![Super User](http://www.gravatar.com/avatar/8f29cc35bfcee5e137109c704783b4c7?s=100&default=https%3A%2F%2Feppo.go.th%2Fepposite%2Fcomponents%2Fcom_k2%2Fimages%2Fplaceholder%2Fuser.png)
Super User
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 12 ตุลาคม 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 15 กันยายน 2554
ครั้งที่ 72 - วันพฤหัสบดี ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 14/2554 (ครั้งที่ 72)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายบุญส่ง เกิดกลาง) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึง 5 เมษายน 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 13 ครั้ง กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วจนถึงวันที่ 7 เมษายน 2554 ประมาณ 19,350 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 7 เมษายน 2554 มีเงินสดในบัญชี 34,857 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 23,255 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 22,896 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 359 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 11,602 ล้านบาท โดยยังมีหนี้ที่มีมติไปแล้วแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 14,361 ล้านบาท แยกเป็น หนี้เงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ 1,200 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG จากโรงกลั่นในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า 1,428 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) 2,094 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคา๊ก๊าซ NGV (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 1,547 ล้านบาท และหนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้า (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 8,092 ล้านบาท
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดยวันที่ 6 เมษายน 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 115.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราเงินชดเชยครั้งที่แล้ว ณ วันที่ 1 เมษายน 2554 อยู่ที่ 4.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 128.03 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.13 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 138.27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นโดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 37.94 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 7 เมษายน 2554 อยู่ที่ 0.5219 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 0.8544 บาทต่อลิตร
3. เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.40 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.90 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดมาอยู่ที่ 1.0219 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 0.9544 บาทต่อลิตร ภาระกองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 27.9 ล้านบาทต่อวัน และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.40 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.90 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 9 ตุลาคม 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 14 กันยายน 2554
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 8 ตุลาคม 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 7 ตุลาคม 2552
ครั้งที่ 71 - วันจันทร์ ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 13/2554 (ครั้งที่ 71)
เมื่อวันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 11.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. การกำหนดเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100)
3. การกำหนดหลักเกณฑ์ราคาอ้างอิงเอทานอล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายบุญส่ง เกิดกลาง) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 ซึ่งในการดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึง 23 มีนาคม 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 12 ครั้ง กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วจนถึงวันที่ 4 เมษายน 2554 ประมาณ 17,242 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 เมษายน 2554 มีเงินสดในบัญชี 34,482 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 22,130 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 21,771 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 359 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 12,351 ล้านบาท โดยยังมีหนี้ที่มีมติไปแล้วแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 14,361 ล้านบาท แยกเป็นหนี้เงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ 1,200 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG จากโรงกลั่นในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า 1,428 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) 2,094 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 1,547 ล้านบาท และหนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้า (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 8,092 ล้านบาท
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดยวันที่ 1 เมษายน 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 111.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราเงินชดเชยครั้งที่แล้ว ณ วันที่ 21 มีนาคม 2554 อยู่ที่ 2.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 124.90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.72 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 134.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 2.65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น โดยมีผลเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2554 ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 37.94 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วยังคงราคาอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 4 เมษายน 2554 อยู่ที่ 0.8763 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.2013 บาทต่อลิตร
3. จากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.10 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.40 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2554 เป็นต้นไป โดยจะทำให้ค่าการตลาดมาอยู่ที่ 1.1763 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.2613 บาทต่อลิตร ภาระกองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 16.7 ล้านบาทต่อวัน จากวันละ 331.1 ล้านบาท เป็นวันละ 347.8 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.10 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.40 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 การกำหนดเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ที่สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซลซึ่งคำนึงถึงวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล 3 ชนิด คือ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์และสเตียรีน โดยราคาขายน้ำมันปาล์มดิบที่ใช้ในการคำนวณ ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 3 บาทต่อกิโลกรัม โดยใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยสัปดาห์ก่อนหน้า เช่น ใช้ราคาในสัปดาห์ที่ 1 นำไปคำนวณราคาในสัปดาห์ที่ 2
2. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 กบง. มีมติเห็นชอบให้ปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ใช้ราคาปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาทต่อกิโลกรัม) ชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม เป็นการชั่วคราวถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อใช้ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) ต่อไปอีก 1 เดือนจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554 โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปศึกษารายละเอียดการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) เพื่อให้เกิดความเหมาะสม และนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและ กบง. ต่อไป
3. คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2554 ได้มีมติเห็นชอบให้โรงกลั่นน้ำมันปาล์มรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มในราคากิโลกรัมละ 36.28 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2554 เป็นต้นไป ทั้งนี้ให้โรงสกัดน้ำมันปาล์มรับซื้อผลปาล์มที่มีคุณภาพเท่านั้น พร้อมติดป้ายประกาศรับซื้อผลปาล์มน้ำมันในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 6.00 บาท ที่อัตราน้ำมันจากผลปาล์มขั้นต่ำร้อยละ 17 หากอัตราน้ำมันจากผลปาล์มเกินร้อยละ 17 ให้ปรับราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมันในสัดส่วนที่สอดคล้องกัน รวมทั้งให้โรงสกัดน้ำมันปาล์มมีสิทธิปฏิเสธรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน หากเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมันไม่มีคุณภาพ
4. ณ วันที่ 25 มีนาคม 2554 ราคา CPO ที่คิดจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม มีการปรับตัวลงมาอยู่ที่ 31.96 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ประกาศโดยกรมการค้าภายในที่ 32.25 4 ของเดือนมีนาคม 2554 ราคา CPO ที่คิดจากราคาปาล์มทะลายในประเทศลดลงมาอยู่ที่ 32.07 ใกล้เคียงกับราคา CPO ที่ประกาศโดยกรมการค้าภายใน ซึ่งอยู่ที่ 32.42 บาทต่อกิโลกรัม และเมื่อเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ย CPO ที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลายในเดือนกันยายน และตุลาคม 2553 ซึ่งเป็นเดือนที่มีผลผลิตปาล์มทะลายออกตามปกติ พบว่ามีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 32.95 และ 35.59 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาปาล์มทะลายในประเทศเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ
5. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่า การใช้เพดาน CPO ที่คิดจากปาล์มทะลายจะเป็นธรรมแก่ผู้ผลิต B100 มากกว่าการกำหนดจากราคา MPOB+3 เนื่องจากราคา CPO ที่รับซื้อจะสะท้อนต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้นจริง ส่วนการใช้เพดาน MPOB+3 เหมาะสำหรับช่วงภาวะปกติเท่านั้น ซึ่งในช่วงที่ผลผลิตออกน้อย (พฤศจิกายน -กุมภาพันธ์) จะทำให้ราคา CPO ตามประกาศกรมการค้าภายในสูงกว่า MPOB+3 ค่อนข้างมาก ดังนั้น เพื่อให้การคำนวณราคาอ้างอิงน้ำมันไบโอดีเซลสอดคล้องกับความเป็นจริงและสะท้อนต้นทุนการผลิต เห็นควรกำหนดเพดานโดยใช้ CPO ที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลายแทน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกการใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาทต่อกิโลกรัม ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) และให้ใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100)
เรื่องที่ 3 การกำหนดหลักเกณฑ์ราคาอ้างอิงเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2553 ต่อมาเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตโดยเปลี่ยนแปลงเฉพาะในส่วนราคากากน้ำตาลที่เดิมใช้ราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร (บาทต่อกิโลกรัม) จากการคำนวณราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง เป็นราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 3 เพื่อให้ราคาเอทานอลสะท้อนราคาตลาดเร็วขึ้น ทั้งนี้ กรณีมีเดือนที่มีราคากากน้ำตาลสูงหรือต่ำกว่าราคาของเดือนก่อนเกินร้อยละ 50 ให้ผู้อำนวยการ สนพ. สามารถพิจารณาใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือน ย้อนหลังมาคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลได้
2. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2554 กบง. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตเป็นการชั่วคราว โดยให้มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม - มีนาคม 2554 และเห็นชอบใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณส่งออก (บาทต่อกิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลในเดือนมกราคม - มีนาคม 2554
3. ปัจจุบัน สนพ. อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอล เพื่อให้สะท้อนต้นทุน เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 3 เดือน ดังนั้น ในระหว่างการศึกษาทบทวน สนพ. มีความเห็นว่าการกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตในปัจจุบัน ยังมีความเหมาะสมกับสถานการณ์อยู่ จึงเห็นควรให้ใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตเดิมต่อไปอีก 3 เดือน จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และมอบให้ สนพ. นำเสนอผลการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนมิถุนายน 2554
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2554 ต่อไปอีก 3 เดือน จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานนำเสนอผลการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนมิถุนายน 2554
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบเกี่ยวกับการตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในพื้นที่ 10 จังหวัดภาคใต้ซึ่งประสบอุทกภัย ในช่วงวันที่ 1 - 4 เมษายน 2554 พบว่าสถานีบริการฯ ขนาดใหญ่จำนวนทั้งหมด 492 แห่ง มีจำนวน 32 แห่ง ที่ไม่สามารถเปิดบริการได้ คิดเป็นร้อยละ 6.5 ของสถานีบริการฯ ทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนเนื่องจากเกิดอุทกภัยจึงไม่มีรถยนต์ มาใช้บริการ ส่วนก๊าซ LPG มีคลังอยู่ที่จังหวัดสงขลาและสุราษฎร์ธานี โดยคลังสุราษฎร์ธานีรับก๊าซ LPG ทางเรือจากโรงแยกก๊าซขนอม ส่วนคลังสงขลาจะรับก๊าซ LPG จากคลังเขาบ่อยา ซึ่งไม่มีปัญหาการขาดแคลนก๊าซ LPG แต่อาจจะมีปัญหารถขนส่งก๊าซ LPG ไม่สามารถขนส่งไปยังโรงบรรจุก๊าซและสถานีบริการได้
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ