Super User
รายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง นักทรัพยากรบุคคลปฏิบัติการ วันที่ 4 กันยายน 2558
กพช. ครั้งที่ 75 - วันพุธที่ 26 เมษายน 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 75)
วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2543 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
3.ความคืบหน้าในการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
4.ความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนระดมทุนจากภาคเอกชน ในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
5.ราคาค่าไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในช่วง 10 วันแรกของเดือนเมษายนลดลง 3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากผลการประชุมตกลงเพิ่มเป้าหมายการผลิตในกลุ่มประเทศโอเปคเป็น 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน หลังจากนั้นราคาน้ำมันดิบได้เพิ่มขึ้น 1.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามที่องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) ได้คาดการณ์ไว้ และหากปริมาณน้ำมันในตลาดโลกไม่เพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อให้พอเพียงกับความต้องการในระดับ 77 ล้านบาร์เรล/วันแล้ว ในช่วงปลายปีราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวสูงขึ้นประกอบกับปริมาณสำรองทางการค้า ของน้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ในระดับต่ำได้ลดลงไปอีกจึงมีผลให้ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบในปลายสัปดาห์ที่สามของเดือนอยู่ในระดับ 22.3 - 27.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในเดือนเมษายน ปรับตัวอยู่ในทิศทางเดียวกับน้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมันเบนซินในช่วง 10 วันแรก ปรับตัวลดลง 2.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่จากปริมาณสำรอง ทางการค้าของน้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาได้ลดลง ทำให้ความต้องการนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น และความต้องการใช้เชื้อเพลิงที่เริ่มสูงขึ้นตามสภาพอากาศที่อุ่นขึ้น ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้น 3.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 ขึ้นไปอยู่ในระดับ 29.5 และ 28.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ในวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ส่วนน้ำมันดีเซล ก๊าด และเตา ราคาได้ลดลงตามปริมาณความต้องการที่ลดลง 3.4, 0.6 และ 3.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 26.1, 28.8 และ 24.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยในเดือนเมษายนปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินทุกชนิดปรับลง 3 ครั้ง รวม 0.70 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วปรับลง 4 ครั้ง รวม 1.05 บาท/ลิตร มีผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, 87 และดีเซลหมุนเร็ว ในวันที่ 20 เมษายน 2543 อยู่ในระดับ 13.99, 12.99, 12.57 และ 11.12 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่อ่อนตัวลง ทำให้ผู้ค้ามีความยืดหยุ่นในการปรับราคาขายปลีก ส่งผลให้ค่าการตลาดในเดือนเมษายนปรับขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับปี 2541 คือ 1.29 บาท/ลิตร ในขณะที่ความ เคลื่อนไหวของราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์อยู่ในเกณฑ์ปกติ ค่าการกลั่นจึงได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 0.9068 บาท/ ลิตร
5. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกเดือนเมษายน 2543 ลดลง 23 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ในระดับ 302 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ทำให้ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศอยู่ในระดับ 11.52 บาท/กิโลกรัม โดยมีอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 6.87 บาท/กิโลกรัม และราคามีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงในเดือนพฤษภาคมมาอยู่ในระดับ 265 - 270 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ซึ่งจะทำให้อัตราเงินชดเชยจากกองทุน น้ำมันฯ ลดลงประมาณ 1.30 บาท/กิโลกรัม
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ สิ้นเดือนเมษายนอยู่ในระดับ 1,525 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ให้สามารถตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้นานยิ่งขึ้น จึงได้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 0.10 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2543 และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล 0.15 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2543 ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นเป็น 378 ล้านบาท/เดือน ซึ่งเมื่อคำนึงถึงแนวโน้มราคาก๊าซที่จะลดลงในเดือนพฤษภาคมแล้ว คาดว่าจะสามารถตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้นานประมาณ 4 เดือน
7. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้เตรียมมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สามารถตรึง ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้นานขึ้น ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2543 โดยมีแนวทางในการดำเนินการ ดังนี้
(1) การปรับขึ้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งปัจจุบันอัตราเงินส่งเข้ากองทุน น้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตา เท่ากับ 0.25, 0.10, 0.15 และ 0.06 บาท/ลิตร ตามลำดับ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับรวม 378 ล้านบาท/เดือน และหากปรับขึ้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเตาในระดับ 0.10 บาท/ลิตร จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 61, 125 และ 61 ล้านบาท/เดือน
(2) การปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยใช้ฐานที่ต่ำกว่าราคาเปโตรมิน (CP) ในระดับต่างๆ กันคือ CP-10, CP-15, CP-20 และ CP-30 เหรียญสหรัฐฯ จะทำให้อัตราเงินชดเชยของก๊าซฯ ลดลง 0.38, 0.57, 0.76 และ 1.14 บาท/กิโลกรัม หรือลดลง 48, 73, 97 และ 145 ล้านบาท/เดือน ตามลำดับ
(3) การปรับราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2542 มอบอำนาจให้ สพช. เป็นผู้ดำเนินการปรับราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยให้รักษาระดับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับ 1,800 - 4,000 ล้านบาท หรือ ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต้องอยู่ในระดับพอเพียงกับการสนับสนุนรายจ่ายไม่ต่ำกว่า 4 เดือน และกำหนดขอบเขตการเปลี่ยนแปลงราคา ขายส่งที่สามารถปรับได้ทันทีครั้งละไม่เกิน 1 บาท/ลิตร หากนอกขอบเขตที่กำหนดให้ขออนุมัติจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก่อน การขึ้นราคาขายส่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มในระดับ 0.10 -1.00 บาท/กิโลกรัม จะส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับขึ้นในระดับเดียวกัน และอัตราชดเชยก๊าซฯ จะลดลงในระดับ 0.09-0.93 บาท/กิโลกรัม หรือ ลดลงในระดับ 12-119 ล้านบาท/เดือน
8. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้จัดทำแถลงการณ์แสดงความชื่นชมต่อการตัดสินใจเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันของ โอเปคส่งผ่านไปยังสื่อต่างๆ และได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีพลังงานสหรัฐอเมริกา (Mr. Bill Richardson) ซึ่งจะเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคในเดือนพฤษภาคม 2543 นี้ โดยเสนอให้มีการหยิบยกประเด็นในเรื่องความมั่นคงทางด้านพลังงานและความแตก ต่างของราคา น้ำมันดิบที่กลุ่มโอเปคส่งออกมายังประเทศแถบเอเชียและตะวันออกไกลซึ่งมีราคา สูงกว่าที่ส่งออกไปยังประเทศแถบยุโรปขึ้นหารือในที่ประชุมด้วย นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือถึงประเทศสหรัฐ อเมริกา เม็กซิโก บาห์เรน และอินโดนีเชีย ในการส่งเสริมความร่วมมือซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดดุลยภาพในการผลิตและการ บริโภคน้ำมัน รวมทั้ง การสร้างเสถียรภาพราคาน้ำมันให้เกิดขึ้นในโลก
9. คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2543 ได้มีการพิจารณาค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และมีมติเห็นชอบให้ปรับค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนเมษายน - กรกฎาคม 2543 เท่ากับ 61.52 สตางค์/หน่วย หรือเพิ่มขึ้นจากเดิม 5.20 สตางค์/หน่วย ซึ่งการปรับค่า Ft ดังกล่าว จะมีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าน้อยมากโดยค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บจากประชาชน จะเพิ่มขึ้นจาก 2.23 บาท/หน่วย เป็น 2.28 บาท/หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.33
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
2.มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปพิจารณาความเหมาะสมของการใช้แต่ละแนวทางในการแก้ไขปัญหากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงติดลบ โดยเห็นว่าการให้ประชาชนรับทราบต้นทุนที่แท้จริง และใช้แนวทางในการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นแนวทางที่ควรดำเนินการ
3.มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปจัดทำรายงานความคืบหน้าในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนจากวัสดุ เหลือใช้ทางการเกษตรให้ที่ประชุมทราบในการประชุมคราวต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 เห็นชอบแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการ ยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว" และการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งตามแนวทางและขั้นตอนดังกล่าวต้องมีการดำเนินการส่งเสริมการแข่งขันใน ระบบการค้าเสรี การปรับปรุงระบบความปลอดภัย การแก้ไขปัญหาการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค การเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจสอบจับกุมผู้กระทำผิด และการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ โรงบรรจุ ร้านค้าปลีก รวมถึงประชาชน ผู้บริโภคทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจในการปรับปรุงระบบการค้าและเข้าใจใน มาตรฐานความปลอดภัยของก๊าซปิโตรเลียมเหลวมากขึ้น
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการตามแนวทางและขั้นตอนดังกล่าวข้าง ต้น ซึ่งมีความคืบหน้าในการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
2.1 การยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สพช. ได้จัดประชุมสัมมนาสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติของหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องในระดับจังหวัด เพื่อทำความเข้าใจในนโยบายและซักซ้อมวิธีปฏิบัติ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2542 จำนวน 5 ครั้ง ในเขตกรุงเทพฯ และทุกภูมิภาค รวมทั้งได้มีการประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ เป็นระยะๆ นอกจากนี้ ได้มีการออกประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่น ราคานำเข้า การปรับราคาขายส่งและค่าการตลาดเป็นระยะๆ เพื่อให้สอดคล้องกับราคาในตลาดโลก
(2) กรมการค้าภายใน ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด ฉบับที่ 258 พ.ศ. 2542 กำหนดให้โรงบรรจุก๊าซและร้านค้าก๊าซปิดป้ายแสดงราคา ณ สถานที่จำหน่าย เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2542 เป็นต้นมา และต่อมาได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด ฉบับที่ 259 พ.ศ. 2542 กำหนดให้โรงบรรจุก๊าซและร้านค้าก๊าซในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต้องแจ้งราคาขายส่ง ณ โรงบรรจุ และราคาขายปลีก ณ ร้านค้าก๊าซต่อกรมการค้าภายใน ส่วนต่างจังหวัดให้แจ้งต่อสำนักงานการค้าภายในจังหวัด และจากการส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจร้านค้าก๊าซพบว่าส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือใน การปรับลดราคาขายปลีกตามนโยบายราคาก๊าซลอยตัวของรัฐเป็นอย่างดี
2.2 การส่งเสริมการแข่งขัน ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สพช. ร่วมกับกรมทะเบียนการค้า ได้ศึกษาแนวทางการแยกเงื่อนไขของผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว ออกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 รวมถึงศึกษาเงื่อนไขของการเป็นผู้ค้าก๊าซฯ ที่เหมาะสม ทั้งปริมาณการค้าและมาตรการดูแลการเข้าสู่ธุรกิจและการจะออกจากธุรกิจที่ เข้มงวด เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องรับภาระจากการเลิกกิจการ โดยในขั้นนี้ได้มีการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ให้กำหนดปริมาณการค้าขั้นต่ำของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ที่จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพียงปีละ 50,000 เมตริกตัน จากเดิม 100,000 เมตริกตัน ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
(2) กรมโยธาธิการได้ออกประกาศกรมโยธาธิการ เรื่อง มาตรฐานความปลอดภัยของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทที่ 1 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 เพื่อกำหนดให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง สามารถจำหน่ายก๊าซหุงต้มได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการแข่งขันการจำหน่ายก๊าซหุงต้มในระดับค้าปลีก
2.3 การแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมในระบบการค้า ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สพช. ได้นำเสนอนายกรัฐมนตรี ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2542 ลงวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2542 แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2540 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 12 กันยายน 2540 เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ในระบบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้มีความเป็นธรรม โดยกำหนดให้ผู้ค้าก๊าซต้องรับผิดชอบการบรรจุก๊าซลงถังก๊าซหุงต้มภายใต้ เครื่องหมายการค้าของตน และการบรรจุก๊าซเต็มตามน้ำหนัก
(2) กรมทะเบียนการค้าได้ออกประกาศ เรื่อง ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 รายอื่น หรือ ผู้บรรจุก๊าซรายใด เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน การขอรับและการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ และการปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้ม ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2542 เพื่อให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มจัดให้มีการบรรจุก๊าซหุงต้ม สามารถมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 รายอื่นหรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้ และเพื่อให้การบรรจุก๊าซต้องทำการปิดผนึกวาล์วถังก๊าซหุงต้มทุกครั้งที่ บรรจุก๊าซ และต้องมีเครื่องหมายประจำตัวผู้บรรจุก๊าซแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น (Seal) ถังก๊าซหุงต้ม
(3) สพช. ร่วมกับหน่วยปฏิบัติได้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อร่วมกันดำเนินการตรวจสอบ จับกุมผู้กระทำผิดที่ไม่ปฏิบัติตามประกาศกรมทะเบียนการค้า ประกอบด้วย คณะที่ 1 ทำหน้าที่ตรวจสอบแทนกันในส่วนกลาง คณะที่ 2 ทำหน้าที่ตรวจสอบแทนกันในส่วนภูมิภาค และคณะที่ 3 ทำหน้าที่ปราบปรามและป้องกันการผลิตถังขาวเพื่อจำหน่ายในประเทศของโรงงาน ผลิตถังก๊าซหุงต้มทั่วประเทศ นอกจากนี้ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับแลกเปลี่ยนถังก๊าซหุงต้มขึ้นทั้งในระดับ จังหวัดและระดับประเทศ เพื่อทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย และเร่งรัดการแลกเปลี่ยนถังก๊าซหุงต้มระหว่างโรงบรรจุในจังหวัด เพื่อลดปัญหาในจังหวัดให้เหลือน้อยที่สุดแล้วแจ้งปัญหาของจังหวัดที่เหลือ อยู่มายังคณะกรรมการระดับประเทศ เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้คณะกรรมการระดับประเทศจะทำหน้าที่กำกับดูแลการใช้เงินค่าการตลาดใน การแก้ไขปัญหาการแลกเปลี่ยนถัง การซ่อมบำรุงถัง และการแก้ปัญหาถังขาวในระยะยาว
(4) กรมโยธาธิการมีแผนงานที่จะดำเนินการตรวจสอบจับกุมผุ้กระทำผิดตามคำสั่งนายก รัฐมนตรีที่ 2/2542 อย่างเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2543 เป็นต้นไป ใน 7 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม เนื่องจากได้มีการสำรวจพบว่าทั้ง 7 จังหวัดมีความพร้อมที่จะดำเนินการบรรจุก๊าซหุงต้มลงถังที่ได้รับอนุญาตได้ ทันที โดยไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนถังก๊าซหุงต้มไม่เพียงพอ
2.4 การคุ้มครองผู้บริโภค ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้ออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง "ให้ธุรกิจก๊าซหุงต้มที่เรียกเงินประกันถังก๊าซหุงต้มเป็นธุรกิจที่ควบคุม รายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ. 2542" โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องจัดให้มีหลักฐานการรับเงิน และมอบให้แก่ผู้บริโภคในทันทีที่รับเงินประกันจาก-ผู้บริโภคที่ซื้อก๊าซหุง ต้ม และหลักฐานที่ออกให้แก่ผู้บริโภคต้องมีข้อความเป็นภาษาไทยที่สามารถเห็นและ อ่านได้ชัดเจน รวมทั้ง ข้อความที่ระบุให้ผู้บริโภคมีสิทธิได้รับคืนเงินประกันเมื่อผู้บริโภคนำถัง ก๊าซหุงต้มคืนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ
(2) คณะกรรมการวิชาการที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำมาตรฐานถังก๊าซปิโตรเลียม เหลว สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ได้จัดทำร่างแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวเสร็จ เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม อนุมัติใช้เป็นกฎหมายบังคับต่อไป เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถทำความเข้าใจข้อความต่างๆ บนถังก๊าซหุงต้มได้ซึ่งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในทางหนึ่ง
2.5 การปรับปรุงระบบความปลอดภัย ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สพช. ได้ประสานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ให้มีการออกระเบียบกำหนดให้โรงงานผลิตถังก๊าซหุงต้มที่ผลิตเพื่อจำหน่ายใน ประเทศ ต้องผลิตถังก๊าซหุงต้มตามคำสั่งซื้อของผู้ค้าก๊าซฯ (ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6) เท่านั้น รวมทั้ง ให้มีการแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถังก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยการกำหนดให้ถังก๊าซหุงต้มต้องมีชื่อหรือเครื่องหมายของผู้ค้าน้ำมันตาม มาตรา 6 ไว้ที่โกร่งกำบัง เพื่อเป็นการกำกับให้ทราบถึงการผลิตถังก๊าซจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการที่ไม่ ใช่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 จะมีความผิดตามกฎหมาย
(2) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางซึ่งเป็นแกนนำในการดำเนินการปราบปราม และป้องกันการผลิตถังขาวเพื่อจำหน่ายในประเทศ ได้มีการเฝ้าตรวจสอบโรงงานผลิตถังก๊าซหุงต้ม จำนวน 6 โรงทั่วประเทศ
(3) สพช. ได้ประสานงานกับกรมโยธาธิการ ผ่อนผันให้โรงบรรจุสามารถบรรจุก๊าซหุงต้ม ลงถังขาวได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2543 เพื่อให้ผู้ค้าก๊าซ ผู้ประกอบการ โรงบรรจุ และผู้บริโภคที่ถือถังขาว มีระยะเวลาของการปรับตัว และให้ระยะเวลาสำหรับผู้ค้าก๊าซที่จะรับแลกถังขาวจากผู้บริโภค แต่เนื่องจากการขจัด ถังขาวจะกระทำได้เมื่อผ่านขั้นตอนการจัดระบบการค้าให้โรงบรรจุไม่มีการบรรจุ ก๊าซหุงต้มลงถังก๊าซหุงต้มที่ ตนเองไม่ได้รับอนุญาตให้บรรจุได้ตามกฎหมายเสียก่อน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้ผู้บริโภคใช้ถังขาวต่อไปได้อีกระยะหนึ่งเพื่อเป็นการบรรเทา ผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ใช้ถังขาวอยู่ในขณะนี้ โดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2543 พิจารณาผ่อนผันให้ผู้ประกอบการโรงบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว สามารถบรรจุก๊าซฯ ลงถังขาวต่อไปได้อีก 1 ปี อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในชั้นต้น กรมโยธาธิการยินยอมผ่อนผันให้โรงบรรจุก๊าซฯ สามารถบรรจุก๊าซหุงต้มลงถังขาวที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ม.อ.ก.) เท่านั้น และจะดำเนินการตรวจจับการบรรจุก๊าซหุงต้มลงถังขาวที่ไม่มี ม.อ.ก. อย่างจริงจังตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2543 เป็นต้นไป
(4) สพช. จะเริ่มดำเนินการจัดทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามโครงการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการใช้ก๊าซหุงต้มประมาณกลางปี 2543 นี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนผู้บริโภคที่ถือครองถังขาวอยู่ในปัจจุบัน ให้มีความกังวลและคำนึงถึงความปลอดภัยจากการใช้ก๊าซหุงต้ม
-2.6 มาตรฐานความปลอดภัย ได้มีการออกคำสั่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ที่ 3/2542 เรื่อง" แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยในธุรกิจก๊าซปิโตรเลียม เหลว" ลงวันที่" 22 พฤศจิกายน 2542 เพื่อทำการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยของการขนส่ง การบรรจุ การใช้ การจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งเป็นประเด็นที่จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับปรุงมาตรฐานความ ปลอดภัย ในตัวของถังก๊าซเองที่เกิดจากระบบการค้าที่ไม่มีความเป็นธรรมในอดีต
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยเห็นชอบมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตลอดจนแนวทางกำกับดูแล โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นมา การกำหนดมาตรฐานคุณภาพบริการดังกล่าวแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ มาตรฐานด้านเทคนิค (Technical Standards) และมาตรฐานการให้บริการ (Customer Service Standards) โดยในส่วนของมาตรฐานการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้า (Guaranteed Standards) จะมีการกำหนดค่าปรับที่การไฟฟ้าจะต้องจ่ายให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในกรณีที่ไม่สามารถ ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดได้ ซึ่งค่าปรับจะอยู่ระหว่าง 50 - 2,000 บาท
2. การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้มีการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพบริการ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว โดยมีความคืบหน้าดังนี้
2.1 การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้มีการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
(1) จัดทำระเบียบการไฟฟ้านครหลวงว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจ่ายค่าปรับตาม มาตรฐานคุณภาพบริการ และแบบคำขออนุมัติจ่ายค่าปรับตามมาตรฐานคุณภาพบริการที่ กฟน. รับประกัน รวมทั้ง ออกประกาศการไฟฟ้านครหลวงเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2543 เรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้า นครหลวง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 เป็นต้นมา นอกจากนี้ได้มีการประชาสัมพันธ์และจัดทำเอกสารเพื่อเผยแพร่แก่ประชาชน รวมทั้ง การเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เนท หนังสือพิมพ์ และการให้สัมภาษณ์ทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์
(2) กำหนดแนวทางการชำระค่าปรับให้แก่ผู้ใช้ไฟออกเป็น 2 กรณี คือ การชำระค่าปรับให้แก่ผู้ใช้ไฟโดยอัตโนมัติ เช่น ในกรณีที่ กฟน. ไม่สามารถควบคุมระยะเวลาการดับไฟให้เป็นไปตามที่แจ้งประกาศไฟฟ้าดับได้ก็จะ ดำเนินการชำระค่าปรับให้กับผู้ใช้ไฟโดยอัตโนมัติเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าของเดือน ถัดไป และการชำระค่าปรับให้ผู้ใช้ไฟหลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้ใช้และ กฟน. ได้ตรวจสอบแล้วว่าการปฏิบัติงานของ กฟน. ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดจริง โดย กฟน. จะชำระค่าปรับเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าของเดือนถัดไป หรือในบางกรณีอาจจ่ายค่าปรับเป็นเงินสดหรือเช็คธนาคารตามความเหมาะสม
2.2 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้มีการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
(1) จัดทำระเบียบการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคว่าด้วยมาตรฐานคุณภาพบริการ พ.ศ. 2543 แบบคำร้องขอค่าปรับตามมาตรฐานการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกัน รวมทั้งออกประกาศการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2543 เรื่องมาตรฐานการให้บริการที่ กฟภ. รับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้า โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 เป็นต้นมา พร้อมทั้งได้จัดส่งคู่มือขั้นตอนและวิธีปฏิบัติงาน "มาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟภ." ให้หน่วยงาน กฟภ. ทุกเขตทั่วประเทศ นอกจากนี้ ได้ดำเนินการด้านประชาสัมพันธ์ให้พนักงานภายในองค์กรและผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับ ทราบผ่านทางสถานีวิทยุต่างๆ การจัดทำใบประกาศเพื่อแจกจ่าย การลงบทความเผยแพร่ในวารสารของ กฟภ. และการจัดประชุมชี้แจงแก่ผู้บริหารของ กฟภ. ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
(2) กำหนดแนวทางการชำระค่าปรับโดย กฟภ. จะชำระเงินค่าปรับให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าหลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้ใช้ ไฟ และได้ตรวจสอบแล้วพบว่าการปฏิบัติงานของ กฟภ. ไม่ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด การชำระค่าปรับจะชำระเป็นเงินสดหรือเช็คธนาคารเท่านั้น โดย กฟภ. ไม่สามารถจ่ายคืนเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าของเดือนถัดไปได้ เนื่องจากพื้นที่ในการให้บริการของ กฟภ. กว้างขวางมาก
3. แนวทางในการกำกับดูแลเรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้า ซึ่งตามมติคณะรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำหน้าที่กำกับดูแลเรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้เป็น ไปตามที่กำหนด รวมทั้งทำการประเมินผลการดำเนินงานของการไฟฟ้าเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่ กำหนด ซึ่งขณะนี้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ดำเนินการจัดทำแบบฟอร์มสำหรับบันทึกข้อมูล ผลการดำเนินงาน ประกอบด้วยข้อมูลการดำเนินงานด้านเทคนิค การดำเนินงานด้านการให้บริการทั่วไป และการดำเนินงานด้านการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้าแยกตาม เขตจำหน่ายไฟ ทั้งนี้ สพช. จะประสานงานกับ กฟน. และ กฟภ. ในการจัดส่งข้อมูลให้ สพช. ใช้ประกอบการประเมินผลการดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ระเบียบวาระที่ 3.4 ความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนระดมทุนจากภาคเอกชน ในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 เห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการระดมทุนจากพันธมิตรร่วมทุน มาเป็นการระดมทุนจากประชาชนทั่วไป ซึ่งพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะได้รับการจัดสรรหุ้นในบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 15 ตามราคามูลค่าที่ตราไว้ (ราคา par) โดยโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด หลังจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะประกอบด้วย ประชาชนทั่วไป ร้อยละ 40 พนักงาน กฟผ. และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพร้อยละ 15 และ กฟผ. ร้อยละ 45
2. กฟผ. ได้มีการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้า ราชบุรี ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยมีความคืบหน้าดังนี้
2.1 กฟผ. ได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2543 โดยมีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท และ กฟผ. ถือหุ้นร้อยละ 100 และต่อมาบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (บริษัทในเครือ) เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2543 โดยมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 100
2.2 กฟผ. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เทคนิค กฎหมาย และประเมินราคาทรัพย์สิน เพื่อ ดำเนินการตามแผนระดมทุนฯ ได้แก่ 1) ที่ปรึกษาการเงิน ประกอบด้วยกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด บริษัท Dresdner Kleinwort Benson Advisory Services (Thailand) Ltd. และบริษัท Lehman Brothers (Thailand) Ltd. 2) ที่ปรึกษากฎหมาย ได้แก่ บริษัท Hunton & Williams (Thailand) Ltd. 3) ที่ปรึกษาด้านเทคนิค ได้แก่ บริษัท Sargent & Lundy Engineers Ltd. 4) ที่ปรึกษาประเมินราคาทรัพย์สิน ประกอบด้วย 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท American Appraisal (Thailand) Ltd. บริษัท Jones Lang LaSalle (Thailand) Ltd. บริษัท Arthur Andersen Business Advisory Ltd. และ บริษัท Brooke International (Thailand) Ltd.
2.3 กฟผ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนระดมทุนฯ ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นประธาน และประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักนายกรัฐมนตรี บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด และ กฟผ.ร่วมเป็นกรรมการ คณะกรรมการดำเนินการฯ ได้มีการประชุมไปแล้วรวม 3 ครั้ง โดยมีการพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญ คือ ร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และร่างสัญญา ซื้อขายก๊าซธรรมชาติ ซึ่งคณะกรรมการดำเนินการฯ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน และมีมติรับทราบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยให้ กฟผ. นำข้อสังเกตของคณะกรรมการดำเนินการฯ ไปพิจารณาหาข้อสรุปในประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติ ส่วนร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติได้มีมติเห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้ กฟผ. รับไปเจรจากับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ในประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติ และให้นำผลการเจรจารายงานให้คณะกรรมการดำเนินการฯ พิจารณาต่อไป ซึ่งสัญญาหลักทั้ง 3 สัญญาดังกล่าวข้างต้นคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1 เดือน และจะนำเสนอเพื่อขออนุมัติจากรัฐบาลต่อไป
2.4 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างบริษัทผลิต ไฟฟ้าราชบุรี จำกัด และ ปตท. ว่าจะมีลักษณะคล้ายกับสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับบริษัทผู้ผลิต ไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer: IPP) สำหรับปัญหาเรื่องภาระ Take or Pay ระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. อันเกิดจากความล่าช้าในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรี จะต้องมีการเจรจาหาข้อสรุประหว่าง กฟผ. และ ปตท. ต่อไป โดย สพช. จะเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ซึ่งผลการเจรจาครั้งล่าสุดได้มีการพิจารณาว่าภาระที่เกิดขึ้นจริงคือ ภาระด้านดอกเบี้ยซึ่งขณะนี้ ปตท. มีอยู่กว่า 7,400 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาระดังกล่าวอาจลดลงได้หากมีปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น หรือ ปตท. สามารถหาแหล่งเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น ดังนั้น มาตรการที่สำคัญในการแก้ปัญหา Take or Pay ก็คือ การส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรีเครื่องที่ 1 และ 2 จะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน และพฤศจิกายน 2543 ตามลำดับ สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซ (Gas Turbine) ขณะนี้มีการเดินเครื่องแล้วแบบ Open Cycle ถึงแม้ประสิทธิภาพจะไม่สูงเต็มที่ แต่หากสนับสนุนให้ใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นก็ยังคุ้มค่ากว่าการเดินเครื่องโรง ไฟฟ้าอื่นของ กฟผ. ที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิง นอกจากนี้ ต้องเร่งดำเนินการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี - วังน้อย ให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อเพิ่มปริมาณการใช้ก๊าซฯ จากแหล่งยาดานา สหภาพพม่า โดยการจัดส่งก๊าซให้กับโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ อาทิ IPT และ TECO ที่จังหวัดราชบุรี
3. สำหรับการดำเนินการในระยะต่อไป มีเรื่องที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการดำเนินการฯ เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการ กฟผ. และคณะรัฐมนตรีตามลำดับ ได้แก่ การขออนุมัติราคาทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีที่ กฟผ. จะขายและโอนให้บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (บริษัทฯ) การขออนุมัติอัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า การขออนุมัติให้ กฟผ. ขายและโอนทรัพย์สินโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้บริษัทฯ และการขออนุมัติให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีตามร่างสัญญาซื้อขาย ไฟฟ้า
การพิจารณาของที่ประชุม
1.รองนายกรัฐมนตรี (นายบัญญัติ บรรทัดฐาน) ได้ให้ข้อสังเกตว่าควรเร่งดำเนินการหาข้อสรุปการ แก้ไขปัญหา Take or Pay ระหว่าง กฟผ. และ ปตท. ให้แล้วเสร็จโดยเร็วซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานต่างเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ทั้งสิ้น และหากสามารถหาข้อยุติได้เร็วก็จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการระดมทุนใน โครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้สามารถดำเนินการได้ตามแนวทางที่กำหนดไว้ ซึ่งจะเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีต่อนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของประเทศใน ภาพรวมต่อไป
2.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิสิฐ ลี้อาธรรม) ได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาได้ มีการดำเนินการแปรรูป กฟผ. บางส่วนโดยการจัดตั้ง บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด และกระจายหุ้นในส่วนของ กฟผ. ออกไป ซึ่งในขณะนี้ กฟผ. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทดังกล่าว และมีบทบาทในการบริหารงานของบริษัท พอสมควร และในการแปรรูปโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยการจัดตั้งบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ขึ้น กฟผ. ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรระมัดระวังในเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่าง 2 บริษัทด้วย (Conflict of Interest) เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทดำเนินธุรกิจในลักษณะเดียวกันและต่างก็จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กฟผ. จึงควรเร่งดำเนินการลดสัดส่วนการถือหุ้นและบทบาทการบริหารงานในทั้ง 2 บริษัทนี้โดยเร็วเพื่อให้เกิดความอิสระในการดำเนินงานและบริหารงานอย่างแท้ จริง
3.ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ได้มีการกำหนดขั้นตอนการลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ในกิจการผลิตไฟฟ้าไว้แล้วในการศึกษาเรื่อง "การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า" โดย สพช. ได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษานำโดย บริษัท Arthur Andersen จัดทำการศึกษา ซึ่งการศึกษาได้เสร็จสมบูรณ์แล้วและคาดว่าจะนำเสนอที่ประชุมในครั้งนี้ แต่เนื่องจากผลการศึกษาดังกล่าวต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ กฟผ. ก่อน ดังนั้นฝ่ายเลขานุการฯ จะนำเสนอผลการศึกษาต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุม ครั้งต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 ราคาค่าไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าใน สปป. ลาว เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทย จำนวน 3,000 เมกะวัตต์ โดยในปัจจุบันโครงการ ที่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วมีจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน-หินบุน และโครงการห้วยเฮาะ ซึ่งทั้งสองโครงการได้จ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว ในส่วนของโครงการที่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า สปป. ลาว ได้จัดลำดับความสำคัญของโครงการ-ที่จะส่งมอบไฟฟ้าในเดือนธันวาคม 2549 ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 2 น้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 และโครงการที่จะส่งมอบไฟฟ้าในเดือนมีนาคม 2551 ได้แก่ โครงการลิกไนต์หงสา โครงการเซเปียน-เซน้ำน้อย และโครงการเซคามาน 1 ทั้งนี้ โครงการลิกไนต์หงสา ฝ่ายไทยจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ โดยเจรจาควบคู่ไปกับ 3 โครงการแรก ซึ่งจะส่งมอบในเดือนธันวาคม 2549 หากโครงการใดสามารถเจรจาและตกลงจนได้ข้อยุติก่อนก็ให้ส่งมอบไฟฟ้าก่อน โครงการอื่น
2. โครงการน้ำเทิน 2 มีขนาดกำลังการผลิต ณ จุดส่งมอบ 920 เมกะวัตต์ โดยมีพลังงานไฟฟ้า-ส่วนที่ประกันการรับซื้อที่จะส่งมอบให้แก่ กฟผ. รวมทั้งสิ้น 5,354 ล้านหน่วยต่อปี เป็นระยะเวลา 25 ปี โครงการนี้จะก่อสร้างสายส่งขนาด 500 kV เชื่อมโยงจากโรงไฟฟ้าในแขวงคำม่วน สปป. ลาว ผ่านสะหวันนะเขต ข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งไทยที่สถานีไฟฟ้าร้อยเอ็ด 2 ทั้งนี้ กลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 ประกอบด้วย รัฐบาล สปป.ลาว ถือหุ้นร้อยละ 25 อีกร้อยละ 75 ถือหุ้นโดย Nam Theun 2 Electricity Consortium ซึ่งประกอบด้วย Electricite de France ร้อยละ 30 Italian-Thai Development ร้อยละ 15 Transfield ร้อยละ 10 Jasmine International ร้อยละ 10 และ Merrill Lynch Phatra Securities ร้อยละ 10 ประเมินว่าโครงการนี้จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,227 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 46,600 ล้านบาท
3. คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศ ได้เริ่มดำเนินการเจรจาราคาค่าไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2536 อย่างไรก็ดี ในระหว่างที่กำลังเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอยู่นั้น ธนาคารโลก ได้ขอให้กลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 และรัฐบาล สปป.ลาว ดำเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเพิ่มเติม ซึ่งเป็นเหตุให้ MOU หมดอายุลง ต่อมาคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติลาว (Lao National Committee for Energy : LNCE) แจ้งให้ กฟผ. ทราบว่าธนาคารโลกได้ให้ความเห็นชอบกระบวนการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และมีมติสนับสนุนด้านการค้ำประกันเงินกู้ให้แก่โครงการน้ำเทิน 2 แล้ว ดังนั้นในเดือนมีนาคม 2541 LNCE ได้เสนอขอเริ่มเจรจาราคาค่าไฟฟ้าโครงการนี้อีกครั้งหนึ่ง
4. หลังจากนั้นทั้ง 2 ฝ่าย ได้มีการเจรจาราคาค่าไฟฟ้าหลายครั้งและได้คืบหน้ามาโดยลำดับ โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบในหลักการคำนวณค่าไฟฟ้าโดยใช้ต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ และหลักการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Power Pool ซึ่งใน ที่สุดคณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศ ได้เห็นชอบราคาค่าไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 โดย กฟผ. ตกลงที่จะประกันการรับซื้อ Primary Energy (PE) 4,406 ล้านหน่วยต่อปี Secondary Energy ในส่วนแรก (SE1) 615 ล้านหน่วยต่อปี และ Secondary Energy ส่วนที่สอง (SE2) อีก 333 ล้านหน่วยต่อปี โดยมีเงื่อนไขว่าปริมาณการประกันรับซื้อทั้งหมดของทั้งสามส่วนรวมกันจะต้อง ไม่เกินร้อยละ 95 ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมของทั้ง PE SE1 และ SE2 จะอยู่ที่ระดับ 4.219 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้โครงการนี้มีรายได้ประมาณปีละ 8,600 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 25 ปี ดังมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
อัตราค่าไฟฟ้าและเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าของโครงการน้ำเทิน 2
ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ประกันการรับซื้อเฉลี่ยต่อปี ตลอดอายุสัญญา (ล้านหน่วย/ปี) |
อัตราค่าไฟฟ้า (เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง) |
|
1. อัตราค่าไฟฟ้าของ PE1 + SE1 + SE2 ที่ประกันการรับซื้อ | ||
|
4,406 | 4.664 |
|
615 | 2.332 |
|
333 | 1.809 |
|
5,354 | 4.219 |
2. อัตราค่าไฟฟ้าของ SE2 ส่วนเกินจากที่ประกันการรับซื้อ (กฟผ. จะซื้อหรือไม่ก็ได้) | SE2 ส่วนเกิน | |
3. ใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ 38 บาท/1 ดอลล่าร์สหรัฐ ในการคำนวณค่าไฟฟ้าส่วนที่ต้องจ่ายเป็นเงินบาท |
ข้อสังเกตของที่ประชุม
ที่ประชุมเห็นควร ให้ กฟผ. พิจารณารับซื้อพลังงานไฟฟ้า SE2 ส่วนเกินจากที่ประกันการรับซื้อในช่วง Off-Peak ให้มากที่สุด เพื่อทดแทนพลังงานไฟฟ้าในส่วนที่ กฟผ. มีการเดินเครื่องในระบบซึ่งมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้า สูงกว่าราคาค่าไฟฟ้าที่จะรับซื้อในส่วนของ SE2 ส่วนเกินซึ่งเท่ากับ 1.5 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง หรือประมาณ 57 สตางค์ต่อหน่วย เท่านั้น
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบราคาค่าไฟฟ้าของโครงการน้ำเทิน 2 ที่ระดับ 4.219 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง ตลอดอายุโครงการ (เฉลี่ยรวมราคาที่ประกันการรับซื้อ Primary Energy, Secondary Energy ในส่วนแรก และ Secondary Energy ในส่วนที่สอง) และเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าที่คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้งสองประเทศ คือ ไทย และ สปป. ลาว ได้เจรจากันจนได้ข้อยุติแล้ว โดยมีรายละเอียดตามข้อ 4
2.มอบหมายให้คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) นำราคา ค่าไฟฟ้าของโครงการน้ำเทิน 2 ที่ได้รับความเห็นชอบตามข้อ 1 ไปเจรจาเพื่อจัดทำและสามารถลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) ของโครงการระหว่าง กฟผ. กับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้โครงการน้ำเทิน 2 สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เข้าระบบของ กฟผ. ได้ทันตามกำหนดในเดือนธันวาคม 2549
เรื่องที่ 6 เรื่องอื่นๆ
รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจโท วิโรจน์ เปาอินทร์) ได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมต่อที่ประชุมและมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปดูแลในเรื่องต่อไปนี้
1. การรณรงค์ประหยัดพลังงานทั้งในภาครัฐและเอกชน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาได้ฟังเสียงจากประชาชนว่าการรณรงค์เพื่อลดการใช้ พลังงานยังไม่มากพอ และหน่วยงานราชการก็ยังไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการใช้ไฟตามท้องถนน ซึ่งจะทำให้ประชาชนมองว่าภาครัฐไม่มีความจริงใจที่จะประหยัดการใช้พลังงาน อย่างจริงจัง
2. การเร่งรัดหาพลังงานมาทดแทนการใช้น้ำมัน ขณะนี้มีโครงการวิจัยหลายโครงการทั้งที่เป็นโครงการของ สพช. และหน่วยงานอื่นที่กำลังดำเนินการศึกษาการนำพืชเศรษฐกิจมาใช้เป็นพลังงานทด แทนน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาวิจัย และประชาชนก็ให้ความสนใจอยู่ ในอนาคตหากจะพัฒนาขึ้นมาใช้อย่างจริงจังจะมีความคุ้มทุนหรือไม่ จึงขอให้ สพช. รายงานความคืบหน้าการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ให้ที่ประชุมทราบ ในครั้งต่อไปด้วย
3. หลักเกณฑ์การอนุญาตตั้งสถานีบรรจุก๊าซและรถขนส่งก๊าซ ในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่ามีอุบัติเหตุรถก๊าซระเบิด หรือถังก๊าซระเบิดเกิดขึ้น และทำให้ประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จึงขอให้คณะอนุกรรมการ ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลความปลอดภัยในเรื่องนี้ได้พิจารณาวางหลักเกณฑ์ให้ มีความรัดกุมด้วย
ครั้งที่ 6 - วันศุกร์ ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2548
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 6)
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2548 เวลา 09.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ข้อเสนอการออกและการจำหน่ายตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
4. การชดเชยราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาะสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้น และอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 41.41 และ 47.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนส่งผลให้การผลิตและการขนส่งน้ำมันต้องหยุดชัก ประกอบกับ จากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2548 ที่ประชุมกลุ่มโอเปคได้มีมติให้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบขึ้นจากระดับ 27 ล้านบาร์เรล/วัน เป็นที่ระดับ 27.50 ล้านบาร์เรล/วัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 เป็นต้นไป ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 45.84 และ 53.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์เฉลี่ยในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 ปรับตัวสูงขึ้น 3.31 และ 3.41 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จาก ความต้องการซื้อของอินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้น 1.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อของอินเดียเพิ่มขึ้นเนื่องจากรัฐบาลประกาศใช้น้ำมันดีเซล 0.035% ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 ขณะที่ไต้หวัน เกาหลีใต้และจีนลดการส่งออก เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันปิดซ่อมบำรุงประจำปี ราคาเฉลี่ยเดือนมีนาคม 2548 ของน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 59.47, 58.73 และ 62.58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยของไทยในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวลดลงจากการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 โดยรัฐบาลได้ปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันเบนซินเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2547 แต่ยังคงตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไว้ที่ระดับ 18.19 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 1 เมษายน 2548 อยู่ที่ระดับ 22.09 , 21.29 และ 18.19 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ระดับ 0.8856 บาท/ลิตร โดยค่าการตลาดเฉลี่ยในเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 0.9034 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นในช่วงไตรมาส 1 ปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ระดับ 1.3293 บาท/ลิตร ค่าการกลั่นเฉลี่ยโดยรวมเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 1.5574 บาท/ลิตร
5. รัฐบาลได้ปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันเบนซิน แต่ยังคงตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนั้นอัตราชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 3.56 บาท/ลิตร และตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2548 กองทุนน้ำมันฯ มีภาระการจ่ายชดเชยสะสมทั้งสิ้น 78,370 ล้านบาท แยกเป็นเงินชดเชยน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วจำนวน 6,975 ล้านบาท และ 71,395 ล้านบาท ตามลำดับ
6. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนเมษายน 2548 ปรับตัวสูงขึ้น 37.20 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 416.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 12.2242 บาท/กก. (เป็นระดับเพดานของก๊าซ LPG สูงสุด 315 เหรียญสหรัฐ/ตัน) อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 2.1543 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 408 ล้านบาท/เดือน และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 1 เมษายน 2548 2548 มีเงินสดสุทธิ 258 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 63,572 ล้านบาท แยกเป็นภาระผูกพัน 197 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 5,606 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 152 ล้านบาท หนี้การตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงช่วงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2548 ประมาณ 7,745 ล้านบาท หนี้เงินกู้ 49,780 ล้านบาท ดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ประมาณ 92 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ ติดลบ 63,314 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้รายงานผลการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2547 - เดือนมีนาคม 2548 โดยได้อนุมัติเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้นจำนวน 481,036,288.86 บาท ให้กับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กรมสรรพสามิต สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ข้อเสนอการออกและการจำหน่ายตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง แยกเป็นอนุมัติเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 จำนวน 8,000 ล้านบาท วันที่ 24 สิงหาคม 2547 จำนวน 30,000 ล้านบาท และวันที่ 21 ธันวาคม 2547 จำนวน 25,000 ล้านบาท ซึ่งการอนุมัติการกู้เงินครั้งสุดท้ายนี้มีมติประกอบให้ สบพ. ดำเนินการออกพันธบัตรและเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป เพื่อให้กองทุนฯ มีสภาพคล่องเพียงพอในการจ่าย ชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. สบพ. ได้กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศโดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่และระยะเวลาครบกำหนดชำระ 12 เดือน แบ่งเป็น 3 ครั้ง โดยครั้งละ 8,000, 30,000 และ 25,000 ล้านบาท ตามลำดับ และ สบพ. ได้จ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันให้กับผู้ประกอบการแล้ว จำนวน 58,762 ล้านบาท และเหลือวงเงินกู้จำนวน 8,590 ล้านบาท สำหรับจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงงวดเดือนมีนาคม 2548 ซึ่งจะต้องจ่ายในเดือนพฤษภาคม 2548
3. เงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท จะทยอยครบกำหนดชำระคืนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 เป็นต้นไป ซึ่งในเดือนมิถุนายน 2548 มีเงินกู้ครบกำหนดชำระคืนจำนวน 3,000 ล้านบาท แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมากองทุนฯ มีภาระการจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับสูง จึงทำให้ สบพ. ไม่สามารถสะสมรายรับของกองทุนฯ เพื่อใช้ชำระหนี้ที่ครบกำหนดชำระคืนได้ เนื่องจากปัจจุบันกองทุนฯ มีรายรับจากน้ำมันเบนซิน ก๊าด และเตา ประมาณ 252 ล้านบาท/เดือน แต่มีรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาน้ำมันดีเซลจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ จ่ายชดเชยราคา LPG และรายจ่ายภาวะผูกพันเป็นจำนวนมาก ทำให้กองทุนฯ มีรายจ่ายมากกว่ารายรับประมาณ 190 ล้านบาท/เดือน
4. นอกจากนี้ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2548 กองทุนฯ มีหนี้สะสมชดเชยราคา LPG ประมาณ 7,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจาก สบพ. จ่ายชำระหนี้ในส่วนนี้ประมาณ 260 ล้านบาท/เดือน ขณะที่การชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวอยู่ที่ประมาณ 450 ล้านบาท/เดือน ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตเกิดความไม่มั่นใจ ในนโยบายของรัฐ และอาจทำให้เกิดการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวภายในประเทศได้ และเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2548 พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มีผลบังคับใช้ ซึ่งตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวห้ามมิให้กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานของรัฐค้ำประกันหนี้ที่เกิดขึ้นหรือตั้งงบประมาณรายจ่าย ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงไม่สามารถค้ำประกันเงินกู้ให้ สบพ. ได้อีกต่อไป และ สบพ. ไม่มีทรัพย์สินใดที่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ได้ จึงทำให้ สบพ. ไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้
5. เพื่อให้กองทุนฯ มีเงินชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้นที่ครบกำหนดและสามารถจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และเพื่อให้ สบพ. สามารถบริหารภาระหนี้และบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนฯ ได้ สบพ. จึงเสนอให้ สบพ. ควรจัดหาเงินกู้ระยะยาวให้กับกองทุนฯ โดยการออกตราสารหนี้และเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป และเมื่อภาระชดเชยราคาน้ำมันดีเซลยุติจึงจะสะสมรายรับจากเงินส่งเข้ากองทุนฯ ชำระคืนหนี้ตราสารหนี้ดังกล่าว
6. ในการออกและเสนอขายตราสารหนี้ของ สบพ. จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์การดำเนินการออกและเสนอขายตราสารหนี้ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ส่วนการเสนอขายตราสารหนี้ของ สบพ. ได้คำนึงถึงความต้องการของนักลงทุนประกอบกับจำนวนเงินที่กองทุนฯ จำเป็นต้องใช้ในการชำระหนี้และจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และความสามารถในการชำระหนี้ของกองทุนฯ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ตลอดจนการจัดทำโครงสร้างตราสารหนี้ที่ดีและบริหารจัดการกระแสเงินของกองทุนฯ อย่างชัดเจน และหากมีการปรับราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้มให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเพื่อลดภาระการชดเชยจากกองทุนฯ และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ เพื่อเพิ่มเติมรายได้ให้กองทุนฯ จะสามารถลดความกังวลของนักลงทุนและเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ของ สบพ. ได้
7. เพื่อให้ตราสารหนี้ของ สบพ. มีโครงสร้างที่ดี ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ "AA" และลดความกังวลของนักลงทุน ซึ่งจะทำให้ตราสารหนี้ของ สบพ. ได้รับความสนใจจากนักลงทุนขอได้จึงเห็นควรขอเห็นชอบในประเด็นดังนี้
7.1 เห็นควรให้ สบพ. ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้กับนักลงทุนทั่วไปจำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (ไม่เกินแปดหมื่นห้าพันล้านบาทถ้วน) โดยเสนอขายเป็นชุดๆ ตามจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลาและอายุไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนฯ หรือไม่
7.2 เห็นควรให้ สบพ. ไปเจรจาผ่อนเวลาการชำระหนี้ในส่วนที่ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป ซึ่งหากสามารถเจรจาได้สำเร็จ ให้หนี้ในส่วนที่ผ่อนเวลาการชำระหนี้และหนี้ ที่เกิดจากการออกตราสารหนี้รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (ไม่เกินแปดหมื่นห้าพันล้านบาทถ้วน) หรือไม่
7.3 เห็นควรให้ทยอยลดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวลงเรื่อยๆ โดยกำหนดให้ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมไม่เกิน 1.50 บาท/กก. และตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมไม่เกิน 0.50 บาท/กก. หรือไม่
7.4 เห็นควรให้ทยอยลดอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นศูนย์ในที่สุด โดยกำหนดให้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2548 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่เกิน 1.00 บาท/ลิตร และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นศูนย์หรือไม่
7.5 เห็นควรให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารราปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล ในกรณีที่การเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง โดยการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวต้องทำให้ สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนดจ่าย แต่ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวจะต้องไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร หรือไม่
7.6 เห็นควรให้แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2548 ตามร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง พ.ศ. 2547 ที่ สบพ. เสนอ หรือไม่
7.7 เห็นควรให้ สบพ. ตรวจสอบยอดเงินในบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" ทุกๆ 3 เดือน เพื่อพิจารณาถึงความสามามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและชำระเงินคืนต้นที่ครบกำหนด และหากพบว่าไม่เพียงพอให้แจ้งให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทราบ เพื่อพิจารณาปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป หรือไม่
7.8 เห็นควรให้โอนสิทธิการบริหารบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" ให้ตัวแทนชำระเงินเป็นผู้บริหารบัญชีดังกล่าวภายใต้สัญญาที่มีการตกลงร่วมกันกับ สบพ. หรือไม่
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้กับนักลงทุน ทั่วไปจำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (ไม่เกินแปดหมื่นห้าพันล้านบาท) โดยเสนอขายเป็นชุดๆ ตามจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลาและอายุไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบให้ สบพ. ไปเจรจาผ่อนเวลาการชำระหนี้ในส่วนที่ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ซึ่งหากสามารถเจรจาได้สำเร็จ ให้หนี้ในส่วนที่ผ่อนเวลาการชำระหนี้และหนี้ที่เกิดจากการออกตราสารหนี้รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (แปดหมื่นห้าพันล้านบาท)
3. เห็นชอบให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล ในกรณีการเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง โดยการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวต้องทำให้ สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนดจ่าย แต่ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซลรวมแล้วจะต้องไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร
4. เห็นชอบให้ สบพ. แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 ให้เป็นไปตามร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามที่ สบพ. เสนอ ทั้งนี้ ต้องระบุวัตถุประสงค์การแก้ไขระเบียบดังกล่าวให้ชัดเจน
5. เห็นชอบให้ สบพ. ทำหน้าที่ตรวจสอบยอดเงินในบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" อย่างต่อเนื่อง เพื่อพิจารณาถึงความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นที่ครบกำหนด และหากพบว่าไม่เพียงพอให้แจ้งให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทราบ เพื่อพิจารณาปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป
6. เห็นชอบให้โอนสิทธิการบริหารบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ให้ตัวแทนชำระเงินเป็นผู้บริหารบัญชีดังกล่าวภายใต้สัญญาที่มีการตกลงร่วมกันกับ สบพ."
เรื่องที่ 4 การชดเชยราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว)
สรุปสาระสำคัญ
1. จากรัฐบาลได้มีมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2548 ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (น้ำมันเขียว) สูงกว่าราคาน้ำมันบนบก ชาวประมงจึงหันมาใช้น้ำมันบนบกแทน ดังนั้น เพื่อลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเป็นการผลักดันให้ชาวประมงหันกลับไปใช้น้ำมันเขียว คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุม เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ได้มีมติเรื่อง ข้อเสนอการลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเห็นชอบในหลักการให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมง ไม่ให้สูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก โดยให้จ่ายชดเชยในส่วนต่างของราคาน้ำมันเขียวที่สูงกว่าน้ำมันดีเซลบนบก และให้เรียกคืนเมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้หมด และมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการจัดระบบการชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนฯ รวมทั้งการเพื่อป้องกันการนำน้ำมันที่ได้รับการ ชดเชยไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
2. ผลการดำเนินโครงการฯ ในการจำหน่ายน้ำมันเขียว และการจ่ายเงินชดเชยตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2548 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2548 พบว่าการจำหน่ายน้ำมันเขียวและจำนวนเงินชดเชยมีปริมาณ 29,146,302 ลิตร เป็นเงิน 58,775,024.93 บาท และการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียว (ขาดแคลน) และจำนวนเงินชดเชยมีปริมาณ 12,658,547 ลิตร เป็นเงิน 35,479,035.62 บาท รวมเป็นเงินที่จ่ายชดเชยทั้งสิ้น 94,254,060.54 บาท
3. เพื่อให้การแก้ไขปัญหาโครงการน้ำมันเขียวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอความเห็นชอบ ดังนี้
3.1 ขอความเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้อนุมัติออกประกาศชดเชยหรือประกาศส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) สำหรับกรณีน้ำมันเขียวแพงกว่าบนบกและกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลนได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2548 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2548 และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันเขียวแพงกว่าน้ำมันบนบกหรือกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลน ให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถสั่งการให้ออกประกาศชดเชยได้ทันที โดยไม่ต้องนำเข้า กบง. เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
3.2 ขอความเห็นชอบวงเงินในการจ่ายเงินชดเชยโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ตามข้อ 2 เป็นจำนวนเงินชดเชยทั้งสิ้น 94,254,060.54 บาท (เก้าสิบสี่ล้าน สองแสนห้าหมื่นสี่พันหกสิบบาทห้าสิบสี่สตางค์) ทั้งนี้ จำนวนเงินดังกล่าวเป็นการจ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ให้ชาวประมงก่อน และจะเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันฯ เมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำลงกว่าราคาน้ำมันดีเซล บนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนได้หมดตามจำนวนเงินที่จ่ายชดเชยไป
3.3 มอบหมายให้กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงานร่วมกันจัดทำระบบการชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้ตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้อนุมัติออกประกาศชดเชยราคาน้ำมัน หรือประกาศการส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ในกรณีราคาน้ำมันเขียวแพงกว่าน้ำมันดีเซลบนบก และกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลนได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานต่อไป แต่ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันเขียวแพงกว่าน้ำมันดีเซลบนบก หรือกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลนในระยะต่อไป เห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถสั่งการให้ออกประกาศชดเชยราคาน้ำมันหรือส่งคืนเงินเข้ากองทุนฯ ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณา/อนุมัติจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
2. เห็นชอบอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชยในโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ในวงเงิน 94,254,060.54 บาท (เก้าสิบสี่ล้านสองแสนห้าหมื่นสี่พันหกสิบบาทห้าสิบสี่สตางค์) โดยจ่ายให้แก่บริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 58,775,024.94 บาท (ห้าสิบแปดล้าน เจ็ดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันยี่สิบสี่บาทเก้าสิบสี่สตางค์) สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียว ตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และจ่ายให้แก่บริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.62 บาท (สามสิบห้าล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสามสิบห้าบาทหกสิบสองสตางค์) เพื่อจ่ายชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 โดยทั้งนี้ จำนวนเงินดังกล่าวเป็นการจ่ายจากกองทุนฯ ให้กับชาวประมงก่อนและจะเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนฯ เมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนได้หมดตามจำนวนเงินที่จ่ายชดเชยไป
3. มอบหมายให้กรมสรรพสามิต และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ร่วมกันจัดทำระบบการจ่ายชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และให้ สบพ. เป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนฯ
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 ได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers : SPP) งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 โดยการดำเนินการรับซื้อ ไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้รับข้อเสนอขายไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 144 ราย มี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้ารวม 91 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 81 ราย และอยู่ระหว่างการเจรจา 10 ราย หากทุกโครงการแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ ปริมาณรับซื้อไฟฟ้าทั้งสิ้นจะ เท่ากับ 2,519.3 เมกะวัตต์
2. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 มี SPP 69 ราย ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว และปริมาณเสนอขายไฟฟ้ารวม 2,228.8 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจำนวน 19, 4 และ 1 โครงการ ปริมาณ 1,413, 196 และ 9 เมกะวัตต์ ตามลำดับ นอกจากนี้ เป็นโครงการที่ใช้พลังงานนอก รูปแบบเป็นเชื้อเพลิง 41 โครงการ จำนวน 375.8 เมกะวัตต์ และที่ใช้เชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า 1 โครงการ จำนวน 45 เมกะวัตต์
3. สนพ. ได้มี "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" โดยใช้เงินจาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ปัจจุบัน มีผู้ผลิตรายเล็ก ได้รับอนุมัติการจัดสรรเงินจากคณะกรรมการกองทุนฯ จำนวน 20 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้ารวม 243.3 MW คิดเป็นวงเงินสนับสนุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,400 ล้านบาท สำหรับโครงการของบริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติให้รอผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) แล้วให้ สนพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติเงินสนับสนุนภายในวันที่ 30 กันยายน 2547
4. เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2547 กฟผ. ได้ลงนามในหนังสือยืนยันการรับเงินกองทุนฯ กับ สนพ. โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,400 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายให้กับ SPP จำนวน 20 ราย ตามหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ กฟผ. กฟผ. กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ได้ดำเนินการลงนามในหนังสือสัญญาขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่ม เรียบร้อยแล้ว 6 ราย และกำลังตรวจสัญญา 6 ราย โดยที่มีการยกเลิกสัญญา 1 ราย และยังไม่ดำเนินการใดๆ 4 ราย ในการนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมการไตรภาคี เพื่อทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาครีรวม 18 คณะ
5. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Firm จะต้องยื่นหลักค้ำประกันให้กับ กฟผ. จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่
5.1 หลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอ SPP ต้องยื่นหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอ พร้อมคำร้องการขายไฟฟ้าในวงเงินเท่ากับ 500 บาทต่อกิโลวัตต์ ตามปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายให้กับ กฟผ. ทั้งนี้ กฟผ. จะคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอให้แก่ SPP ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกภายใน 30 วัน หลังจากแจ้งผลการ คัดเลือกข้อเสนอ
5.2 หลักค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ SPP จะต้องยื่นหลักค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ ในวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในวงเงินเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 5 ของมูลค่าปัจจุบันของค่าพลังไฟฟ้าที่จะได้รับทั้งหมดตามสัญญา โดยใช้อัตราส่วนลด (Discount Rate) เท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าจะคืนหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ ให้แก่ SPP เมื่อ SPP ได้เริ่มต้นปฏิบัติตามสัญญาฯ ถูกต้องครบถ้วนแล้ว
5.3 หลักค้ำประกันการยกเลิกสัญญาฯ SPP จะต้องยื่นหลักค้ำประกันการยกเลิกสัญญาฯ ก่อนวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาฯ ในวงเงินเท่ากับร้อยละ 10 ของค่าพลังไฟฟ้าที่ SPP จะได้รับในระยะเวลา 5 ปีแรกของสัญญาฯ โดย กฟผ. จะคืนหลักค้ำประกันดังกล่าวเมื่ออายุสัญญาสิ้นสุด หรือเมื่อการไฟฟ้าได้เรียกเก็บเงินค่าพลังไฟฟ้าครบถ้วนในกรณีที่สัญญาฯ ถูกยกเลิกก่อนครบอายุสัญญา
6 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2545 บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) ได้ยื่นคำร้องการขายไฟฟ้าประเภท Firm อายุสัญญา 25 ปี ให้ กฟผ. โดยเสนอขายพลังไฟฟ้าเข้าระบบ 20.2 เมกะวัตต์ ที่ใช้เศษไม้ยางพารา และกะลาปาล์มเป็นเชื้อเพลิง และได้วางหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าเป็นหนังสือค้ำประกัน จำนวนเงิน 10,100,000 บาท โดย กฟผ. ได้ตอบรับซื้อไฟฟ้าจากบริษัทฯ เมื่อ วันที่ 25 ตุลาคม 2545 ทั้งนี้ บริษัท ได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และได้ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้น โดยอัตราเงินที่ได้รับสนับสนุนเท่ากับ 0.18 บาท/kWh และกำหนดวันสิ้นสุดการพิจารณาเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวันที่ 30 กันยายน 2547 เมื่อถึงวันที่กำหนด โครงการยังไม่ได้รับการพิจารณา รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าของบริษัท และไม่คุ้มค่าการลงทุน บริษัทฯ จึงแจ้งยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้า พร้อมทั้งขอรับคืนหลักค้ำประกันการยื่นเข้อเสนอขายไฟฟ้าจาก กฟผ.
7. ต่อมาเดือนตุลาคม 2547 สนพ. ได้แจ้งสงวนสิทธิ์สิ้นสุดการพิจารณาเงินสนับสนุนโครงการให้บริษัท กัลฟ์ฯ เพื่อให้บริษัททำเรื่องขอคืนหลักค้ำประกันจาก สนพ. เนื่องจากการพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของ สผ. ยังไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งบริษัทได้ขอรับคืนหลักประกันซองข้อเสนอโครงการจาก สนพ. เรียบร้อยแล้ว และต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2547 บริษัทได้ขอยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้าและขอรับคืนหลักประกันการยืนข้อเสนอขายไฟฟ้าจาก กฟผ. ทั้งนี้ บริษัท กัลฟ์ฯ (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) ไม่ได้ ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กับ กฟผ. เนื่องจากผลการพิจารณา EIA จาก สผ. ได้เลยระยะเวลาที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด กฟผ. จึงเห็นว่าควรยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้าของบริษัทฯ และเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าของบริษัทฯ ต่อไป ซึ่งในการประชุม กพช. เมื่อเดือนกรกฎาคม 2547 ได้มีมติให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้วินิจฉัยปัญหาจากการปฏิบัติตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ในประเด็นที่ไม่ใช่ด้านนโยบายและเสนอ กพช. เพื่อทราบต่อไป
8. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า จากการที่บริษัทฯ ต้องรอผลการพิจารณารายงานผลกระทบด้าน สิ่งแวดล้อมจาก สผ. ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด จึงเป็นผลให้ ข้อเสนอโครงการของบริษัท กัลฟ์ฯ (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) เป็นอันสิ้นสุดการพิจารณาเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งทำให้ บริษัทฯ ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับรายได้ การลงทุน และการจัดหาเงินกู้ให้กับโครงการ บริษัทฯ จึงได้ขอยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้า และขอรับคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าดังกล่าว ทั้งนี้ โดยบริษัทฯ มิได้มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP นอกจากนี้ การยกเลิกคำร้องการขายไฟฟ้าของบริษัท ไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดหาไฟฟ้าของ กฟผ. เนื่องจากมีปริมาณพลังไฟฟ้าเพียง 20.2 เมกะวัตต์ และหากบริษัทฯ มีความพร้อมในการผลิตไฟฟ้าสามารถยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ได้ใหม่ จึงควรให้บริษัทฯ สามารถยกเลิกคำร้องการขายไฟฟ้าได้ โดยให้ กฟผ. คืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้ากับบริษัท
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ สนพ. และ กฟผ. รับไปพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อกำหนดของระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าและสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
กพช. ครั้งที่ 74 - วันพุธที่ 5 เมษายน 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 74)
วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2543 เวลา 10.00 น.
ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
1.ความก้าวหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
3.สถานการณ์ราคาและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4.การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
5.การแก้ไขปัญหาภาคการขนส่งทางถนนเนื่องจากปัญหาราคาน้ำมัน
6.การคืนหลักค้ำประกันของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
รายงานความก้าวหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว (สปป.ลาว) และสาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
1.1 การเจรจาค่าไฟฟ้าของโครงการน้ำงึม 1 และน้ำลึกระหว่างคณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศ ได้ข้อยุติแล้ว โดย กฟผ.จะรับซื้อไฟฟ้าในช่วง Off-Peak ที่ราคา 1.14 บาทต่อหน่วย ส่วนในช่วง Peak จะรับซื้อไฟฟ้าที่ราคา 1.22 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้อัตราค่าไฟฟ้าตามที่ตกลงดังกล่าวจะใช้ซื้อขายเป็นระยะเวลา 4 ปี โดยจะเริ่มใช้ย้อนหลังตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2542 เป็นต้นมาจนถึง 30 กันยายน 2546 และจะชำระเงินค่าไฟฟ้าด้วยสกุลดอลล่าร์สหรัฐทั้งหมด นอกจากนี้ฝ่ายไทยยินดีรับในหลักการว่า หากฝ่ายลาวสามารถดำเนินการผลิตไฟฟ้า โครงการน้ำงึม 1 และน้ำลึก แบบ Firm Basis ได้ ทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมกันพิจารณาทบทวนอัตราค่าไฟฟ้าใหม่อีก ครั้งหนึ่ง
1.2 โครงการที่คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) พิจารณารับซื้อภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทย และ สปป. ลาว จำนวน 3,000 เมกะวัตต์ มีโครงการที่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน- หินบุน ขนาด 187 เมกะวัตต์ และโครงการห้วยเฮาะ ขนาด 126 เมกะวัตต์ ทั้ง 2 โครงการได้จ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย ( กฟผ.) แล้ว ส่วนโครงการที่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า จำนวน 6 โครงการ ซึ่งรัฐบาล สปป. ลาว ได้จัดลำดับความสำคัญที่จะส่งมอบไฟฟ้าแล้ว แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย
(1) โครงการที่จะส่งมอบไฟฟ้าในเดือนธันวาคม 2549 จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ น้ำเทิน 2 โครงการน้ำงึม 2 และโครงการน้ำงึม 3 ในส่วนของโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งมีกำลังผลิต ณ จุดส่งมอบ 920 เมกะวัตต์ ปัจจุบันการเจรจาราคาค่าไฟฟ้าได้คืบหน้ามาโดยลำดับจนได้ข้อยุติแล้ว โดยราคาที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องและตกลงที่จะมีการซื้อขายกันอยู่ที่ระดับ 4.219 เซ็นต์/กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยฝ่ายไทยตกลงที่จะประกันการรับซื้อ ไฟฟ้าไม่เกินร้อยละ 95 ของปริมาณการรับซื้อทั้งหมด ซึ่งข้อยุติของการเจรจาราคาไฟฟ้าดังกล่าว จะนำไปสู่การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ของโครงการน้ำเทิน 2 ต่อไป
(2) โครงการที่จะส่งมอบไฟฟ้าในเดือนมีนาคม 2551 จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการลิกไนต์หงสา โครงการเซเปียน -เซน้ำน้อย และโครงการเซคามาน 1 ในส่วนของโครงการลิกไนต์หงสา ซึ่งมี กำลังผลิต ณ จุดส่งมอบ 608 เมกะวัตต์ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ( พลเอกสีสะหวาด แก้วบูนพัน) ได้ร้องขอมายัง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) ขอให้ไทยพิจารณารับซื้อไฟฟ้าโครงการนี้เร็วขึ้นจากเดิม ที่กำหนดจะส่งมอบในเดือนมีนาคม 2551 เป็นในเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งฝ่ายไทยยินดีรับโครงการนี้ไว้พิจารณาเป็นกรณีพิเศษ โดยคณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศ จะดำเนินการเจรจาโครงการนี้ควบคู่ไปกับโครงการน้ำเทิน 2 น้ำงึม 3 และน้ำงึม 2 ทั้งนี้ หากโครงการใดสามารถเจรจาและตกลงจนได้ข้อยุติก่อน ก็ให้ ส่งมอบไฟฟ้าก่อนโครงการอื่น แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงเดิม ซึ่งได้รับความเห็นชอบแล้วจากรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศแล้ว กล่าวคือ ในเดือนธันวาคม 2549 ฝ่ายไทยจะรับซื้อไฟฟ้ารวมกันจาก สปป.ลาวได้เพียง 1,600 เมะวัตต์ เท่านั้น
2. การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
2.1 นับตั้งแต่มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจรับซื้อไฟฟ้า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2541 จนถึงปัจจุบัน ทั้งฝ่ายไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการและคณะทำ งานเพื่อดำเนินการเจรจาในรายละเอียดของการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชน จีนเรียบร้อยแล้ว
2.2 คณะผู้แทนบริษัทไฟฟ้าแห่งรัฐ และการไฟฟ้ายูนนานของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มาเยือนไทย เพื่อหารือในรายละเอียดของการรับซื้อไฟฟ้ากับ กฟผ. และ สพช. เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2543 ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ได้ ข้อสรุปของผลการหารือที่สำคัญคือ โครงการผลิตไฟฟ้าจิงหงจะเป็นโครงการแรก ขนาด 1,500 เมกะวัตต์ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน จะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2556 ในส่วนโครงการอื่นๆ อีก 1,500 เมกะวัตต์ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2557 โดย กฟผ. จะบรรจุโครงการผลิตไฟฟ้าจิงหงและโครงการอื่นๆ ไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าในระยะยาวฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะจัดทำแล้วเสร็จภายในปี 2543
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
รายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ สรุปได้ดังนี้
1. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการดำเนินงานสรุปได้ดังนี้
1.1 ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.) ได้จัดชุดปฏิบัติการทางทะเล 3 ชุด เพื่อดำเนินการตามแผนป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทาง ทะเล คือ ชุดสืบสวนและปราบปรามฝั่งอ่าวไทย ชุดสืบสวนและปราบปรามฝั่งอันดามัน และชุดสืบสวนพิเศษทางทะเล ตรวจเฝ้ามิให้มีการลักลอบกระทำผิดในทะเลทั้งสองฝั่ง ทำการตรวจสอบปริมาณน้ำมันในเรือประมง ตรวจสอบการขนถ่ายน้ำมันนำเข้าจากเรือบรรทุกน้ำมัน และจัดทำประวัติกลุ่มเรือประมงที่มีพฤติการณ์ลักลอบนำเข้าน้ำมันโดยหลีก เลี่ยงภาษี
1.2 ศปนม. ได้จัดชุดปฏิบัติการทางบกเพื่อดำเนินการตามแผนการปฏิบัติการป้องกันและปราบ ปรามการส่งออกทางบกอันเป็นเท็จโดยเน้นพื้นที่ที่มีด่านศุลกากร และมียอดการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงสูงกว่า 1 ล้านลิตรต่อเดือน โดยดำเนินการเฝ้าด่านเป้าหมายสำคัญ เพื่อควบคุมให้มีการส่งออกจริง
1.3 ศปนม. ได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำสารโซลเว้นท์ไป ปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง โดยตรวจสอบติดตามโรงงาน ตัวแทนหน่าย ผู้ขนส่งและการขนส่ง ผู้ใช้ปลายทาง สถานีบริการน้ำมัน และเฝ้าคลังโรงกลั่นเป้าหมาย รวมทั้ง ยังมีมาตรการทางด้านการข่าว สืบหาเบาะแสข้อมูลในทางลับ
1.4 ในช่วงที่ผ่านมา ศปนม. สามารถจับกุมผู้กระทำผิดคดีลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้จำนวนทั้งสิ้น 53 ราย มีผู้ต้องหาจำนวน 91 คน มีปริมาณน้ำมันที่จับกุมได้ทั้งสิ้น จำนวน 635,591 ลิตร แยกเป็นน้ำมันเบนซิน 142,369 ลิตร น้ำมันดีเซล 399,222 ลิตร สารโซลเว้นท์ 71,000 ลิตร และน้ำมันเตา 23,000 ลิตร ตามลำดับ รวมมูลค่าของกลางทุกชนิดที่จับกุมได้เป็นเงินประมาณ 113 ล้านบาท
2. กรมศุลกากรได้ดำเนินการออกคำสั่งกรมศุลกากรที่ 44/2542 เพื่อรองรับกับความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางถนนระหว่างไทยและลาว เป็นผลให้สินค้าผ่านแดนทุกชนิด รวมถึงน้ำมันผ่านแดนของลาวที่ ตกค้างอยู่ในไทยครบ 90 วัน นับแต่วันนำเข้าเป็นของตกค้าง เพื่อให้ฝ่ายไทยสามารถดำเนินการกับสินค้า ดังกล่าวได้ และในช่วงที่ผ่านมากรมศุลกากรสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ จำนวน 8 ราย ผู้ต้องหา 24 คน ปริมาณน้ำมันดีเซลที่จับกุมได้ จำนวนทั้งสิ้น 370,142 ลิตร คิดเป็นมูลค่าน้ำมันและเรือของกลางที่จับกุมได้ ประมาณ 24 ล้านบาท
3. กรมสรรพสามิต ได้มีการดำเนินงานสรุปได้ดังนี้
3.1 โครงการการติดตั้งมิเตอร์เพิ่มเติมพร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายระบบข้อมูล จะดำเนินการติดตั้งและทดสอบระบบทั้งหมดภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2543 โดยคลังเป้าหมาย 4 คลังแรก เดิมจะติดตั้งเสร็จภายในวันที่ 20 ตุลาคม 2542 แต่บริษัทฯ ได้ขอขยายเวลาติดตั้งงวดแรกออกไปอีก 90 วัน
3.2 โครงการเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขณะนี้กรมสรรพสามิตได้รับมอบสาร Marker และเครื่องมือตรวจสอบแล้วจำนวนหนึ่ง สำหรับอุปกรณ์เติมสาร ได้มอบให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเป็นผู้ออกแบบ เครื่องฉีดสาร โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการเติมสารนั้น กรมสรรพสามิตได้ส่งร่างระเบียบดังกล่าวให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่าง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2543
3.3 โครงการควบคุมการใช้สารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอน (Solvent) มิให้นำไปปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการตรวจสอบโรงงานผู้ใช้สาร และได้มีการเพิกถอนใบอนุญาตไปแล้ว 50 ราย อยู่ระหว่างการส่งดำเนินคดี เตรียมส่งฟ้องศาล และรวบรวมหลักฐานอีก 46 ราย สำหรับการตรวจสอบการสั่งซื้อสารละลายจากโรงงานอุตสาหกรรมพบว่ามีบางรายกระทำ ผิดจริงจึงระงับการอนุญาตผลิตและจากการตรวจสอบบัญชีเอกสารโรงงานผู้ผลิต ตัวแทน ผู้ใช้ กรณีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ค่าปรับเป็นจำนวน 1.9 ล้านบาท นอกจากนี้ได้มีการจัดการฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่สรรพ สามิตที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง จัดชุดปฏิบัติการตรวจของจังหวัด สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ 10 คดี มีปริมาณสารละลายที่จับกุมได้จำนวน 200,400 ลิตร คิดเป็นเงินค่าปรับ 1.8 ล้านบาท นอกจากนั้นได้ปรับปรุงแก้ประกาศราคาที่ใช้เป็นฐานในการเก็บภาษีโซลเว้นท์จาก 7.50 บาท/ลิตร เป็น 12 บาท/ลิตร เพื่อลดแรงจูงใจในการปลอมปนน้ำมัน ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2542
4. กรมทะเบียนการค้า ได้ส่งหน่วยตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเคลื่อนที่ตามแผนปฏิบัติการประจำปี ตรวจสอบใน 12 จังหวัด จำนวน 668 ราย พบผิด 26 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 3.9 และจากจำนวนตัวอย่าง 1,834 ตัวอย่าง พบผิด 35 ตัวอย่าง หรือคิดเป็นร้อยละ 1.9 นอกจากนี้ ได้ออกตรวจสอบคุณภาพน้ำมันภายใต้โครงการธงเชียว ร่วมกับ ศปนม. เพื่อกระตุ้นและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันเชื้อ เพลิงที่มี คุณภาพ รวมทั้ง ได้ทำการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำร้องเรียนของผู้บริโภค ตรวจสอบแหล่งต้องสงสัย ร่วมกับ ศปนม.สืบหาเบาะแสแหล่งปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิง และดำเนินคดีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 สถานการณ์ราคาและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ผลการประชุมรัฐมนตรีน้ำมันโอเปค ณ กรุงเวียนนา ได้ข้อตกลงที่ไม่เป็นเอกฉันท์ โดยกลุ่มโอเปคไม่รวมอิหร่านจะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน 1.45 ล้านบาร์เรล/วัน หรือร้อยละ 7 ของเพดานการผลิตเดิม ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นไป แต่ต่อมาอิหร่านได้ออกมาแสดงท่าทีว่าจะเพิ่มการผลิตในระดับ 264,000 บาร์เรล/วัน ตามโควต้าที่ได้รับ ทำให้เพดานการผลิตของโอเปครวมเพิ่มขึ้น 1.716 ล้านบาร์เรล/วัน นอกจากนี้ เม็กซิโกและนอร์เวย์ ได้ประกาศเพิ่มปริมาณการผลิต 150,000 และ 100,000 บาร์เรล/วัน ตามลำดับ เป็นผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลง 0.5-1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แล้วทรงตัวอยู่ในระดับ 23.7 - 26.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณน้ำมันสำรองยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งการเพิ่มปริมาณการผลิตที่จะทำให้ตลาดอยู่ในภาวะสมดุลจะต้องเพิ่มในระดับ 2.0 - 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ดังนั้น การเพิ่มปริมาณการผลิตดังกล่าวจึงไม่มีผลให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว จนกว่าปริมาณน้ำมันสำรองจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับปกติ แต่อย่างไรก็ตาม ในการประชุมของโอเปคที่ผ่านมา ที่ประชุมได้เห็นชอบสูตรการปรับลดปริมาณการผลิตอัตโนมัติ เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันดิบ ( เบรนท์) ให้อยู่ในช่วง 22-28 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ของเดือนมีนาคม 2543 ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบส่วนหนึ่ง และจากการลดกำลังกลั่นและปัญหาการปิดซ่อมแซมของโรงกลั่นหลายแห่ง ส่งผลให้ตลาดตึงตัวมากขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเตา ปรับตัวสูงขึ้น 1.9, 3.8 และ 4.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ และ ณ วันที่ 30 มีนาคม 2543 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ดีเซล และเตา อยู่ในระดับ 28.3, 27.2, 29.1 และ 26.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกในเดือนมีนาคม น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 0.90 บาท/ ลิตร ปรับลง 6 ครั้ง รวม 1.5 บาท/ ลิตร เบนซินออกเทน 87 และ 91 ปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 0.90 บาท/ลิตร ปรับลง 6 ครั้ง รวม 1.8 บาท/ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 1.0 บาท/ลิตร และปรับลง 4 ครั้ง รวม 1.00 บาท/ลิตร โดยในวันที่ 1 เมษายน 2543 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95,91,87 และดีเซลหมุนเร็วมีราคาอยู่ที่ระดับ 14.39, 13.39 , 12.97 และ 11.87 บาท/ ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดเฉลี่ยในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม อยู่ในระดับต่ำที่ 0.84-0.98 บาท/ ลิตร จากการปรับราคาขึ้นในระดับที่ต่ำและช้ากว่าราคาน้ำมันในตลาดโลก เป็นผลจากตลาดน้ำมันมีการแข่งขันสูงและต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้วค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ของประเทศ อยู่ในระดับ 1.2- 1.3 บาท/ ลิตร แต่ในต้นเดือนเมษายน ค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับ 0.90 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นในเดือนมีนาคม ได้เพิ่มขึ้นมากเนื่องจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มมากกว่าราคาน้ำมันดิบ โดยอยู่ในระดับ 1.37 บาท/ลิตร ในขณะที่ค่าการกลั่นของปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับเพียง 0.49 บาท/ลิตร
5. เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ค่าการกลั่นได้ปรับตัวสูงขึ้นผิดปกติ ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อ มวลชน และมีการเรียกร้องให้รัฐหาทางลดราคา ณ โรงกลั่น เพื่อมิให้โรงกลั่นน้ำมันมีกำไรสูงเกินไป เช่น การให้ไปอิงตลาดอื่นแทนสิงคโปร์ หรือ การกำหนดราคาตามต้นทุนน้ำมันดิบ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานสรุปความเป็นมา ข้อเท็จจริง และความเห็นดังนี้
5.1 โรงกลั่นน้ำมันประกาศราคาโดยกำหนดให้ราคาน้ำมันที่ผลิตในประเทศเท่ากับราคา นำเข้า (Import Parity Basis) โดยใช้ราคาสิงคโปร์เป็นเกณฑ์ เนื่องจากต้องแข่งขันกับการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจาก สิงคโปร์ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่และอยู่ใกล้ที่สุด แต่เมื่อกำลังการกลั่นในประเทศเกินความต้องการและต้องมีการส่งออก ราคาส่งออกมักจะถูกกว่าราคานำเข้า โรงกลั่นจึงพยายามจำหน่ายน้ำมันภายในประเทศก่อนส่งออกโดยให้ส่วนลดราคา ณ โรงกลั่นในบางช่วง
5.2 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ มีการเคลื่อนไหวในทิศทางและระดับที่ใกล้เคียงกับตลาดอื่นๆ มีบางช่วงที่ราคาเปลี่ยนแปลงในทิศทางหรือระดับที่แตกต่างกับตลาดอื่น เป็นเพราะปริมาณน้ำมัน ในตลาดไม่มีความสมดุล แต่จะมีน้ำมันไหลเข้า/หรือออกจากตลาดอื่น จนทำให้ระดับราคาปรับตัวสมดุลกับตลาดอื่น นอกจากนี้ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์มีความผันผวนน้อยกว่าตลาดอื่นๆ และจากข้อเท็จจริงที่โรงกลั่นไทยยังต้องแข่งขันกับการนำเข้าจากสิงคโปร์ ดังนั้น การกำหนดราคาของโรงกลั่นโดยอ้างอิงราคาในตลาดจรสิงคโปร์ จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบัน
5.3 การกำหนดราคา ณ โรงกลั่น โดยใช้หลักการ Cost-plus Basis ซึ่งกำหนดจากต้นทุนราคา น้ำมันดิบบวกด้วยค่าใช้จ่ายของโรงกลั่นคงที่ไม่มีความเหมาะสม เพราะราคาน้ำมันดิบมีความผันผวนเช่นเดียวกับราคาน้ำมันสำเร็จรูป และต้นทุนการกลั่นของไทยแพงกว่าสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันภายในประเทศแพงขึ้น และทำให้สภาพการแข่งขันในตลาดน้ำมันถูกบิดเบือน เนื่องจากต้นทุนไม่สะท้อนถึงสภาพการแข่งขันที่แท้จริง
5.4 ในช่วงวันที่ 14-21 มีนาคมที่ผ่านมา โรงกลั่นน้ำมันได้ลดราคาลง 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (0.25 บาท/ ลิตร) เป็นเวลา 7 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าการกลั่นของโรงกลั่นสูงผิดปกติ ส่วนแนวทางในการลดราคา ณ โรงกลั่นอย่างถาวรนั้น เนื่องจากประเทศไทยมีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปบางส่วนในราคาต่ำกว่าราคาที่ จำหน่ายในประเทศ ดังนั้น ประชาชนในประเทศควรได้รับประโยชน์จากราคาส่งออกที่ถูกกว่าราคาจำหน่ายใน ประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 มอบหมายให้ ปตท. รับไปเจรจากับโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อปรับลดราคา ณ โรงกลั่นให้ลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับราคาส่งออก
6. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลก เดือนเมษายน 2543 ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 302 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ทำให้ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศ อยู่ในระดับ 11.45 บาท/ กก. มีอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 6.79 บาท/กก. ฐานะกองทุนฯ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 อยู่ในระดับ 3,361 ล้านบาท มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่นในระดับ 129 ล้านบาท/เดือน และรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 884 ล้านบาท/เดือน โดยมีเงินไหลออกจากกองทุนฯ สุทธิ 756 ล้านบาท/เดือน คาดว่า กองทุนฯ จะสามารถตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้ประมาณ 4 เดือน
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ราคาและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการจัดเตรียมมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อไป
2.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ( นายสาวิตต์ โพธิวิหค ) ออกแถลงการณ์สนับสนุนการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปค
เรื่องที่ 4 การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
สรุปสาระสำคัญความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 และเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 เกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในแต่ละมาตรการ สรุปได้ดังนี้
1. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
1.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม รวมทั้งอาคารของรัฐ
กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ได้อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้าง ตัวแทนดำเนินการเพื่อบริหารงานตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของรัฐ จำนวน 200 แห่ง และเพื่อบริหารการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ จำนวน 160 แห่ง รวมทั้ง การว่าจ้างตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของรัฐ จำนวน 170 แห่ง รวมเป็นเงินประมาณ 32.896 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นในอาคาร ควบคุมที่กำลัง ใช้งานรวม 97 แห่ง และโรงงานควบคุมที่กำลังใช้งาน 169 แห่ง และการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดในอาคารควบคุมที่กำลังใช้ งานรวม 84 แห่ง รวมเป็นเงินประมาณ 158.643 ล้านบาท ตลอดจนอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง และวิทยาเขตสุราษฏร์ธานี เพื่อดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง รวมวงเงินประมาณ 2.87 ล้านบาท
1.2 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง สพช. ได้จัดให้มีการสัมมนาโครงการทางเดียวกันไปด้วยกัน (Car Pool) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 เพื่อรับทราบแง่คิด มุมมอง และข้อเสนอแนะจากนักวิชาการ ผู้นำความคิด และผู้เกี่ยวข้องด้านการจราจร เพื่อนำไปใช้ในการกำหนดแนวทางการบริหารและจัดกิจกรรม Car Pool ในอนาคต ซึ่งผลจากการสัมมนาสรุปได้ว่า กิจกรรม Car Pool จะประสบความสำเร็จได้เมื่อเป็น ส่วนหนึ่งในกิจกรรมที่เป็นภาพรวมของกิจกรรมเพื่อลดมลพิษ การประหยัดพลังงาน และการแก้ไขปัญหาการจราจร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและต้องดำเนิน การติดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอจึงจะเห็นผล
2. การเลือกใช้พลังงานให้เหมาะสม มีความก้าวหน้าในเรื่องของการส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซิน ให้ถูกชนิด โดย สพช. ได้นำเสนอ "โครงการประชาสัมพันธ์รณรงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ออกเทนของเบนซิน ที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์" ต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543 เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และกิจกรรมรณรงค์เพื่อให้มีการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ จะเริ่มออกสู่สายตาประชาชน ในวันที่ 1 เมษายน 2543 นี้ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมการเผยแพร่ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ การซื้อเนื้อที่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ การเผยแพร่สปอตประชาสัมพันธ์ทางวิทยุ และกิจกรรมรณรงค์พิเศษ ได้แก่ การจัดสัมมนาสื่อมวลชน กิจกรรมรณรงค์กับสถานีบริการน้ำมันและศูนย์บริการอิสระ กิจกรรมรณรงค์กับรถจักรยานยนต์ รับจ้าง และกิจกรรมรณรงค์สอบถามข้อมูลทางโทรศัพท์อัตโนมัติ "สายด่วนออกเทน" เป็นต้น
3. การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้ใช้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะสามารถตรึงราคาต่อไปได้จนถึงเดือนกรกฎาคม 2543 และหากราคาก๊าซฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น จะใช้มาตรการการปรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้า ก่อนดำเนินการปรับเพิ่มราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4. การเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้เจรจาให้โรงกลั่นปรับลดราคาหน้าโรงกลั่นลง 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2543 ทำให้ ปตท. สามารถลดราคาขายปลีกให้กับผู้บริโภคได้ ดังนี้ เบนซิน 95 อัตรา 25 สตางค์/ลิตร , เบนซิน 91 อัตรา 45 สตางค์/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว อัตรา 25 สตางค์/ลิตร
5. มาตรการลดราคาน้ำมัน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
5.1 กลุ่มเกษตรกร
ปตท. จะลดราคาเบนซินและดีเซลจาก 0.15 บาท/ลิตร ในปัจจุบัน เป็น 0.25 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 - 30 มิถุนายน 2543 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวและเพาะปลูกใหม่ อีกทั้งต้องการจูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น และในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ปตท. ได้มีการจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่เกษตรกรผ่านสถานีบริการรวม 274 แห่ง คิดเป็นปริมาณ 3.6 ล้านลิตร นอกจากนี้ ปตท. พร้อมที่จะขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมสถานีบริการทั่วประเทศ 1,500 แห่ง
5.2 กลุ่มประมง
คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ( คชก.) ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2543 และได้มีมติอนุมัติให้ปรับอัตราชดเชยการขาดทุนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตาม โครงการช่วยเหลือลดราคาน้ำมันให้ชาวประมง เฉพาะเรือขนาดเล็กที่มีความยาวต่ำกว่า 18 เมตร โดยให้คำนวณจากส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามประกาศของการ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 1 ของทุกเดือน เทียบกับราคา ณ วันที่ 7 กันยายน 2541 (ราคาลิตรละ 7.95 บาท) แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินลิตรละ 3.00 บาท โดยใช้เงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในวงเงินจ่ายขาดคงเหลือจากที่ ได้รับอนุมัติ และภายในระยะเวลาโครงการฯ ที่อนุมัติไว้เดิม นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ชาวประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง ให้แก่กลุ่มประมง 80 ราย โดยมีปริมาณการจำหน่ายจำนวน 9 ล้านลิตร
5.3 กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม
ขณะนี้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกำลังเร่งสำรวจจำนวนผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ขนาดกลางและย่อมที่อยู่ในข่ายได้รับความช่วยเหลือจาก ปตท. คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2543 ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 100,000 ราย อย่างไรก็ตาม ปตท. จะเริ่มจำหน่ายน้ำมันให้ผู้ประกอบการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2543 จนถึง 15 มิถุนายน 2543 โดยให้ส่วนลดน้ำมันดีเซล 0.15 บาท/ลิตร และน้ำมันเตา 0.07 บาท/ ลิตร
6. มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
6.1 ภาคการผลิตไฟฟ้า
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ.) ได้รายงานว่าการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซ ธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรี คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2543 นี้ และในระหว่างที่การจัดทำสัญญาฯ ยังไม่แล้วเสร็จ กฟผ. และ ปตท. มีบันทึกข้อตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2541 เพื่อใช้ประกอบการซื้อขายก๊าซธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ปตท. ได้รายงานว่าการลงนามในสัญญาซื้อขายฯ ดังกล่าว ต้องล่าช้าออกไป เนื่องจากการเจรจายกร่างยังไม่สามารถหาข้อยุติที่เป็นเงื่อนไขสำคัญหลักๆ ได้ ในส่วนความก้าวหน้า ของการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีนั้นคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนเครื่องที่ 1 และ 2 จะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า เชิงพาณิชย์ได้ในเดือนมิถุนายน 2543 และพฤศจิกายน 2543 ตามลำดับ สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซที่อยู่ระหว่างก่อสร้างยังคงประสบปัญหา ที่สำคัญ คือ บริษัทผู้ผลิตจะจัดส่งอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าล่าช้ากว่ากำหนด 1 - 3 เดือน ซึ่งจะส่งผลต่อกำหนดการก่อสร้างโรงไฟฟ้า แต่ กฟผ. ก็ได้ เร่งรัดบริษัทผู้ผลิตอย่างต่อเนื่อง
6.2 ภาคอุตสาหกรรม
ปตท. อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการระบบท่อจำหน่ายก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Ring Gas Pipeline Project) รวมทั้ง จัดทำการออกแบบเบื้องต้นทางด้านวิศวกรรม และการประเมินผลสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environment Evaluation) โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2543 เพื่อขอความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ภายในเดือนมิถุนายน 2543 ส่วนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environment Impact Assessment) คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2543 และการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2545 และสามารถดำเนินการได้ราวต้นปี 2546
6.3 ภาคคมนาคมขนส่ง
ปตท. อยู่ระหว่างการประสานงานกับ ขสมก. และ กทม. ในการจัดทำข้อเสนอแผนงาน โครงการเพื่อรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และจะพิจารณาให้มีการสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ 6 สถานีแรกในปี 2543 โดย 3 สถานีจะสร้างรองรับรถโดยสารของ ขสมก. และรถ เก็บขยะ กทม. ขณะนี้อยู่ระหว่างหาสถานที่ และอีก 3 สถานีจะสร้างที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ , ศูนย์ปฏิบัติการชลบุรี และโรงแยกก๊าซฯ จังหวัดระยอง ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลเพื่อประกอบการจัดจ้าง พร้อมกันนี้ ปตท. ได้จัดทำแผนงานเบื้องต้นในการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ จำนวน 30 สถานี ( รวม 6 สถานีแรก ) ภายในปี 2543 - 2547 เพื่อให้บริการรถโดยสาร ขสมก. รถเก็บขยะ กทม. และรถเอกชนที่จะดัดแปลงเพิ่มในอนาคต
6.4 การทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลักของ ปตท.
ขณะนี้ ปตท. กำลังจัดทำแผนวิสาหกิจ ปตท. ประจำปี 2544 - 2548 โดยจะขออนุมัติต่อ ที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. ในวันที่ 26 เมษายน 2543 และจะนำเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติโดยเร็ว ที่สุดต่อไป นอกจากนี้ ได้มีการทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลัก เพื่อรองรับการขยายตัวของความต้องการใช้ก๊าซฯ ในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง
6.5 การจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐ
ปตท. ได้ดำเนินการจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐในปี 2543 เพิ่มขึ้นจากปี 2542 ซึ่งมีปริมาณ 106.3 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มเป็น 124.3 พันบาร์เรลต่อวัน ในปี 2543 หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ร้อยละ 17 โดยมีแหล่งจากประเทศในกลุ่มยูเออี คูเวต โอมาน อิหร่าน กาตาร์ และมาเลเซีย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 การแก้ไขปัญหาภาคการขนส่งทางถนนเนื่องจากปัญหาราคาน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงคมนาคมช่วยเหลือชดเชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ ผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้จัดทำแผนปฏิบัติการโครงการช่วยเหลือชดเชยค่าน้ำมัน เชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้นำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาในคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติก่อน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
2. เนื่องจากสภาวะของราคาน้ำมันยังไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน หากแก้ไขปัญหาโดยการปรับเพิ่มอัตราค่าขนส่งแล้ว เมื่อราคาน้ำมันปรับลดลง การลดอัตราค่าขนส่งอาจดำเนินการได้ยากในทางปฏิบัติ กระทรวงคมนาคม จึงได้เสนอมาตรการชั่วคราวตามแผนปฏิบัติการโครงการช่วยเหลือชดเชยค่าน้ำมัน เชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง โดยรัฐจะรับภาระกึ่งหนึ่งของส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดีเซลในท้องตลาดกับ ประมาณการราคาน้ำมันดีเซลที่กรมการขนส่งทางบกใช้ในการวิเคราะห์ต้นทุนอัตรา ค่าโดยสาร ซึ่งเท่ากับ 10.82 บาท โดยใช้เงินจากงบกลางจำนวน 500 ล้านบาท
3. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความเห็นว่าโครงการดังกล่าว จะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการขนส่งและลดผลกระทบที่จะมีต่อประชาชนผู้ใช้ บริการ แต่ควรเป็นมาตรการชั่วคราว โดยควรกำหนดเวลาช่วยเหลือให้ชัดเจนและกำหนดเพดานสูงสุดของราคาน้ำมันดีเซล ที่รัฐจะให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้อัตราค่าขนส่งสามารถปรับขึ้นได้ตามภาวะของราคาน้ำมัน ซึ่งจะทำให้การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในภาคการขนส่งเป็นไปอย่างประหยัดและมี ประสิทธิภาพ
4. สำนักงบประมาณ มีความเห็นว่าโครงการดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและเฉพาะกลุ่มเป็น การชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งอาจสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบแก่ผู้ประกอบการขนส่งด้านอื่นๆ และส่งผลให้เกิดการสร้างกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรให้ค่าขนส่งขึ้นลงตามกลไกตลาด โดยเสนอให้มีการปรับค่าขนส่งและค่าโดยสารเพิ่มขึ้นในอัตราที่ทำให้ผู้ประกอบ การขนส่งมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่ากับจำนวนที่จะได้รับการชดเชยค่าน้ำมันเชื้อ เพลิงจากรัฐบาล แต่หากคณะรัฐมนตรีเห็นว่าจำเป็นต้องดำเนินโครงการฯ ก็ให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ฝ่ายเลขานุการฯได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซล การเปรียบเทียบกำไรขาดทุนของผู้ประกอบการขนส่ง และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สรุปได้ดังนี้
5.1 ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในเดือนมีนาคม ได้ขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดที่ 12.82 บาท/ลิตร และได้อ่อนตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกมาอยู่ในระดับ 11.87 บาท/ลิตร ณ วันที่ 1 เมษายน 2543 และในเดือนเมษายน ราคาน้ำมันดีเซลมีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงอีกตามการอ่อนตัวของราคาน้ำมันดิบและ จากความต้องการที่ลดลงตามฤดูกาล
5.2 ในปี 2541-2542 กระทรวงคมนาคมใช้ฐานราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ ลิตรละ 10.61 บาท และ 10.72 บาท ตามลำดับ แต่ราคาขายปลีกจริงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ทำให้ผู้ประกอบการได้ประโยชน์คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,566 ล้านบาท/ปี และ 3,178 ล้านบาท/ปี ตามลำดับ ส่วน ในช่วงต้นปี 2543 ราคาขายปลีกสูงกว่าราคาฐานซึ่งเท่ากับ 10.82 บาท/ลิตร ทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาขาดทุนคิดเป็นมูลค่าประมาณ 409 ล้านบาท แต่ยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าการได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา
5.3 ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 อยู่ในระดับ 3,361 ล้านบาท โดยมีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 129 ล้านบาท/เดือน และรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 884 ล้านบาท/เดือน ทำให้มีเงินไหลออกจากกองทุนฯ สุทธิ 756 ล้านบาท/เดือน จึงคาดว่ากองทุนฯ จะสามารถตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้ประมาณ 4 เดือน
6. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่าการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งควรคำนึงถึงผล ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการได้รับในอดีตจากราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าราคาฐานในการ คำนวณอัตราค่าโดยสาร โดยควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือเมื่อผู้ประกอบการมีปัญหาการขาดทุนนานพอสมควร จนใกล้เคียงกับผลประโยชน์ ที่เคยได้รับ ประกอบกับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในเดือนเมษายน มีแนวโน้มที่จะลดลงไปอีก ดังนั้น น่าจะรอดูแนวโน้มของราคาน้ำมันต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อน หากในอนาคตจำเป็นต้องมีมาตรการเพื่อช่วยเหลือการขาดทุนจากราคาน้ำมัน ก็ควรใช้เป็นมาตรการชั่วคราวระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น โดยรัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้เนื่องจากฐานะของกองทุนน้ำมันฯ ในปัจจุบัน ไม่สามารถสนับสนุนได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากการขาดทุนจากราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะเกิดขึ้นเป็นระยะยาว ก็ควรปรับอัตราค่าโดยสารและค่าขนส่งให้ตามความเหมาะสม เพื่อให้สะท้อนถึงต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่แท้จริง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการชะลอการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโครงการช่วยเหลือชดเชย ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอออกไปก่อน โดยให้มีการติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วง 1-2 เดือนนี้ หากราคาน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นให้นำแผนปฏิบัติการโครงการช่วยเหลือชด เชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง กลับมาพิจารณาทบทวนอีกครั้ง
เรื่องที่ 6 การคืนหลักค้ำประกันของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 ได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ.) ได้ประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers: SPP) งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration อันเป็นการใช้พลังงานนอกรูปแบบและต้นพลังงานพลอยได้ในประเทศให้เกิดประโยชน์ มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและระบบ จำหน่ายไฟฟ้า
2. ภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอย ตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รัฐบาลได้เห็นชอบแนวทางการลดผลกระทบจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องมาตรการการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ซึ่งประกอบด้วย การแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง SPP กับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ( ปตท.) การปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว และการเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบ (Commercial Operation Date : COD) โดย กฟผ. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จะพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบเป็นรายๆ ไปตามความเหมาะสม
3. อย่างไรก็ตาม ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ผู้ดำเนินโครงการ SPP ประสบกับปัญหาการจัดหาเงินกู้ล่าช้า และลูกค้าตรงของ SPP ไม่สามารถดำเนินโครงการได้ตามกำหนด ทำให้ SPP หลายรายขอเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบ นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซายังมีผล ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศลดลงอย่างมาก และระดับกำลังการผลิตสำรอง (Reserve Margin) ในปี 2543-2547 คาดว่าจะอยู่ในระดับสูง ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวและเพื่อให้เป็นไปตามมติ คณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น สพช. และ กฟผ. จึงได้ร่วมกันหารือกับ SPP โดยขอให้โครงการต่างๆ ชี้แจงความคืบหน้าของโครงการ ปัญหาและอุปสรรค ตลอดจนความจำเป็นที่ต้องเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้า เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาของ SPP ให้สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ และในขณะเดียวกัน กฟผ. ก็สามารถลดภาระการชำระค่าไฟฟ้าให้โครงการ SPP ได้ด้วย
4. ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 มอบหมายให้ กฟผ. และ สพช. ติดตามความคืบหน้าของโครงการ IPP และ SPP อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกำหนดการจ่ายไฟฟ้าตามสัญญา และให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้เป็นรายๆ ไปตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ที่ประชุมมีข้อสังเกตว่าการผ่อนผันการเลื่อนกำหนดการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ไม่ได้ทำให้รัฐหรือการไฟฟ้าเสียประโยชน์ ดังนั้น กฟผ. จึงไม่ควรคิดค่าปรับจากการที่ IPP และ SPP ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. ได้ตามกำหนด
5. การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้รับข้อเสนอขายไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 93 ราย แต่มีบางรายที่ถูกปฏิเสธและบางรายที่ขอถอนข้อเสนอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากค่า เงินบาทลอยตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2540 ในปัจจุบันมี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้ารวม 51 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 50 ราย และกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจา 1 ราย หากทุกโครงการแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ จะมีปริมาณรับซื้อไฟฟ้าทั้งสิ้นสูงถึง 2,133 เมกะวัตต์ และ ณ เดือนมีนาคม 2543 มี SPP 41 ราย ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว ปริมาณเสนอขายไฟฟ้ารวม 1,581 เมกะวัตต์
6. ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ SPP ตั้งแต่ปี 2539 คิดเป็นปริมาณรวม 14,891 ล้านหน่วย มูลค่าการรับซื้อไฟฟ้า 24,567 ล้านบาท ราคารับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ย 1.27-1.78 บาท/หน่วย ซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบต้นทุนการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าของ กฟผ. โดยใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงกับการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มจากผู้ผลิตไฟฟ้า เอกชน พบว่าการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะมีต้นทุนต่ำกว่า นอกจากนี้ ในสถานการณ์ ที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน จึงควรมีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่ใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น เพื่อลดการใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้า
7. ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 มี SPP หลายโครงการที่ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วแต่ยังไม่ได้จำหน่ายไฟฟ้าเข้า ระบบ ขอเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบออกไปจากเดิม โดย สพช. และ กฟผ. ได้พิจารณาเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ และเงื่อนไข ในการเริ่มต้นจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบใหม่ จำนวน 4 ราย ได้แก่ บริษัท ธัญญพล จำกัด , บริษัท อัลฟา เพาเวอร์ จำกัด, บริษัท สยามเพาเวอร์ เจนเนเรชั่น จำกัด และ บริษัท ทีแอลพี โคเจนเนอเรชั่น จำกัด นอกจากนี้ มีโครงการ SPP ที่ขอยกเลิกโครงการและขอคืนหลักค้ำประกัน จำนวน 3 ราย คือ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด , บริษัท ปัญจพลไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด และบริษัท ปัญจพล พัลพ์ อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน )
8. กฟผ. ได้เสนอว่าในการพิจารณาเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้นั้น ควรให้ครอบคลุมถึงการยกเลิกโครงการของ SPP ด้วย ซึ่งการให้ SPP เลื่อนหรือยกเลิกโครงการในช่วงนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศลดลงอย่างมากและปริมาณพลังไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) อยู่ในระดับสูง และเพื่อให้การยกเลิกโครงการของ SPP ดังกล่าวมี ความเป็นไปได้ จึงเห็นควรคืนหนังสือค้ำประกันฯ ให้กับ SPP ที่ยกเลิกโครงการด้วย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 เป็นต้นมา
มติของที่ประชุม
1.มอบหมายให้ สพช. และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้เป็นรายๆ ไปตามความเหมาะสม โดยครอบคลุมถึงการเลื่อนกำหนดวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และการยกเลิกโครงการของ SPP ด้วย
2.ให้ กฟผ. คืนหลักค้ำประกันให้กับ SPP ที่ยกเลิกโครงการ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2538 อนุมัติแผนปฏิบัติการโครงการอาคารของรัฐ ( ปีงบประมาณ 2539-2542) ตามที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) เสนอ โดยในช่วงปีงบประมาณ 2539-2541 พพ. ได้ดำเนินการปรับปรุงอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในอาคารของรัฐแล้วเสร็จ จำนวน 413 แห่ง การดำเนินการส่วนใหญ่ประกอบด้วย 5 มาตรการหลัก คือ การใช้เครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง การใช้เทอร์โมสตัทชนิดอิเลคทรอนิคส์ การใช้หลอดชนิดประหยัดพลังงาน การใช้โคม ไฟฟ้าชนิดสะท้อนแสง และการใช้บัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ( สพช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับมอบหมายให้ติดตามประเมินผลการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ ระยะที่ 1 ของปีงบประมาณ 2539-2540 ซึ่งจากการประเมินผลพบว่าอาคารของรัฐที่ได้รับการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศ ให้ใหม่เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของอาคารไปแล้วนั้น มีหลายแห่งที่ได้นำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วนำกลับมาใช้งานอีก ซึ่งจะทำให้การลงทุนในการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศทั้งหมดไม่ได้ผลในการ ประหยัดพลังงานตามเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการในการห้ามไม่ให้นำเครื่องปรับอากาศที่ ถูกถอดทิ้งแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ และหากจะมีการทำลายเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดออกนั้น ก็ควรคำนึงถึงวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดย พพ. อาจให้มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาเป็นผู้รับไปดำเนินการให้ถูกต้องตาม หลักวิชาการ
3. ต่อมา คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 2543-2547 โดยในส่วนของโครงการอาคารของรัฐได้กำหนดให้ พพ. ปรับแผนของโครงการฯ ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ในเรื่องการห้ามไม่ให้นำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วนำกลับมาใช้ ใหม่ในอาคารของรัฐด้วย ซึ่ง พพ. ได้จัดทำมาตรการป้องกันการนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกกลับมาใช้ อีก นำเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แล้ว เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543
4. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543 เห็นชอบให้ พพ. เร่งดำเนินการศึกษาวิธีการทำลายเครื่องปรับอากาศโดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวด ล้อม และระหว่างที่ รอผลการศึกษานั้น ให้ สพช. เสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในการห้ามมิให้หน่วยงานที่เข้าร่วม โครงการอาคารของรัฐที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการการปรับ ปรุงเครื่องปรับอากาศนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้อีก โดยให้ พพ. เพิ่มข้อความในบันทึกข้อตกลงเพื่อให้ส่วนราชการเจ้าของอาคารยินยอมให้แยกตัว คอมเพรสเซอร์ออกจากชุดระบายความร้อน และเก็บไว้เพื่อรอการทำลายหรือจัดการตามแนวทางที่ได้รับจากผลการศึกษาต่อไป
5. นอกจากนี้ ในเรื่องการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพการใช้ เครื่องปรับอากาศเป็นอย่างมาก แต่ในปัจจุบันงบประมาณสำหรับค่าบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศของหน่วย งานราชการมักจะถูกตัดงบประมาณรายจ่ายอยู่เสมอ คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2541 เห็นชอบในแนวทางการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศของส่วนราชการและงบประมาณค่า ใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐได้ เสนอ โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา เครื่องปรับอากาศที่แต่ละหน่วยงานของรัฐเสนอมา และให้หน่วยงานของรัฐแต่ละแห่งแยกรายการค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่อง ปรับอากาศออกเป็นรายการหนึ่งต่างหากจากหมวดค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ พร้อมทั้งระบุด้วยว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้นเป็นรายการห้ามโอนย้าย และให้ สพช. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ สพช. ได้มีการประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาในเรื่องดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2542 และขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาจากสำนักงบประมาณ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เร่งดำเนินการศึกษาวิธีการทำลายเครื่องปรับอากาศเก่าโดยไม่ให้เกิดผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และให้ทราบผลภายในเดือนกันยายน พ.ศ. 2543
2.เห็นชอบให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการอาคารของรัฐ ที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการการปรับปรุงเครื่องปรับ อากาศ ห้ามนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้อีก โดยให้แยกตัวคอมเพรสเซอร์ออกจากชุดระบายความร้อนและเก็บไว้เพื่อรอการทำลาย หรือจัดการตามแนวทางที่ได้รับจากผลการศึกษาของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ต่อไป
3.มอบหมายให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ประสานงานกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ในเรื่องการไม่ให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการอาคารของ รัฐที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการการปรับปรุงเครื่องปรับ อากาศ โอนเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกไปให้ส่วนราชการอื่นที่ยังขาดแคลนและมี ความจำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศ
4.มอบหมายให้สำนักงบประมาณรับไปติดตามการพิจารณาอนุมัติงบประมาณค่าใช้ จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศที่แต่ละหน่วยงานของรัฐเสนอมา โดยให้หน่วยงานแต่ละแห่งแยกรายการค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องปรับ อากาศออกเป็นรายการหนึ่งต่างหากจากหมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ พร้อมทั้งให้ระบุว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นรายการห้ามโอนย้าย
ประกาศ ขึ้นบัญชีและยกเลิกบัญชี ตำแหน่งนักทรัพยากรบุคคลปฏิบัติการ วันที่ 23 กันยายน 2558
กพช. ครั้งที่ 73 - วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 73)
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2543 เวลา 14.00น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
3.การประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และมาตรการบรรเทา
4.ขอผ่อนผันระยะเวลาในการติดตั้งระบบควบคุมไอระเหยน้ำมันเบนซิน
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การลดปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2541 ถึงต้นปี 2543 รวม 4.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นมาก เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบไม่เพียงพอกับความต้องการ โรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันต้องนำน้ำมันสำรองทางการค้ามาใช้ โดยราคาน้ำมันดิบในเดือนมกราคม 2543 เฉลี่ยทรงตัวอยู่ในระดับ $23.3 - $25.7 ต่อบาร์เรล และเดือนกุมภาพันธ์ราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น $1.3 - $2.1 ต่อบาร์เรล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของราคามีความผันผวนมากปรับตัวทั้งขึ้นและลงตามกระแสข่าว ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาขยายเวลาการลดปริมาณการผลิตของกลุ่มประเทศโอเปค ที่จะมีการประชุมเป็นทางการในปลายเดือนมีนาคมนี้ ในช่วงครึ่งแรกของเดือนมีนาคมราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลของปริมาณสำรองที่ลดลงไปสู่ระดับที่ต่ำมาก แม้ว่าจะมีแนวโน้มของการที่โอเปคจะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน ณ วันที่ 7 มีนาคม ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงปลายเดือนก่อนถึง $3 ต่อบาร์เรล ขึ้นมาสู่ระดับ $ 28.4 - 33.9 ต่อ บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี แต่ในวันถัดมาราคาได้ตกลงประมาณ $3 ต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ $25.3 - $31.2 ต่อบาร์เรล หลังจากมีข่าวประเทศในกลุ่มโอเปคทั้งหมด ได้เห็นด้วยกับการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบแล้ว
2. กระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกาได้วิเคราะห์ผลของการเพิ่มปริมาณการผลิตต่อ ราคาน้ำมันดิบโลกว่า ถ้าปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทันทีในตลาด จะทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลงสู่ระดับ $25.5 ต่อบาร์เรล ในเดือนสิงหาคม และถ้าเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ราคาจะลดลงสู่ระดับ $23 ต่อบาร์เรล ในเดือนกรกฎาคม แต่ถ้าการเพิ่มปริมาณการผลิตเลื่อนออกไปจนกระทั่งไตรมาสที่ 4 ราคาจะขึ้นไปสู่ระดับ $35 ต่อบาร์เรล ในฤดูร้อนนี้
3. นับแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้น $8 - $9 ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบส่วนหนึ่ง และเนื่องจากปริมาณน้ำมันที่ถูกจำกัดจากการลดกำลังกลั่นและการปิดซ่อมแซมของ โรงกลั่นหลายแห่ง ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปแข็งตัวขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบ ในเดือนมีนาคม ราคาน้ำมันเบนซิน เซลและเตา ได้ปรับตัวสูงขึ้น $3.6, $5 และ $5.2 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดย ณ วันที่ 7 มีนาคม 2543 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 97 เบนซินออกเทน 92 ดีเซลและเตา อยู่ในระดับ $37.31, $36.3, $36.9 และ $30.2 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
4. ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในเดือนกุมภาพันธ์ มีการปรับขึ้น 2 ครั้ง รวม 60 สตางค์/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ปรับราคารวม 3 ครั้ง ปรับลง 1 ครั้ง จำนวน 20 สตางค์/ลิตร และปรับขึ้น 2 ครั้ง รวม 50 สตางค์/ลิตร และในช่วงต้นเดือนมีนาคม ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซล ปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 1.0 บาท/ลิตร โดย ณ วันที่ 9 มีนาคม 2543 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, 87 และดีเซลหมุนเร็วเท่ากับ 15.99, 15.19, 14.77 และ 12.82 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ระดับค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำมากกว่าปกติ จากการปรับราคาขึ้นในระดับที่ต่ำและช้ากว่าการปรับขึ้นของราคาน้ำมันในตลาด โลก ซึ่งเป็นผลจากการแข่งขันที่สูงในตลาดน้ำมันและต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ของประเทศเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมอยู่ที่ 0.85 และ 0.76 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดย ณ วันที่ 7 มีนาคม อยู่ในระดับเพียง 0.43 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่แข็งตัวมากกว่าราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเดิมอยู่ในระดับเพียง 0.49 บาท/ลิตร ขึ้นมาเคลื่อนไหวในระดับ 0.80 บาท/ลิตร นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
สรุปสาระสำคัญความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในแต่ละมาตรการสรุปได้ดังนี้
1. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
ในช่วงเดือนตุลาคม 2542 - กุมภาพันธ์ 2543 ได้มีการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543 - 2547) แล้ว โดยมีโครงการที่ได้รับอนุมัติจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็น จำนวน 4,004 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานประมาณ 353 ล้านลิตรเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นเงิน 7,729 ล้านบาท โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สรุปได้ดังนี้
1.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรงงานและ อาคารควบคุม ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้อนุมัติเงินเพื่อดำเนินโครงการ นำร่องจำนวน 30 ล้านบาท ให้แก่ 3 หน่วยงาน คือ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อร่วมกันดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอุตสาหกรรม ขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) เพื่อ ช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้แก่โรงงานและอาคารจำนวน 150 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะประหยัดพลังงานได้ 16 ล้านลิตรเทียบเท่าน้ำมันดิบ และเมื่อเสร็จสิ้นตามแผนฯ ระยะที่ 1 แล้ว จะขยายผลให้แก่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กส่วนที่เหลือทั่วประเทศต่อไป
1.2 การส่งเสริมให้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูง กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนการใช้เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถประหยัดพลังงานได้ถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับเตาทั่วไป โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการมอบหมายให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรีเป็นแกนนำ ในการนำเตาฯ จำนวน 2,400 ลูก ไปสาธิตใช้งานและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่กลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม โรงเรียนและสถานที่ราชการ กลุ่มวัดและประชาชนทั่วไป และกลุ่มผู้ประกอบอาชีพการทำอาหารและร้านอาหาร เพื่อเป็นตัวกระตุ้นตลาดและสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ผลิตเตาฯ รายใหม่ รวมทั้ง เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมกันสร้างเครือข่ายเพื่อส่งเสริมให้เกิดผลอย่างจริงจังต่อไป
1.3 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำและการติดฉลากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า สพช. ได้ดำเนินการศึกษาการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำในอุปกรณ์ 6 ประเภท แล้วเสร็จ ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ หลอดคอมแพคฟลูออร์เรสเซนต์ หลอดฟลูออร์เรสเซนต์ และบัลลาสต์ ผลการศึกษาพบว่าการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานจะสามารถลดความต้องการใช้ ไฟฟ้า ได้ถึง 700 เมกะวัตต์ หรือ 3,500 ล้านหน่วย ซึ่ง สพช. จะได้นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณากำหนดเป็นนโยบายต่อไป
1.4 การส่งเสริมการใช้เตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) จัดทำแผนโดยละเอียดโครงการสาธิตเตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้เตาเผาศพของประเทศไทย ซึ่ง ต่อมาได้มีการปรับปรุงโครงการฯ ดังกล่าวให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยภายในระยะเวลา 6 เดือน มช. จะนำเสนอผลการศึกษาและแบบเตาเผาศพที่ประหยัดพลังงานและลดมลภาวะแบบจำนวนศพ น้อยเบื้องต้น เพื่อเป็นต้นแบบในการสร้างเพื่อใช้งานจริงในประเทศ และเมื่อครบกำหนดระยะเวลา 2 ปี มช. จะต้องสร้างแบบเตาเผาศพ แบบสมบูรณ์ ทั้งกรณีจำนวนศพน้อยและจำนวนศพมากในเกณฑ์เดียวกับแบบเตาเผาศพเบื้องต้น และให้มีการรวบรวมข้อมูลการใช้พลังงานและการปล่อยมลภาวะจากเตาเผาศพที่จะนำ มาใช้ในโครงการเพื่อหาปัจจัยและคุณลักษณะที่เหมาะสมของเตาเผาศพเพื่อการออก แบบเตาเผาศพประหยัดพลังงานต่อไป
1.5 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง มีโครงการที่ได้ดำเนินการแล้วดังนี้
(1) โครงการทางเดียวกันไปด้วยกัน (Car pool) สพช. ได้เร่งรณรงค์โครงการฯ ไปทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน รวม 37 องค์กร มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 1,575 คน หลังจากนี้ จะจัดให้มีการสัมมนากลุ่มย่อยกับนักวิชาการ ผู้นำความคิด และผู้เกี่ยวข้องด้านการจราจร เพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน รวมถึงอภิปรายความเป็นไปได้ในการขยายผลหรือแนวทางการทำวิจัยเพิ่มเติม
(2) การปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง ศูนย์อนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทย ได้จัดฝึกอบรมอาจารย์ของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลจากทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์และเน้นให้ตระหนักถึงความสำคัญในการ ซ่อมบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้ถูกต้อง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและลดมลภาวะ รวมทั้ง เพื่อให้กลุ่มอาจารย์ดังกล่าวได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักศึกษาของสถาบันไม่ น้อยกว่าปีละ 3,000 คน นอกจากนี้ กรมควบคุมมลพิษจะมอบใบประกาศให้กับอู่ที่ผ่านการอบรมในเรื่องการปรับแต่ง เครื่องยนต์แล้ว และ ปตท. จะขยายปริมาณงานปรับแต่งเครื่องยนต์ตามสถานที่บริการจากเดิม ประมาณ 2,000 คัน เพิ่มเป็น 4,500 คัน รวมทั้ง กรมการขนส่งทางบก จะจัดทำหลักสูตรและฝึกอบรมการใช้รถอย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดพลังงานให้แก่ พนักงานขับรถทั่วราชอาณาจักร และผู้ประกอบการขนส่งรถโดยสารไม่ประจำทางและรถบรรทุก ที่สำนักงานขนส่งใน 75 จังหวัดทั่วประเทศ และจัดหน่วยเคลื่อนที่ออกไปจัดฝึกอบรมให้แก่นักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่างๆ ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
1.6 การส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด สพช.ได้ประสานงานกับกรมควบคุมมลพิษและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในการจัดให้มีการใช้รถโดยสารไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid buses) โดย ขสมก. จะนำรถเก่าเครื่องยนต์ดีเซล จำนวน 20 คัน มาดัดแปลงเอาเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ออก แล้วปรับปรุงให้ใช้พลังงานไฟฟ้าจากระบบแบตเตอรี่แทน ซึ่งจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงได้ร้อยละ 49
1.7 โครงการเร่งด่วนเพื่อประชาสัมพันธ์วิธีการประหยัดน้ำมัน สพช. ได้มุ่งเน้นให้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์น้ำมัน และการเลือกใช้น้ำมันเบนซินตามค่าออกเทนที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ โดยเฉพาะการรณรงค์โดยใช้สื่อต่างๆ เพื่อผลักดันให้ผู้ที่สามารถเติมน้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทน 91 ได้ แต่มาเติมออกเทน 95 ให้กลับมาเลือกใช้น้ำมันเบนซินที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ คือ ออกเทน 91
1.8 การส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน สพช. ได้คัดเลือกผู้ที่มีประสบการณ์ที่จะเป็นผู้ดำเนินการจัดเตรียมการเชิญชวนและ คัดเลือกข้อเสนอของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อ เพลิงที่จะขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เพื่อชดเชยส่วนต่างจากราคารับซื้อไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะเปิดรับข้อเสนอโครงการฯ ได้ประมาณเดือนกันยายน 2543 และจะทราบผลการคัดเลือกภายในเดือนมกราคม 2544
(2) สนับสนุนการใช้เซลล์แสงอาทิตย์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า กฟผ. ได้ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ วงเงินประมาณ 800 ล้านบาท เพื่อดำเนินการติดตั้งระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์ แสงอาทิตย์ ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 2 แห่ง รวมขนาด 2.25 เมกะวัตต์ เพื่อผลิตกระแส ไฟฟ้าเสริมเข้าระบบผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่เดิม ซึ่งจะช่วยลดการใช้น้ำมันในการผลิตไฟฟ้าลงได้ 900,000 ลิตร/ปี
(3) สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ร่วมกับ กปร และมูลนิธิชัยพัฒนา ในการออกแบบและติดตั้งเพื่อสาธิตกังหันลมสูบน้ำเพื่อสาธิตและเผยแพร่การใช้ ประโยชน์เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนในกิจกรรมด้านเกษตรกรรม ตามรูปแบบการสาธิตการเกษตรแบบผสมผสานแนว "ทฤษฎีใหม่" อันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ในพื้นที่โครงการแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสาน สถานีทดลองข้าวจังหวัดราชบุรี และที่สถานีพืชสวนจังหวัดเพชรบุรี โดยกังหันลมสูบน้ำแต่ละระบบ สามารถสูบน้ำได้เฉลี่ยวันละ 15-20 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
1.9 การประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สพช. ยังคงดำเนินการประชาสัมพันธ์และรณรงค์อย่างต่อเนื่องภายใต้ "โครงการรวมพลังหาร 2" โดยเฉพาะประเด็นที่มีความสำคัญ เพื่อตอกย้ำแนวคิดและให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้พลังงานของ ประชาชนในที่สุด
1.10 การพัฒนาหลักสูตรและผลิตสื่อการเรียนการสอนเกี่ยวกับพลังงานและผลกระทบของ การใช้พลังงานที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้ "โครงการรุ่งอรุณ" ซึ่งเป็นโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการร่วมมือกับสถาบัน สิ่งแวดล้อมไทย และ สพช. โดยการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในการมองปรากฏการณ์ของสิ่ง ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในลักษณะขององค์รวม และเพื่อให้มีทัศนะและพฤติกรรมที่เข้าไปใช้ธรรมชาติอย่างคุ้มค่าและไม่สร้าง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการสอดแทรกลงไปในทุกวิชาที่มีการเรียนการสอนให้ นักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับมัธยม โครงการนี้จะสิ้นสุดในปี 2543 โดยจะสามารถสร้าง โรงเรียนต้นแบบได้ 600 แห่ง เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับการเรียนการสอนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมให้กับ โรงเรียนทั่วประเทศ 40,000 แห่ง ต่อไป
2. การเลือกใช้พลังงานให้เหมาะสม มีความก้าวหน้าในแต่ละมาตรการดังนี้
2.1 การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกชนิด ปัจจุบันผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันได้มีการปรับเปลี่ยนป้ายแสดงค่า ออกเทนของน้ำมันเบนซินที่ตู้จ่ายโดยแสดงค่าออกเทนขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด คือ ออกเทน 91 และออกเทน 95 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 เป็นต้นมา และโรงกลั่นน้ำมันได้ปรับลดค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินจาก 97 RON มาเป็น 95 RON โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2543 เป็นต้นมา ซึ่งรถยนต์ทั่วไปจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ 80 สตางค์/ลิตร นอกจากนี้ สพช. ได้วางแผนประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถที่เครื่องยนต์เหมาะสมกับน้ำมันเบนซินออกเทน 91 แต่ยังคงใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 โดยจะประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ศกนี้ ซึ่งคาดว่าผลจากการประชาสัมพันธ์จะช่วยให้ประชาชนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อย่างเป็นรูปธรรม
2.2 ให้ กฟผ. ลดการใช้น้ำมันเตาและใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้า โดยตั้งแต่เดือนกันยายน 2542 เป็นต้นมา ปริมาณการใช้น้ำมันเตาในโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ลดลงจากระดับ 503 ล้านลิตร มาอยู่ที่ระดับ 198 ล้านลิตร ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 นอกจากนี้ กฟผ. ได้ดำเนินการติดตั้งหน่วยกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ (FGD) ที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 6 - 7 แล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2542 และเครื่องที่ 4-5 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2543 ซึ่งจะช่วยให้มีการผลิตไฟฟ้าจากลิกไนต์เป็นเชื้อเพลิงได้เพิ่มขึ้น
3. การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้ใช้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งจะสามารถตรึงราคาต่อไปได้อีกประมาณ 5 เดือน และหากราคาก๊าซฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น จะใช้มาตรการการปรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้า ก่อนดำเนินการปรับเพิ่มราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4. การลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ได้มีการผ่อนผันให้ กฟผ. สามารถใช้น้ำมันเตากำมะถันไม่เกิน 1.0% และค่าแอสฟัลทีนระดับปกติที่สามารถนำเข้าจากตลาดสิงคโปร์มาใช้ในโรงไฟฟ้าพระ นครเหนือได้ และ ปตท. ได้มีการเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันและ กฟผ. แล้ว เพื่อหาทางเลือกต่างๆ ให้น้ำมันเตาที่จำหน่ายให้ กฟผ. มีราคาต่ำสุด ซึ่งปรากฏว่าทุกโรงกลั่นไม่สามารถปรับลดราคาน้ำมันเตาลงได้อีก เนื่องจากอุตสาหกรรมโรงกลั่น น้ำมันในปัจจุบันประสบปัญหาจาก Margin ตกต่ำ อย่างไรก็ตาม ในการคำนวณสูตรการปรับอัตราค่า ไฟฟ้า โดยอัตโนมัติ (Ft) ในขณะนี้ คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติได้มีมติให้ กฟผ. ใช้ราคาน้ำมันเตาที่คำนวณจากค่าพรีเมี่ยมที่เกิดขึ้นจริง หรือ ใช้อิงราคาตลาดจรสิงคโปร์ของน้ำมันเตากำมะถัน ไม่เกิน 2% มาใช้ในการคำนวณค่า Ft ตั้งแต่ค่าน้ำมันเตาเดือนมีนาคม 2542 เป็นต้นมา จึงทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเตาที่ กฟผ. ซื้อจาก ปตท. มีราคาสอดคล้องกับราคาในตลาดที่เกิดขึ้นจริงมากกว่าราคาที่กำหนดตามสัญญา ซึ่งกำหนดค่าพรีเมี่ยมไว้สูง
5. การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ในขณะนี้ได้มีการดำเนินการ แก้ไขกฎหมายศุลกากรเพื่อแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นพนักงานศุลกากรให้มี อำนาจปฏิบัติงานตรวจสอบจับกุมในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย การกำหนดให้มีมาตรการควบคุมสารโซลเว้นท์ที่ต้นทาง การเร่งออกระเบียบกรมสรรพสามิตว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อรองรับการดำเนินโครงการเติมสาร Marker และการนำเสนอผลการศึกษาพฤติกรรมการส่งออกน้ำมัน ข้ามแดนและการเดินเรือสินค้าไปต่างประเทศโดยมีการขอคืนภาษีสรรพสามิตโดยมิ ชอบให้แก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้เดินทางไปดูสถานการณ์ การลักลอบนำเข้าน้ำมันในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ เมื่อวันที่ 2-3 มีนาคม ที่ผ่านมา และได้มอบนโยบายพร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมศุลกากร เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบเรือประมงดัดแปลงและเรือลักลอบขนส่ง น้ำมันให้เข้มงวดมากขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันยังคงสูงขึ้นในขณะนี้
6. การส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคคมนาคมขนส่งมากขึ้น ขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการดำเนินการดัดแปลงเครื่องยนต์ดีเซลเป็นระบบเชื้อเพลิงร่วม (Diesel Dual Fuel System) รวม 18 คัน และดัดแปลงเครื่องยนต์เบนซินเป็นระบบเชื้อเพลิงสองชนิด (Bi-fuel System) รวม 12 คัน ซึ่งการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์จะแล้วเสร็จกลางเดือนมีนาคม 2543 และ ปตท. จะทำการทดสอบเครื่องยนต์บนถนน ซึ่งคาดว่าจะ แล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2543 นอกจากนี้ ปตท. และ สพช. ได้มีการประชุมหารือเพื่อหาแนวทางในการ ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อดำเนินการดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการประสานงานกับ ขสมก. เพื่อร่วมกันจัดทำข้อเสนอโครงการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ต่อไป
7. การเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น ปตท. ได้มีการเจรจากับบริษัทผู้ค้าน้ำมันแล้วปรากฏว่าทุกโรงกลั่นไม่สามารถปรับลด ราคาผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นให้เทียบเท่าราคาส่งออกได้ เนื่องจากสภาพปัญหา Margin ตกต่ำ และปริมาณความต้องการภายในประเทศที่ลดลง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโรงกลั่นน้ำมันจะไม่ปรับลดราคา ณ โรงกลั่นลงมา แต่การที่ประเทศต้องส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งราคาถูกกว่าราคาที่จำหน่ายใน ประเทศก็จะส่งผลดีทางอ้อมต่อประเทศ กล่าวคือ โรงกลั่นน้ำมันและผู้ค้าน้ำมันซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันในประเทศ สามารถนำส่วนต่างของราคา ณ โรงกลั่นกับราคาส่งออกมาใช้เป็นส่วนลดหรือตัดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงใน หลายพื้นที่ นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกประเภท ซึ่งรัฐได้ขอให้โรงกลั่นผลิตน้ำมันเบนซินให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ โดยโรงกลั่นได้ปรับลดค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินจาก 97 RON เป็น 95 RON แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2543 เป็นต้นมา มีผลทำให้ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปรับลดลงประมาณ 0.20 - 0.25 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และมาตรการบรรเทาผลกระทบ
หน่วยงานต่างๆ ได้รายงานการประเมินผลกระทบและเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ เพิ่มสูงขึ้นให้ที่ประชุมทราบ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจให้ที่ประชุมทราบสรุปได้ดังนี้
1.1 จากรายงานการศึกษาผลกระทบของราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจส่วนรวมปี 2543 ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543 ได้ศึกษาผลกระทบแบ่งเป็น 3 กรณีด้วยกัน คือ ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบในปี 2543 อยู่ที่ระดับ 22, 24 และ 26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยเปรียบเทียบกับกรณีฐาน ซึ่งมีสมมุติฐานราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ 19 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยในกรณี เลวร้ายที่สุด (worst case) ซึ่งราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะมีผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงจากกรณีฐานประมาณร้อยละ 0.52 (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 38 บาท)
1.2 ต่อมาราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น สศช. จึงได้ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจส่วนรวม โดยเพิ่มกรณีราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบอยู่ที่ 29 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งสรุปได้ว่า ถ้าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 29 เหรียญสหรัฐ (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐ = 38 บาท) จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.74 และอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานร้อยละ 0.6 โดยเพิ่มเป็น ร้อยละ 2.6 ส่วนการส่งออกจะได้รับผลกระทบเล็กน้อยโดยลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.09 มาอยู่ที่ร้อยละ 4.91 อย่างไร ก็ตาม กรณีราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ยังคงเป็นกรณีที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุด
1.3 นักวิเคราะห์จากหลายสถาบันคาดว่าหลังเดือนมีนาคม 2543 ราคาน้ำมันจะมีแนวโน้ม อ่อนตัวลงและจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับราคา 21-22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบ ตลอดปีเป็น 22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่กลุ่มโอเปคจะพิจารณาเพิ่มปริมาณการผลิต 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป เนื่องจากผู้ผลิตน้ำมันได้ตระหนักถึงผลกระทบ ต่อเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันที่สูงจะจูงใจให้ผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปค เม็กซิโก รัสเซีย ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นทำให้กลุ่มโอเปคมีส่วนแบ่งตลาดลดลง นอกจากนี้การเข้าสู่ฤดูร้อนในซีกโลกตอนเหนือทำให้ความต้องการใช้น้ำมัน ลดลงส่วนหนึ่ง
1.4 สศช. มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2543 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับร้อยละ 0.7 ซึ่งแสดงว่าแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อยังไม่น่าเป็นห่วง โดยการส่งออกซึ่งเป็นเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญยังคงฟื้นตัวอย่างต่อ เนื่อง แนวโน้มราคาน้ำมันขณะนี้ยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยส่วน รวม อย่างไรก็ตาม ผลของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะมีผลกระทบต่อต้นทุนเฉพาะบางด้าน เช่น การประมง และการขนส่ง จึงควรพิจารณาถึงมาตรการที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงงบประมาณของภาครัฐในอนาคตและ การประหยัดพลังงานซึ่งยังคงมีความสำคัญต่อไป
2. การประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการ พร้อมทั้งมาตรการบรรเทาผลกระทบ
กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
2.1 กระทรวงพาณิชย์ ได้ทำการศึกษาผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าโดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าเมื่อราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าเมื่อค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น และผลกระทบต่อต้นทุนเมื่อราคาค่าขนส่งปรับสูงขึ้น ซึ่งจากการวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนของสินค้าในการกำกับดูแลของกระทรวง พาณิชย์จำนวน 73 รายการ เมื่อเปรียบเทียบราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลิตรละ 12.82 บาท ในปัจจุบันกับราคาในเดือนมิถุนายน 2542 เฉลี่ยลิตรละ 8.30 บาท ทำให้สินค้าที่มีน้ำมันเป็นปัจจัยในการผลิตจำนวน 53 รายการได้รับผลกระทบจำนวน 12 รายการ ในอัตราร้อยละ 1-7 โดยเมื่อเทียบกับที่รายงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติครั้งที่แล้วมี สินค้าที่ได้รับผลกระทบเพียง 7 รายการ สินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดได้แก่ ปูนซิเมนต์ (ปอร์ตแลนด์) ร้อยละ 7 รองลงมาคือ ตะปู ได้รับผลกระทบร้อยละ 4 กระเบื้องคอนกรีตร้อยละ 3 ส่วนที่เหลืออีก 9 รายการ ได้รับผลกระทบเพียงร้อยละ 1
2.2 ในส่วนของค่ากระแสไฟฟ้าได้มีการติดตามประสานงานกับการไฟฟ้าคาดว่าจะมีการ ปรับอยู่ที่ร้อยละ 6 และถ้ามีการปรับในเดือนเมษายนนี้ สินค้าที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ แคลเซียมคาร์ไบต์ รองลงมาคือ น้ำมันหล่อลื่น และกระดาษ ซึ่งก็มีผลกระทบไม่มากนัก ส่วนผลกระทบที่เกิดจากค่าขนส่งจะมี ผลกระทบแตกต่างกันไปในระดับของราคาขายปลีก รายการสินค้าที่กระทบมากที่สุด คือสินค้าวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น เป็นต้น
2.3 มาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น กระทรวงพาณิชย์ได้มีมาตรการให้ ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการครองชีพประมาณ 570 ราย แจ้งการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า ให้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 15 วันทำการก่อนการปรับราคาสินค้า เพื่อศึกษาวิเคราะห์ต้นทุนสินค้าและพิจารณาราคาจำหน่ายที่เหมาะสมตามภาระต้น ทุนที่แท้จริง นอกจากนี้ ได้มีการติดตามดูแลความเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณสินค้า รวมทั้งพฤติกรรมผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ จัดเจ้าหน้าที่สายตรวจออกตรวจสอบภาวะสินค้าเป็นประจำทุกวันทำการ รวมทั้ง การตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และการจัดจำหน่ายสินค้าราคายุติธรรมให้แก่ผู้บริโภค
3. การประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการในสาขาเกษตร พร้อมทั้งมาตรการบรรเทาผลกระทบ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 ภาคเกษตรกรรมสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 สาขาหลัก คือ การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ ป่าไม้ และประมง ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อสาขาการเพาะปลูก คือ เรื่องน้ำ การขนส่ง และราคาสินค้า และเนื่องจาก สินค้าเกษตรมีราคาต่อหน่วยต่ำมาก เพราะฉะนั้นจะได้รับผลกระทบจากราคาค่าขนส่งเป็นหลัก ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่ต้องอาศัยการขนส่ง เช่น ปุ๋ยเคมี ซึ่งมีปริมาณการใช้ปีละประมาณ 3 ล้านตัน โดยปกติราคา ค่าขนส่งเฉลี่ยที่ 575 บาทต่อตัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะทาง เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 12.50 บาทต่อลิตร จากราคาเดิม 12.00 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้นอีก 28.75 บาทต่อตัน สำหรับราคาสินค้าตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงว่าได้รับผลกระทบก็จะส่งผล กระทบต่อราคาสินค้าเกษตรยิ่งขึ้น ส่วนในเรื่องการใช้ น้ำเพื่อการเกษตรจะมีต้นทุนเกี่ยวกับค่าไฟฟ้าและน้ำมันดีเซล ซึ่งจะมีผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตร
3.2 ด้านการเลี้ยงสัตว์จะเกี่ยวข้องกับราคาอาหารสัตว์ หากราคาอาหารสัตว์เพิ่มสูงขึ้นจากภาระค่าขนส่ง ซึ่งผู้ประกอบการมักจะผลักภาระให้แก่เกษตรกรก็จะส่งผลให้ต้นทุนการเลี้ยง สัตว์เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ ผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่ปรับตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จะทำให้ต้นทุนการผลิตปศุสัตว์ปรับสูงขึ้นบางส่วน เช่น ราคาค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสุกรร้อยละ 0.007 ไก่เนื้อร้อยละ 0.09 และไข่ไก่ร้อยละ 0.01 ส่วนด้านการทำป่าไม้ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นน้อยมาก
3.3 ด้านการประมงจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้มี โครงการช่วยเหลือลดราคาน้ำมันให้ชาวประมง มาตั้งแต่ปี 2539 โดยใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการ ช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ซึ่งได้มีการอนุมัติเงินกองทุนฯ แบบจ่ายขาดเป็นจำนวน 420 ล้านบาท ปัจจุบันมีเงินคงเหลืออยู่ไม่ต่ำกว่า 160 ล้านบาท แต่เนื่องจากโครงการ ระยะที่ 3 ในปี 2541 คชก. ได้มีมติกำหนดเพดานราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ราคาเกินกว่า 7.95 บาทต่อลิตร แต่ชดเชยให้ชาวประมงไม่เกิน 0.97 บาทต่อลิตร และเมื่อบวกค่าการตลาดแล้วจะเป็นเงินช่วยเหลือชาวประมงไม่เกิน 1.75 บาทต่อลิตร ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 มีเงื่อนไขเพิ่มเติมจำกัดขนาดของเรือประมงที่ได้รับความช่วยเหลือคือเรื่อง ประมงที่มีความยาวน้อยกว่า 18 เมตร ลงมา ดังนั้น เรือประมงขนาดใหญ่จะไม่อยู่ในข่ายที่ได้รับความช่วยเหลือ แต่ก็สามารถเติมน้ำมันจากนอกน่านน้ำได้ ขณะนี้ชาวประมงได้มีข้อเรียกร้องให้กำหนดเพดานการชดเชยเพิ่มขึ้นจาก 0.97 บาทต่อลิตร เป็นไม่น้อยกว่า 3 บาทต่อลิตร ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ จะนำเสนอ คชก. เพื่อพิจารณาต่อไป
3.4 กระทรวงเกษตรฯ มีความเห็นเพิ่มเติมว่าในขณะนี้เรือประมงยังไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเครื่อง ยนต์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยยังใช้เครื่องยนต์ของรถบรรทุกซึ่งไม่ประหยัดพลังงาน ในระยะยาวกระทรวงเกษตรฯ จะพิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือชาวประมงในการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ เหมาะสม และจะนำหารือกับคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
4. การประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการในสาขาอุตสาหกรรม พร้อมทั้ง มาตรการบรรเทาผลกระทบ
กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
4.1 กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เพื่อรับทราบผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมทั้งการพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ภาคเอกชน จากผลการประชุมสรุปได้ว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิถุนายน 2542 ปรากฏว่า ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นประมาณร้อยละ 40-50 และค่า Ft ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนมิถุนายน 2542 ซึ่งเท่ากับ 32.60 สตางค์ต่อหน่วย เพิ่มขึ้นเป็น 56.32 สตางค์ต่อหน่วย ปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลต่อต้นทุนราคาสินค้าประเภทต่างๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมแก้ว และสิ่งทอ ซึ่งได้รับผลกระทบมาก รองลงมา คือ อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ เหล็ก และแปรรูปอาหาร ซึ่งมีต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 5
4.2 มาตรการบรรเทาผลกระทบ แบ่งเป็น 4 มาตรการด้วยกัน คือ มาตรการช่วยเหลือ มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน มาตรการประหยัด และมาตรการอื่นๆ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
4.2.1 มาตรการช่วยเหลือ ประกอบด้วย
(1) โครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลราคาถูกให้ชาวประมง โดย ปตท. ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการช่วยเหลือชาวประมงในการจำหน่าย น้ำมันดีเซลราคาต่ำกว่าราคา ขายปลีกประมาณ 1.75 บาทต่อลิตร โดยเป็นส่วนลดที่กระทรวงเกษตรฯ ให้แก่ชาวประมง 0.97 บาทต่อลิตร และ ปตท. ให้ ส่วนลดอีก 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งโครงการนี้จะสิ้นสุดลงในวันที่ 15 สิงหาคม 2543 เมื่อโครงการสิ้นสุดลง ปตท. ก็จะดำเนินการให้ส่วนลดในส่วนของ ปตท. ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2543 ไม่ว่า คชก. จะมีโครงการร่วมหรือไม่ก็ตาม
(2) โครงการจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้เกษตรกร โดย ปตท. ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ได้ดำเนินการจำหน่ายน้ำมันเบนซินและดีเซลราคาถูกให้แก่กลุ่มเกษตรกรที่เป็น สมาชิกของ ธกส. ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2542 โดยขายต่ำกว่าราคาขายปลีก 0.15 บาทต่อลิตร ในพื้นที่ 47 จังหวัด ผ่านสถานีบริการทั้งหมด 274 แห่ง และ ปตท. จะขยายโครงการให้ครอบคลุมทุกจังหวัด โดยผ่านสถานีบริการ ของ ปตท. รวม 1,500 แห่ง ภายในปี 2544 คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการจากเดิม 9,000 ราย เพิ่มเป็น 30,000 ราย ซึ่งเกษตรกรจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 22 ล้านบาทต่อปี
(3) การจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดย ปตท. จะจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่ขึ้น ทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยให้ซื้อน้ำมันจาก ปตท. โดยตรง ซึ่งจะมีส่วนลดของน้ำมันดีเซลลดลงจากราคาปกติ 0.15 บาทต่อลิตร และน้ำมันเตาลดลงจากราคาปกติ 0.07 บาทต่อลิตร ซึ่งจะเป็นมาตรการชั่วคราวไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2543
4.2.2 มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน
กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทนน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาในภาค ผลิตกระแสไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง ปัจจุบันปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติของประเทศประมาณ 1,900 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในขณะที่กำลังการผลิตและส่งก๊าซธรรมชาติมีประมาณ 2,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเพียงพอสนองตอบความต้องการใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรม และขนส่ง ขณะเดียวกัน ปตท. ก็สามารถขยายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้เพิ่มขึ้นเป็น 3,000-4,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ต่อวัน เพื่อรองรับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยในระยะยาว ปตท. วางแผนที่จะวางระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเชื่อมโยงจากราชบุรีไปยังวังน้อยเพื่อ ให้ระบบท่อฯ เชื่อมโยงไปได้ทั่วประเทศ ขณะเดียวกันก็จะมี โครงการวางท่อก๊าซธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อสนองตอบความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการผลิตต่างๆ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมีข้อเสนอเพื่อให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาอนุมัติเพื่อให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติแทนน้ำมันในภาคการผลิตต่างๆ ดังนี้
(1) ภาคการผลิตไฟฟ้า ให้มีการเร่งรัดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรี ซึ่งล่าช้ามากกว่า 18 เดือน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถใช้ก๊าซธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และในระยะยาวสนับสนุนให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือและพระ นครใต้ ซึ่งสามารถดัดแปลงอุปกรณ์จากการใช้น้ำมันเตามาใช้ก๊าซธรรมชาติได้เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุนการผลิตและลดมลภาวะทางอากาศด้วย
(2) ภาคอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจนในการให้ภาคอุตสาหกรรมเพิ่ม การใช้ก๊าซธรรมชาติ จากเดิมร้อยละ 19 เพิ่มเป็นร้อยละ 27 ของปริมาณการใช้ เชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมโดยรวมในระยะ 5 ปีข้างหน้า โดย ปตท. มีแผนที่จะวางระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร เพื่อส่งก๊าซธรรมชาติให้โรงงานอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้ง โรงไฟฟ้าพระนครเหนือและพระนครใต้ แต่ทั้งนี้โรงงานอุตสาหกรรมจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ หัวจ่าย เตาเผา เพื่อให้สามารถใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงได้ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง ดังนั้น เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนมาใช้ก๊าซธรรมชาติเร็วยิ่งขึ้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงขอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบใน หลักการในการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นเงินลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ให้แก่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเว้นหรือลดหย่อนอากรการนำเข้าของอุปกรณ์ที่ เกี่ยวกับการใช้ก๊าซธรรมชาติ
(3) ภาคคมนาคมขนส่ง ปตท. อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งขณะนี้ได้มีการประสานงานกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) แล้ว โดยในระยะแรกจะดำเนินการดัดแปลงเครื่องยนต์รถของ ขสมก. จำนวน 291 คัน และรถเก็บขยะของ กทม. จำนวน 400 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 691 คัน ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนให้ ขสมก. และ กทม. ได้ประมาณปีละ 32 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ทั้งสองหน่วยงานมีปัญหาในเรื่องเงินลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรมจึงขอให้ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้การสนับสนุนแก่ ขสมก. ในการดัดแปลงเครื่องยนต์ในวงเงิน 270 ล้านบาท และเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำให้แก่ กทม. ในการดัดแปลงรถเก็บขยะวงเงิน 180 ล้านบาท รวมทั้ง เงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำให้แก่ ปตท. ในการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติรวม 6 สถานี ในวงเงิน 180 ล้านบาท เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ซึ่งในปัจจุบันมีสถานีบริการอยู่ที่รังสิตเท่านั้น โดยสถานีบริการที่จะก่อสร้างเพิ่มอีก 6 สถานี จะอยู่ที่จังหวัดชลบุรีและตามจุดต่างๆ ที่เป็นจุดจอดรถของ ขสมก.
อย่างไรก็ตาม ในการก่อสร้างท่อก๊าซธรรมชาติวงแหวนรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในขณะนี้ เนื่องจากคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้กำหนดให้มีการจัดทำ รายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อขอความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมก่อน จึงจะพิจารณาอนุมัติโครงการได้ แต่โครงการนี้ยังไม่ได้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบ ทางวิศวกรรมจึงยังไม่สามารถจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้น ถ้าจะให้โครงการแล้วเสร็จในปี 2545 ก็ต้องเริ่มดำเนินงานให้ได้ภายในปีนี้ จึงเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ ปตท. สามารถดำเนินการไปได้ก่อน เช่น การศึกษาด้านการวางท่อก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ปตท. จะมีการทบทวนแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซ ธรรมชาติอีกครั้ง เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรม และขนส่งได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
(4) การเร่งรัดดำเนินการสำรวจและให้สัมปทาน กระทรวงอตุสาหกรรมมีนโยบาย จะเร่งรัดให้ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมสำรวจและพัฒนาการผลิตน้ำมันและก๊าซ ธรรมชาติจากแหล่งภายในประเทศ และ/หรือ ประเทศเพื่อนบ้านให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งจะเร่งรัดให้มีการเปิดให้เอกชนรายใหม่เข้ามาขอสัมปทานตามกฎหมาย ปิโตรเลียม เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณสำรองพลังงานของประเทศและลดการพึ่งพาพลังงานจากต่าง ประเทศ และได้มีการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานทดแทนอื่นๆ ภายในประเทศ เช่น ถ่านหิน
(5) การพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการจัดหาน้ำมันดิบที่นำเข้าแบบรัฐต่อรัฐ ปตท. ได้พยายามจัดหาน้ำมันดิบในลักษณะรัฐต่อรัฐ โดยในปีนี้ ปตท. ได้จัดหาน้ำมันดิบจากโอมาน ซึ่งสามารถจัดซื้อได้ราคาถูกกว่าตลาดจร ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 86 ล้านบาทต่อปี และหลังจากบริษัทไทยออยล์ จำกัด ได้ปรับโครงสร้างหนี้เรียบร้อยแล้ว ปตท. ต้องจัดหาน้ำมันดิบให้บริษัทไทยออยล์เพิ่มขึ้นจาก 100,000 บาร์เรล ต่อวัน เพิ่มเป็น 200,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถวางแผนจัดหาน้ำมันในลักษณะรัฐต่อรัฐ จากประเทศต่างๆ ได้ เช่น บรูไน หรือ โอมาน เพิ่มขึ้น ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าน้ำมันดิบได้ อย่างน้อยประมาณ 130 ล้านบาทต่อปี
4.2.3 มาตรการประหยัดพลังงาน ประกอบด้วย 3 โครงการ คือ
(1) การรณรงค์การใช้น้ำมันให้ถูกประเภท โดยให้ผู้ที่ใช้รถยนต์ซึ่งเครื่องยนต์เหมาะกับน้ำมันเบนซินออกเทน 91 แต่ยังคงใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ให้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 แทน โดย ปตท. ได้ร่วมกับ สพช. ในการรณรงค์ผ่านสื่อโฆษณาต่างๆ เพื่อผลักดันให้มีการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 มากขึ้น
(2) การรณรงค์ให้มีการปรับแต่งเครื่องยนต์ (Tune-up) โดย ปตท. ได้ดำเนินการอยู่แล้ว 5 แห่งในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งผลปรากฏว่ารถยนต์ที่เข้ามาปรับแต่งเครื่องยนต์สามารถลดการใช้เชื้อเพลิง ได้เฉลี่ยร้อยละ 5 และในปี 2543 นี้ จะขยายโครงการไปยังต่างจังหวัด โดยจะดำเนินการร่วมกับจังหวัด และขนส่งจังหวัด เข้าไปดำเนินการรวม 60 แห่ง โดยจะขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการ ดำเนินการวงเงินประมาณ 15 ล้านบาท
(3) โครงการประหยัดพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นโครงการระยะกลางและระยะยาว ประกอบด้วย 5 กิจกรรมหลัก คือ
1.การประชาสัมพันธ์และจัดสัมมนาเพื่อกระตุ้นให้โรงงานอุตสาหกรรมเห็นความ สำคัญของการประหยัดพลังงาน และวิธีการจัดการในการประหยัดพลังงาน โดยมีเป้าหมายการประชาสัมพันธ์ให้โรงงานทราบจำนวน 50,000 แห่ง และการจัดสัมมนาให้แก่โรงงานจำนวน 25,000 แห่ง ในระยะเวลา 5 ปี โดยขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน วงเงิน 100 ล้านบาท
2.การให้คำปรึกษาแนะนำแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ให้สามารถดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ ใดๆ ทั้งสิ้น โดยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน วงเงิน 150 ล้านบาท คาดว่าโรงงานจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 1,500 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 5 ปี
3.การปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงานให้แก่โรงงานอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับ กฟผ. และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ได้ดำเนินโครงการนำร่องอยู่แล้วเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตให้แก่โรงงาน โดยจะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับการดำเนินการในระยะเวลา 5 ปี วงเงิน 360 ล้านบาท
4.การประหยัดพลังงานโดยใช้ประโยชน์จากความร้อนที่เหลือจากการผลิต โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม มีเป้าหมายที่จะดำเนินการในอุตสาหกรรม 5 ประเภท คือ อุตสาหกรรมหลอมเหล็ก แก้วและกระจก ปูนซีเมนต์ หลอมอลูมิเนียม และเซรามิค ในการนำพลังงานความร้อนที่เหลือจากการผลิตมาใช้ประโยชน์ โดยจะขอความเห็นชอบในหลักการในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงาน
5.โครงการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่เพื่อประหยัดพลังงาน โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งได้มีการดำเนินการไปบ้างแล้วโดยได้รับความช่วยเหลือจาก ต่างประเทศ และเห็นว่าโครงการนี้ได้ผลดีในการประหยัดพลังงาน ขณะนี้ยังมีเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ซึ่งมีอายุใช้งานเกินกว่า 10 ปี อีกมาก จึงขอความเห็นชอบในหลักการในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อ ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการดำเนินการ โดยคาดว่าจะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้กว่าร้อยละ 20
4.2.4 มาตรการอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นมาตรการเชิงนโยบาย โดยกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้มีมาตรการในการรักษาเสถียรภาพของราคาขายปลีก น้ำมันในประเทศ โดยอาจมีการพิจารณาปรับปรุง โครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศ เนื่องจากมีการใช้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว จึงควรพิจารณาปรับปรุงให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่น ราคาน้ำมันควรจะยังอิงราคาตลาดสิงคโปร์ต่อไปหรือไม่
5. การประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการในสาขาขนส่ง พร้อมทั้งมาตรการบรรเทาผลกระทบ
กระทรวงคมนาคมได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
5.1 สัดส่วนของต้นทุนที่มาจากน้ำมันในภาคขนส่งมีต้นทุนอยู่ระหว่างร้อยละ 17-31 ของต้นทุนทั้งหมด โดยขึ้นอยู่กับว่าเป็นพาหนะชนิดใด และประเภทใด ในช่วงที่มีวิกฤตการณ์ราคาน้ำมัน กระทรวงคมนาคม ได้ขอให้ผู้ประกอบการช่วยรับภาระไปก่อน โดยใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก ในการกำหนดราคาค่าโดยสารและค่าขนส่ง ซึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ
5.2 ในการวิเคราะห์ต้นทุนค่าขนส่งมีสมมุติฐานของราคาน้ำมันเฉลี่ยในปี 2543 ลิตรละ 10.82 บาท หากราคาขึ้นลงใกล้เคียงตามสมมุติฐานก็ได้ให้ผู้ประกอบการขนส่งรับภาระไป แต่ปัจจุบันราคา น้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าที่ผู้ประกอบการขนส่งจะแบกรับภาระแต่เพียงฝ่าย เดียว กระทรวงคมนาคมจึงเห็นควรให้ความช่วยเหลือรถโดยสาร โดยการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่ผู้ที่มีใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ซึ่งมีอยู่ 3 ประเภท คือ รถโดยสารประจำทาง รถขนาดเล็ก รถบรรทุก รวมทั้ง เรือโดยสารด้วย
5.3 ส่วนที่จะชดเชยให้ คือ ส่วนที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันดีเซลตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ คือ เฉลี่ยลิตรละ 10.82 บาท ถ้าราคาน้ำมันดีเซลในปัจจุบันที่ 12.82 บาท/ลิตร ก็จะชดเชยให้ในอัตราลิตรละ 2 บาท โดยอาจจัดทำเป็นคูปองน้ำมัน ซึ่งกระทรวงคมนาคมสามารถกำหนดราคาได้แน่นอนจากประเภทของรถและระยะทางที่วิ่ง ส่วนรถแท๊กซี่จะไม่ได้รับการชดเชยเนื่องจากควบคุมได้ยากและเป็นบริการทาง เลือกของผู้โดยสาร โดยมิได้เป็นบริการพื้นฐานที่จำเป็นต่อประชาชนโดยส่วนรวม อย่างไรก็ตาม รถแท๊กซี่อาจใช้วิธีต่อรองราคากับ ผู้โดยสารในการขอเพิ่มค่าโดยสารได้
5.4 กระทรวงคมนาคม จึงขออนุมัติในหลักการในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ ขนส่ง โดยกระทรวงคมนาคมรับจะไปหารือกับกระทรวงการคลังสำหรับหลักเกณฑ์ในการชดเชย แหล่งเงินชดเชย และวงเงินที่จะชดเชยต่อไป ในส่วนของผู้ประกอบการขนส่งที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ รถ ขสมก. รถของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) รถขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (รสพ.) และรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย เห็นควรให้มีการตรึงราคาค่าโดยสารและค่าขนส่งต่อไป โดยในส่วนที่ขาดทุนกำไรของรัฐวิสาหกิจเหล่านี้ ขอให้ รัฐบาลพิจารณาช่วยเหลือจากงบประมาณ
การพิจารณาและข้อสังเกตของที่ประชุม
1.การวิเคราะห์ผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พบว่าในกรณีที่ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยทั้งปี 2543 ในระดับ 29 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงจากแนวโน้มเดิม ร้อยละ 0.78 และมีผลกระทบทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคสูงขึ้นเพียงร้อยละ 0.63 ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่มากนัก ส่วนผลกระทบต่อต้นทุนสินค้ามีไม่มากนัก เนื่องจากน้ำมันคิดเป็นต้นทุนในการผลิตสินค้าค่อนข้างต่ำ
2.มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในการจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่เกษตรกรซึ่ง เป็นสมาชิก ธกส. ทั่วประเทศ โดย ปตท. จะขยายการดำเนินการไปยังสถานีบริการเพิ่มเป็น 1,500 แห่งนั้น เป็นโครงการที่จะช่วยเหลือเกษตรกรได้เป็นอย่างมาก แต่เห็นควรเร่งรัดจากกำหนดเดิมซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2544 เป็นให้แล้วเสร็จเร็ว ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีของเกษตรกรรายย่อยซึ่งกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ อาจมีต้นทุน ในการเดินทางมาใช้บริการเพื่อรับส่วนลดจากสถานีบริการของ ปตท. จึงขอให้ ปตท. รับไปพิจารณาว่าจะเพิ่มส่วนลดจาก 15 สตางค์ต่อลิตร เป็น 30 สตางค์ต่อลิตร ได้หรือไม่ นอกจากนี้ การใช้น้ำมันกับเครื่องยนต์ที่ใช้งานของเกษตรกรในปัจจุบันมีคุณภาพดีเกินไป ดังนั้น หากเกษตรกรสามารถใช้น้ำมันให้เหมาะกับเครื่องยนต์แล้ว ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ ซึ่งในเรื่องของคุณภาพน้ำมันนั้น ปตท. ได้ชี้แจงว่าเกษตรกรสามารถใช้น้ำมัน คุณภาพต่ำกว่าออกเทน 87 โดยใช้ NGL มาผสมได้ แต่เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมามีบางสถานีบริการนำ NGL ไปปลอมปม ทำให้คุณภาพน้ำมันไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด จึงได้ยกเลิกไปเนื่องจากควบคุมได้ยาก
3.ปตท. รับที่จะไปดำเนินการเร่งรัดการขยายสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ เกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรับที่จะไปพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มส่วนลดเป็น 30 สตางค์ต่อลิตร นอกจากนี้ ปตท. ได้รายงานเพิ่มเติมว่าได้มีการเจรจาเพื่อซื้อน้ำมันเพิ่มขึ้นจากโอมาน และได้มีการเจรจาในเรื่อง Strategic Partner เพื่อทำธุรกิจร่วมกับโอมานในการให้โอมานใช้คลังเก็บน้ำมันของ ปตท. 3 คลัง คือ คลังศรีราชา สีชังทอง และเพชรบุรี เพื่อขายน้ำมันให้กับไทยหรือประเทศใกล้เคียง ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย น้ำมันดิบแทนที่จะเป็นสิงคโปร์เพียงแห่งเดียว ซึ่งขณะนี้กำลังมีการเจรจากับโอมานอย่างต่อเนื่อง สำหรับแหล่งน้ำมันที่ ปตท. กำลังพิจารณาให้มีการเจรจาซื้อน้ำมันเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไน ซูดาน และอาหรับเอมิเรสต์ อย่างไรก็ตาม ปตท. อยากให้มีการเร่งรัดให้โรงไฟฟ้าราชบุรีแล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติได้ตามสัญญา และให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นทั้งในการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรม เพื่อช่วยลดภาระของ ปตท. ที่ ต้องจ่าย Take or Pay ให้แก่สหภาพพม่าอยู่ในขณะนี้
4.กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการในเวทีระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อเป็นการกดดันให้กลุ่มผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออกหรือโอเปคมีมติให้เพิ่ม ปริมาณการผลิต ในการประชุมในวันที่ 27 มีนาคม 2543 รวมทั้งจะได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยประเทศไทยในฐานะประธานคณะกรรมการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและ การพัฒนา (UNCTAD) จะได้มีหนังสือไปถึงกลุ่มโอเปคเพื่อขอความร่วมมือในการรักษา เสถียรภาพราคาน้ำมัน อันจะก่อประโยชน์แก่ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่อไปด้วย
5.รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่านโยบายการใช้ก๊าซธรรมชาติให้มากขึ้น และใช้น้ำมันให้น้อยลง เป็นนโยบายที่ได้ดำเนินการมาก่อนแล้ว และได้ดำเนินการมา อย่างต่อเนื่อง จึงได้มีการพัฒนาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านขึ้นมาใช้ประโยชน์ อยู่ในขณะนี้ ซึ่งเดิมการผลิตไฟฟ้าจะใช้น้ำมันถึงร้อยละ 80 แต่ปัจจุบันใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 และใช้น้ำมันเพียงร้อยละ 10-15 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ต้องมีการพัฒนาระบบท่อ ให้แล้วเสร็จ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติไปแล้ว ก็ขอให้รีบดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นอกจากนี้ ยังเห็นว่านโยบายการกระจายชนิดของเชื้อเพลิงยังคงมีสำคัญต่อความมั่นคงของ ชาติ การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเกินกว่าร้อยละ 75 จะมีความเสี่ยงเกินไป และแหล่งสำรองที่มีอยู่ก็จะต้องหมดไป ในประเด็นของโครงการวางระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑลต้องมีการจัดทำประชาพิจารณ์ และศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นเงื่อนไขใหม่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ การอนุมัติโครงการไปก่อนการจัดทำประชาพิจารณ์ก็จะมีปัญหาให้ประชาชนกล่าวหา รัฐบาลได้ว่าอนุมัติโครงการไปแล้วจึงมาทำประชาพิจารณ์ ในส่วนของโครงสร้างราคาน้ำมันซึ่งอิงราคาตามตลาดสิงคโปร์ ก็เนื่องจากเป็นตลาดน้ำมันในภูมิภาคเอเซียที่ใหญ่ที่สุด และมีโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ จึงทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำที่สุด หากจะใช้ราคาอื่นแทนราคาที่สิงคโปร์ก็ควรให้ ปตท. เจรจากับโรงกลั่นในการใช้ราคาอ้างอิงอื่น แต่ไม่ควรควบคุมการกลั่นหรือค่าการตลาด
6.กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มีความเห็นว่าการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในการวางระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ สามารถผ่อนปรนได้บ้าง โดยให้ ปตท. จัดทำเป็น Pre-interim Report ก่อนได้ และเป็นการตัดสินใจของหน่วยงานต้นสังกัดว่าจะลงลึกแค่ไหน เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายรองรับที่ชัดเจน ในส่วนของกระทรวงการคลังยินดีที่จะจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ได้ เมื่อ ปตท. สามารถผลักดันโครงการให้ผ่านเรื่องสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) รับที่จะไปหารือกับคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ หากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะมีหนังสือยืนยันมาตามความเห็นข้างต้น เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการไปได้โดยเร็ว
7.การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนส่งในส่วนของกระทรวงคมนาคมนั้น ที่ประชุมเห็นว่าควรพิจารณาให้การชดเชย แต่ควรรอผลการประชุมของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในวันที่ 27 มีนาคม 2543 นี้ก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันอาจจะลดลงมาได้ใกล้เคียงกับ 10.82 บาทต่อลิตร เพราะการพิจารณาให้เงินชดเชยแก่ผู้ประกอบการขนส่งจะต้องมีการวางหลักเกณฑ์ ที่เหมาะสมและพิจารณาแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน
8.มาตรการในการบรรเทาผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะมาตรการทางด้านการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงและมาตรการอนุรักษ์พลังงาน นั้น ส่วนใหญ่เป็นมาตรการที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้เคยมีมติให้ดำเนินการในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 แล้ว ดังนั้น จึงเห็นควรให้หน่วยงานต่างๆ เร่งดำเนินการตามมาตรการที่ได้เคยเห็นชอบไปแล้ว รวมทั้งในรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ขออนุมัติเพิ่มเติมในครั้งนี้ด้วย เพื่อให้มีผลปรากฏอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากมีมาตรการใดที่ให้ไปดำเนินการแล้ว และเห็นว่าไม่สามารถดำเนินการได้ก็ให้หยุดดำเนินการ และหากเห็นว่ามีมาตรการ อะไรใหม่ที่จะสามารถดำเนินการได้ ก็ให้นำเสนอคณะกรรมการฯ ต่อไป
9.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) ได้เสนอว่า เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันมีความผันผวนมากและควรให้มีการติดตามมาตรการ ต่างๆ จึงเห็นควรกำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเดือนละครั้ง และให้ที่ประชุมกำหนดวันประชุมในครั้งต่อไป ซึ่งประธานฯ เห็นชอบในหลักการให้มีการประชุมเดือนละครั้ง ส่วนในครั้งต่อไปให้มีการประชุมหลังจากทราบผลการประชุมของกลุ่มโอเปคในวัน ที่ 27 มีนาคม 2543 แล้วประมาณ วัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการในการช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่สูงขึ้นดังนี้
1.มาตรการการลดราคาน้ำมัน
เห็นชอบให้ความช่วยเหลือเป็นการเฉพาะกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนโดยตรง ดังนี้
1.1 กลุ่มเกษตรกร ให้ ปตท. เร่งดำเนินการจำหน่ายน้ำมันเบนซินและดีเซลแก่กลุ่มเกษตรกร ที่เป็นลูกค้าของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ซึ่ง ปตท. ได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2542 ในราคาที่ต่ำกว่าราคาขายปลีก 0.15 บาทต่อลิตร ให้ครอบคลุมทุกจังหวัดผ่านสถานีบริการ 1,500 แห่ง ภายในปี 2543 รวมทั้ง ให้ ปตท. ลดราคาลงมากกว่า 0.15 บาทต่อลิตร ด้วย
1.2 กลุ่มประมง เดิมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ได้มี มติให้ขยายระยะเวลาช่วยเหลือลดราคาน้ำมันให้ชาวประมงออกไปอีก 1 ปี จากเดิม สิ้นสุด 15 สิงหาคม 2542 เป็นสิ้นสุด 31 สิงหาคม 2543 ในวงเงิน 420 ล้านบาท ที่ประชุม เห็นว่าควรมีการขยายระยะเวลาออกไปอีก และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณา เสนอวงเงินเพิ่มเติมไปที่ คชก. เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ปตท. ได้ยืนยันที่จะขยาย ระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้กลุ่มประมงไปอีกจนถึงสิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลดลิตรละ 60 สตางค์ แม้ว่า คชก. จะมีโครงการร่วมกันต่อไปหรือไม่ก็ตาม
1.3 กลุ่มผู้ประกอบการรถโดยสารและรถบรรทุก เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงคมนาคม ช่วยเหลือชดเชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับอนุญาต จากกรม การขนส่งทางบก โดยมอบหมายให้ไปหารือกับกระทรวงการคลังถึงรูปแบบการชดเชย อัตราการชดเชยพร้อมทั้งแหล่งเงินทุน ทั้งนี้ให้คำนึงถึงผลของการประชุมของกลุ่มโอเปค ในวันที่ 27 มีนาคม 2543 นี้ด้วย ว่าราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไร เพราะว่าจะมีผลต่ออัตรา การชดเชย เนื่องจากการคำนวณอัตราค่าขนส่งในปี 2543 ใช้ราคาน้ำมันดีเซลที่ 10.82 บาทต่อลิตร เป็นพื้นฐาน
1.4 กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม ให้ ปตท. จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบ อุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรมในอัตราส่วนลด ของน้ำมันดีเซลลิตรละ 0.15 บาท และน้ำมันเตาลิตรละ 0.07 บาท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2543
2.มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน
เห็นชอบให้มีการเร่งดำเนินการมาตรการปรับเปลี่ยนการใช้น้ำมันเป็นก๊าซ ธรรมชาติมากขึ้น ทั้งในการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และการขนส่ง ซึ่งเป็นมาตรการที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้เคยมีมติไปแล้วเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ดังนี้
2.1 ภาคการผลิตไฟฟ้า
1) เร่งรัดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีที่ล่าช้ามากกว่า 18 เดือน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งให้ กฟผ. และ ปตท. เร่งลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ เพื่อใช้ ในโรงไฟฟ้าให้แล้วเสร็จ
2) ในระยะยาวเห็นควรสนับสนุนให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในส่วนขยายปรับปรุง ทั้งที่โรงไฟฟ้าพระนครเหนือและพระนครใต้เพิ่มขึ้น โดยมีระบบการจ่ายก๊าซธรรมชาติ ผ่านท่อราชบุรี - วังน้อย ไปยังวงแหวนรอบกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2.2 ภาคอุตสาหกรรม
1) ให้ ปตท. ดำเนินการให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น จากระดับร้อยละ 19 เป็นร้อยละ 27 ของปริมาณการใช้เชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี โดยให้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับเงินลงทุนในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติ ในโรงงานอุตสาหกรรม และให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเว้นหรือลดหย่อนอากรการนำเข้าของอุปกรณ์ที่ เกี่ยวกับการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพื่อเป็นการจูงใจผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมตัดสินใจเลือกใช้ก๊าซธรรมชาติ เพิ่มมากขึ้น
2.3 ภาคคมนาคมขนส่ง
1) ให้ ปตท. เร่งดำเนินการการใช้ก๊าซธรรมชาติอัดในยานพาหนะ (CNG) ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติไปแล้วเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 โดยเห็นชอบในหลักการให้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานสำหรับค่าใช้จ่ายในการดัดแปลงและเปลี่ยนเครื่องยนต์ ในวงเงิน 270 ล้านบาท และให้เงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำแก่ กทม. ในการดัดแปลงรถขยะ 160 ล้านบาท และ ปตท. ในการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติอัด จำนวน 6 สถานี ในวงเงิน 180 ล้านบาท
2) เห็นชอบให้ ปตท. ดำเนินการโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล เพื่อต่อเชื่อมกับท่อก๊าซราชบุรี - วังน้อย ในวงเงิน 95 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยให้กระทรวงการคลังสนับสนุนในการหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
3) ให้ ปตท. ทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลักของ ปตท. ทั้งหมด เพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ ของภาคผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคคมนาคมขนส่ง
4) เพื่อให้โครงการท่อก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑลสามารถเริ่มโครงการได้ ประมาณกลางปี 2543 และแล้วเสร็จภายในปี 2545 และสามารถส่งก๊าซธรรมชาติ ตอบสนองความต้องการก๊าซธรรมชาติที่จะสูงขึ้นได้ จึงให้สำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งพิจารณาอนุมัติโครงการ โดยให้ประสาน กับกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมในการกำหนดวิธีการนำเสนอ ผลการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม และสามารถปฏิบัติตามได้ตาม วิธีการที่ใช้อยู่ ในปัจจุบัน
5) ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดให้ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียม สำรวจและพัฒนาผลิต น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งเร่งรัดให้มีการเปิดให้เอกชนรายใหม่เข้ามาขอสัมปทานตามกฎหมาย ปิโตรเลียมเพิ่มมากขึ้น และเร่งรัดให้นำแหล่งถ่านหินที่ได้มีการสำรวจและประเมิน ไว้แล้ว มาเปิดประมูลเพื่อดำเนินการพัฒนาต่อไป
6) เห็นชอบให้ ปตท. ดำเนินการจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐเพิ่มมากขึ้น
3.มาตรการประหยัดพลังงาน
- เห็นชอบในหลักการให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาให้การสนับสนุนในการดำเนินโครงการอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
3.1 โครงการขยายการปรับแต่งเครื่องยนต์ (Tune-up) เพิ่มขึ้นเป็น 60 แห่ง ในระยะเวลา 3 ปี ในวงเงิน 15 ล้านบาท โดยมี ปตท. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
3.2 โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาด ย่อม ในวงเงิน 100 ล้านบาท โดยมีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กฟผ. และสถาบันอิสระในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
3.3 โครงการศึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการด้านพลังงานแก่โรงงาน อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (5 ปี) ในวงเงิน 150 ล้านบาท โดยมีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสถาบันอิสระในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
3.4 โครงการลดต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (5 ปี) ในวงเงิน 360 ล้านบาท โดยมีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และ กฟผ. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
3.5 โครงการประหยัดพลังงานโดยการใช้ประโยชน์จากความร้อนที่เหลือจากการผลิต โดยมีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
3.6 โครงการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ (CFC-Chiller) เพื่อประหยัดพลังงาน โดยมีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
- ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวข้างต้นจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับแผนงานภาคบังคับที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานกำลังดำเนินการอยู่
4.มาตรการด้านอื่นๆ
4.1 เนื่องจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าการกลั่น (Refining Margin) ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่าง ราคาเฉลี่ยของน้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบมีค่าสูงมาก จึงให้ ปตท. ในฐานะผู้ถือหุ้นในหลายโรงกลั่นไปเจรจากับโรงกลั่นให้ลดราคาหน้าโรงกลั่นลง มาในระดับที่ เหมาะสม เพื่อเป็นการลดภาระความเดือดร้อนของประชาชน
4.2 ให้ สพช. ทบทวนมาตรการด้านอนุรักษ์พลังงานที่ได้มีมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ง ชาติ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ไปแล้ว โดยพิจารณาว่ามีมาตรการอะไรที่ไม่สามารถ ดำเนินการได้ก็ให้ยกเลิกไปและที่สามารถดำเนินการได้ก็ให้เร่งดำเนินการ มาตรการ/ โครงการต่างๆ ที่ได้เห็นชอบไปแล้วให้เสร็จและเห็นผลเป็นรูปธรรมให้เร็วยิ่งขึ้น รวมทั้ง เสนอมาตรการต่างๆ เพิ่มเติม (ถ้ามี) เพื่อให้ครอบคลุมทุกๆด้าน และให้รายงานให้ที่ ประชุมทราบครั้งต่อไป
เรื่องที่ 4 ขอผ่อนผันระยะเวลาในการติดตั้งระบบควบคุมไอระเหยน้ำมันเบนซิน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เห็นชอบให้มีการติดตั้งอุปกรณ์เก็บไอระเหยน้ำมันเบนซิน ระดับที่ 1 (Stage 1) ในคลังน้ำมัน รถบรรทุกน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมัน ในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจากน้ำมันเบนซิน โดยให้ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 มกราคม 2543
2. กลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันได้ทำหนังสือขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดัง กล่าวต่อ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เนื่องจากเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2540 เป็นต้นมา ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยถดถอยลงอย่างมากและส่งผลกระทบต่อธุรกิจน้ำมันโดย รวม และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันลดลงทำให้ปัญหามลพิษจากไอระเหยของน้ำมันไม่รุนแรง เท่าที่ได้คาดการณ์ไว้ ทางกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียมจึงขอให้รัฐบาลผ่อนปรนเรื่องระยะเวลาติด ตั้ง โดยขอขยายกำหนดเวลาการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซินตามมติคณะ รัฐมนตรีดังกล่าวออกไปอีก 2 ปี จากเดิมต้องติดตั้งให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 มกราคม 2543 ขอเปลี่ยนเป็นภายในวันที่ 1 มกราคม 2545
3. สพช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรมทะเบียนการค้า กรมโยธาธิการ กรมควบคุมมลพิษ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย บริษัทเอสโซ่ฯ และบริษัทเชลล์ฯ ได้ร่วมกันพิจารณาในเรื่องดังกล่าวและนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทาง การควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซิน ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน อันประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาครัฐบาลและเอกชน ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าวได้พิจารณาแล้วสรุปได้ดังนี้
3.1 แม้ว่าปัจจุบันจะพ้นกำหนดวันที่ 1 มกราคม 2543 ไปแล้วแต่การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีก็ยังมิได้เกิดขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากมีการแก้ไขกฎหมายของกรมโยธาธิการ (พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543) และการร้องเรียนของกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ค้าน้ำมันในเรื่องระยะเวลาการติดตั้ง อุปกรณ์ดังกล่าว กรมโยธาธิการจึงรอฟังผลการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี ในส่วนของกำหนดเวลาบังคับใช้ที่เหมาะสม
3.2 คณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซิน ในการประชุม ครั้งที่ 2/2542 พิจารณาแล้วเห็นว่าควรเลื่อนการติดตั้งระบบควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซินตาม มติคณะรัฐมนตรี ไปอีก 18 เดือน โดยนับจากวันที่ 1 มกราคม 2543 ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 1 กรกฎาคม 2544 ทั้งนี้ เนื่องจากเหตุผลต่างๆ ดังนี้คือ
(1) สาเหตุที่ทำให้บริษัทผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาเดิมได้ เนื่องจากวิกฤติทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินอย่างรุนแรงในช่วงปี 2541-2542 และอุปกรณ์ดังกล่าวต้อง มีการสั่งซื้อและจัดหาจากต่างประเทศ จึงต้องใช้ระยะเวลาในการติดตั้งอุปกรณ์ในแต่ละคลังน้ำมัน สถานีบริการ และรถบรรทุกน้ำมัน
(2) การติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวในคลังน้ำมัน สถานีบริการ และรถบรรทุกน้ำมัน จำเป็นต้องทยอยการติดตั้งไปทีละส่วน เพื่อมิให้ต้องหยุดการใช้งานของคลังน้ำมัน สถานีบริการ และรถบรรทุกน้ำมัน ซึ่งจะกระทบต่อการประกอบธุรกิจ
(3) การติดตั้งที่ใช้เวลานานที่สุด คือการติดตั้งในรถบรรทุกน้ำมัน ซึ่งต้องทยอยนำรถที่อยู่ระหว่างการใช้งานออกมาติดตั้งไปจนกว่ารถบรรทุก น้ำมันที่ติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีจำนวนเพียงพอใช้ ในการขนส่งน้ำมันภายในกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 18 เดือน
4. สพช. พิจารณาแล้วเห็นควรให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าว เนื่องจากได้มีการศึกษาข้อเท็จจริงและปรึกษาหารือร่วมกันทั้งภาครัฐและผู้ ประกอบการจนได้ข้อยุติเป็นที่พอใจของทุกฝ่ายแล้ว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้เสนอขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 จากเดิมซึ่งให้มีการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซินให้แล้ว เสร็จภายในวันที่ 1 มกราคม 2543 เลื่อนมาเป็นภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2544
รายชื่อผู้ผ่านการเลือกสรร เพื่อจัดจ้างเป็นพนักงานราชการทั่วไป ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559
ครั้งที่ 5 - วันจันทร์ ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2547
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2547 (ครั้งที่ 5)
วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2547 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าของปี 2547
4. การยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
5. การขอยุติเงินทดรองจ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร
7. ข้อเสนอการลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้กล่าวเกี่ยวกับปัญหาราคาน้ำมันแพงที่เกิดขึ้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เดินทางไปพบปะหารือกับหน่วยงาน IEA ของทวีปยุโรปและได้รับทราบว่าแนวโน้มปริมาณการผลิตน้ำมันของโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการใช้ ซึ่งคาดว่าแนวโน้มราคาน้ำมันน่าจะอ่อนตัวลงในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง และในการประชุมของกลุ่มประเทศ G7 ที่ผ่านมา ไม่ได้มีการหารือประเด็นราคาน้ำมันแต่อย่างไร
สำหรับยุทธศาสตร์ของประเทศที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแบ่งเป็น 2 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์เชิงตั้งรับ และยุทธศาสตร์เชิงรุก โดยที่ยุทธศาสตร์เชิงตั้งรับจะเป็นนโยบายเกี่ยวกับการใช้พลังงานที่มีอยู่ในประเทศให้เกิดประสิทธิภาพและประหยัดที่สุด รวมทั้งการใช้มาตรการตรึงราคาน้ำมันที่ดำเนินการอยู่ ทั้งนี้ระดับราคาน้ำมันของไทยอยู่ระดับที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก ดังนั้น ระยะต่อไปรัฐบาลจะเริ่มคลายตัวด้านราคาน้ำมันให้เป็นไปตามกลไกตลาดโดยคาดว่าเมื่อสิ้นฤดูหนาว ส่วนยุทธศาสตร์เชิงรุกจะเป็นนโยบาย เกี่ยวกับการจัดหาแหล่งพลังงานให้เพิ่มมากขึ้น โดยขณะนี้ไทยได้เริ่มเข้าร่วมสัมปทานปิโตรเลียมในต่างประเทศมากขึ้น เช่น ปตท. สผ. ได้รับสัมปทานแหล่งขุดเจาะก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นในประเทศพม่า หรือการเข้าร่วมลงทุนในประเทศโอมาน ซึ่งถือว่ารัฐบาลไทยได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตน้ำมันโลก นอกจากนี้รัฐบาลได้ดำเนินการเชิงรุก โดยการเพิ่มการผลิตพลังงานภายในประเทศให้มากขึ้น และลดการนำเข้าพลังงานลง ด้วยการสนับสนุนให้ประชาชนมีทางเลือกการใช้เชื้อเพลิงให้มากขึ้น เช่น Bio Fuel รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าจากเชื้อเพลิงโดยเฉพาะ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใช้ผลผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกก๊าซ เพื่อสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาสเกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายหนึ่งที่รัฐบาลได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้ว
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สาระสำคัญ
1. ความต้องการใช้และการผลิตน้ำมันดิบโดยรวม เดือนสิงหาคมได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 82.6 และ 83.4 ล้านบาร์เรล/วัน ตามลำดับ จากกลุ่มโอเปคได้มีมติจะปรับเพิ่มโควต้าการผลิตขึ้นอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน เป็น 27.0 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 เป็นต้นไป และปริมาณการผลิตน้ำมันของประเทศนอกกลุ่มโอเปคเดือนสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 47.6 ล้านบาร์เรล/วัน
2. ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3 ปี 2547 ได้ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ประมาณ 2.90 - 7.23 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยในเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 38.56 และ 42.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากบริษัทน้ำมัน Yukos ของ รัสเซียเกิดปัญหาด้านการเงินจะต้องจ่ายภาษีคืนให้แก่รัฐเป็นเงิน 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจากการเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรของ Hedge Funds รวมทั้งข่าวผู้ก่อการร้าย AI Queda ขู่จะโจมตีสถาบันการเงิน 5 แห่ง ของ สหรัฐอเมริกา แต่ในเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 34.92 และ 41.45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากมติที่ประชุมกลุ่มโอเปค เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2547 ให้ปรับเพิ่มโควต้าการผลิตอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน ประกอบกับซาอุดิอารเบียได้ปรับลดราคาน้ำมันดิบชนิดหนัก (กำมะถันสูง) ลง 2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามในช่วงกลางเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นจากพายุ Herricane Ivan เข้าสู่อ่าวเม็กซิโกได้ส่งผลให้การผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกต้องหยุดชะงัก
3. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยในไตรมาส 3 ปี 2547 ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงไตรมาส 2 โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และเตาปรับตัวสูงขึ้น 2.40, 2.57, 7.58, 7.69 และ 0.91 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 46.52 และ 45.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามราคาแนฟทา ซึ่งมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่องจากปิโตรเคมี และความต้องการซื้อของอินโดนีเซียที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 45.40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ด้วยอุปทานลดลงจากโรงกลั่นน้ำมันญี่ปุ่นปิดฉุกเฉิน และน้ำมันจากตะวันออกกลางที่เข้าในภูมิภาคเอเซียลดลง ส่วนน้ำมันก๊าดและเตาปรับตัวสูงอยู่ที่ระดับ 48.08 และ 29.67 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ดังนั้นราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซลหมุนเร็วและเตา ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 51.50, 50.62, 52.29, 50.36 และ 30.93 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ และเดือนกันยายนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ให้ปรับตัวลดลง จากตลาดคาดว่าความต้องการซื้อของเอเซียและตะวันตกจะลดลงหลังสิ้นสุดฤดูท่องเที่ยวในช่วงเดือนกันยายน ในขณะที่จีนมีแผนจะส่งออกเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยอุปสงค์จากเวียดนามและจีน เพิ่มขึ้น และน้ำมันดีเซลจากตะวันออกกลางเข้ามายังภูมิภาคเอเซียลดลง สำหรับน้ำมันก๊าดได้ปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการซื้อในภูมิภาคยังคงสูง ขณะที่น้ำมันเตาปรับตัวลดลงจากความต้องการซื้อในภูมิภาคต่ำกว่าอุปทาน ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92, ก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และเตา เฉลี่ยอยู่ระดับ 47.99, 47.16, 53.21, 51.46 และ 29.63 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
4. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยของไทยในช่วงไตรมาส 3 ปี 2547 ปรับตัวสูงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินไตรมาส 3 จำนวน 5 ครั้ง รวม 3 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 20 กันยายน อยู่ที่ระดับ 21.79, 20.99 และ 14.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ค่าการตลาดเฉลี่ยในไตรมาส 3 ปี 2547 เท่ากับไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 1.2060 บาท/ลิตร จากรัฐบาลตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นมา โดยค่าการตลาดเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน คงที่อยู่ใน 1.2060 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 1.1202, 0.8981 และ 1.4438 บาท/ลิตร ตามลำดับ
6. แนวโน้มราคาน้ำมันดิบคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 35 - 40 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จากการคาดการณ์ของ IEA อยู่ที่ระดับ 82.2 ล้านบาร์เรล/วัน และปี 2548 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 84.0 ล้านบาร์เรล/วัน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่อาจจะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงได้จากการเพิ่มกำลังการผลิตของประเทศกลุ่มโอเปค/ประเทศนอกกลุ่มโอเปค และการควบคุมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจีนได้จะทำให้อุปสงค์น้ำมันจะชะลอตัวลง
7. แนวโน้มราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ คาดว่าราคาน้ำมันเบนซินจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 46 - 58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มีอุปสงค์เข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งจากในภูมิภาคและนอกภูมิภาค ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 48 - 54 ต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อในภูมิภาคที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อุปทานจากตะวันออกกลางเข้ามาในภูมิภาคเอเซียลดลง
8. ผลการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นมา รัฐบาลได้มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน 8 ครั้งๆ ละ 0.60 บาท/ลิตร รวม 4.80 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 22 กันยายน 2547 อยู่ที่ระดับ 21.79, 20.99 และ 14.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ระดับ 0.975 และ 0.8902 บาท/ลิตร ตามลำดับ และอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 5.0212 บาท/ลิตร หรือประมาณ 269 ล้านบาท/วัน และมีจำนวนเงินชดเชยสะสมทั้งสิ้น 33,425 ล้านบาท แยกเป็นเงินชดเชยน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วประมาณ 2,619, 4,195 และ 26,611 ล้านบาท ตามลำดับ
9. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก เดือนกันยายนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 383 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 13.06 บาท/กก. (สูตรกำหนดราคาก๊าซ LPG ในประเทศกำหนดเพดานสูงสุดไว้ที่ 315 เหรียญสหรัฐ/ตัน) อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ 2.99 บาท/กก. หรือ 544 ล้านบาท/เดือน ทั้งนี้คาดการณ์ได้ว่าราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนตุลาคมยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 400 - 430 เหรียญสหรัฐ/ตัน และอัตราเงินชดเชยจะยังคงอยู่ในระดับ 2.99 บาท/กก. หรือ 554 ล้านบาท/เดือน
10. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 20 กันยายน 2547 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 361 ล้านบาท ยอดหนี้ค้างชำระ 26,637 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 4,916 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 106 ล้านบาท หนี้การตรึงราคาน้ำมันช่วงวันที่ 1 สิงหาคม 2547 - 20 กันยายน 2547 ประมาณ 10,130 ล้านบาท หนี้เงินกู้ 11,830 ล้านบาท และหนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนกันยายน 2547 16 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 26,637 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สาระสำคัญ
1. จากการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2546 ที่ประชุมได้เห็นชอบให้แยกงานพิจารณาอนุมัติการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงออก และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีก 1 ชุด โดยให้ กบง. ทำหน้าที่พิจารณาเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานเพื่อกลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
2. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2547 กบง. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน (ที่ปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมาย) เป็นประธานอนุกรรมการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอนุกรรมการ ซึ่งต่อมาคณะอนุกรรมการฯ ได้มีการจัดประชุมไปแล้วรวม 5 ครั้ง โดยมีการประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2547 และได้พิจารณาและอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ให้แก่โครงการต่างๆ ของหน่วยงานกระทรวงพลังงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 93,278,906 บาท (เก้าสิบสามล้าน สองแสนเจ็ดหมื่นแปดพันเก้าร้อยหกบาทถ้วน)
3. ผลการอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย
3.1 สำนักงานคณะกรรมการประสานการพัฒนายุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (สนพภ.) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในโครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทพัฒนาธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่ง และชุมชนในอนาคตบริเวณพื้นที่โครงการ (จำนวนเงิน 23 ล้านบาท) โครงการปรับปรุงแผนการดำเนินการและแผนปฏิบัติการขจัดคราบน้ำมันในทะเลในบริเวณพื้นที่โครงการ Sriracha Hub และ Strategic Energy Landbridge (จำนวนเงิน 14 ล้านบาท) และงบบริหารงานโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค ประจำปีงบประมาณ 2547 และ 2548 (จำนวน 4.99 ล้านบาท และ 3.83 ล้าน ตามลำดับ)
3.2 กรมธุรกิจพลังงาน ในโครงการศึกษาข้อกำหนดและมาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมในการควบคุมระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ (จำนวน 2 ล้านบาท) โครงการศึกษาและพัฒนาระบบการจัดการธุรกิจน้ำมัน (จำนวน 6,061,550 บาท) และโครงการศึกษาและพัฒนากฎหมาย LPG (จำนวน 818,100 บาท)
3.3 สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ได้อนุมัติงบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของสถาบัน สำหรับปี 2547 และปี 2548 เป็นจำนวนเงิน 9,964,600 บาท และจำนวนเงิน 12,899,800 บาท ตามลำดับ
3.4 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และหน่วยงานอื่นๆ ได้อนุมัติเงินงบประมาณปี 2547 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อโครงการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว จำนวนเงิน10,784,000 บาท และอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2548 ให้แก่กรมศุลกากร (663,600 บาท) กรมสรรพสามิต (1,184,724 บาท) และ สนพ. (3,068,856 บาท) ในวงเงินรวม 4,917,180 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าของปี 2547
สาระสำคัญ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปความเป็นมา ประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้า แนวทางการชดเชย รายได้ระหว่างการไฟฟ้า และข้อเสนอการชดเชยรายได้ของการไฟฟ้าในปี 2547 ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้เห็นชอบการชดเชยรายได้จากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ไปยังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในลักษณะเหมาจ่าย (Lump Sum Financial Transfer) ในปีงบประมาณ 2544 - 2546 เท่ากับ 8,153 8,589 และ 9,041 ล้านบาทต่อปี ตามลำดับ ต่อมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2546 ได้เห็นชอบการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในปีงบประมาณ 2547 เป็นการชั่วคราว ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง จำนวน 9,041 ล้านบาท โดย กฟน. รับภาระการชดเชยรายได้จำนวน 7,000 ล้านบาท และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระการชดเชยรายได้จำนวน 2,041 ล้านบาท โดยกำหนดเป็นส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. ขายให้ กฟน. เท่ากับ 17.54 สตางค์/หน่วย และส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่งที่ กฟผ. ขายให้ กฟภ. เท่ากับ 12.29 สตางค์/หน่วย ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อยุติการกำหนดเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าแล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ดังกล่าวย้อนหลังถึงเดือนตุลาคม 2546 ซึ่ง กฟภ. ขอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาปรับเงินชดเชยรายได้ค่าไฟฟ้าปี 2547 เป็นการเร่งด่วน โดยพิจารณาให้แต่ละการไฟฟ้ามีอัตราผลตอบแทนการลงทุนอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
2. สนพ. ได้ขอให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จัดทำประมาณการฐานะการเงินปีปฏิทิน 2547 (มกราคม - ธันวาคม 2547) เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปี 2547 โดยใช้ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง 6 เดือน (มกราคม - มิถุนายน 2547) และข้อมูลประมาณการ 6 เดือน (กรกฎาคม - ธันวาคม 2547) ซึ่งสามารถสรุปงบการเงินที่สำคัญได้ ดังนี้
ประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้าในปีปฏิทิน 2547
3. แนวทางการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปี 2547 จากการประชุมหารือร่วมกันระหว่างผู้บริหารของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และ สนพ. โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) เป็นประธานในการประชุม เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2547 ได้เห็นชอบให้มีการปรับเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า เป็นการชั่วคราว ตามแนวทางการพิจารณา ดังนี้
3.1 เนื่องจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ยังไม่มีการแปลงสภาพเป็นบริษัทและจดทะเบียนกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2547 ประกอบกับ ในปี 2547 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีนโยบายบัญชีที่แตกต่างกัน โดยการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายปิดบัญชีเป็นปีปฏิทิน ในขณะที่ กฟผ. ยังปิดบัญชีเป็นปีงบประมาณ ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในปี 2547 อยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน จึงควรพิจารณาการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าจากงบการเงินในปีปฏิทิน 2547 ภายใต้หลักเกณฑ์ทางการเงินที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน กล่าวคือ SFR ไม่ต่ำกว่าร้อยละ25 และ DSCR ไม่ต่ำกว่า 1.3 เท่า สำหรับ กฟผ. และ 1.5 เท่า สำหรับ กฟน. และ กฟภ.
3.2 การวิเคราะห์และปรับปรุงประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้าในปีปฏิทิน 2547
3.2.1 ฐานะการเงินของ กฟผ. : กฟผ. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2547 ประมาณ 28,643 ล้านบาท ในขณะที่ SFR ในปี 2547 เท่ากับร้อยละ -8.37 ซึ่งเป็นผลมาจาก (1) การประมาณการเงิน นำส่งรัฐจากการดำเนินงานในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2546 จำนวน 1,000 ล้านบาท มารวมในการคำนวณค่า SFR ของปีปฏิทิน 2547 และ (2) กฟผ. อ้างอิงการปิดบัญชีปฏิทินปี 2546 (วันที่ 31 ธันวาคม 2546 เป็น วันหยุดราชการ) ส่งผลให้จำนวนวันเจ้าหนี้ค่าซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. ลดลงจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน ซึ่ง กฟผ. ต้องหักเงินสดสำหรับจ่ายค่าซื้อไฟฟ้าเดือนพฤศจิกายน 2547 ในการคำนวณ Increase/(Decrease) in Working Capital เป็นจำนวน 12,291 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่งผลให้รายได้ในการคำนวณ SFR ของ กฟผ. ติดลบ 1,403 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อปรับปรุงการคำนวณ SFR ใน2 รายการดังกล่าวแล้ว กฟผ. จะมีฐานะการเงิน ที่ดีขึ้นมาก โดยมีค่าSFR ในปี 2547 สูงถึงประมาณร้อยละ 70 ซึ่งสามารถปรับเกลี่ยฐานะการเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้
3.2.2 ฐานะการเงินของ กฟน. : กฟน. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2547 ประมาณ2,668 ล้านบาท แบ่งเป็นกำไรสุทธิในเดือนมกราคม- มิถุนายน 2547 เท่ากับ 3,189 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2547 เท่ากับ 521 ล้านบาท และมีค่าSFR ในปี 2547 เท่ากับร้อยละ 11 ซึ่งเป็นผลมาจาก(1) กฟน.ประมาณการค่าความสูญเสียในระบบ (Loss Rate) ในเดือนกรกฏาคม- ธันวาคม 2547 สูงถึงร้อยละ 5.2 เมื่อกำหนดให้ กฟน. มีค่า Loss ตามมาตรฐานที่กำหนดคือร้อยละ 4.1 จะส่งผลให้ กฟน. สามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นเป็นเงินประมาณ 644 ล้านบาท และ (2) กฟน. ได้ออกพันธบัตรในปี 2547 เพื่อ Refinance หนี้เงินกู้เดิมเป็นจำนวนเงิน 5,700 ล้านบาท และได้จัดสรรเงินทุนสะสมเพื่อการชำระหนี้(Sinking Fund) ในวงเงินดังกล่าวในปี2547 เป็นเงินจำนวน 495 ล้านบาท ซึ่ง กฟน. ควรเริ่มกันเงินSinking Fund ในปีถัดไป ทั้งนี้ เมื่อปรับปรุงการคำนวณใน 2 รายการ ดังกล่าวแล้ว กฟน. จะมีฐานะการเงินผ่านเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีค่าSFR ในปี 2547 ประมาณร้อยละ 26.88 นอกจากนี้ ฐานะการเงินของ กฟน. ยังมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น ได้อีก ในกรณีโครงการประหยัดไฟกำไรสองต่อมีผู้เข้าร่วมโครงการน้อยกว่า 300 ล้านหน่วย ในเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2547 ตามที่ กฟน. ได้ประมาณการไว้
3.2.3 ฐานะการเงินของ กฟภ. : กฟภ. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2547 ประมาณ3,918 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก กฟภ. ประมาณการการรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. ในระดับแรงดันสูง ซึ่งค่าไฟฟ้ามีราคาถูกลดลง และประมาณการรับซื้อไฟฟ้าในระดับแรงดันต่ำซึ่งค่าไฟฟ้ามีราคาแพงเพิ่มขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อปรับสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าของ กฟภ. ให้ใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา จะทำให้กำไรสุทธิจากการดำเนินงานของ กฟภ. ในปี 2547 อยู่ในระดับประมาณ 4,438 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 520 ล้านบาท ส่งผลให้ค่า SFR ในปี 2547 ดีขึ้นเล็กน้อยเป็นประมาณร้อยละ 13.3
หากพิจารณาให้ กฟภ. มีค่าSFR เท่ากับร้อยละ 25 ตามเกณฑ์ทางการเงินที่กำหนด กฟภ. จะมีความต้องการรายได้เพิ่มอีกประมาณ 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก กฟภ. มีการประมาณการการปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานในช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2547 ประมาณ 500 ล้านบาท ประกอบกับหน่วยจำหน่ายของ กฟภ. มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากที่ประมาณการไว้ จึงอาจส่งผลให้ฐานะการเงินของ กฟภ. ดีขึ้นจากที่ประมาณการไว้ได้อีก ดังนั้น จึงเสนอให้มีการปรับเพิ่มเงินชดเชยรายได้ในปีปฏิทิน 2547 จากที่ได้รับในการประมาณการครั้งนี้ (9,601 ล้านบาท) อีกจำนวน 1,500 ล้านบาท โดยให้ กฟผ. เป็นผู้รับภาระการชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ซึ่งจะมีผลทำให้ค่า SFR ของ กฟภ. อยู่ในระดับร้อยละ22
ฐานะการเงินของการไฟฟ้าในปี 2547 ภายหลังการปรับจำนวนเงินชดเชยรายได้
4. ข้อเสนอแนวทางการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปี 2547
4.1 เห็นควรกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในเดือนมกราคม - ธันวาคม 2547 เท่ากับ 11,101 ล้านบาท เป็นการชั่วคราว โดย กฟน. และ กฟผ. รับภาระการชดเชยรายได้ให้กับ กฟภ. เท่ากับ 7,165 และ 3,936 ล้านบาท สำหรับเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2546 เห็นควรให้ปรับปรุงตามจำนวนเงินชดเชยรายได้ในปีปฏิทิน 2547 เป็นการชั่วคราวเท่ากับ 2,557 ล้านบาท โดย กฟน. และ กฟผ. รับภาระการ ชดเชยรายได้ให้ กฟภ. เท่ากับ 1,677 และ 880 ล้านบาท ตามลำดับ
จำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า
ตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547
หน่วย : ล้านบาท
เดือน | กฟน. | กฟผ. | รวม |
ตุลาคม - ธันวาคม 2546 | 1,677 | 880 | 2,557 |
มกราคม - ธันวาคม 2547 | 7,165 | 3,936 | 11,101 |
รวม | 8,842 | 4,816 | 13,658 |
ทั้งนี้ เมื่อได้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเดือนมกราคม - ธันวาคม2547 แล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าที่เหมาะสมในเดือนตุลาคม2546 -ธันวาคม 2547 อีกครั้งหนึ่ง
4.2 เห็นควรกำหนดหลักการในการจ่ายเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547 โดยนำส่วนต่างระหว่างเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 (13,658 ล้านบาท) กับเงินชดเชยรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในเดือนตุลาคม2546 - กันยายน 2547 มาเฉลี่ยจ่ายให้กับ กฟภ. ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547
4.3 เห็นควรมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้ารับไปดำเนินการปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ที่เหมาะสมระหว่างการไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 โดยพิจารณาจากฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในเดือนมกราคม- ธันวาคม 2547 ภายใต้ หลักเกณฑ์ทางการเงินที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน กล่าวคือ SFR ไม่ต่ำกว่าร้อยละ25 และ DSCR ไม่ต่ำกว่า 1.3 เท่า สำหรับ กฟผ. และ 1.5 เท่า สำหรับ กฟน. และ กฟภ.
4.4 เห็นควรกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. เป็นการชั่วคราว ผ่านส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้า ในระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศใช้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ ดังนี้
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2548
หน่วยซื้อไฟฟ้า ประมาณการปีปฏิทิน 2547 (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาท/หน่วย) |
|
กฟผ. ขาย กฟน. | 40,849 | 0.1754 |
กฟผ. ขาย กฟภ. | 78,119 | (0.1421) |
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 เท่ากับ 13,658 ล้านบาท เป็นการชั่วคราว โดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระการชดเชยรายได้ให้กับ กฟภ. เท่ากับ 8,842 และ 4,816 ล้านบาท ตามลำดับ
จำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า
ตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547
หน่วย : ล้านบาท
เดือน | กฟน. | กฟผ. | รวม |
ตุลาคม - ธันวาคม 2546 | 1,677 | 880 | 2,557 |
มกราคม - ธันวาคม 2547 | 7,165 | 3,936 | 11,101 |
รวม | 8,842 | 4,816 | 13,658 |
ทั้งนี้ เมื่อได้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเดือนมกราคม- ธันวาคม 2547 แล้วให้ นำมาปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าที่เหมาะสมในเดือนตุลาคม 2546 -ธันวาคม 2547 อีกครั้งหนึ่ง
2. เห็นชอบการกำหนดหลักการในการจ่ายเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547 โดย นำส่วนต่างระหว่างเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 (13,658 ล้านบาท) กับเงินชดเชยรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในเดือนตุลาคม2546 - กันยายน 2547 มาเฉลี่ยจ่ายให้กับ กฟภ. โดยตรงในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547
3. มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้ารับไปดำเนินการปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ที่เหมาะสมระหว่างการไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 โดยพิจารณาจากฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในเดือนมกราคม- ธันวาคม 2547 ภายใต้หลักเกณฑ์ ทางการเงินที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน กล่าวคือ SFR ไม่ต่ำกว่าร้อยละ25 และ DSCR ไม่ต่ำกว่า 1.3 เท่า สำหรับ กฟผ. และ 1.5 เท่า สำหรับ กฟน. และ กฟภ.
4. เห็นชอบกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. เป็นการชั่วคราว ผ่านส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าในระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศใช้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ ดังนี้
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2548
หน่วยซื้อไฟฟ้า ประมาณการปีปฏิทิน 2548 (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาท/หน่วย) |
|
กฟผ. ขาย กฟน. | 43,850 | 0.1754 |
กฟผ. ขาย กฟภ. | 83,402 | (0.1421) |
เรื่องที่ 4 การยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงานและภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป และลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้หลักการเดียวกับภาษีสรรพสามิต คือ ให้ยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนในส่วนเอทานอล 10% โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เท่ากับ 0.27 และ 0.0360 บาท/ลิตร ตามลำดับ
2. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2547 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มเติมให้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งมาตรการหนึ่ง คือ มาตรการด้านราคา โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานพิจารณายกเว้นการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าราคาของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 มาก ยิ่งขึ้น เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
3. ต่อมากระทรวงพลังงานได้รับแจ้งจาก ปตท. และบางจากว่า ราคาเอทานอลและราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์สูงขึ้นประมาณ 0.38 บาท/ลิตร เนื่องจากผู้ผลิตเอทานอล ได้แก่ บริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรูพ เทรดดิ้ง จำกัด และ บริษัท ไทยแอลกอฮอล์ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งปรับราคาจำหน่ายเอทานอลบริสุทธิ์ 99.5% เพิ่มขึ้น 0.75 บาท/ลิตร เป็น 12.75 บาท/ลิตร ซึ่ง มีผลทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในส่วน 9% ที่เป็นเอทานอลเพิ่มขึ้น 0.065 บาท/ลิตร และกลุ่มโรงกลั่น ได้แจ้งปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำมาผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์สูงขึ้น $1.31 ต่อบาร์เรล หรือประมาณ 0.34 บาท/ลิตร ทำให้ต้นทุนราคาแก๊สโซฮอล์ในส่วน 91% ที่เป็นน้ำมันเบนซินออกเทน 91 เพิ่มขึ้น 0.31 บาท/ลิตร จาก 2 ปัจจัยคือ ราคาเดิมต่ำกว่าต้นทุนจริง และต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นจากการปรับคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์
4. กระทรวงพลังงาน ได้ประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2547 เพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุนราคาแก๊สโซฮอล์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบให้ปรับต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์สูงขึ้น 0.27 บาท/ลิตร (แยกเป็นต้นทุนเอทานอลและน้ำมันเบนซินออกเทน 91 เพิ่มขึ้น 0.0675 และ 0.2025 บาท/ลิตร ตามลำดับ) และให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ขอความเห็นชอบยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่เปลี่ยนแปลง และความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์อยู่ที่ระดับ 0.50 บาท/ลิตร ทั้งนี้ กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยการปรับราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ลดลง 0.11 บาท/ลิตร
5. เพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุนราคาแก๊สโซฮอล์ที่ปรับตัวสูงขึ้น และให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีในการส่งเสริมการใช้และจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ สนพ.ได้เสนอขอความเห็นชอบ คือ
5.1 ขอความเห็นชอบยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่เปลี่ยนแปลง และความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์อยู่ที่ระดับเดิม 0.50 บาท/ลิตร
5.2 อย่างไรก็ตาม การยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตามข้อ 5.1 ไม่รวมถึงการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่ได้มีการจ่ายชดเชยตามนโยบายตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งในช่วงราคาน้ำมันขาลง รัฐบาลจะต้องเก็บเงินคืนเพื่อจ่ายคืนเงินกู้ต่อไป
6. การยกเว้นเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มี รายได้ลดลงประมาณ 1.35 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนกันยายน 2547 มีรายรับ 1,101 ล้านบาท และมีรายจ่ายชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 553 และ 7,058 ล้านบาท/เดือน ตามลำดับ และหากการผลิตและจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นไปเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ของกระทรวงพลังงาน คือ จำนวน 30 ล้านลิตร/เดือน ในปี 2547 - 2549 และจำนวน 90 ล้านลิตร/เดือน ในปี 2554 จะทำให้รายรับของกองทุนน้ำมันฯ ลดลง 8.1 ล้านบาท/เดือน ในปี 2547 - 2549 และ 24.3 ล้านบาท/เดือน ในปี 2554
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว ทดแทนต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่เพิ่มขึ้นในส่วนของราคาเอทานอล เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไว้ที่ระดับเดิม
2. การยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตามข้อ 1 ไม่รวมถึงการเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่ได้มีการจ่ายเงินชดเชยตามนโยบายตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งในช่วงราคาน้ำมันขาลง รัฐบาลจะต้องเก็บเงินคืนเพื่อจ่ายเงินกู้ต่อไป
3. มอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน กรมการค้าภายใน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปหารือร่วมกับกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำมาผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดต้องเกิดขึ้นกับประชาชน แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 การขอยุติเงินทดรองจ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2546 กบง. เห็นชอบให้มีการแก้ไขกฎระเบียบ รวมทั้งขั้นตอนการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ โดยให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่ผู้ผลิตและผู้นำเข้าภายใน 15 วัน นับจากวันที่ยื่นคำร้องขอรับเงินชดเชย และให้ปรับเพิ่มวงเงินทดรองจ่ายให้แก่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรซึ่งมีไว้สำหรับจ่ายชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการจ่ายชดเชยราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมันฯ
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 ได้มีมติอนุมัติให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) กระทรวงพลังงาน กู้ยืมเงินในวงเงิน 8,000 ล้านบาท ด้วยวิธีเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน และต่อมาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2547 สถาบันฯ ได้ดำเนินการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ โดยการกู้เงินเบิกเกินบัญชี จำนวน 8,000 ล้านบาท
3. ปัจจุบันฐานะเงินกองทุนน้ำมันฯ มีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันเป็นจำนวนสูง และสถาบันฯ ได้กู้เงินมาให้กองทุนเพื่อจ่ายชดเชยเพิ่มเติมอีกจำนวน 30,000 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อให้การบริหารเงินกองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และประหยัดต้นทุนในการกู้ยืมเงิน สถาบันฯ จึงขออนุมัติหลักการให้มีการยกเลิกวงเงินทดรองจ่ายที่กรมสรรพสามิต จำนวน 3,000 ล้านบาท และกรมศุลกากร จำนวน 100 ล้านบาท โดยสถาบันฯ จะเป็นผู้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินกองทุนให้กรมสรรพสามิต/ กรมศุลกากร เพื่อนำไปจ่ายชดเชยให้กับผู้ประกอบการที่ได้ยื่นขอรับเงินชดเชย ดังนี้
3.1 การจ่ายเงินชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ให้กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร แจ้งยอดเงินที่ได้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง ในแต่ละงวดเดือนภายในวันที่ 25 ของเดือน เพื่อสถาบันฯ จะได้แจ้งยอดเงินที่ต้องเบิกเงินกู้ให้กับสถาบันการเงินภายใน 5 วันทำการก่อนเบิกเงินกู้ ตามเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน
3.2 การจ่ายเงินชดเชยก๊าซ LPG ให้กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ทำหนังสือขอเบิกเงิน กองทุนตามจำนวนเงินที่ผู้ประกอบการได้ยื่นขอรับเงินชดเชยและได้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องครบถ้วนแล้ว ภายในวันที่ 10 ของเดือน
4. จากฐานะกองทุนน้ำมันฯ ที่มีรายรับไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย และสถาบันฯ ซึ่งเป็นกลไกที่จัดตั้งขึ้นทำหน้าที่บริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งมีภาระที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เบิกเกินบัญชีทุกเดือนและต้องชำระคืนเงินกู้เบิกเกินบัญชี และประกอบกับสถาบันฯ มีความพร้อมสามารถในการจ่ายเงินชดเชยโดยตรงให้กับผู้ประกอบการได้อย่างรวดเร็วแทนกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นว่าความจำเป็นในการมีเงินทดรองจ่ายไว้ที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรย่อมหมดความจำเป็น
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเลิกเงินทดรองจ่ายที่กรมสรรพสามิต จำนวน 3,000 ล้านบาท และกรมศุลกากร จำนวน 100 ล้านบาท โดยมอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชยตรงให้กับผู้ประกอบการตามหลักฐานการขอรับเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากรได้ตรวจสอบและรับรองถูกต้องแล้ว
2. เห็นชอบให้แก้ไขระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546
สรุปข้อเสนอการขอแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 ดังนี้
ส่วนที่ 1 ขอแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะ การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
1. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งได้ทำหน้าที่จัดหาเงินมาให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศไม่ให้สูงเกินกว่าระดับที่คณะรัฐมนตรีกำหนด พร้อมทั้งรับโอนงานบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ จากกรมบัญชีกลางมาดำเนินงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2547 และเพื่อให้สถาบันฯ สามารถดำเนินการในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และเกิดประโยชน์สูงสุด สถาบันฯ จึงมีหนังสือขอให้มีการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงดังนี้ คือ
(1) ข้อ 2 เพิ่มเติมข้อความ "สถาบัน หมายความว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546" และ "ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน"
(2) ข้อ 3 ขอแก้ไขเป็น "ให้ตั้งกองทุน เรียกว่า "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" ไว้ที่สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและเพื่อตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้คงที่อยู่ในระยะเวลาหนึ่ง ตามที่นโยบายรัฐบาลกำหนด"
(3) ข้อ 6 ขอแก้ไข จาก "ให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุน" เป็น "ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้จัดการกองทุน"
(4) ข้อ 7 ขอแก้ไขเป็น "(2) เป็นเงินค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของสถาบันตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ" และ "(5) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ"
(5) ข้อ 10 ข้อ 11 และข้อ 27 แก้ไขคำที่ใช้ว่า "ปลัดกระทรวงพลังงาน" เป็น "ผู้อำนวยการ"
2. แต่ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการดำเนินงานบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ของสถาบันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้มีปรับปรุงแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 ในประเด็นเกี่ยวกับข้อความข้อ 2, 10, 11 และ 27 ในคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 ตามที่สถาบันฯ ขอให้แก้ไข ทั้งนี้ เป็นการแก้ไขนิยามที่เกี่ยวข้องกับสถาบันซึ่งยังไม่ได้ถูกกำหนดไว้ และในส่วนข้อความข้อ 3, 6 และ 7 ในคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ขอให้คงเดิม เนื่องจากนโยบายการมีกองทุนน้ำมันฯ ขึ้น เป็นนโยบายรัฐบาลที่มอบให้ปลัดกระทรวงเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะผู้จัดการกองทุน และมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 3 ของพระราชกำหนด พ.ศ. 2516 ขณะเดียวกัน สถาบันฯ อาจของบประมาณจากงบประมาณประจำปีจากรัฐบาลและสามารถยื่นของบประมาณรายจ่ายประจำปีจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามข้อ 7 (2) ได้อยู่แล้ว
ส่วนที่ 2 ขอแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 ในส่วนของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
3. กระทรวงพลังงาน ได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปแล้ว 2 ขั้นตอน ซึ่งมีผลให้โรงบรรจุต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนี้ ห้ามบรรจุข้ามยี่ห้อ ห้ามบรรจุไม่เต็มน้ำหนัก และห้ามบรรจุถังผิดกฎหมาย และก่อนที่จะเริ่มดำเนินการปรับปรุงระบบการค้าฯ ใน ขั้นตอนสุดท้าย (ขั้นตอนที่ 3) ปรากฏว่าได้มีปัญหาการลักลอบกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการลักลอบบรรจุข้ามยี่ห้อ ซึ่ง สนพ. ได้ประสานความร่วมมือกับกรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยจัดชุดตำรวจเฉพาะกิจด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลวขึ้น เสริมกำลังเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน ออกตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายทั่วประเทศ เพื่อควบคุมไม่ให้โรงบรรจุกลับไปบรรจุข้ามยี่ห้อเช่นเดิม
4. ผลการดำเนินโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงเดือนตุลาคม 2546 - มิถุนายน 2547 มีผู้กระทำความผิด จำนวน 219 ราย แยกเป็นการกระทำผิดที่โรงบรรจุ 118 แห่ง สถานีบริการแก๊ส (ปั๊มแก๊ส) 94 แห่ง และร้านค้าปลีก 7 แห่ง โดยมี ข้อหาในการจับกุม จำนวน 251 ข้อหา จากผลการจับกุมดังกล่าว พบว่าปั๊มแก๊สซึ่งขออนุญาตจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเติมรถยนต์เป็นสถานที่กระทำความผิดและหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบธุรกิจก๊าซ หุงต้มมากที่สุด จำนวน 104 ข้อหา โดยที่รายชื่อปั๊มแก๊สที่ถูกจับกุมจะเป็น รายชื่อซ้ำที่จะถูกจับกุมมากกว่าหนึ่งครั้ง
5. สำหรับสาเหตุการลักลอบบรรจุถังก๊าซหุงต้มโดยผิดกฎหมายเกิดจาก 1) บทลงโทษตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 28 (ปว. 28) ค่อนข้างต่ำ ปรับไม่เกิน 5,000 บาท ทำให้ปั๊มก๊าซไม่เกรงกลัว 2) เนื่องจากปัจจุบันร้านค้าก๊าซไม่ได้สังกัดผู้ค้าก๊าซมาตรา 7 จึงสามารถนำถังก๊าซไปลักลอบบรรจุตามปั๊มก๊าซได้ และจะขาดการดูแลซ่อมบำรุงถังก๊าซตามที่กฎหมายกำหนด ก่อให้เกิดอันตรายกับสังคมได้
6. ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจึงควรเป็น
(1) แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ในข้อ 21 ให้สถานีบริการก๊าซมีความผิดหากบรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้มขายหรือจำหน่ายก๊าซให้กับผู้อื่น บทลงโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(2) จัดระเบียบร้านค้าก๊าซ ให้สังกัดผู้ค้าก๊าซมาตรา 7 โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เพื่อควบคุมให้ร้านค้าก๊าซนำถังก๊าซไปบรรจุตามยี่ห้อที่ตนสังกัด และหากร้านค้าก๊าซนำ ถังก๊าซไปบรรจุนอกยี่ห้อที่ตนสังกัด จะถูกยกเลิกการเป็นตัวแทนและห้ามขายก๊าซยี่ห้อดังกล่าว
(3) ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 เรื่อง การปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ความว่า "ให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง ประสานสำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเป็นค่าใช้จ่ายให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง" เนื่องจากความมุ่งหมายของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว มุ่งหมายให้โอนงานน้ำมันเถื่อนไปให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบจัดหางบประมาณแผ่นดินมาใช้แทนการใช้เงินกองทุนน้ำมัน ซึ่งในปัจจุบันได้มีการดำเนินการเรียบร้อยแล้ว โดยการดำเนินการดังกล่าวไม่รวมถึงการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับก๊าซหุงต้ม เนื่องจากไม่ใช่เรื่องหนีภาษี แต่เป็นเรื่องปัญหาความปลอดภัย และมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว มีความหมายกว้าง ทำให้ไม่สามารถใช้เงิน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาสนับสนุนการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับธุรกิจปิโตรเลียมเหลว ซึ่งปัจจุบันยังต้องดำเนินการปรับปรุงพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการจัดทำร่างแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 ตามการขอ แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ในข้อ 2, ข้อ 10 - 11, ข้อ 21 และข้อ 27 เพื่อดำเนินการต่อไป
2. เห็นชอบให้นำเสนอขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 เรื่อง การปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ต่อคณะรัฐมนตรี
เรื่องที่ 7 ข้อเสนอการลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือประชาชนโดยทั่วไป ด้วยการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลยังคงถูกตรึงราคาไว้ที่ระดับต่ำเช่นเดิมมาจนถึงปัจจุบัน
2. ชาวประมงที่ซื้อน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ได้รับความเดือดร้อนเพราะการตรึงราคาไม่ได้ครอบคลุมถึงโครงการฯจึงไม่ได้รับการชดเชย ดังนั้นราคาน้ำมัน ในโครงการฯจึงเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก จนใกล้เคียงกับราคาขายส่งของน้ำมันดีเซลบนบกที่ถูกตรึงราคาไว้ ทำให้ปริมาณจำหน่ายน้ำมันเขียวลดลง เนื่องจากชาวประมงบางส่วนต้องจอดเรือพักการทำประมง และบางส่วนหันมาซื้อน้ำมันบนฝั่งแทน ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ผลสืบเนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ทำให้กลุ่มประมงในบางจังหวัดเสนอขอให้มีการชดเชยราคาน้ำมันเขียว นอกจากนี้ชาวประมงที่ได้รับสัมปทานทำประมงในประเทศพม่าได้ซื้อน้ำมันบนบก เพื่อนำไปใช้ในการทำประมงแทนน้ำมันเขียว แต่เนื่องจากประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน กำหนดให้เรือที่มีความประสงค์จะเติมน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อใช้สำหรับเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ต้องส่งเงินคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ชาวประมงมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณลิตรละ 4 บาท และการซื้อน้ำมันบนบกราคาถูก อาจทำให้เกิดการลักลอบนำน้ำมันไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาน้ำมันสูงกว่า ทำให้เกิดการรั่วไหลของเงินชดเชยได้ และยังมีผลกระทบต่อการวางแผนการผลิตน้ำมันสำหรับโครงการน้ำมันเขียวของโรงกลั่นด้วย
4. ดังนั้นเพื่อลดภาระชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอนาคต และเป็นการผลักดันให้ชาวประมงหันกลับไปใช้น้ำมันเขียว และเพื่อป้องกันมิให้มีการน้ำมันบนบกที่ได้รับการชดเชยจากภาครัฐมีการลักลอบนำไปจำหน่ายยังต่างประเทศ สนพ. จึงได้ข้อเสนอแนวทางการแก้ไข ดังนี้
1) ขอความเห็นชอบ การตรึงราคาน้ำมันเขียวโดยการชดเชยในลักษณะของการให้ยืมและให้ส่งคืนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อในภายหลังตามหลักเกณฑ์เดียวกับการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงบนบก
2) ขอให้มอบหมาย สนพ.,กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต ร่วมกันจัดทำระบบการชดเชยและ ส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3) เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำน้ำมันที่ได้รับชดเชยไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการกำกับดูแลการจ่ายเงินชดเชยตามปริมาณน้ำมันเขียวที่ใช้จริงไม่ให้เกิดการรั่วไหล โดยขอให้มอบหมายหน่วยงานต่างๆ เช่น สนพ., กรมประมง, กรมศุลกากร, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รับไปดำเนินการ
4) ขอให้ช่วยเหลือชาวประมงขนาดเล็กได้ซื้อน้ำมันในราคาต่ำลงอีก โดยให้เรือประมงชายฝั่งขนาดเล็ก(ความยาวไม่เกิน 14 เมตร) รวมตัวเพื่อซื้อน้ำมันบนบกในราคาขายส่ง ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันถูกลงประมาณ ลิตรละ 50 - 75 สตางค์ และให้มีการจัดตั้งเรือสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทะเลอาณาเขต โดยมอบหมายให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี, กรมธุรกิจพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รับไปดำเนินการ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมง (โครงการน้ำมันเขียว) ไม่ให้สูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก โดยให้จ่ายเงินชดเชยในส่วนต่างของราคาน้ำมันเขียวที่สูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก และให้เรียกเก็บเงินคืนเมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก ไปจนเมื่อเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้หมด
2. มอบหมายให้ สนพ. กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตร่วมกันจัดทำระบบการชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันฯ
3. มอบหมายให้ สนพ. กรมประมง กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รับไปดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำน้ำมันที่ได้รับชดเชยไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
กพช. ครั้งที่ 72 - วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 72)
วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 215-216 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 2 รัฐสภา
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
3.การประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและมาตรการบรรเทาผลกระทบ
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนมกราคมได้ปรับตัวสูงขึ้น มีสาเหตุมาจากแนวโน้มการขยายเวลาการจำกัดการผลิตของกลุ่มโอเปค ประกอบกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากในอเมริกาตอนเหนือและแคนาดา ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น พร้อมทั้งข่าวการส่งออกน้ำมันของอิรัคที่จะลดลง มีผลให้น้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 4.5 เหรียญ สหรัฐฯต่อบาร์เรล ณ วันที่ 21 มกราคม 2543 มาอยู่ในระดับ 29.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้น 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 24.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แต่ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนราคาน้ำมันดิบได้อ่อนตัวลง 1.0-2.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 24.0-27.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์มีการปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน จากการลดกำลังการกลั่นในสิงคโปร์และอินเดีย และการปิดของโรงกลั่นไทยออยล์ ทำให้ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปเข้าสู่ตลาดน้อยลง ในขณะที่แรงซื้อน้ำมันมีมาก โดยในสัปดาห์ที่สามราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลสูงขึ้น 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 31.4-31.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันก๊าดสูงขึ้น 4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 34.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ในสัปดาห์สุดท้ายราคาได้อ่อนตัวลง โดย ณ วันที่ 28 มกราคม 2543 ราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าด และดีเซลอ่อนตัวลง 1.0 3.7 และ 3.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในะดับ 30.5, 30.7 และ 28.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันเตาราคาเฉลี่ยลดลง 0.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 21.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
3. ราคาน้ำมันในประเทศในเดือนมกราคม ช่วงต้นเดือนมีการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล 23 สตางค์/ลิตร จากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ซึ่งถูกชดเชยด้วยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนหนึ่ง และได้มีการปรับราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้นอีก 2 ครั้ง รวม 60 และ 50 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และ 87 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 26 มกราคม 2543 มีราคา 14.39, 13.59, 13.17 และ 11.52 บาท/ลิตร ตามลำดับ ค่าการตลาดและค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ในระดับ 0.92 และ 0.70 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สพช. ได้คาดการณ์แนวโน้มของราคาน้ำมันว่า ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจะอยู่ในระดับ สูงสุดในเดือนมกราคม หลังจากนั้นสภาพอากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันจะเริ่มลดลง และค่าการกลั่นดีขึ้น จะทำให้โรงกลั่นเพิ่มการผลิต รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง จะทำให้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของไตรมาสแรกอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสก่อน โดยน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ในระดับ 22-23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันสำเร็จรูปจะอ่อนตัวลง ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาขายปลีกของไทย มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงเช่นกัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 เห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่ม สูงขึ้น รวมทั้ง เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2543-2547 โดยให้มีการปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่ม สูงขึ้น โดยเน้นเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อให้การดำเนินงานตามแผน อนุรักษ์พลังงานมีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีของหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง ซึ่งมีความก้าวหน้าในแต่ละมาตรการสรุปได้ดังนี้
2.1 การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน แผนอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2537-2542 ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2542 โดยใช้จ่ายเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,237 ล้านบาท ผลการดำเนินงานคาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและลดค่าใช้จ่ายด้าน พลังงานสิ้นเปลืองได้ประมาณ 525 ล้านบาท/ปี และสามารถชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้คิดเป็นมูลค่า 2,115 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับในส่วนที่ไม่สามารถประเมินเป็นจำนวนเงินได้ ต่อมา สพช. ได้จัดทำแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 2543-2547 โดยได้มีการปรับปรุงมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สอดคล้องตามมติ คณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น เพื่อเร่งรัดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้มีผลที่ชัดเจนมากขึ้น โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 29,110.61 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน โดยสามารถทดแทนพลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงได้ประมาณ 12,870 ล้านบาท/ปี และสามารถลดเงินลงทุนเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ประมาณ 38,085 ล้านบาท
การดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 2 ในช่วงที่ผ่านมา (ต.ค. 42 - ม.ค. 43) ได้มีการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ โครงการทางเดียวกันไปด้วยกัน (Car pool) การปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้า และการประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้มีการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง
2..2 การเลือกใช้พลังงานให้เหมาะสม ประกอบด้วย การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกชนิด การลดการใช้น้ำมันเตาและใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ตลอดจนการกระจายแหล่งและชนิดของพลังงาน
2.3 การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้ใช้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยกองทุนฯ จะสามารถตรึงราคาได้เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 11 เดือน และหากราคาก๊าซฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น จะใช้มาตรการการปรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้า ก่อนดำเนินการปรับเพิ่มราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2.4 การลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ได้มีการผ่อนผันให้ กฟผ. สามารถใช้น้ำมันเตากำมะถันไม่เกิน 1.0% และค่าแอสฟัลทีนระดับปกติมาใช้ในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือได้ โดยขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันและ กฟผ. เพื่อหาทางเลือกต่างๆ ที่จะทำให้น้ำมันเตาที่จำหน่ายให้ กฟผ. มีราคาต่ำที่สุด
2.5 การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง มาตรการเฉพาะเพื่อเร่งรัดการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิง เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาสูงที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ประกอบด้วย การปรับบทบาทขององค์กรที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสานการปราบปรามการลักลอบ นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง การเพิ่มความเข้มในการตรวจการณ์ทางทะเล การตรวจสอบแพปลาและสถานีบริการริมชายฝั่ง การตรวจสอบอู่ต่อเรือ และการเฝ้าติดตามผู้ผลิต ตัวแทน และผู้ใช้สารโซลเว้นท์มิให้มีการลักลอบ นำไปปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มความเข้มในการตรวจสอบการนำเข้าและส่งออกน้ำมันทาง ทะเล และเร่งรัดให้มีการดำเนินการแก้ไขระเบียบของรัฐที่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติ งาน
2.6 การส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคคมนาคมขนส่งมากขึ้น ในขณะนี้ ปตท. ได้มีการดำเนินโครงการทดลองก่อนการขยายตลาดของยานยนต์โดยการดัดแปลงเครื่อง ยนต์มาใช้ก๊าซธรรมชาติ รวมทั้ง ได้มีการหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย กรมทรัพยากรธรณี สพช. กรมการขนส่งทางบก กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อหาแนวทางในการสนับสนุนให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาค ขนส่งมากขึ้น โดยได้มีการหารือในเรื่อง การจัดหาแหล่งเงินทุน การยกเว้นภาษี การส่งเสริมสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการลงทุน และการพิจารณาแก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับการติดตั้งถังก๊าซฯ ไว้บนหลังคารถ เป็นต้น
2.7 การเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น ปตท. ได้รับไปเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อปรับลดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันเชื้อเพลิง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทผู้ค้าน้ำมัน
2.8 กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการตรึงราคาค่าโดยสารสำหรับรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. รถไฟ และรถโดยสารของบริษัทขนส่ง
2.9 กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 0.42 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราว ระยะเวลา 3 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2542 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2543 ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลง 0.50 บาท/ลิตร และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 ให้ปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตของยาสูบ เพื่อเป็นการทดแทนรายได้ของภาษีน้ำมันดีเซลที่ขาดหายไป อย่างไรก็ตาม เมื่อครบกำหนดที่จะต้องปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในวันที่ 5 มกราคม 2543 ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาน้ำมันดีเซลต้องปรับเพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร ตามภาษีที่เพิ่มขึ้นนั้น ได้มีการดำเนินการเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบของราคาขายปลีกที่จะสูงขึ้นในระดับ หนึ่ง โดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนช้าลดลงจาก 0.25 บาท/ลิตร และ 0.23 บาท/ลิตร ตามลำดับ เป็น 0 บาท/ลิตร ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับสูงขึ้นเพียง 0.23 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและมาตรการบรรเทาผลกระทบ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้มีการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้น สรุปได้ดังนี้
1.1 การประเมินผลกระทบมีข้อสมมติฐานแบ่งออกเป็น 4 กรณี คือ กรณีฐานและกรณีที่ 1-3 โดยกรณีฐานราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 19 เหรียญสรอ./บาร์เรล ส่วนกรณีที่ 1 , 2 และ 3 มีสมมุติฐานว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 22 เหรียญสรอ./บาร์เรล 24 เหรียญสรอ./บาร์เรล และ 26 เหรียญสรอ./บาร์เรล ตามลำดับ
1.2 จากข้อสมมติฐานกรณีที่ 1 เมื่อราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 22 เหรียญสรอ./บาร์เรล จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับร้อยละ 4.18 ลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.22 (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสรอ. เท่ากับ 38 บาท) หรือ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับร้อยละ 4.13 ลดลงจากกรณีฐาน ร้อยละ 0.27 (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสรอ. เท่ากับ 39 บาท) และในกรณีเลวร้ายที่สุด คือ กรณีที่ 3 เมื่อราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 26 เหรียญสรอ./บาร์เรล จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับร้อยละ 3.88 ลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.52 (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสรอ. เท่ากับ 38 บาท) หรือ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับร้อยละ 3.83 ลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.57 (ณ อัตรา แลกเปลี่ยน 1 เหรียญสรอ. เท่ากับ 39 บาท)
1.3 ผลการวิเคราะห์โดยรวมแล้ว แนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้ยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยาย ตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม แต่อาจมีผลต่อต้นทุนเฉพาะบางสาขา เช่น สาขาประมง และสาขาขนส่ง แต่มีข้อสังเกตว่าจากสถานการณ์ในปี 2542 ซึ่งราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีสูงขึ้นจากปี 2541 ถึงร้อยละ 39.95 แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาเงินเฟ้อ หรือเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวโดยรวมของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาหามาตรการที่เหมาะสมมาช่วยเหลือเฉพาะบางสาขาที่ได้รับผลกระทบก็ ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดทางด้านงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งมีภาระในอนาคตมากอยู่แล้ว และมาตรการประหยัดพลังงานยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการต่อไป
2. กระทรวงคมนาคม ได้เชิญหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมหารือ เพื่อประเมินผลกระทบต่อค่าขนส่งจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2543 สรุปได้ดังนี้
2.1 ด้านการขนส่งทางบก มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กรมการขนส่งทางบก และองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (รสพ.) ในส่วนของ ขสมก. และ รฟท. ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐยังให้เงินอุดหนุนอยู่ จึงยังไม่มีการปรับราคาค่าโดยสารในขณะนี้ สำหรับ บขส. ได้มีการปรับค่าโดยสารครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมีนาคม 2541 โดยคิดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ 10.61-11.03 บาท/ลิตร ซึ่งปัจจุบัน บขส. มีต้นทุนเฉพาะน้ำมันเฉลี่ยที่ 11.03 บาท/ลิตร พอดี จึงสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องปรับค่าโดยสาร ส่วนอัตราค่าโดยสารรถบรรทุก ซึ่งคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางกำหนดราคาไว้ตั้งแต่ปี 2527 ให้รถบรรทุกสิบล้อเหมาคันมีอัตรา 8.3996 บาท/กิโลเมตร และรถบรรทุกหกล้อเหมาคันมีอัตรา 6.5353 บาท/กิโลเมตร ปัจจุบันต้นทุนการขนส่งอยู่ที่อัตรา 12.25 บาท/กิโลเมตร ส่วน รสพ. มีต้นทุนการขนส่งอยู่ที่ 11.87 บาท/กิโลเมตร ซึ่งหากผู้ประกอบการขนส่งและ รสพ. สามารถบริการเที่ยววิ่งขากลับให้มีสินค้าบรรทุก ก็จะช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องปรับค่าขนส่ง
2.2 ด้านการขนส่งทางน้ำ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมเจ้าท่า (จท.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี (สพง.) โดยในส่วนของค่าโดยสารเรือประจำทางและเรือข้ามฟากได้มีการปรับอัตราค่า โดยสารครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2542 และได้มีข้อตกลงร่วมกับผู้ประกอบการว่า จะไม่มีการปรับค่าโดยสารอีกเป็นเวลา 5 ปี สำหรับการเดินเรือระหว่างประเทศของไทยมีจำนวนเรือวิ่งน้อย จึงทำให้ไม่มีอำนาจต่อรองมากนัก และทางกลุ่มเดินเรืออาจจะขอปรับราคาขึ้นอีก
2.3 ด้านการขนส่งทางอากาศ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับอนุมัติให้ปรับค่าโดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5 ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2542 แต่เนื่องจากมีการแข่งขันสูงและสภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นยังไม่เอื้ออำนวย บริษัท การบินไทยฯ จึงยังไม่ปรับค่าโดยสารขึ้น และคาดว่าจะยังไม่มีการปรับค่าโดยสารสำหรับเส้นทางการบินภายในประเทศ ในระยะ 3-4 เดือนนี้
3. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอกรมประมงเสนอเรื่องขึ้นมา
4. กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้มีการประเมินผลกระทบต่อต้นทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น สรุปได้ดังนี้
4.1 การวิเคราะห์และประเมินผลกระทบใช้เปรียบเทียบราคาน้ำมันของเดือนมิถุนายน 2542 กับราคาน้ำมันวันที่ 26 มกราคม 2543 โดยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากเดิมลิตรละ 8.30 บาท เพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 11.52 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.80 น้ำมันเตาจากเดิมลิตรละ 5.99 บาท เพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 7.90 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.89 และน้ำมันเบนซิน 95 จากเดิมลิตรละ 11.21 บาท เพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 14.39 บาท หรือเพิ่มร้อยละ 28.37 ส่วนค่าไฟฟ้าได้มีการปรับค่า Ft จากเดือนมิถุนายน 2542 ที่อัตรา 32.60 สตางค์/หน่วย มาอยู่ในอัตรา 56.32 สตางค์/หน่วย ในเดือนมกราคม 2543
4.2 ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นต่อต้นทุนการผลิตพบว่า มีสินค้า 2 รายการที่ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ 5.00 ขึ้นไป ได้แก่ ปูนซีเมนต์ แป้งแปรรูป เป็นต้น สินค้าที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 3.01-5.00 มี 4 รายการ ได้แก่ กระจกแผ่น ฟอกย้อม กุ้งกุลาดำแช่เยือกแข็ง และเหล็กทรงยาว เป็นต้น สินค้าที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 1.01-3.00 มี 6 รายการ ได้แก่ เส้นใย สายไฟฟ้า ฟอกหนัง เครื่องเรือนไม้ เป็นต้น สินค้าที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 0.50-1.00 มี 5 รายการ ได้แก่ กระเบื้องเซรามิกส์ หลอดภาพโทรทัศน์ แป้งมันสำปะหลัง เป็นต้น และสินค้าที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นน้อยกว่าร้อยละ 0.50 มี 8 รายการ ได้แก่ รถยนต์ จักรยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ได้รับผลกระทบน้อยมากมี 4 รายการ คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ โซเดียมทรีโพลีฟอสเฟต โพลีคาร์บอเนต และ POM
4.3 มาตรการในการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ควรเน้นเรื่องการประชาสัมพันธ์ ในเชิงรุกเพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเห็นคุณค่าของพลังงานเพื่อให้มีการ ใช้อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ สำหรับมาตรการระยะปานกลางควรใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานขนาดกลางและขนาดย่อมให้มากขึ้น รวมทั้ง การพิจารณาให้สิทธิประโยชน์แก่โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้อุปกรณ์และเครื่องจักร การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง และหรือใช้พลังงานที่ผลิตได้ในประเทศ ส่วนมาตรการระยะยาวควรหาพลังงานทดแทนชนิดอื่นที่ราคามีเสถียรภาพและไม่ต้อง พึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศมากนัก เช่น ก๊าซธรรมชาติ โดยรัฐบาลต้องให้การสนับสนุนในด้านการวางระบบท่อส่งก๊าซและเงินทุนในการปรับ เปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อรองรับการใช้เชื้อเพลิงทดแทนได้
5. กระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายในได้ประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นต่อต้นทุนสินค้าอุตสาหกรรม และมาตรการบรรเทาผลกระทบสรุปได้ดังนี้
5.1 กรมการค้าภายในได้วิเคราะห์ผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อต้นทุนสินค้า โดยใช้การเปรียบเทียบราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยในเดือนมิถุนายน 2542 ซึ่งอยู่ในระดับ 8.30 บาท/ลิตร กับราคาดีเซล ในขณะนี้ซึ่งเท่ากับ 11.52 บาท/ลิตร ผลการวิเคราะห์ปรากฏว่ามีสินค้าจำนวน 53 รายการ ได้รับ ผลกระทบทำให้ต้นทุนสูงขึ้นประมาณร้อยละ 0.01-5.30 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบทำให้ต้นทุนสูงขึ้นในอัตราร้อยละ 1.00-5.30 มีจำนวน 7 รายการ ได้แก่ ปูนซีเมนต์ ตะปูตอกไม้ กระเบื้องคอนกรีตมุงหลังคา ผงชูรส อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก น้ำมันหล่อลื่น ยารักษาโรค ส่วนสินค้าที่ได้รับผลกระทบทำให้ต้นทุนสูงขึ้นในอัตราร้อยละ 0.01-0.99 มีจำนวน 46 รายการ สำหรับปูนซีเมนต์ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดนั้นคงจะไม่มีการ ปรับราคาขึ้นไปอีก เนื่องจากได้มีการปรับราคาไปแล้วเมื่อต้นเดือนมกราคม 2543
5.2 มาตรการในการป้องกันมิให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็น ธรรมแก่ ผู้บริโภค ทางกรมการค้าภายในได้มีหนังสือถึงผู้ประกอบการสินค้าที่มีความจำเป็นแก่การ ครองชีพประมาณ 570 ราย ให้แจ้งการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าให้ทราบล่วงหน้าก่อนการปรับราคาสินค้า 15 วันทำการ เพื่อให้มีเวลาในการศึกษาวิเคราะห์ราคาจำหน่ายที่เหมาะสม หากพบว่ามีการปรับราคาสูงเกินสมควรก็จะขอความ ร่วมมือให้ลดราคาลงให้สอดคล้องกับผลกระทบ นอกจานี้ ยังมีมาตรการติดตามดูแลความเคลื่อนไหวราคา และปริมาณสินค้า โดยมีการจัดเจ้าหน้าที่สายตรวจออกตรวจสอบภาวะราคาสินค้าเป็นประจำทุกวันทำ การ มีการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนทั้งในส่วนกลางและทุกจังหวัด มีการประชาสัมพันธ์ปรามผู้ค้ามิให้ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า และมีการจัดจำหน่ายสินค้าราคายุติธรรมตามโครงการธงฟ้าราคาประหยัดให้แก่ผู้ บริโภค
5.3 สำหรับสินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่ติดตามตรวจสอบได้ยาก เนื่องจากมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่แตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า และส่วนใหญ่ราคาได้ถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภคแล้ว สาขาประมงเป็นสาขาที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของสาขานี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ได้ให้ความช่วยเหลือในสาขาประมงแล้ว โดยใช้เงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรจ่ายชดเชยราคาน้ำมันให้แก่ชาว ประมง
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ รวมทั้ง การประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
2.ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด
3.มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับไปจัดทำมาตรการเพื่อช่วยเหลือชาวประมงจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยใช้เงินกองทุนช่วยเหลือเกษตรกร และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
4.มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ติดตามดูแลราคาค่าขนส่งในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างใกล้ชิด
5.มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ ติดตามดูแลราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการมีการปรับราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้ บริโภค
6.ให้มีการเร่งรัดการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานอย่าง ต่อเนื่อง เพื่อสร้างจิตสำนึกของประชาชนให้เห็นคุณค่าของการใช้พลังงานอย่างประหยัดและ มีประสิทธิภาพ
7.ให้มีการเร่งรัดการขยายผลการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานขนาดกลางและขนาด เล็กที่ไม่ใช่โรงงานและอาคารควบคุมและมีการใช้พลังงานต่ำกว่า 1 เมกะวัตต์ ให้เข้ามาร่วมดำเนินการมากขึ้น