Super User
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 16-22 มีนาคม 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 02 มิถุนายน 2558
รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 06 พฤษภาคม 52
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 19-25 เมษายน 2553
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 9-15 มีนาคม 2552
กบง. ครั้งที่ 123 - วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 26/2555 (ครั้งที่ 123)
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 110.25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 124.13 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 132.46 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 16 สิงหาคม 2555) 1.03 และ 6.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 0.16 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงตามไปด้วย โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2555 ดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 3,470 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 18,795 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 15,005 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 163
ล้านบาท และเงินกู้ยืม 3,627 ล้านบาท ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 15,324 ล้านบาท
5. จากราคาน้ำมันเบนซินตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงเพื่อเพิ่มเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ ให้ดีขึ้นฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน ดังนี้
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 4 ล้านบาท จากติดลบวันละ 79 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 75 ล้านบาท
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ประธานฯ ได้สอบถามเกี่ยวกับ ราคาขายปลีกของน้ำมันเชื้อเพลิงหลังการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และแนวโน้มปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ภายหลังการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ คาดว่าจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน 95 และ91 มีอัตราคงเดิม ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 จะมีการปรับลดราคาขายปลีกลง ส่วนปริมาณการใช้ น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น โดยเดือนกรกฎาคม 2555 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 850,000 ลิตรต่อเดือน
สูงกว่าเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 750,000 ลิตรต่อเดือน
2. ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายสมชาย ศักดาเวคีอิศร) ได้ให้ความเห็นว่า หากเปรียบเทียบโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของวันที่ 17 สิงหาคม 2555 ที่ราคาตลาดโลกใกล้เคียงกัน พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 ณ ปัจจุบันยังมีอัตราที่สูงกว่า ดังนั้นเพื่อให้ฐานะกองทุนฯ ดีขึ้นควรจะปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 ขึ้นอีก ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า จากการศึกษาของสถาบันปิโตรเลียมฯ ค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 1.50 - 180 บาทต่อลิตร ซึ่งค่าตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 เมื่อวันที่
17 สิงหาคม 2555 อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่า 1.00 บาทต่อลิตร โดยค่าการตลาดเฉลี่ยของเดือนสิงหาคม 255 อยู่ที่ 1.21 บาทต่อลิตร และเดือนกรกฎาคม 2555 อยู่ที่ 1.38 บาทต่อลิตร ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าการตลาดเฉลี่ยของเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 1.80 บาทต่อลิตร จะพบว่าในช่วงที่ผ่านมาค่าการตลาดอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยที่ต่ำ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2555 เป็นต้นไป
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 12-18 เมษายน 2553
กบง. ครั้งที่ 122 - วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 25/2555 (ครั้งที่ 122)
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 111.28 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 131.12 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 132.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 13 สิงหาคม 2555) 2.69 และ 3.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 0.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงตามไปด้วย โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2555 ดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,062 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 19,492 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 14,179 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 163
ล้านบาท และเงินกู้ยืม 5,150 ล้านบาท ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 14,430 ล้านบาท
5. จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันตลาดโลก ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล ดังนี้
ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 42 ล้านบาท จากติดลบวันละ 37 ล้านบาทเป็นติดลบวันละ 79 ล้านบาท
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ประธานฯ ได้มีความเห็นว่า การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน โดยเฉพาะราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพ และการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในการประชุมครั้งนี้ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ติดลบเพิ่มมากขึ้น จากติดลบวันละ 37 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 79 ล้านบาท
2. รักษาการผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (นายชายน้อย เผื่อนโกสุม) ได้มีความเห็นว่า
จากการคาดการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่หลังจากไตรมาส 3 ของปี 2555 ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอาจจะมีแนวโน้มลดลง และเห็นด้วยกับการใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้อยู่ระดับสูงเกินไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงราคาของน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน แต่ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินลง อาจเป็นการส่งสัญญาณที่
สวนทางกับนโยบายการยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 91 ซึ่งปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ได้ชี้แจงว่า ในช่วงนี้ราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลยังคงอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดมีปริมาณการใช้มาก จึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันทั้งสองชนิดอย่างใกล้ชิดรวมทั้งดูแลราคาขายปลีกให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าอีกประมาณ
1 – 2 สัปดาห์ ราคาน้ำมันเบนซินตลาดโลกอาจจะปรับตัวลดลง และ กบง. สามารถพิจารณาปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป