กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) และ สพช. รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
(1) ให้ ปตท. ดำเนินการแยกกิจการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ออกจากกิจการจัดหาและจำหน่ายก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ในลักษณะการแบ่งแยกตามกฎหมาย Legal Separation โดยมี ปตท. / บริษัท ปตท. จำกัด/(มหาชน) ถือหุ้นทั้งหมดในบริษัท ปตท.ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จำกัด และให้มีการทำสัญญาในการดำเนินการระหว่างกิจการทั้งสอง เพื่อให้มีการดำเนินการที่แยกขาดจากกันอย่างเด็ดขาด
(2) ให้ ปตท. เปิดให้บริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อแก่บุคคลที่สาม (Third Party Access : TPA) โดยให้ อก. (กรมทรัพยากรธรณี) และ ปตท. ร่วมกันพิจารณายกร่างหลักเกณฑ์ เงื่อนไขคุณภาพบริการ Third Party Access Code รวมทั้ง ระบุรายชื่อท่อก๊าซฯที่พร้อมจะให้บริการ และให้เสนอราคาค่าบริการตามหลักการการให้บริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อแก่ บุคคลที่สาม (รายละเอียดตาม ข้อ 5.2 ในเอกสารแนบ 1 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2) เพื่อให้ สพช. / คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาเปิดให้มี TPA ได้ภายหลังจากการจัดทำ TPA Code และกลไกที่จะใช้ในการปรับสมดุลระหว่างปริมาณการใช้ก๊าซฯกับความต้องการ (Load Balancing)
(3) ให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดการกำหนดแหล่งก๊าซฯในปัจจุบัน (Existing gas supply) ตามหลักการกำหนดคำจำกัดความของแหล่งก๊าซธรรมชาติปัจจุบัน และแหล่งก๊าซธรรมชาติใหม่ (รายละเอียดตามข้อ 5.3 ในเอกสารแนบ 1 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2) รวมทั้ง ให้ ปตท. รวบรวมรายละเอียดผู้ผลิตก๊าซฯ ที่ประสงค์จะขอเจรจาแก้ไขสัญญาใหม่ เพื่อให้มีสิทธิขายก๊าซฯ ส่วนเพิ่มให้ผู้อื่น นอกเหนือจาก ปตท. ได้ เพื่อนำเสนอขออนุมัติจาก สพช. / กพช. เพื่อให้มีการเปิดแข่งขันในแหล่งก๊าซฯใหม่ (New gas Supply) ต่อไป
(4) ให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดการกำหนดตลาดก๊าซฯ ปัจจุบัน (Existing gas demand) ตามหลักการกำหนดคำจำกัดความความต้องการใช้ก๊าซปัจจุบัน และความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติใหม่ (รายละเอียดตามข้อ 5.4 ในเอกสารแนบ 1 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2) รวมทั้ง เร่งจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ระหว่าง ปตท. กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทั้งในส่วนที่กำลังเจรจาและตกลงใน หลักการให้แล้วเสร็จ โดยให้ดำเนินการทั้งสองเรื่องให้แล้วเสร็จภายในปี 2542 ทั้งนี้ ต้องแล้วเสร็จก่อนการ แปรรูป ปตท. เพื่อนำเสนอขออนุมัติจาก สพช. / กพช. เพื่อให้มีการเปิดแข่งขันในตลาดก๊าซฯใหม่ (new gas demand) ต่อไป
(5) ให้ สพช. และ อก. ร่วมกำหนดหลักเกณฑ์การเปิดประมูลแข่งขันเงื่อนไขสัมปทาน และหลักเกณฑ์สำคัญในสัญญาการให้บริการท่อจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ หลักเกณฑ์ทางด้านเทคนิคและคุณภาพบริการสำหรับการให้บริการท่อจำหน่ายก๊าซ ธรรมชาติตามหลักการกำหนดขอบเขตการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการลงทุนและดำเนิน การระบบท่อก๊าซธรรมชาติ (รายละเอียดตามข้อ 5.5 ในเอกสารแนบ 1 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2) ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2542
(6) ให้ สพช./กพช. อก. และ ปตท. ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติ (รายละเอียดตามข้อ 5.6 ในเอกสารแนบ 1 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2) ในด้านการส่งเสริมและขจัดอุปสรรคในการแข่งขัน การกำกับดูแลทางด้านอัตราค่าผ่านท่อก๊าซฯ การลงทุน และคุณภาพบริการ รวมทั้ง การออกใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการจัดหาและจำหน่ายก๊าซฯ การลงทุนระบบท่อส่งก๊าซฯ การให้สิทธิในการดำเนินการระบบท่อ จำหน่ายก๊าซฯ โดยในระยะยาวเมื่อมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระ (Independent Regulator) ให้องค์กรกำกับดูแลอิสระดำเนินการกำกับดูแลต่อไป ทั้งนี้ให้ สพช. อก. และ ปตท. นำเสนอรายละเอียดการกำกับดูแลดังกล่าว ภายใน 6 เดือน เพื่อขออนุมัติจาก กพช. และคณะรัฐมนตรี
(7) ให้ ปตท. อก. และ สพช. / กพช. ทำหน้าที่ประมาณการอุปสงค์อุปทานของก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้มีความมั่นคงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติ และมีความสมดุลระหว่างอุปสงค์อุปทานของก๊าซธรรมชาติในที่สุด
3.รับทราบแนวทางการแปรสภาพ ปตท. เป็นบริษัทจำกัด (Corporatisation) และการแปรรูป ปตท. (Privatisation) ตามแนวทางในการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศในระยะยาว (รายละเอียดตามข้อ 7,8 และ 9 ในเอกสารแนบ 1 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2)
เรื่องที่ 8 แผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เห็นชอบรูปแบบโครงสร้างกิจการไฟฟ้า ในอนาคตของประเทศ ให้มีการแยกกิจการผลิตไฟฟ้า กิจการสายส่งไฟฟ้า และกิจการจำหน่ายไฟฟ้าออกจากกัน โดยโรงไฟฟ้าพลังความร้อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะแยกออกเป็นหน่วยธุรกิจและจัดตั้งเป็นบริษัทย่อย จดทะเบียนและกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อมีความพร้อมต่อไป และตามแผนแม่บทการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ สาขาพลังงาน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 ได้กำหนดแนวทางในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมให้มีการแข่งขันในกิจการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า โดยการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชน รวมทั้ง ได้มีการกำหนดให้ กฟผ. แปรรูปโรงไฟฟ้าราชบุรีภายในปี 2542
2. กฟผ. ได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาประกอบด้วย บริษัท Dresdner Kleinwort Benson Advisory Services (Thailand) Limited บริษัท Lehman Brothers (Thailand) Limited และบริษัท หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด เพื่อศึกษาจัดทำแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ซึ่งแผนดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กฟผ. เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2541
3. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2541 ได้พิจารณาแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี และมีมติเห็นชอบแผน ระดมทุนฯ ดังกล่าว โดยมีข้อสังเกตเพื่อประกอบการพิจารณาการดำเนินการตามแผนฯ ดังนี้
3.1 แนวทางและขั้นตอนการระดมเงินทุนและเงินกู้ตามแผนระดมทุนภาคเอกชนในโครงการ โรงไฟฟ้าราชบุรี ควรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาวะตลาดการเงินในขณะนั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ กฟผ. และผู้ใช้ไฟฟ้า
3.2 การดำเนินงานตามแผนการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีควรให้สอด คล้องกับแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจในสาขาพลังงาน ที่กำหนดให้มีตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Wholesale Power Pool) ภายในปี 2546 เพื่อให้เกิดการแข่งขันในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า การดำเนินงานตามแผนดังกล่าว เช่น การจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า การจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ และการจัดทำสัญญาอื่นๆ ควรกำหนดให้บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด บริษัทในเครือที่ 1 และบริษัทในเครือที่ 2 มีแรงจูงใจพร้อมทั้งให้โอกาสเข้าสู่การแข่งขันในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าได้ เมื่อบริษัทต้องการ
3.3 การกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้า ควรกำหนดเฉพาะราคาเฉลี่ยตลอดโครงการ (Levelized Price) เท่านั้น ซึ่งควรจะต่ำกว่าราคาเฉลี่ยที่รับซื้อของโครงการ IPP ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประมูลเสนอรายละเอียดโครงสร้างราคาซื้อขายไฟฟ้าเอง เช่น โครงสร้างค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) ในแต่ละปี รวมทั้ง ดัชนีในการปรับราคา (Indexation) เนื่องจากอาจจะเสนอโครงสร้างราคาที่แตกต่างกันตามความสามารถของผู้ประมูล ซึ่งจะทำให้ได้รับเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์มากขึ้นต่อผู้บริโภค และเพิ่มแรงจูงใจให้ เข้าสู่ระบบแข่งขันในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าด้วย
3.4 การกำหนดวิธีการประเมินราคาทรัพย์สิน การตีราคาทรัพย์สิน ควรจะต้องพิจารณา ร่วมกับราคาค่าไฟฟ้าและผลตอบแทนของโครงการเพื่อให้เกิดความสมดุลและเหมาะสม เนื่องจากจะมีผลกระทบถึงกัน
3.5 การจัดทำประกาศเชิญชวน (Terms of Reference : TOR) เพื่อคัดเลือกพันธมิตร ร่วมทุน อาจจัดทำเป็นชุดเดียวกันทั้งในระดับบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง และบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีทั้ง 2 แห่ง เพื่อไม่ให้เกิดความสลับซับซ้อน
3.6 กฟผ. ควรดำเนินการตามขั้นตอนขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลง ทุน เพื่อขออนุมัติในหลักการในการพิจารณาสิทธิประโยชน์ให้กับบริษัททั้งสาม ในการนี้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จะได้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้ทราบในเบื้องต้นก่อนจะนำ เสนอขออนุมัติในระดับนโยบายต่อไป
3.7 การขออนุมัติให้ กฟผ. จัดสรรกำไรที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินและหุ้นทั้งหมดเพื่อกิจกรรมของ กฟผ. ซึ่งกำหนดสัดส่วนในการจัดสรรกำไรร้อยละ 90 สำหรับการลงทุนและการชำระคืนเงินกู้ของ กฟผ. และร้อยละ 10 ให้กองทุนบริหารทรัพยากรบุคคลนั้น เป็นข้อเสนอที่น่าจะเป็นที่ยอมรับได้เนื่องจากเป็นที่ยอมรับของผู้บริหารและ พนักงาน กฟผ. สำหรับเงินส่งคลังนั้นกระทรวงการคลังสามารถพิจารณาเพิ่มอัตราเงินส่งคลัง (Remittance Rate) ได้ตามความเหมาะสมหากต้องการ
3.8 ตามที่ กฟผ. เสนอให้ (1) กฟผ. ขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง และ (2) บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง ขายหุ้นเพิ่มทุนแก่พนักงาน กฟผ. ได้ไม่เกิน 15% นั้น สัดส่วนที่แท้จริงที่จะขายให้พนักงานและราคา ควรมีการพิจารณาให้รอบคอบ โดยให้คำนึงถึงทั้งการมีส่วนร่วมของพนักงานในการระดมทุน สภาพตลาดการเงิน และผลประโยชน์ของประเทศโดยส่วนรวม
3.9 การประชาสัมพันธ์การแปรรูปของ กฟผ. ซึ่งรวมถึงการประชาสัมพันธ์ภายในองค์กร ควรแยกออกจากงานประชาสัมพันธ์ทั่วไป และดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนการแปรรูป กฟผ. ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพ สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่พนักงาน รวมถึงรูปแบบการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม และการให้ข้อมูลที่ถูกต้องสมบูรณ์แก่ทุกฝ่าย
4. การระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมบทบาทเอกชนและเพิ่มการแข่งขันในกิจการผลิตไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ในราคาที่เป็นธรรมและลดภาระการลงทุนของภาครัฐ และยังสามารถแก้ไขปัญหาสภาพคล่องด้านการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นกับ กฟผ. ได้ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะได้รับรายได้ประมาณ 55,000 ล้านบาท นอกจากนี้สามารถดำเนินการระดมทุนได้เร็ว และลดผลกระทบกับพนักงานเนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าใหม่ซึ่งไม่มีพนักงานประจำ
5. กฟผ. ได้ทำหนังสือหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาให้ความเห็น ว่า จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนิน การในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 หรือไม่ หากคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นว่าจะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วย การ ให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ ก็จะต้องปรับปรุงขั้นตอนการปฏิบัติงานเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติว่า ด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ ดังกล่าว แต่ทั้งนี้จะไม่มีผลกระทบต่อระยะเวลาในการดำเนินการมาก เพราะในช่วง ที่ผ่านมาได้มีการปฏิบัติงานตามแนวทางที่กำหนดในพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ แล้ว
6. ต่อมา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้เห็นชอบให้นำแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีเสนอคณะ กรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งแผนระดมทุนฯ ดังกล่าว สามารถสรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
6.1 โครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี เป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีทรัพย์สินต่างๆ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ชุดที่ 1-3 กำลังการผลิต 2,175 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อน เครื่องที่ 1 และ 2 กำลังการผลิต 1,470 เมกะวัตต์ และทรัพย์สินอื่นที่ใช้ร่วมกัน เช่น อาคารสำนักงาน แหล่งน้ำ และระบบบำบัดน้ำร้อน เป็นต้น
6.2 แนวทางการดำเนินการแปรรูปโรงไฟฟ้าราชบุรี มีขั้นตอนการดำเนินงานหลัก ดังนี้
(1) กฟผ. จะจัดตั้งบริษัท ราชบุรี โฮลดิ้ง โดย กฟผ. ถือหุ้นร้อยละ 100
(2) บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง และ กฟผ. ร่วมกันจัดตั้งบริษัทในเครือ 2 บริษัท คือ บริษัทผลิตไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี จำกัด (บริษัทในเครือที่ 1) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี จำกัด (บริษัทในเครือที่ 2) โดยบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง ถือหุ้นร้อยละ 75 และ กฟผ. ถือหุ้นร้อยละ 25
(3) กฟผ. ขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง ให้แก่พันธมิตรร่วมทุน 1 ในสัดส่วนร้อยละ 49 ในราคาประมูล และพนักงาน กฟผ. ในสัดส่วนร้อยละ 2 ในราคาของมูลค่าที่ตราไว้ จากนั้น บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง จะระดมเงินทุนโดยการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 ในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม คือ กฟผ. พันธมิตรร่วมทุน 1 และพนักงาน กฟผ. ซึ่ง กฟผ. จะยังคงถือหุ้นร้อยละ 49
(4) บริษัทในเครือที่ 1 เพิ่มทุนด้วยการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง และ กฟผ. ตามสัดส่วนการถือหุ้น 75:25 ต่อมา กฟผ. ขายหุ้นที่ถืออยู่ร้อยละ 25 ในบริษัทในเครือที่ 1 ให้แก่ พันธมิตรร่วมทุน 2 ในราคาประมูล
(5) บริษัทในเครือที่ 1 จัดหาเงินกู้เพื่อซื้อโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม และที่ดินจาก กฟผ. และในขณะเดียวกันบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง ก็รับโอนทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกันและที่ดินที่เหลือจากการแบ่งขายให้แก่บริษัท ในเครือที่ 1 และ 2 กำหนดการโอนประมาณเดือนกันยายน 2542
(6) บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัด และเพิ่มทุนครั้งที่ 2 โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป พนักงาน กฟผ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฟผ. ในขั้นตอนนี้ กฟผ. จะลดสัดส่วนลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 49
(7) บริษัทในเครือที่ 2 เพิ่มทุนและเสนอขายหุ้นแก่บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง และ กฟผ. ตามสัดส่วนการถือหุ้น 75:25 ต่อมา กฟผ. ขายหุ้นที่ถืออยู่ร้อยละ 25 ในบริษัทในเครือที่ 2 ให้แก่พันธมิตร ร่วมทุน 3 ในราคาประมูล
(8) บริษัทในเครือที่ 2 จัดหาเงินกู้เพื่อซื้อโรงไฟฟ้าพลังความร้อน และที่ดินจาก กฟผ. ตลอดจนรับโอนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนพร้อมทั้งชำระเงินให้แก่ กฟผ. กำหนดการโอนครั้งนี้ประมาณเดือนพฤษภาคม 2543
(9) ภายหลังจากที่ กฟผ. ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาทางการเงิน กฎหมาย เทคนิค และผู้ประเมินราคาทรัพย์สิน การระดมเงินทุนจากพันธมิตรร่วมทุนในบริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง และบริษัทในเครือทั้ง 2 ให้ดำเนินการขนานไปกับการระดมเงินกู้ของบริษัทในเครือทั้ง 2
7. สพช. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การแปรรูปโรงไฟฟ้าราชบุรีประสบความสำเร็จ และเพื่อให้เป็นไปตามแผนปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ สาขาพลังงาน จึงเห็นควรนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการ โรงไฟฟ้าราชบุรีตามที่ กฟผ. เสนอ โดยให้นำข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าใน การประชุมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2541 ใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการตามแผนดังกล่าว และให้ กฟผ. ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการตามแผนฯ ให้แล้วเสร็จตามกำหนด รวมทั้ง ให้หน่วยงานต่างๆ รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีตามที่ กฟผ. เสนอ โดยให้นำข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าใน การประชุมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2541 ใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการตามแผนดังกล่าวด้วย (รายละเอียดตามข้อ 4 ของเอกสารวาระที่ 4.3.1) ทั้งนี้ ในประเด็นของการจัดสรรกำไรที่ได้รับจากการจำหน่ายทรัพย์สินและหุ้นของ กฟผ. จะได้มีการพิจารณาระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง
ให้ กฟผ. ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการตามแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้า ราชบุรี เพื่อให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาของแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้า ราชบุรีที่กำหนดไว้
อนุมัติให้ กฟผ. ดำเนินการตามแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยการจัดตั้งบริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (บริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง) มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกประมาณ 300 ล้านบาท โดยระยะแรกให้ กฟผ. ถือหุ้นร้อยละ 100 หลังจากนั้นให้ กฟผ. ทยอยลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง เหลือระหว่างร้อยละ 33.3-42.5 โดยขายให้แก่พันธมิตรร่วมทุนในบริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง (พันธมิตรร่วมทุน 1) ในสัดส่วนระหว่างร้อยละ 33.3-42.5 ที่เหลือกระจายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป พนักงาน กฟผ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. ซึ่งจดทะเบียนแล้ว (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฟผ.) และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อนุมัติให้ กฟผ. และบริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง จัดตั้งบริษัทในเครืออีกสองบริษัท ได้แก่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี จำกัด (บริษัทในเครือที่ 1) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี จำกัด (บริษัทในเครือที่ 2) มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกประมาณ บริษัทละ 10 ล้านบาท โดยในระยะแรกบริษัท ในเครือที่ 1 และ 2 จะถือหุ้นโดยบริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง ในสัดส่วนร้อยละ 75 และถือหุ้นโดย กฟผ. ร้อยละ 25 และหลังจากนั้น กฟผ. จะดำเนินการขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดให้แก่พันธมิตรร่วมทุนของบริษัทในเครือ ที่ 1 (พันธมิตรร่วมทุน 2) และพันธมิตรร่วมทุนของบริษัทในเครือที่ 2 (พันธมิตรร่วมทุน 3) ตามลำดับ
อนุมัติในหลักการให้ กฟผ. ขาย (1) โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี รวมทั้ง ที่ดินให้แก่บริษัทในเครือที่ 1 (2) โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี รวมทั้ง ที่ดินให้แก่บริษัทในเครือที่ 2 และ (3) ทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกันระหว่างบริษัทในเครือที่ 1 และ 2 รวมทั้ง ที่ดินส่วนที่เหลือให้แก่บริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง
อนุมัติให้บริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง (กฟผ. จะถือหุ้นร้อยละ 100 ในระยะแรกประมาณ 8 เดือน) บริษัทในเครือที่ 1 และบริษัทในเครือที่ 2 ที่จัดตั้งขึ้นดังกล่าวข้างต้นได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบและมติ คณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจทั่วไปและยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตาม ระเบียบว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2522 เช่นเดียวกับกรณีที่บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ได้รับยกเว้นเมื่อคราวจัดตั้งบริษัทครั้งแรก
หากคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่าไม่ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการให้เอกชน เข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 แล้ว อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้า ราชบุรี (คณะกรรมการดำเนินการฯ) ซึ่งจะประกอบด้วย
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ประธานกรรมการ
ผู้แทนกระทรวงการคลัง กรรมการ
ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด กรรมการ
ผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการ
ผู้แทนบริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง กรรมการ
ผู้แทน กฟผ. กรรมการ
ผู้แทน กฟผ. กรรมการและเลขานุการ
โดยมีหน้าที่ ดังนี้
(1) กำกับดูแลการประเมินราคาทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีที่ดำเนินการโดย ผู้เชี่ยวชาญอิสระกำหนดราคาทรัพย์สินที่ กฟผ. จะขายให้บริษัท ราชบุรี โฮลดิ้ง และบริษัทในเครือ ทั้งสอง และกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะรับซื้อจากบริษัทในเครือทั้งสอง
(2) กำกับดูแลการจัดทำสัญญาทุกฉบับ ทั้งในส่วนของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ สัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน และสัญญาอื่นๆ ฯลฯ
(3) คัดเลือกพันธมิตรร่วมทุนทั้งสามราย
(4) กำหนดสัดส่วนและราคาหุ้นที่ กฟผ. ประสงค์จะขายให้แก่พันธมิตรร่วมทุนทั้งสามราย และพนักงาน กฟผ.
(5) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการและหรือคณะทำงานเพื่อดำเนินการในแต่ละเรื่องตามที่คณะกรรมการดำเนินการฯ เห็นควร
(6) นำผลการดำเนินงานตาม (1) ถึง (4) เสนอคณะกรรมการ กฟผ. เพื่ออนุมัติในกรณีที่ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ ให้ปรับปรุงองค์ประกอบของกรรมการฯ ข้างต้นให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535
อนุมัติให้ กฟผ. ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่าย กิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504 โดยให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ดำเนินการฯ ตามที่กล่าวไว้ในข้อ 7 เพื่อให้คณะกรรมการดำเนินการฯ พิจารณากำหนดราคาทรัพย์สินที่ กฟผ. จะขายพร้อมกับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะรับซื้อ ทั้งนี้ การกำหนดราคาทรัพย์สินดังกล่าวให้ดำเนินการด้วยวิธีการประเมินราคา โดยให้ กฟผ. คัดเลือกผู้เชี่ยวชาญการประเมินราคาทรัพย์สินที่เห็นว่าเหมาะสม 1 ราย และให้บริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง คัดเลือก 1 ราย แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองรายดังกล่าวร่วมกันคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญ การประเมินราคาทรัพย์สินที่น่าเชื่อถืออีก 2 ราย รวมเป็น 4 ราย ทำการประเมินราคาทรัพย์สินของโครงการ โรงไฟฟ้าราชบุรีทั้งหมด เมื่อได้ราคาประเมินจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 4 รายแล้ว ให้ตัดราคาประเมินสูงสุดและต่ำสุดออก และนำราคาประเมินทรัพย์สินที่เหลือมาเฉลี่ยเป็นราคาประเมินของทรัพย์สินที่ กฟผ. จะขายให้แก่บริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง และบริษัทในเครือทั้งสอง ทั้งนี้ ต้องไม่ต่ำกว่าราคาตามบัญชีสุทธิ
อนุมัติในหลักการให้ กฟผ. จัดทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน สัญญาซื้อขายไฟฟ้า สัญญาซื้อขายหุ้น และสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น โดยใช้สัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินระหว่าง กฟผ. กับบริษัท ผลิตไฟฟ้า ขนอม จำกัด สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (Independent Power Producer) และ/หรือกับบริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด สัญญาซื้อขายหุ้น และสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นระหว่าง กฟผ. กับบริษัท CLP Power Projects (Thailand) Limited เป็นต้นแบบ
อนุมัติให้สัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน สัญญาซื้อขายไฟฟ้า และสัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายโรงไฟฟ้า รวมทั้ง สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น และสัญญาซื้อขายหุ้น จัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
อนุมัติในหลักการให้กำหนดค่าไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดอายุสัญญา (Levelized Price) ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี โดยเปรียบเทียบกับค่าไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ดังนี้
(1) ค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรีจะกำหนดโดยเปรียบเทียบเฉพาะผล รวม ของค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า (Availability Payment : AP) และค่าใช้จ่ายผันแปรใน การผลิตและบำรุงรักษา (Variable Operation & Maintenance : VOM) กับผู้ผลิตไฟฟ้า เอกชนประเภทโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งผลรวมของ AP และ VOM จะต้องต่ำกว่าค่ากลาง (Median) ของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนดังกล่าว
(2) ค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรีจะกำหนดโดยเปรียบเทียบค่าไฟฟ้ารวม ซึ่งประกอบด้วย ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า (AP) และค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Payment : EP) กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนประเภทโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อ เพลิง ซึ่งค่าไฟฟ้ารวม (AP+EP) จะต้องต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (Average) ของผู้ผลิตไฟฟ้า เอกชนดังกล่าว
12.อนุมัติให้ กฟผ. ดำเนินการขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง ให้แก่พันธมิตรร่วมทุน 1 และขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทในเครือที่ 1 และบริษัทในเครือที่ 2 ให้แก่พันธมิตรร่วมทุน 2 และ 3 ตามลำดับ
13.อนุมัติให้ กฟผ. ขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง แก่พนักงาน กฟผ. ในราคาตามมูลค่า ที่ตราไว้ (par) โดยจะมีการกำหนดช่วงระยะเวลาที่ห้ามพนักงาน กฟผ. ขายหุ้นในส่วนนี้ (lock up period)
14.อนุมัติให้บริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง ขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งที่ 1 ให้แก่พนักงาน กฟผ. ในราคาตามมูลค่าที่ตราไว้ (par) และขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งที่ 2 ให้แก่พนักงาน กฟผ. ในราคาตามมูลค่าที่ตราไว้ (par) และราคาที่ต่ำกว่าราคาที่เสนอขายประชาชน โดยจะมีการกำหนดช่วงระยะเวลาที่ห้ามพนักงาน กฟผ. ขายหุ้นที่ได้รับจากการเพิ่มทุนทั้งสองครั้ง (lock up period)
15.ให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง พิจารณายกเว้นให้ กฟผ.มิต้องปฏิบัติตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ข้อ 2(4) ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามนำภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารหรืออสังหาริม ทรัพย์อื่น เพื่อใช้หรือจะใช้ในกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและต่อมา ได้ขายหรือให้เช่า หรือนำไปใช้ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้เฉพาะที่ได้กระทำภายในสามปีนับแต่เดือนภาษีที่ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ มาหักในการคำนวณภาษีเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร
16.ให้หน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้ความอนุเคราะห์ ให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกในการขอรับการอนุมัติ และใบอนุญาตต่างๆ ที่จำเป็นในการซื้อขายและประกอบกิจการของบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง และบริษัทในเครือที่ 1 และ 2 เพื่อให้ทันกำหนดการโอนทรัพย์สิน ดังนี้
(1) ให้สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พิจารณาอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของท่าเทียบเรือที่ใช้ ในการขนส่ง น้ำมันเชื้อเพลิง บริเวณตำบลบางป่า (คลองลาด) อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี
(2) ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมพิจารณา อนุมัติออกใบอนุญาตผลิตพลังงานควบคุมให้แก่บริษัทในเครือที่ 1 และ 2
(3) ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาอนุมัติออกใบอนุญาตตั้งโรงงาน ให้ กฟผ. และโอนใบอนุญาตดังกล่าวให้บริษัทราชบุรีโฮลดิ้งและบริษัทในเครือที่ 1 และ 2
(4) ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาอนุมัติออกใบอนุญาตประกอบ กิจการโรงงานให้บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง และบริษัทในเครือที่ 1 และ 2
(5) ให้กรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทย พิจารณาอนุมัติออกสัมปทานการประกอบกิจการไฟฟ้าในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังความ ร้อนร่วมราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี ให้บริษัทในเครือที่ 1 และ 2 ตามระยะเวลาของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
(6) ให้กรมโยธาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงมหาดไทย พิจารณาอนุมัติออกใบอนุญาตตั้งถังน้ำมันเชื้อเพลิง และเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงให้ กฟผ. และโอนใบอนุญาต ดังกล่าวให้แก่บริษัทในเครือที่ 1 และ 2
(7) ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาให้การส่งเสริมการลงทุนแก่บริษัท ราชบุรี โฮลดิ้ง และบริษัทในเครือที่ 1 และ 2 โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เท่ากับที่ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่อยู่ในเขต 3 ได้รับ
(8) ให้กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย เร่งรัดและอำนวยความสะดวกในการดำเนินการรังวัด ออกโฉนด วมโฉนดและแบ่งแยกที่ดินในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี และจดทะเบียนโอนขายที่ดินที่แบ่งแยกเรียบร้อยแล้วให้แก่บริษัทราชบุรีโฮ ลดิ้ง และบริษัทในเครือที่ 1 และ 2
(9) ให้กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาอนุมัติออกใบอนุญาต สร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ คือ สถานีสูบน้ำ สถานีสูบน้ำมันเชื้อเพลิงและท่าเทียบเรือให้ กฟผ. และโอนใบอนุญาตดังกล่าวให้แก่บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง และ/หรือบริษัทในเครือที่ 1 และ 2
(10) ให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาอนุมัติให้บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง และ/หรือบริษัทในเครือที่ 1 และ 2 ใช้น้ำจากแหล่งน้ำ และทางน้ำสาธารณะในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีได้
(11) ให้กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พิจารณาอนุมัติให้บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง ได้สิทธิการเช่าที่ ราชพัสดุ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินอันเป็นบริเวณของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
(12) ให้กรมที่ดิน และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการเพิกถอนสภาพหนองน้ำสาธารณะ และทางสาธารณะซึ่งอยู่ในบริเวณโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี และขายที่ดินอันเป็น หนองน้ำสาธารณะและทางสาธารณะที่ถูกเพิกถอนนั้นให้แก่ กฟผ. และโอนให้แก่บริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง และ/หรือบริษัทในเครือที่ 1 และ 2
(13) ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้ความอนุเคราะห์ ความร่วมมือ และอำนวยความสะดวก ในการดำเนินการในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูป และการจะซื้อจะขายทรัพย์สินของ โครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีจนกว่าจะแล้วเสร็จ
17.หลังจากที่ กฟผ. ได้จัดทำร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน และร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า เสร็จเรียบร้อยแล้ว มอบหมายให้ กฟผ. นำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและ คณะรัฐมนตรี ดังนี้
(1) การขออนุมัติราคาทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีที่ กฟผ. จะขายและโอนให้บริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง และบริษัทในเครือที่ 1 และ 2 ตามสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินและการขอ อนุมัติอัตราค่าไฟฟ้าอันกำหนดโดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าพลัง ความร้อนร่วมราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี
(2) การขออนุมัติให้ กฟผ. ขายและโอนทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้บริษัทราชบุรี โฮลดิ้ง และบริษัทในเครือที่ 1 และ 2 ได้ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินและหากสภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยให้ บริษัทในเครือทั้งสองหาเงินกู้ได้ครบตามจำนวนมูลค่าทรัพย์สินที่จะซื้อจาก กฟผ. แล้ว ขอให้ กฟผ. สามารถรับชำระค่าขายทรัพย์สินจากบริษัท ในเครือที่ 1 และ 2 เป็นงวดๆ โดยให้บริษัทในเครือทั้งสองผ่อนชำระเฉพาะส่วนที่บริษัท หาเงินกู้ได้ไม่ครบ โดยอาจให้บริษัทในเครือทั้งสองนำตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทมาวางต่อ กฟผ. เพื่อเป็นประกันการผ่อนชำระดังกล่าว
(3) การขออนุมัติให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี และโรงไฟฟ้า พลังความร้อนราชบุรีได้ตามร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
18.เมื่อคณะกรรมการ กฟผ. อนุมัติ (1) ผลการคัดเลือกพันธมิตรร่วมทุน และราคาหุ้นที่ กฟผ. จะขายให้แก่พันธมิตรร่วมทุนตามที่คณะกรรมการดำเนินการฯ ได้พิจารณา และ (2) ให้ กฟผ. ลงนามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นกับพันธมิตรร่วมทุน 1 และสัญญาซื้อขายหุ้นกับพันธมิตรร่วมทุนทั้งสามรายแล้ว มอบหมายให้ กฟผ. นำเสนอผลการดำเนินการตาม (1) และ (2) ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 ให้ปรับปรุงนโยบายราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและต่อมาคณะกรรมการพิจารณานโยบาย พลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2540 เห็นชอบแนวทางและ ขั้นตอนการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยให้ใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" ในช่วงแรก ซึ่งรัฐยังควบคุมราคา แต่ให้ราคาขายส่งและขายปลีกเปลี่ยนแปลงตามราคาตลาดโลก รวมทั้ง ให้แก้ไขกฎเกณฑ์เพื่อเพิ่มการแข่งขันในตลาดให้เพียงพอ และหลังจากนั้น จะใช้ระบบราคา "ลอยตัวเต็มที่" เพื่อยกเลิกการควบคุมราคาโดยสมบูรณ์ต่อไป
2. ระบบการค้าและการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในปัจจุบัน รัฐบาลได้กำหนดราคาและค่าการตลาดก๊าซหุงต้มในระดับที่ต่ำก่อให้เกิดปัญหา ความไม่ปลอดภัยต่อส่วนรวม มีการเอาเปรียบผู้บริโภคและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ค้าที่สุจริต เช่น การไม่ซ่อมบำรุงรักษาถัง การเรียกเก็บเงินค่ามัดจำถังใหม่สูงเกินสมควร การบรรจุก๊าซไม่เต็มน้ำหนัก และการบรรจุก๊าซใส่ถังก๊าซของผู้ค้าอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะได้พยายามดำเนินการตรวจสอบและปราบปรามอย่างจริงจัง แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของบุคลากรและอำนาจตามกฎหมาย ทำให้ไม่สามารถปราบปรามให้การกระทำผิดดังกล่าวหมดไปได้
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดทำข้อเสนอแนวทางและขั้นตอนการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยก๊าซปิโตรเลียมเหลว มีรายละเอียด ดังนี้
3.1 แนวทางการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและการปรับปรุงระบบการค้า และมาตรฐานความปลอดภัยก๊าซปิโตรเลียมเหลว มีแนวทางสรุปได้ดังนี้
(1) ส่งเสริมการแข่งขันในระบบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวอย่างเสรี โดยปรับปรุงระบบการค้าก๊าซหุงต้ม จากปัจจุบันซึ่งเป็นการซื้อขายน้ำก๊าซตัดตอน ให้เป็นการบรรจุก๊าซโดยผู้ค้าก๊าซ มาตรา 6 นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถใช้คลังก๊าซของการปิโตรเลียมแห่งประเทศ ไทย (ปตท.) และให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพื่อ เพิ่มการแข่งขันในระดับร้านค้าปลีก
(2) ปรับปรุงระบบความปลอดภัย โดยการขจัดถังขาวออกจากตลาด และไม่ให้มีการผลิตถังขาวอีกต่อไป
(3) แก้ไขปัญหาการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ขจัดปัญหาการบรรจุก๊าซขาดน้ำหนัก และลดค่ามัดจำถังก๊าซหุงต้มสู่ระดับที่เป็นธรรม รวมทั้ง การคืนเงินมัดจำถังก๊าซหุงต้ม โดยรัฐคุ้มครองดูแลให้ ผู้บริโภคได้รับเงินมัดจำคืนอย่างเป็นธรรม
(4) เพิ่มขีดความสามารถในการตรวจสอบจับกุมผู้กระทำผิด โดยให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานหนึ่งสามารถสนับสนุนและส่งเสริมการตรวจสอบของ อีกหน่วยงานได้
(5) การประชาสัมพันธ์ให้ผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ หน่วยงานของรัฐ ผู้ค้า โรงบรรจุ ผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค มีความเข้าใจในนโยบาย ขั้นตอนการดำเนินการ และประโยชน์ที่จะได้รับจากการยกเลิกการควบคุม ราคาก๊าซฯ รวมทั้งการใช้ผลิตภัณฑ์ก๊าซหุงต้มอย่างปลอดภัย
3.2 ขั้นตอนการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยก๊าซปิโตรเลียมเหลว มีขั้นตอนสรุปได้ดังนี้
(1) ขั้นตอนการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
-การเตรียมการ เพื่อซักซ้อมนโยบายและขั้นตอนการปฏิบัติ
-การยกเลิกการควบคุมราคาขายปลีก โดยลดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและติดตามตรวจสอบราคาขายปลีก
-การดำเนินการภายหลังการยกเลิกการควบคุมราคาขายปลีก และเตรียมการสู่การลอยตัวเต็มที่ โดยให้ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นมีการเปลี่ยนแปลงตามตลาดโลก ให้มีมาตรการในการกำกับดูแลการกำหนดราคาและดำเนินการเมื่อพบการกำหนด ราคาที่สูงเกินความเหมาะสม
-การใช้ระบบราคา "ลอยตัวเต็มที่" โดยสมบูรณ์ ยกเลิกการกำหนดราคาโดยรัฐ ทยอยลดอัตราเงินชดเชยค่าขนส่ง และใช้บัญชีค่าขนส่งมาตรฐานเป็นเกณฑ์ในการ กำหนดราคาของแต่ละจังหวัด
(2) ขั้นตอนการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยก๊าซปิโตรเลียมเหลว
-การส่งเสริมการแข่งขัน โดยเปิดให้มีผู้ค้ารายใหม่เข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น มีจุดจำหน่ายปลีกเพิ่มขึ้น และการใช้บริการคลัง ปตท. อย่างเท่าเทียมกัน
-การแก้ไขความไม่เป็นธรรมในระบบการค้า โดยออกกฎเกณฑ์ห้ามซื้อขายน้ำก๊าซ ระหว่างผู้ค้ากับโรงบรรจุ และกำหนดให้มีเครื่องหมายประจำตัวผู้บรรจุ เพื่อป้องกัน การบรรจุน้ำก๊าซในถังของผู้ค้าอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และการบรรจุไม่เต็มถัง การคุ้มครองให้ผู้บริโภคได้รับคืนเงินมัดจำถัง รวมทั้ง การลดค่ามัดจำถังใหม่
-ความปลอดภัย โดยควบคุมการผลิตถังขาว และขจัดถังขาวในตลาด โดยให้ผู้ค้า ก๊าซลดค่ามัดจำถังก๊าซใหม่ และรับแลกถังขาวกับถังก๊าซของผู้ค้า
(3) ขั้นตอนการประชาสัมพันธ์
-ประชาชน เพื่อให้เข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการยกเลิกการควบคุมราคา การปรับปรุงระบบการค้าและความปลอดภัย
-หน่วยงานของรัฐ เพื่อทำความเข้าใจในนโยบายและขั้นตอนการปฏิบัติโดยการจัดประชุมและสัมมนา
-ผู้ประกอบการ ผู้ค้าก๊าซ โรงบรรจุและร้านค้าปลีก เพื่อให้สามารถปรับตัวสู่ระบบ การค้าใหม่ โดยการพบปะ ประชุมและสัมมนา
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางและขั้นตอนการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยของก๊าซปิโตรเลียมเหลว ตามรายละเอียดในข้อ 3 และ ข้อ 4 ของเอกสารประกอบวาระ 5.1
2.เห็นชอบให้ สพช. และกรมการค้าภายในมีการติดตามกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดในพื้นที่ซึ่งการแข่งขัน ยังไม่สมบูรณ์และอาจทำให้มีการผูกขาด และให้ ปตท. ในฐานะที่เป็นกลไกของรัฐทำหน้าที่แทรกแซงราคาเพื่อไม่ให้มีการผูกขาด
เรื่องที่ 10 การผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. สืบเนื่องจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ธุรกิจและอุตสาหกรรม ทำให้ต้องปรับลดปริมาณการผลิตเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายทางด้าน ค่าไฟฟ้าไม่สามารถปรับลดลงได้เท่าที่ควร เนื่องจากหลักเกณฑ์การคิดอัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุด ซึ่งกำหนดให้ค่าไฟฟ้าขั้นต่ำในแต่ละเดือน ต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) ที่สูงสุด ในรอบ12 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรม ได้ร้องเรียนขอผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าต่ำสุดเป็นจำนวนมาก
2. การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้กำหนดหลักเกณฑ์การคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำสำหรับผู้ใช้ ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลางและกิจการขนาดใหญ่ ที่มีความต้องการพลังไฟฟ้าเฉลี่ยใน 15 นาทีสูงสุดตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ขึ้นไป โดยในช่วงก่อนเดือนธันวาคม 2534 คิดในอัตราร้อยละ 30 และภายหลังการปรับปรุงโครงสร้าง ค่าไฟฟ้าในเดือนธันวาคม 2534 มีการเปลี่ยนแปลงค่าไฟฟ้าขั้นต่ำเป็นอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) ที่สูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาสิ้นสุดในเดือนปัจจุบัน
3. การกำหนดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำได้มีการปรับปรุงเมื่อเดือนธันวาคม 2540 เพื่อเป็นการช่วยเหลือ ภาคอุตสาหกรรมในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยกำหนดให้มีการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำในอัตราร้อยละ 70 ของ ค่าความต้องการพลังไฟฟ้าที่สูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา การนับย้อนหลัง 12 เดือน จะนับไม่เกินเดือนตุลาคม 2540 ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บประจำเดือนมกราคม 2541 เป็นต้นไป
4. สพช. ได้หารือกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และมีข้อเสนอการปรับปรุงลักษณะการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ ดังนี้
4.1 เนื่องจากความต้องการพลังไฟฟ้าของระบบได้เปลี่ยนแปลงไป โดยมีลักษณะเป็นฤดูกาล ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน ดังนั้น ควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำให้สอดคล้องกัน โดยค่าไฟฟ้าขั้นต่ำจะคำนวณจากความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในรอบ 12 เดือน ที่ผ่านมา สิ้นสุดในเดือนปัจจุบัน โดยคำนวณเฉพาะค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในช่วงเดือนที่ระบบมีความต้อง การใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak Month) คือระหว่างเดือนมีนาคม - มิถุนายน
4.2 เนื่องจากปริมาณกำลังผลิตสำรอง (Reserve Margin) ของประเทศมีแนวโน้มจะสูงขึ้นมาก ประกอบกับภาคเอกชนได้รับผลกระทบอย่างมากจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงเห็นควรพิจารณาผ่อนผันหลักเกณฑ์การคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำเป็นการชั่วคราว จากร้อยละ 70 ของค่าความต้องการพลังไฟฟ้าที่ สูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เหลือเพียงร้อยละ 0 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2542 เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้ หากต่อไปในอนาคต กำลังการผลิตสำรองลดต่ำกว่าระดับมาตรฐาน ให้พิจารณาเพิ่มอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
5. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำตามข้อ 4 ผู้ใช้ไฟที่จะได้รับประโยชน์ คือ ผู้ใช้ไฟที่มีลักษณะการใช้ไฟฟ้าเป็นฤดูกาล หรือผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอ และหากค่าความต้องการใช้ไฟฟ้า สูงสุดไม่อยู่ในช่วงเดือนที่ระบบมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak Month : มีนาคม-มิถุนายน) ด้วย ก็จะได้รับประโยชน์มากยิ่งขึ้น สำหรับผลกระทบต่อการไฟฟ้า จะทำให้รายได้ของการไฟฟ้าลดลงเล็กน้อย กล่าวคือ รายได้ของการไฟฟ้านครหลวงจะลดลงประมาณ 10.6 ล้านบาท/เดือน รายได้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคลดลง 32.6 ล้านบาท/เดือน
มติของที่ประชุม
1.ให้ปรับปรุงลักษณะการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ โดยให้คำนวณจากความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (สิ้นสุดในเดือนปัจจุบัน) โดยคำนวณเฉพาะค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในช่วงเดือน ที่ระบบมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak Month) คือ ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน
2.ให้ผ่อนผันหลักเกณฑ์การคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำเป็นการชั่วคราว จากร้อยละ 70 ของค่าความ ต้องการพลังไฟฟ้าที่สูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ตามหลักเกณฑ์ในข้อ 1 เหลือเพียงร้อยละ 0 เป็นการ ชั่วคราว ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2542 เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้ หากต่อไปในอนาคต กำลังการผลิตสำรองลดต่ำกว่าระดับมาตรฐาน ให้พิจารณาเพิ่มอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
เรื่องที่ 11 เรื่องอื่นๆ
ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม (นายปรีชา อรรถวิภัชน์) ได้ขอให้มีการบันทึกไว้ในที่ประชุมนี้เกี่ยวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2542 ซึ่งได้มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาการใช้ก๊าซ ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ มีความมั่นคง สมดุล และเกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ทรัพยากรพลังงานของประเทศ ว่ากระทรวงอุตสาหกรรม จะร่วมกับ สพช. และ ปตท. รับไปจัดทำแผน เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมนี้ต่อไป