![Super User](http://www.gravatar.com/avatar/8f29cc35bfcee5e137109c704783b4c7?s=100&default=https%3A%2F%2Feppo.go.th%2Fepposite%2Fcomponents%2Fcom_k2%2Fimages%2Fplaceholder%2Fuser.png)
Super User
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 21 กันยายน 2552
ครั้งที่ 62 - วันอังคาร ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2554 (ครั้งที่ 62)
เมื่อวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 5 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มดิบขาดแคลน
2. หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า ในวันนี้ ประธานฯ ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก 120,000 ตันภายในระยะเวลา 2 เดือน (กุมภาพันธ์ - มีนาคม 2554) สำหรับการใช้น้ำมันปาล์มดิบมาทำไบโอดีเซล ได้มีมติให้กระทรวงพลังงานชะลอการใช้น้ำมันปาล์มดิบมาทำน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 แต่ยังให้คงการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ต่อไป โดยไม่ต้องลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นร้อยละ 2 (บี2) จึงขอแจ้งให้ที่ประชุมฯ ได้รับทราบเพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มดิบขาดแคลน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 กระทรวงพาณิชย์ได้มีหนังสือขอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาดำเนินการประสานผู้ผลิต B100 ชะลอหรือลดการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้มี CPO เข้าสู่ตลาดน้ำมันพืชบริโภคมากขึ้น
2. สรุปข้อมูลน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ได้ดังนี้ (1) ณ วันที่ 1 มกราคม 2554 สต็อค CPO รวมทั้งระบบมีประมาณ 70,000 ตัน โดย CPO จากปาล์มทะลายที่จะผลิตได้ในเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2554 ประมาณ 94,400 132,000 และ 140,000 ตัน ตามลำดับ (2) ใช้บริโภค 76,000 ตันต่อเดือน และใช้ผลิตไบโอดีเซล (B100) 35,000 ตันต่อเดือน (3) วันที่ 31 มกราคม 2554 ได้นำเข้าน้ำมันปาล์มดิบแยกไข 30,000 ตัน เข้าระบบน้ำมันพืชบริโภคแล้ว และ (4) ในช่วงวันที่ 24 - 28 มกราคม 2554 ราคา CPO เพิ่มขึ้นจาก 60 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 70 บาทต่อกิโลกรัม และหากอุปสงค์และอุปทานยังคงเป็นเช่นปัจจุบัน สต็อค CPO รวมทั้งระบบที่หักลบความต้องการเพื่อบริโภคและเพื่อผลิตไบโอดีเซล (บี100) แล้ว ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2554 คาดว่าจะเป็น 77,000 60,000 81,000 และ 110,000 ตัน ตามลำดับ ซึ่งสต๊อค CPO รวมทั้งระบบที่เหมาะสมควรเป็น 120,000 ถึง 150,000 ตัน
3. เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มดิบขาดแคลนตามที่กระทรวงพาณิชย์ร้องขอ จึงขอเสนอแนวทางดังนี้
3.1 ผ่อนผันสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาจากร้อยละ 3 เหลือเป็นร้อยละ 2 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2554 และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) รับไปดำเนินการต่อไป
3.2 ขอความร่วมมือบริษัทผู้ค้าน้ำมันงดการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ในช่วงเวลาข้างต้น
3.3 เนื่องจากปัจจุบันมีสต็อคน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 และ Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 บางส่วน คงเหลืออยู่ในระบบที่ผู้ค้าน้ำมัน เห็นควรมอบให้ ธพ. ประสานกรมสรรพสามิตเพื่อดำเนินการแก้ไขต่อไป
มติของที่ประชุม
1. มอบหมายให้กระทรวงพลังงานประสานขอความร่วมมือบริษัทผู้ค้าน้ำมันงดการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2554
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานประสานกรมสรรพสามิตและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 และ Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ที่คงเหลืออยู่ในระบบของผู้ค้าน้ำมัน
เรื่องที่ 2 หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 | = | 97% ของราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (อ้างอิงตลาดสิงคโปร์) + 3% ของราคาไบโอดีเซล (B100) |
โดยที่ ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ (บาทต่อลิตร) คำนวณจาก
-(ราคา MOPS GO 0.5% + พรีเมียม) ที่ 60 °F x อัตราแลกเปลี่ยน / 158.984
- ราคา MOPS GO 0.5% คือ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วซัลเฟอร์ 0.5% จาก Mean of Platt's Singapore (เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล)
- พรีเมียม คือ ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และ ค่า Loss
ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 1.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ (เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล)
ค่าประกันภัย ร้อยละ 0.084 ของ C&F
ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF
- อัตราแลกเปลี่ยน อ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)
- ใช้ Conversion factor 60 ° F / 86 ° F
-ราคาไบโอดีเซล (B100) อ้างอิงจากประกาศ กบง. (บาทต่อลิตร)
2. ในปัจจุบันผลผลิตปาล์มน้ำมันที่ใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล (B100) ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในหลายพื้นที่ ส่งผลทำให้เกิดการขาดแคลนไบโอดีเซลและทำให้ราคาไบโอดีเซลจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 50-60 บาทต่อลิตร ต่อมากระทรวงพาณิชย์ได้มีหนังสือขอให้กระทรวงพลังงานประสานผู้ผลิตไบโอดีเซล (B100) ให้ชะลอหรือลดการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้มีน้ำมันปาล์มดิบเข้าสู่ตลาดน้ำมันพืชมากขึ้น โดยคาดว่าในช่วง 1-2 เดือนนี้ จะเกิดการขาดแคลนไบโอดีเซล ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถจัดหาไบโอดีเซลเพื่อผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามประกาศของ ธพ. ได้ ดังนั้น ธพ. จึงออกประกาศผ่อนผันให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา มีส่วนผสมไบโอดีเซลร้อยละ 1.5 - 2.0 เป็นการชั่วคราว
3. เพื่อให้หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสอดคล้องกับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามประกาศของ ธพ. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 ดังนี้
ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว | = | XP1 + (1-X) P2 |
โดยที
X คือ ค่าเฉลี่ยร้อยละของไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ตามประกาศของ ธพ.
P1 คือ ราคาอ้างอิงไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ตามประกาศ กบง. (บาทต่อลิตร)
P2 คือ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ (บาทต่อลิตร) โดยคำนวณจากราคา MOPS GO 0.5% + พรีเมียม ที่ 60 °F x อัตราแลกเปลี่ยน/158.984
โดยที่
- ราคา MOPS GO 0.5% คือ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วซัลเฟอร์ 0.5% จาก Mean of Platt's Singapore (เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล)
- พรีเมียม คือ ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และ ค่า Loss
ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 1.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ (เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล)
ค่าประกันภัย ร้อยละ 0.084 ของ C&F
ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF
- อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย(บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)
- Conversion factor 60 ° F / 86 ° F
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นำรายละเอียดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเสนอต่อคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 3 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
2. การดำเนินการที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2553 กบง. ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา 0.50 บาทต่อลิตร จากที่ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.15 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยจากกองทุนน้ำมัน 0.35 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร ซึ่งทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกลง 0.30 บาทต่อลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาลดลงอยู่ที่ 29.69 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลดลงอยู่ที่ 29.09 บาทต่อลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2554 ได้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 0.85 บาทต่อลิตร และสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.50 บาทต่อลิตร โดยผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลง 0.20 บาทต่อลิตร อยู่ที่ 29.39 บาทต่อลิตร และเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2554 ได้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.65 บาทต่อลิตร และสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 2.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันชะลอการปรับขึ้นราคาขายปลีกโดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ยังคงอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ 29.39 บาทต่อลิตร ต่อมาวันที่ 25 มกราคม 2554 ได้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.65 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.95 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ยังคงอัตราเดิม เนื่องจากน้ำมันปาล์มขาดแคลนจึงไม่เน้นส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันชะลอการปรับขึ้นราคาขายปลีกโดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ยังคงอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร
3. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 2,990 ล้านบาท คงเหลือเงินประมาณ 2,010 ล้านบาท จากวงเงิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ประมาณ 15 วัน
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 31 มกราคม 2554 มีเงินสดในบัญชี 36,082 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 10,899 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 10,616 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 283 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 25,183 ล้านบาท
5. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 94.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 107.14 และ 110.72 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และราคาไบโอดีเซลที่สูง ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ในระดับต่ำ ผู้ค้าน้ำมันจึงได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่ม 0.30 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2554 และ ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ระดับ 39.44 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 35.14 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาอยู่ที่ระดับราคา 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดอยู่ที่ 0.4132 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับราคา 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดอยู่ที่ 0.3543 บาทต่อลิตร (ค่าการตลาดที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 1.50 บาทต่อลิตร) ราคาไบโอดีเซลอ้างอิงอยู่ที่ 67.41 บาทต่อลิตร และเกิดปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน จึงขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันงดการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำมันปาล์มดิบ
6. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 118.3 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 135.9 ล้านบาทต่อวัน และเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะเพิ่มขึ้นจากประมาณวันละ 111.7 ล้านบาท เป็นวันละ 129.3 ล้านบาท จากวงเงินที่เหลือประมาณ 2,010 ล้านบาท จะสามารถชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ประมาณ 15 วัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาขึ้น 0.65 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.95 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 2.60 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 0.65 บาทต่อลิตร จากชดเชย 2.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 3.15 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 ต่อไป
ครั้งที่ 61 - วันจันทร์ ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2554 (ครั้งที่ 61)
เมื่อวันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 5 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. การยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
3. เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2554
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
2. การดำเนินการที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2553 ได้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลง 0.50 บาทต่อลิตร จากที่ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.65 บาทต่อลิตร เหลือ 0.15 บาทต่อลิตร ทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกลง 0.30 บาทต่อลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลง อยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร และวันที่ 17 ธันวาคม 2553 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 0.50 บาทต่อลิตร จากที่ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.15 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยจากกองทุนน้ำมัน 0.35 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร ซึ่งทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกลง 0.30 บาทต่อลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลง อยู่ที่ 29.69 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลดลง อยู่ที่ 29.09 บาทต่อลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2554 ได้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 0.35 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 0.85 บาทต่อลิตร และสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.50 บาทต่อลิตร โดยผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลง 0.20 บาทต่อลิตร อยู่ที่ 29.39 บาทต่อลิตร และเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2554 ได้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร จากชดเชย 0.85 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.65 บาทต่อลิตร และสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 2.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันชะลอการปรับขึ้นราคาขายปลีกโดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ยังคงอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ 29.39 บาท/ลิตร
3. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 24 มกราคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 2,096 ล้านบาท คงเหลือเงินประมาณ 2,904 ล้านบาท จากวงเงิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ประมาณ 26 วัน
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 17 มกราคม 2554 มีเงินสดในบัญชี 36,557 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 9,902 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 9,612 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 290 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 26,645 ล้านบาท และ ณ วันที่ 24 มกราคม 2554 มีฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 25,427 ล้านบาท
5. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ระดับ 92.50, 106.66 และ 109.26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่ม 0.50 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2554 ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ระดับ 39.14 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 34.84 บาทต่อลิตร และต่อมาได้มีการปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มอีก 0.30 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2554 ทำให้ ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 39.44 และ 35.14 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 อยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดอยู่ที่ 0.9846 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับราคา 29.69 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดอยู่ที่ 1.1387 บาทต่อลิตร (ค่าการตลาดที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 1.50 บาทต่อลิตร) ราคาไบโอดีเซลอ้างอิง 57.16 บาทต่อลิตร
6. จากปัญหาค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำ เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.65 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.95 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร มาอยู่ที่ 1.2846 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 107.7 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 118.3 ล้านบาทต่อวัน และเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะเพิ่มขึ้นจากประมาณวันละ 101.1 ล้านบาท เป็นวันละ 111.7 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถชดเชยได้ประมาณ 26 วัน จนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2554
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.65 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.95 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2554 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณปริมาณ LPG สำหรับนำมาคำนวณเงินชดเชยและหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยจากการนำก๊าซธรรมชาติเข้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทน LPG ซึ่งต่อมาบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการนำ LPG ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงกลั่นน้ำมันออกมาจำหน่าย และใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแทน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 เป็นต้นมา คิดเป็นปริมาณทั้งสิ้น 21,267 ตัน โดยกองทุนน้ำมันฯ มีภาระการจ่ายเงินชดเชยคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 106,271,122 บาท
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2554 ได้เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 ซึ่งได้เห็นชอบแนวทางในการแก้ไขปัญหา LPG ด้านการจัดหา โดยเพิ่มแรงจูงใจให้โรงกลั่นน้ำมันนำ LPG ที่จำหน่ายให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและ LPG ที่ใช้ในกระบวนการกลั่น (Own Used) มาจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงให้กับประชาชนและเพิ่มการผลิตก๊าซ LPG ให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2554 กบง. ได้เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยให้กับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อจำหน่าย LPG เป็นเชื้อเพลิงในประเทศและเห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ และ สนพ. ได้ออกประกาศ กบง. ฉบับที่ 10 พ.ศ. 2554 ลงวันที่ 13 มกราคม 2554 โดยกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่นตั้งแต่วันที่ 14 - 31 มกราคม 2554 ที่ระดับ 13.7095 บาทต่อกิโลกรัม
3. จากการที่โรงกลั่นน้ำมันได้รับเงินชดเชยราคา LPG ตามประกาศ กบง. ฉบับที่ 10 พ.ศ. 2554 ลงวันที่ 13 มกราคม 2554 ทำให้โรงกลั่นน้ำมันไม่มีภาระส่วนต่างของราคาจากการนำก๊าซธรรมชาติเข้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทน LPG ดังนั้น จึงเห็นควรให้มีการยกเลิก มติ กบง. เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 เรื่องการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทน LPG โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2554 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 เรื่องการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทน LPG โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 3 เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2554
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณนำระบบการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากล และมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ซึ่งกรมบัญชีกลางได้พิจารณาเห็นชอบให้กองทุนน้ำมันฯ เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 ต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้การดำเนินการจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ เป็นไปตามระบบการประเมินผล ซึ่งประธาน กบง. ได้มีคำสั่ง กบง. ที่ 5/2552 ลงวันที่ 4 กันยายน 2552 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2553 คณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้มีมติเห็นชอบเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีบัญชี 2554โดยมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ ไปปรับปรุงตามความเห็นของที่ประชุม และให้นำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป ซึ่งเกณฑ์การประเมินผลประกอบด้วย 4 ส่วน ดังนี้
1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) อัตราผลตอบแทนจากการบริหารเงินฝากของกองทุนฯ และ (2) ร้อยละความสำเร็จของโครงการที่ใช้งบประมาณของกองทุนฯ เมื่อเทียบกับแผนงานโครงการที่อนุมัติ
2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ประกอบด้วย 5 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) ร้อยละความคลาดเคลื่อนของการพยากรณ์ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 7 ประเภท เทียบกับข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงานรอบ 12 เดือน (2) ร้อยละของการเผยแพร่การวิเคราะห์ภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้นตามประกาศ กบง. ทางเว็ปไซต์ของ สบพน. ได้ภายใน 1 วันทำการ หลังจากการรับแจ้งประกาศ กบง. จาก สนพ. (3) ระยะเวลาในการจ่ายเงินให้หน่วยเบิกนับแต่วันที่ได้รับเอกสารในการจ่ายชดเชยตามประกาศ กบง. (4) ระยะเวลาในการจ่ายเงินให้หน่วยเบิกนับแต่วันที่ได้รับเอกสารในการจ่ายชดเชยก๊าซแอลพีจีนำเข้าจากต่างประเทศ และ (5) ระดับความสำเร็จของการจัดทำแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2555 - 2559)
3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) ร้อยละของระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ และ (2) ระดับความสำเร็จของการนำข้อคิดเห็นจากการสำรวจความพึงพอใจไปปรับปรุง
4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย 6 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) บทบาทคณะกรรมการทุนหมุนเวียน (2) การบริหารความเสี่ยง (3) การควบคุมภายใน (4) การตรวจสอบภายใน (5) การบริหารจัดการสารสนเทศ และ (6) การบริหารทรัพยากรบุคคล
3. เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2554 กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่าคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ได้เห็นชอบเกณฑ์ชี้วัดการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ตามข้อเสนอของคณะทำงานแล้ว กรมบัญชีกลางจึงได้จัดส่งบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2554 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ มาให้ และขอให้ผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว แต่ทั้งนี้ การนำเสนอให้ผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงฯ จะต้องผ่านความเห็นชอบจาก กบง. ก่อน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2554 และมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2554 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เสนอประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานลงนามต่อไป