คณะกรรมการและอนุกรรมการ (2532)
Children categories
ครั้งที่ 26 - วันพฤหัสบดี ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2551 (ครั้งที่ 26)
วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2551 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
2. แนวทางการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน
4. การดำเนินงานตามนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า ได้มีหนังสือจากผู้ตรวจการแผ่นดินเกี่ยวกับการร้องเรียนเรื่องการอนุญาตให้เปิดปั๊ม LPG ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่ว่า ไม่อนุญาตให้เปิดปั๊มจำหน่ายก๊าซ LPG และได้ขอให้กระทรวงพลังงานและกรุงเทพมหานคร ร่วมกันแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
เรื่องที่ 1 การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยให้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรม ไบโอดีเซล ซึ่งขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันปาล์มดิบเป็นหลัก คิดเป็นร้อยละ 76 ของต้นทุนการผลิตไบโอดีเซล โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้ B100 = 0.97CPO + 0.15 MtOH + 3.32
โดยที่ B100 คือ ราคาขายไบโอดีเซล (B100) ในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/ลิตร
CPO คือ ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม ซึ่งใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตร น้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 1 บาท/กิโลกรัม
MtOH คือ ราคาขายเมทานอลในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม ซึ่งใช้ราคาขายเมทานอลเฉลี่ยจากผู้ค้าเมทานอลในประเทศจำนวน 3 ราย เช่น Thai M.C., I.C.P. Chemicals และ Itochu (Thailand) โดยราคาขายเมทานอลเฉลี่ยในสัปดาห์ที่แล้วจะนำมาใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาไบโอดีเซล (B100) ที่นำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลไม่เกินร้อยละ 2 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้พร้อมกับประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของกรมธุรกิจพลังงาน
3. สถานการณ์ไบโอดีเซล ในปี 2551 กระทรวงเกษตรฯ คาดว่าจะมีปริมาณผลปาล์ม 7.873 ล้านตัน สกัดเป็นน้ำมันปาล์มดิบได้ประมาณ 1.344 ล้านตันและคาดว่าความต้องการใช้ในการบริโภคและอุตสาหกรรม เพื่อการส่งออกน้ำมันบริสุทธิ์รวม 990,000 ตัน/ปี หรือ 82,500 ตัน/เดือน คงเหลือน้ำมันปาล์มดิบ 354,000 ตัน ซึ่งส่วนหนึ่งนำไปผลิตไบโอดีเซล และตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 กบง. มีมติให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วต้องผสมไบโอดีเซล (B100) ร้อยละ 2 ส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นและจากสภาวะการผลิตปาล์มน้ำมันในช่วงปลายปี-ต้นปีจะมีปริมาณผลปาล์มออกสู่ตลาดน้อย คาดว่าช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2551 จะมีสต๊อคน้ำมันปาล์มดิบ 98,000 ตัน/เดือน และตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไปจะมีน้ำมันปาล์มดิบมากขึ้น สู่ระดับปกติ 110,000-118,000 ตัน/เดือน ทั้งนี้ สต๊อคน้ำมันปาล์มดิบปกติที่ควรจะมีในระดับเท่ากับ 123,750 ตัน/เดือน (1.5 เท่าของความต้องการใช้ 82,500 ตัน/เดือน)
4. ในเดือนธันวาคม มีผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานจำนวน 9 ราย โดยมีกำลังการผลิตรวม 2,185,800 ลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลเฉลี่ยในประเทศ เดือนธันวาคม 2550 และเดือนมกราคม 2551 อยู่ที่ 36.32 และ 38.36 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ในเดือนธันวาคม 2550 จำนวน 3.83 ล้านลิตร/วัน หรือมีการใช้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ย 191,500 ลิตร/วัน และในเดือนมกราคม 2551 จำนวน 4.22 ล้านลิตร/วัน หรือมีการใช้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ย 211,000 ลิตร/วัน มีสถานีบริการรวม 975 แห่ง แบ่งเป็น ปตท. 264 แห่ง บางจาก 710 แห่ง และ ปตท.รีเทล (คอนอโค) 1 แห่ง และปัจจุบันอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เป็นศูนย์ และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ 27.94 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.00 บาท/ลิตร
5. ในปี 2550 ราคาน้ำมันปาล์มดิบสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเฉลี่ย 18.63 บาท/กิโลกรัมในเดือนมกราคม เป็น 31.47 บาท/กิโลกรัมในเดือนธันวาคม และตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมเป็นต้นมาระดับราคา สูงกว่าราคาในตลาดมาเลเซีย และ ณ วันที่ 1-21 มกราคม 2551 ราคาสูงกว่าประมาณ 3.54 บาท/กิโลกรัม โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น ประกอบด้วย ด้านผลผลิตซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณผลปาล์ม ออกสู่ตลาดน้อย ขณะที่ความต้องการใช้ทั้งผู้บริโภค อุตสาหกรรมและพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นและภาวะราคาน้ำมันปาล์มตลาดมาเลเซียมีแนวโน้มสูงขึ้นในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนภาวะราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งสามารถใช้น้ำมันปาล์มดิบทดแทนได้มีราคาสูงขึ้นด้วย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์คาดว่า สถานการณ์การผลิตและระดับราคาน้ำมันปาล์มดิบจะเข้าสู่ระดับปกติในเดือนมีนาคม 2551
6. จากหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ได้กำหนดระดับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบไว้ที่ระดับราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก(ตลาดมาเลเซีย) บวก 1 บาท/กิโลกรัม ดังนั้นราคาอ้างอิงในการจำหน่ายไบโอดีเซล (B100) ระหว่างผู้ผลิตและผู้ค้าตามมาตรา 7 อยู่ที่ระดับ 39.01 บาท/ลิตร แต่ปัจจุบันราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าระดับเพดาน จึงทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตไบโอดีเซล (B100) อยู่ที่ระดับ 42.22 บาท/ลิตร ส่งผลให้ไม่สามารถผลิตไบโอดีเซล (B100) จำหน่ายให้ผู้ค้าตามมาตรา 7 เพื่อนำมาผสมกับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวและเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรม ไบโอดีเซล จึงควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบเพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม โดยผลกระทบจากการปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบดังกล่าว จะทำให้ราคาไบโอดีเซล (B100) เพิ่มขึ้น 1.94 บาท/ลิตร และทำให้ต้นทุนราคาดีเซลหมุนเร็วบี 2 และบี 5 เพิ่มขึ้นประมาณ 0.038 และ 0.103 บาท/ลิตร ตามลำดับ และเมื่อยกเลิกการชดเชยราคาไบโอดีเซล ( B100) ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 จะทำให้ต้นทุนราคาดีเซลหมุนเร็วบี 2 และ บี 5 เพิ่มขึ้นประมาณ 0.38 และ 1.14 บาท/ลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยให้ปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบเพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2551 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 แนวทางการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
1. ในปี 2548 มีปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ 14.3 ล้านตัน หรือ 39,221 ตันต่อวัน (ยังไม่รวมข้อมูลปริมาณขยะมูลฝอยก่อนนำมาทิ้งในถัง) เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ มีปริมาณขยะมูลฝอยที่เก็บขนได้วันละ 8,291 ตัน ซึ่งแนวคิดหลักในการจัดการขยะโดยทั่วไป ได้แก่ ทำการฝังกลบแบบถูกหลักสุขาภิบาล (Sanitary Landfill) การคัดแยกเพื่อแปรสภาพขยะอินทรีเป็นปุ๋ยหมัก (Organic Fertilizer) การคัดแยกเพื่อแปรสภาพขยะเป็นเชื้อเพลิง (Turn Waste into Energy) การคัดแยกเพื่อนำวัสดุไปแปรรูปในกระบวนการ รีไซเคิล (Recycle) และการใช้เตาเผา (Incineration) ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมด้านต่างๆ อาทิ ประเภทของขยะ สถานที่ที่ใช้ในการจัดการขยะ ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และความพร้อมด้านการลงทุน แต่ปรากฏว่ามีขยะประเภทพลาสติกตกค้างอยู่เป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ
2. กระทรวงพลังงานได้มีนโยบายให้การสนับสนุนการแปรรูปขยะเป็นพลังงานในรูปแบบการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง ในอัตรา 2.50 บาท/หน่วย โดยที่ประเทศไทยยังไม่ได้มีการพิสูจน์ความสามารถในการใช้งานจริงและผลตอบแทนการลงทุนยังมีความเสี่ยงสูงมาก ทั้งด้านเทคโนโลยีและราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้ยังใช้ระยะเวลาคืนทุนนาน 5-10 ปี และเพื่อเร่งให้มีการตัดสินใจลงทุนนำเทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันมาใช้ จึงเห็นควรเพิ่มแรงจูงใจให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ โดยนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ในการช่วยเหลืออุดหนุนราคารับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะ
3. จากการประเมินเงินลงทุนการแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน ซึ่งประกอบด้วย 1) ค่าลงทุนระบบจัดการ คัดแยก และการผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel, RDF) จากขยะพลาสติก และ 2) ค่าลงทุนเครื่องจักรในกระบวนการ Pyrolysis Depolymerization ที่สามารถรองรับขยะพลาสติกได้ 6 ตัน/วัน พบว่ามีค่าลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท หากสามารถจำหน่ายน้ำมันที่ผลิตได้ในราคา 22 บาท/ลิตร จะทำให้ระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 5 ปี
4. หลักการคำนวณอัตราเงินอุดหนุนราคาน้ำมันจากการแปรรูปขยะ ได้ใช้ราคาน้ำมันดิบดูไบที่มีคุณภาพต่ำที่สุดเป็นเกณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีราคา 86.92 เหรียญสหรัฐฯ/บาเรล หรือ 18.18 บาท/ลิตร (ณ วันที่ 14 มกราคม 2551 ที่อัตราแลกเปลี่ยน 33.2618 บาท/เหรียญสหรัฐฯ) เมื่อเทียบกับการวิเคราะห์ต้นทุนราคาน้ำมันที่ได้จากแปรรูปขยะตามข้อ 3 ใช้ระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 5 ปี อัตราเงินอุดหนุนหรือเงินส่วนเพิ่มควรเริ่มตั้งแต่ 4 บาท/ลิตร ขึ้นไป แต่เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการตัดสินใจลงทุนในช่วงแรกและช่วยบรรเทาภาระความเสี่ยงของหน่วยงานหรือองค์กรที่จะลงทุนในด้านของเทคโนโลยีและคุณภาพของน้ำมันที่จะได้รับ สนพ. จึงเห็นควรกำหนดราคาส่วนเพิ่มที่อัตรา 7 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ระยะเวลาคืนทุนลดลงเหลือเพียง 4 ปี
5. คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2551 ได้มีมติเรื่องการสนับสนุนการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน ดังนี้
5.1 เห็นชอบแนวทางส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันด้วยการสนับสนุนงานวิจัยและสาธิตเป็นโครงการนำร่อง โดยให้ สนพ. จัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนพลังงานทดแทน โครงการสนับสนุนการศึกษาวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2551 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2551 ได้จัดสรรให้ สนพ. ไว้แล้ว มาใช้สำหรับ "โครงการส่งเสริมการแปรรูป จากขยะเป็นน้ำมัน" ในวงเงิน 105 ล้านบาท โดยสนับสนุนเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าในสัดส่วนร้อยละ 32 แต่ไม่เกิน 35 ล้านบาทต่อราย ประกอบด้วย
กระบวนการ | เงินลงทุน ล้านบาท) |
เงินสนับสนุน สูงสุด |
สัดส่วน |
(1) เงินลงทุนในส่วนระบบจัดการและคัดแยกขยะ * | 35 | 10 | 28% |
(2) เงินลงทุนสำหรับระบบแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน ** | 65 | 15 | 23% |
(3) ค่าที่ปรึกษาออกแบบระบบและบริหารจัดการ | 10 | 10 | 100% |
รวม | 110 | 35 | 33% |
* เงินลงทุนระบบจัดการคัดแยะเทศบาลระยองซึ่งรองรับขยะขนาด 60 ตัน/วัน มีสัดส่วนขยะพลาสติกไม่เกิน 10 ตัน/วัน (คิดจากสัดส่วนขยะพลาสติกเฉลี่ยของประเทศไทยที่ 16.83%) และเครื่องผลิต RDF อ้างอิงจากเครื่องผลิต RDF ชีวมวลจากการประเมินของ ม.สุรนารี 3 ล้านบาท
** ข้อเสนอโครงการนำร่องการแปรรูปขยะเป็นพลังงานน้ำมันซึ่งรองรับขยะได้ 6 ตัน/วัน
5.2 เห็นชอบแนวทางส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันด้วยการจูงใจด้านราคา โดยนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ มาช่วยอุดหนุนราคารับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะในอัตรา 7 บาท ต่อลิตร และให้ สนพ. เสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป
2. เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะในอัตราไม่เกิน 7 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยให้บังคับใช้หลังจากมีการแก้ไขคำสั่งนายกฯ ตามข้อ 1 เรียบร้อยแล้ว โดยมอบหมายให้ สนพ. เป็นผู้ดำเนินการ ออกประกาศกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะต่อไป ทั้งนี้ มอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปศึกษาในรายละเอียดการกำหนดอัตราชดเชยที่เหมาะสม โดยให้นำเสนอประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ต่อไป
3. มอบหมายให้ สนพ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้กำหนดรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติในการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะต่อไป
4. มอบหมายให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการปรับปรุงอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะได้ตามความเหมาะสม
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการเกี่ยวกับประชาสัมพันธ์ของ สนพ. จำนวน 5 โครงการ เป็นจำนวนเงินรวม 153 ล้านบาท ดังนี้ 1) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ระยะที่ 3 ในวงเงิน 50 ล้านบาท 2) โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคา LPG ในวงเงิน 40 ล้านบาท 3) โครงการประชาสัมพันธ์สนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ในวงเงิน 30 ล้านบาท 4) โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ในวงเงิน 30 ล้านบาท และ 5)การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2551 ในวงเงิน 3 ล้านบาท
2. ในช่วงปี 2550 ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤติราคาน้ำมันแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้กระทรวงพลังงานต้องเร่งดำเนินงานประชาสัมพันธ์โครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนผลักดันการใช้พลังงานทางเลือกแทนการใช้น้ำมัน และบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติราคาน้ำมันให้เห็นผลเป็นรูปธรรม สนพ. จึงมีความจำเป็นต้องปรับแผนประชาสัมพันธ์อย่างเร่งด่วน ด้วยการแบ่งแยกเป็นระยะหรือแบ่งเงินจากโครงการมาทำกิจกรรมเสริม ทั้งนี้การขอสนับสนุนที่ได้รับอนุมัติตามมติ กบง. สำหรับโครงการดังกล่าวไม่สามารถแยกรายการและทำสัญญาหรือหนังสือยืนยันได้หลายรายการตามความเหมาะสมได้ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติงานจัดจ้างต้องเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 22 วรรค 2 ที่กำหนดไว้ว่า "การแบ่งซื้อหรือแบ่งจ้างโดยลดวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างในครั้งเดียวกันเพื่อให้วงเงินต่ำกว่าที่กำหนดโดยวิธีหนึ่งวิธีใด หรือเพื่อให้อำนาจสั่งซื้อสั่งจ้างเปลี่ยนไป จะกระทำมิได้"
3. ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่าการดำเนินโครงการเกี่ยวกับกิจกรรมประชาสัมพันธ์จำเป็นต้องปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยแบ่งการดำเนินโครงการออกเป็นระยะ พร้อมกับการแบ่งจ่ายเงินเพื่อทำกิจกรรมเสริม ซึ่งในทางปฏิบัติการจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ไม่สามารถดำเนินการได้ ดังนั้น เพื่อให้โครงการประชาสัมพันธ์ของ สนพ. ทั้ง 5 โครงการ (จำนวน 153 ล้านบาท) สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ขัดกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีข้างต้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้นำเสนอ กบง. เพื่อขอความเห็นชอบให้ สนพ. สามารถเบิกถัวจ่ายและแยกดำเนินการโครงการประชาสัมพันธ์ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยอยู่ภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุนตามที่ใช้จ่ายจริงในการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ โดยให้มีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนโครงการ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ สนพ. ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 ดังนี้
1. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ระยะที่ 3 ในวงเงิน 50 ล้านบาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน)
2. โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคา LPG ในวงเงิน 40 ล้านบาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน)
3. โครงการประชาสัมพันธ์สนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ในวงเงิน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาทถ้วน)
4. โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ในวงเงิน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาทถ้วน)
การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2551 ในวงเงิน 3 ล้านบาท (สามล้านบาทถ้วน)
5. โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการ และแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่โครงการได้รับอนุมัติ
เรื่องที่ 4 การดำเนินงานตามนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 เห็นชอบให้ กฟผ. เปิดการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ทุกประเภทเชื้อเพลิงตามที่กำหนดในระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า โดยให้ขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากเดิม 3,200 เมกะวัตต์ เป็น 4,000 เมกะวัตต์ และต่อมาการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ออกประกาศระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฉบับ พ.ศ. 2550 และ กฟผ. ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP โดยกำหนดปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration จำนวน 500 เมกะวัตต์ และ SPP ประเภทสัญญา Firm สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และ SPP ประเภทสัญญา Non-Firm รวม 530 เมกะวัตต์ รวมปริมาณพลังไฟฟ้าที่ประกาศรับซื้อในรอบนี้รวม 1,030 เมกะวัตต์
2. เนื่องจากมี SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ยื่นคำร้องขอขายปริมาณไฟฟ้าสูงกว่าปริมาณพลังไฟฟ้าที่ประกาศรับซื้อไว้เป็นจำนวนมาก กพช. จึงมีมติเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2550 เห็นชอบให้ กฟผ. ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2550 เป็นต้นไป และให้พิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากสัดส่วนการใช้ไอน้ำ กำหนดวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (SCOD) ตลอดจนความสามารถและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าที่จะรับได้ ตามเงื่อนไขที่กำหนดในระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ทั้งนี้ มี SPP ที่ยื่นข้อเสนอจำนวน 28 โครงการ รวมปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายตามสัญญาทั้งสิ้น 2,191 เมกะวัตต์ ซึ่งเกินกว่าที่ประกาศไว้ 1,691 เมกะวัตต์
3. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้พิจารณาข้อจำกัดการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าของโครงการ SPP ระบบ Cogeneration ดังกล่าว พบว่าจะมีโครงการที่สามารถรับซื้อไฟฟ้าได้ 9 โครงการ ปริมาณพลังไฟฟ้า เสนอขาย 760 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ กพช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 รับทราบผลการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. โดยพิจารณาตอบรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration ในรอบแรกตามข้อจำกัดของระบบไฟฟ้าและเห็นชอบให้ขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากโครงการใหม่ที่เป็น SPP ระบบ Cogeneration ได้เกินกว่า 500 เมกะวัตต์ แต่ทั้งนี้ ปริมาณการรับซื้อรวมจากโครงการ SPP ทั้งหมดจะไม่เกิน 4,000 เมกะวัตต์ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2550 กระทรวงพลังงานได้ประชุมหารือร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และได้มีมติเห็นชอบผลการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าตามข้อจำกัดระบบไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 5 โครงการ ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขาย 390 เมกะวัตต์ รวมเป็นจำนวน 14 โครงการ ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 1,150 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ให้ กฟผ. แจ้งผลการพิจารณาตอบรับซื้อไฟฟ้า SPP ดังกล่าว โดยกำหนดเงื่อนไขว่า กฟผ. จะพิจารณาตอบรับซื้อไฟฟ้าจากรายที่มีความพร้อมมากกว่า และให้พิจารณากำหนดวัน COD ของ SPP แต่ละรายที่ได้รับการคัดเลือกต่อไปด้วย
4. กฟผ. ได้แจ้งผลการพิจารณาตอบรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่สามารถรับซื้อไฟฟ้าได้แล้ว รวมปริมาณพลังไฟฟ้าที่ระบบรับได้ 1,150 เมกะวัตต์ โดยในสถานีไฟฟ้าที่ไม่สามารถรับซื้อได้ทุกราย กฟผ. จะลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ SPP ที่มีความพร้อมในการลงนามสัญญาได้ก่อน ได้แก่ (1) ผลการพิจารณาเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) (2) เอกสารสิทธิ/ใบรับรองการใช้ที่ดินในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า (3) หนังสือแจ้งวันกำหนดเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (SCOD) ซึ่งสอดคล้องกับกำหนดการส่งมอบก๊าชธรรมชาติจาก ปตท.
5. เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP สำหรับโครงการพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยกำหนดให้เท่ากับ 3.50 บาทต่อหน่วย และ 8.00 บาท ต่อหน่วย ตามลำดับ และขยายระยะเวลาจาก 7 ปี เป็น 10 ปี นับจากวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (โครงการในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงได้รับส่วนเพิ่มพิเศษตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550) และเห็นชอบการกำหนดเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP ให้มีความชัดเจน ดังนี้ 1) ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ให้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP 2) ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายเกินกว่า 10 เมกะวัตต์ ให้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ทั้งนี้ ยกเว้นในกรณี SPP รายเดิมที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. แล้ว 3) SPP รายเดิมที่มีสัญญาประเภท Firm หากจะยกเลิกสัญญากับ กฟผ. เพื่อเสนอขายไฟฟ้าตามระเบียบ VSPP ให้ กฟผ. พิจารณายกเว้นการยึดหลักค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หลักค้ำประกันการยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดอายุสัญญา การเรียกเก็บเงินค่าพลังไฟฟ้าคืน และการเรียกค่าปรับ ทั้งนี้ SPP Firm ที่ได้รับการยกเว้นนี้จะไม่รวมถึง SPP ประเภท Firm ที่ใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ และ 4) เห็นควรแก้ไขการกำหนดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับ SPP ประเภท Non Firm และ VSPP เป็นอายุสัญญา 5 ปี และต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ
6. ณ เดือนธันวาคม 2550 มี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้า 102 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้า เสนอขายรวม 3,802.32 เมกะวัตต์ โดยขายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว 75 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 2,355.32 เมกะวัตต์ จำแนกตามชนิดเชื้อเพลิงที่ผลิตไฟฟ้า มีโครงการที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบ 52 ราย พลังงานเชิงพาณิชย์ 26 ราย และพลังงานผสม (พลังงานนอกรูปแบบ/พลังงานเชิงพาณิชย์) 4 ราย ปริมาณ พลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 479.9, 1670.20 และ 233.00 เมกะวัตต์ ตามลำดับ ทั้งนี้ ราคารับซื้อไฟฟ้า จาก SPP ประเภท Non-Firm เฉลี่ย 2.21 บาทต่อหน่วย และราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภท Firm เฉลี่ย ทุกประเภทเชื้อเพลิง 2.53 บาทต่อหน่วย
7. ณ เดือนธันวาคม 2550 มีโครงการขอยื่นแบบคำขอจำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย 264 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 837.8 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟภ. 214 ราย และเป็นที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟน. 50 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 829.8 และ 8 เมกะวัตต์ ตามลำดับ ซึ่งมีโครงการที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายแล้ว 67 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 74.6 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟภ. 36 ราย (73.5 เมกะวัตต์) และที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟน. 31 ราย (1.1 เมกะวัตต์)
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 25 - วันศุกร์ ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2550 (ครั้งที่ 25)
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
2. มาตรการส่งเสริมให้มีการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4
3. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายหลังการใช้หนี้หมด โดยให้โอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานปกติ ในระดับ 0.18 บาทต่อลิตร ค่าใช้จ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่ง 0.50 บาทต่อลิตร และลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.50 บาทต่อลิตร เพื่อนำไปลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อกองทุนน้ำมันฯ ได้สะสมเงินไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว ให้เพิ่มการโอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่งอีก 0.20 บาทต่อลิตร และต่อมา กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 ได้เห็นชอบให้เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ และประกาศลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล 0.25 และ 0.18 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2550 และให้เพิ่มอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซลอีก 0.50 บาทต่อลิตร เมื่อหนี้สินสุทธิของกองทุนน้ำมันฯ ลดลงเป็นศูนย์แล้ว และให้เพิ่มการเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ อีก 0.20 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป โดยให้มีการประกาศลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในอัตราเท่ากันและในวันเดียวกัน
2. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2550 ได้มีมติเห็นชอบปรับอัตรากองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 โดยให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลงเท่ากับอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ที่เพิ่มขึ้น และให้มีผลในวันเดียวกับการปรับขึ้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. เนื่องจากขั้นตอนการออกประกาศ กพช. เกี่ยวกับการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จะต้องนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ประกอบกับจากประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ คาดว่าจะเป็นบวกและสามารถโอนอัตราเงินให้แก่กองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่งได้ประมาณวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ดังนั้น กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2550 จึงได้เห็นชอบให้โอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับแผนงานปกติและเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ครั้งที่ 1 ไปพร้อมกัน
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2550 มีเงินสดสุทธิ 12,566 ล้านบาท หนี้สินค้างชำระ 12>,967 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 401 ล้านบาท โดยคาดว่าฐานะกองทุนน้ำมันฯ จะเป็นบวกประมาณวันที่ 23 ธันวาคม 2550
5. เพื่อเป็นการดำเนินการตามมติ กพช. จึงควรมีการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลง 0.6800, 0.1870, 0.6800 และ 0.1835 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลงอีก 0.20 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลง 0.6800, 0.1870, 0.6800 และ 0.1835 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลงอีก 0.20 บาทต่อลิตร โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ประมาณเดือนตุลาคม 2551)
ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานต่อไป
เรื่องที่ 2 มาตรการส่งเสริมให้มีการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยได้กำหนดมาตรการด้านพลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการพลังงานในรูปแบบต่างๆ คือกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันสำเร็จรูปให้สูงขึ้นอย่างเหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 โดยเห็นชอบให้มีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยในอนาคต ตามแนวทางของมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงยูโร 4 โดยการปรับปรุงจากมาตรฐานคุณภาพน้ำมันที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน และให้กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ ปรับลดปริมาณกำมะถันจากไม่สูงกว่า 500 ppm เป็นไม่สูงกว่า 50 ppm ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ทั้งนี้การกำหนดมาตรฐานไอเสียของรถยนต์มาตรฐานยูโร 4 ของประเทศ จะมีการประกาศบังคับใช้ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ดำเนินการออกประกาศกำหนดลักษณะและคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอนาคต เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2549 ให้มีผลบังคับใช้สำหรับน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันมีระยะเวลาในการปรับปรุงการผลิต
3. ปัจจุบันคุณภาพอากาศของประเทศไทยพบว่าปัญหาหลักคือ มลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM-10) และก๊าซโอโซนที่มีปริมาณสูงเกินกว่ามาตรฐานในหลายพื้นที่และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณริมถนนใหญ่ เนื่องจากการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยที่ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กจะเกิดจากการเผาไหม้น้ำมันดีเซลที่มีกำมะถันสูง และก๊าซโอโซนเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างก๊าซไฮโดรคาร์บอนกับออกไซด์ของไนโตรเจนจากไอเสียรถยนต์โดยมีแสงแดดเป็นตัวเร่ง ดังนั้นกระทรวงพลังงานและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมประชุมหารือเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2550 เสนอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณลักษณะเป็นไปตามมาตรฐานยูโร 4 ก่อนวันที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้
4. โรงกลั่นน้ำมันที่สามารถผลิตน้ำมันยูโร 4 ได้ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 มีจำนวน 2 โรง คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะสามารถผลิตน้ำมันเบนซินและดีเซลมาตรฐานยูโร 4 ได้ประมาณเดือนเมษายน 2551 และ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะสามารถผลิตเฉพาะน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 4 ได้ประมาณเดือนตุลาคม 2551 และจากการศึกษาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ของสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พบว่าต้นทุนการผลิตน้ำมันเบนซิน จะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.81 - 1.20 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลประมาณ 0.40 - 1.01 บาทต่อลิตร และการประเมิน จากความแตกต่างของราคาขายในตลาดสากลพบว่าน้ำมันเบนซินมีส่วนต่างราคาประมาณ 0.24 - 0.45 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลประมาณ 0.25 - 0.65 บาทต่อลิตร
5. สนพ. ได้พิจารณาเปรียบเทียบราคาน้ำมันดีเซลตามมาตรฐานปัจจุบันกับน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 4 ในตลาดจรสิงคโปร์ เฉลี่ยตั้งแต่ 1 มกราคม 2550 ถึง 14 ธันวาคม 2550 พบว่าราคาน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 4 สูงกว่าประมาณ 1.61 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือประมาณ 0.35 บาทต่อลิตร (ที่อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 34.72 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ) ส่วนน้ำมันเบนซินมาตรฐานยูโร 4 ไม่มีการซื้อขายในตลาดจรสิงคโปร์ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาผลการศึกษาต้นทุนการผลิตโดยการประเมินจากความแตกต่างของราคาขายในตลาดยุโรปที่ได้จากการศึกษาของสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 0.35 บาทต่อลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นของน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 4
6. สำหรับต้นทุนผันแปรในการผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ที่เพิ่มขึ้นจากหน่วยกำจัดกำมะถันในการผลิตน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 4 ประมาณ 0.24 บาทต่อลิตร ประกอบด้วยต้นทุนส่วนเพิ่มจากปริมาณการใช้ก๊าซไฮโดรเจนบริสุทธิ์ร้อยละ 1.2 เป็นร้อยละ 2.0 คิดเป็น 0.14 บาทต่อลิตร และต้นทุนส่วนเพิ่มจากอายุการใช้งานของสารเร่งปฏิกิริยาที่ลดลงจาก 2 ปี เป็น 1 ปี คิดเป็น 0.10 บาทต่อลิตร ส่วนต้นทุนผันแปรที่เพิ่มขึ้นจากการปรับลดกำมะถันและปรับลดสารเบนซีนในการผลิตน้ำมันเบนซินมาตรฐานยูโร 4 ประมาณ 0.65 บาทต่อลิตร ประกอบด้วยต้นทุนพลังงานที่ใช้เพิ่มขึ้นสำหรับการดึงสารเบนซีนออกจากน้ำมันเบนซิน คิดเป็น 0.10 บาทต่อลิตร และในส่วนของการปรับลดกำมะถันต้องจัดหาน้ำมันดิบที่มีกำมะถันต่ำเข้ามากลั่นทำให้มีต้นทุนผันแปรที่เพิ่มขึ้น 0.55 บาทต่อลิตร
7. การส่งเสริมให้มีการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4 ก่อนวันมีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะน้ำมันเบนซินจะช่วยลดการระบายก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ได้ประมาณ 31,432 ตัน ก๊าซไฮโดรคาร์บอน 7,024 ตัน ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน 5,332 ตัน และฝุ่นละออง 2,064 ตัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน
8. ในการผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 โรงกลั่นน้ำมันจะมีต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น ถ้าหากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่อให้สามารถแข่งขันกับน้ำมันมาตรฐานปัจจุบันที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่าได้ โรงกลั่นน้ำมันอาจ ไม่ปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ก่อนวันมีผลบังคับใช้ เนื่องจากขาดทุนจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ก่อนกำหนด จะช่วยให้สามารถนำรถยนต์มาตรฐานยูโร 4 เข้ามาใช้ในประเทศได้เร็วขึ้น จะทำให้ลดการระบายมลพิษออกสู่บรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันต้องลงทุนเพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำมันให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 4 อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือเรื่องภาระการลงทุน แต่เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันควบคุมการผลิตเพื่อให้ได้น้ำมันมาตรฐาน ยูโร 4 จึงเห็นควรกำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในระดับเดียวกับต้นทุนผันแปรที่เพิ่มขึ้น โดยกำหนดอัตราชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลและเบนซินที่ได้ตามมาตรฐานยูโร 4 ในอัตราเดียวกันคือ 0.24 บาทต่อลิตร
9. ผลกระทบต่อกองทุนน้ำมันฯ จากประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ หลังการดำเนินการโอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานปกติ และเพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2550 พบว่า ประมาณการรายได้ของกองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป อยู่ที่ระดับ 845 ล้านบาท ต่อเดือน และเพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4 กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยในส่วนของต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่สามารถผลิตน้ำมันดีเซลและเบนซินตามมาตรฐานยูโร4 ได้ก่อนวันที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ โดยโรงกลั่นน้ำมันคาดว่าจะสามารถผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 เป็นต้นไป ซึ่งกองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระจากการชดเชยในส่วนของต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ประมาณ 190 ล้านบาทต่อเดือน หรือเป็นจำนวนเงินชดเชยก่อนถึงวันบังคับใช้ประมาณ 8,718 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่ผลิตน้ำมันดีเซลและเบนซินมาตรฐานยูโร 4 ได้ก่อนวันมีผลบังคับใช้ ในอัตราไม่เกิน 0.24 บาทต่อลิตร
2. มอบหมายให้กรมสรรพสามิต และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยและส่งเงินคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลและเบนซินมาตรฐานยูโร 4 โดยให้ กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการผลิตน้ำมันดีเซลและเบนซินมาตรฐานยูโร 4 และให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชยและรับเงินคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานไปดำเนินการตรวจสอบลักษณะและคุณภาพน้ำมันดีเซลและเบนซินให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 4
4. มอบหมายให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้ให้ความเห็นชอบแทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในการทบทวนอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่ผลิตน้ำมันดีเซลและเบนซินมาตรฐานยูโร 4 ได้ก่อนวันมีผลบังคับใช้ ได้ตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
เรื่องที่ 3 แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2550 กบง. ได้มีมติดังนี้ 1) เห็นชอบนโยบายการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ โดย มอบหมายให้ ธพ. รับไปดำเนินการออกประกาศกำหนดคุณภาพของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้สามารถผสมไบโอดีเซลได้ในระดับไม่เกินร้อยละ 2 โดยปริมาตร โดยให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด และออกประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้ต้องผสมไบโอดีเซลร้อยละ 2 โดยปริมาตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2551 พร้อมทั้งเร่งดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพื่อให้กลุ่มผู้ประกอบการรถยนต์รับรองการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ตลอดจนตรวจสอบการผลิตของโรงงานผลิตไบโอดีเซล(B100) และพิจารณากำหนดให้ผู้ผลิตไบโอดีเซล (B100) ต้องจดทะเบียนหรือขอความเห็นชอบจาก ธพ. ก่อน จึงจะสามารถจำหน่ายไบโอดีเซลได้ และ 2) เห็นชอบให้ใช้กองทุนน้ำมันฯ จ่ายชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาไบโอดีเซล (B100) กับราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผสมสำหรับไบโอดีเซล (B100) ที่นำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลไม่เกินร้อยละ 2 และร้อยละ 5
2. สถานการณ์ของน้ำมันไบโอดีเซล เดือนพฤศจิกายน 2550 มีผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานจำนวน 8 ราย กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,500,000 ลิตรต่อวัน และปริมาณการผลิตจริง ณ เดือนตุลาคม 2550 จากผู้ผลิตจำนวน 6 ราย อยู่ที่ระดับ 349,700 ลิตรต่อวัน ส่วนราคาไบโอดีเซลเฉลี่ยเดือนพฤศจิกายน 2550 อยู่ที่ระดับ 35.03 บาทต่อลิตร การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับ 3.11 ล้านลิตรต่อวัน หรือมีการใช้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ย 155,500 ลิตรต่อวัน และเดือนธันวาคม 2550 ราคาไบโอดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ 36.09 บาทต่อลิตร ในช่วงวันที่ 1 - 15 ธันวาคม การจำหน่ายอยู่ที่ระดับ 3.47 ล้านลิตรต่อวัน หรือมีการใช้ไบโอดีเซล 173,500 ลิตรต่อวัน โดยมีบริษัทน้ำมันที่จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 4 ราย ได้แก่ ปตท. บางจาก เชลล์ และ ปตท.รีเทล (คอนอคโค) สถานีบริการรวมทั้งสิ้น 900 แห่ง แบ่งเป็น ปตท. 220 แห่ง บางจาก 679 แห่ง และ ปตท.(รีเทล) 1 แห่ง ส่วนเชลล์จำหน่ายให้กับอุตสาหกรรม
3. ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ปัจจุบันใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เท่ากับ 0.10 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกอยู่ที่ 27.94 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.00 บาทต่อลิตร และกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยราคาไบโอดีเซล (B100) 18.51 บาทต่อลิตร หรือคิดเป็นอัตราเงินชดเชย 0.37 บาทต่อลิตร ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 และ อัตราเงินชดเชย 0.93 บาทต่อลิตร ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5
4. เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบนโยบายส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ โดยกรมธุรกิจพลังงานได้ออกประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้ต้องผสมไบโอดีเซลร้อยละ 2 โดยปริมาตร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2551 เป็นต้นไป ซึ่งในปัจจุบันสามารถผลิตไบโอดีเซล (B100) ที่มีคุณภาพได้เพียงพอสำหรับการผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 ได้ทั้งหมด กระทรวงพลังงาน จึงเห็นควรเร่งการบังคับให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติต้องผสมไบโอดีเซล (B100) ในระดับร้อยละ 2 โดยปริมาตรให้เร็วขึ้นเป็นตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม โรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันยังมีข้อจำกัดของการผสมไบโอดีเซล (B100) ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยยังไม่มีความพร้อมของการใช้ระบบการผสมแบบอัตโนมัติ (Inline Blending) ดังนั้น ในช่วงแรกจึงจะอาจจะต้องให้มียืดหยุ่นในเรื่องการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
5. เมื่อการกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 มีผลบังคับใช้แล้ว การใช้มาตรการกองทุนน้ำมันฯ เพื่อจูงใจให้มีการผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 จึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แต่เห็นควรให้คงเหลือการใช้กองทุนน้ำมันฯเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดและส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เช่นเดียวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล โดยเห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็วบี 5 การรักษาระดับราคาขายปลีก และค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ดังต่อไปนี้
5.1 การกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และ
ดีเซลหมุนเร็ว บี5
ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว | = | 98% ของราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว + 2% ของราคาไบโอดีเซล (B100) |
ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 | = | 95% ของราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว + 5% ของราคาไบโอดีเซล (B100) |
โดยที่
- ราคาไบโอดีเซล (B100) อ้างอิงจากประกาศ กบง.
- ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วคำนวณจาก
- (ราคา MOP GO 0.5% + พรีเมียม) ที่ 60° F x อัตราแลกเปลี่ยน / 158.984
- ใช้ Conversion factor 60° F / 86° F
- ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเป็น MOPS (Mean of Platt's Singapore)
5.2 ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในระดับ 0.50 - 1.00 บาทต่อลิตร
5.3 เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้ผู้ค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 มากขึ้น จึงควรกำกับดูแลค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ให้อยู่ในระดับที่ไม่น้อยกว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยใช้กลไกอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ
6. จากนโยบายส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์โดยการจ่ายเงินชดเชยราคาไบโอดีเซล (B100) ที่นำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลไม่เกินร้อยละ 2 เมื่อถึงกำหนดวันบังคับใช้ จะทำให้ความต้องการใช้ไบโอดีเซล (B100) อยู่ที่ระดับประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน และกองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระจ่ายชดเชยประมาณ 540 ล้านบาทต่อเดือน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลเร็วใหม่ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยในส่วนของไบโอดีเซล (B100) ที่นำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลร้อยละ 2 โดยปริมาตร อย่างไรก็ตาม ราคาไบโอดีเซล (B100) ที่นำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลร้อยละ 2 ได้ถูกส่งผ่านไปยังราคาขายปลีก ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลร้อยละ 2 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.28 บาทต่อลิตร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเลิกการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาไบโอดีเซล (B100) ที่นำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลไม่เกินร้อยละ 2 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5
2. เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็ว บี5 การรักษาระดับราคาขายปลีกและค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ดังต่อไปนี้
(1) การกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็วบี 5
ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว | = | 98% ของราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว + 2% ของราคาไบโอดีเซล (B100) |
ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 | = | 95% ของราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว + 5% ของราคาไบโอดีเซล (B100) |
โดยที่
- ราคาไบโอดีเซล (B100) อ้างอิงจากประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
- ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วคำนวณจาก
- (ราคา MOP GO 0.5% + พรีเมียม) ที่ 60°F X อัตราแลกเปลี่ยน / 158.984
- ใช้ Conversion factor 60°F / 86°F
- ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเป็น MOPS (Mean of Platt's Singapore)
(2) ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในระดับ 0.50 - 1.00 บาทต่อลิตร
(3) เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้ผู้ค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 มากขึ้น จึงเห็นควรกำกับดูแลค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ให้อยู่ในระดับที่ไม่น้อยกว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซล หมุนเร็วโดยใช้กลไกอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อมีผลบังคับใช้พร้อมกับประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของกรมธุรกิจพลังงานต่อไป
ครั้งที่ 24 - วันจันทร์ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2550
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2550 (ครั้งที่ 24)
วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1.แนวทางในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. การเรียกเก็บค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย (Energy Loss) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ตุลาคม - 28 พฤศจิกายน 2550)
8. รายงานผลการศึกษาดูงาน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
9. รายงานความก้าวหน้าการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล
10. รายงานความก้าวหน้าการส่งเสริมการใช้ NGV ในยานยนต์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการออกประกาศเกี่ยวกับการยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศสะท้อนราคาต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอนโดยไม่มีผลกระทบต่อประชาชนมาก
เรื่องที่ 1 แนวทางในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบแนวทางบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายหลังการใช้หนี้หมด โดยให้โอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานปกติในระดับ 0.18 บาทต่อลิตร ค่าใช้จ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่ง 0.50 บาทต่อลิตร และเพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง 0.50 บาทต่อลิตร และเมื่อกองทุนน้ำมันฯ ได้สะสมเงินไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉินและเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียงพอแล้ว ให้เพิ่มการโอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่งอีก 0.20 บาทต่อลิตร และต่อมา กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 ได้เห็นชอบการดำเนินการดังนี้
การโอนอัตราเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
หน่วย : บาท/ลิตร
ชนิดน้ำมัน | แผนงานปกติ | โครงการพัฒนาระบบการขนส่ง | |
ครั้งที่ 1 | ครั้งที่ 2 | ||
1) เบนซิน | 0.1800 | 0.5000 | 0.2000 |
2) แก๊สโซฮอล | 0.1870 | - | 0.2000 |
3) ดีเซลหมุนเร็ว | 0.1800 | 0.5000 | 0.2000 |
4) ไบโอดีเซลบี 5 | 0.1835 | - | 0.2000 |
วันที่เริ่มมีผลบังคับใช้ | วันที่ 17 ธ.ค. 2550 | เมื่อหนี้กองทุนน้ำมันฯ เป็น 0(ประมาณ ธ.ค. 50 - ม.ค.51) | วันที่ 1 ต.ค. 2551 |
2. เนื่องจากราคาน้ำมันในเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2550 ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก ดังนั้น เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกในประเทศปรับตัวสูงขึ้นมากตามต้นทุนราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้า ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) จึงได้นำอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เตรียมไว้สำหรับลดราคาขายปลีกน้ำมันมาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน 91, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 3 ครั้ง ลดลงรวม 0.40, 0.60, 0.80 และ 1.10 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 มีเงินสดสุทธิ 13,496 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 15,639 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 2,143 ล้านบาท ประมาณการรายได้สุทธิของกองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ระดับ 2,178 ล้านบาทต่อเดือน โดยคาดว่า ฐานะกองทุนน้ำมันฯ จะเป็นบวกประมาณปลายเดือนธันวาคม 2550
4. เพื่อเป็นการดำเนินการตามมติ กพช. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลง 0.1800, 0.1870, 0.1800 และ 0.1835 บาทต่อลิตร ตามลำดับ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่17 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไป และเมื่อหนี้สินสุทธิของกองทุนน้ำมันฯ เป็นศูนย์ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและดีเซลลงอีก 0.50 บาทต่อลิตร โดยมอบอำนาจให้ ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณากำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการ และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลงอีก 0.20 บาท/ลิตร ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบการปรับลดอัตรากองทุนน้ำมันฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมัน
2. ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลง 0.1800, 0.1870, 0.1800 และ 0.1835 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไป
3. ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซินและดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร เมื่อหนี้สินสุทธิของกองทุนน้ำมันฯ เป็นศูนย์ โดยมอบอำนาจให้ ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณากำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการ
4. ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลงอีก 0.20 บาทต่อลิตร เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานในการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล โดยเพิ่มสัดส่วนการผสมเอทานอลจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 20 หรือมากกว่า และสนับสนุนให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันซึ่งมีส่วนผสมของ เอทานอลร้อยละ 20 หรือสัดส่วนที่มากกว่า และต่อมาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2550 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง และกระทรวงการคลังได้ออกประกาศลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกินสิบคน ประเภทใช้เชื้อเพลิงทดแทนที่มีกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ที่สามารถใช้เชื้อเพลิงประเภทเอทานอลเป็นส่วนผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20
2. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ดำเนินการออกประกาศเรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล พ.ศ. 2549 โดยกำหนดให้ปริมาณสารอะโรมาติกในน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 ไม่สูงกว่าร้อยละ 35 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นไป ต่อมากลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ได้มีหนังสือขอให้ ธพ. พิจารณาทบทวนผ่อนผันการกำหนดปริมาณสารอะโรมาติกในน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 ดังกล่าว เป็นไม่สูงกว่าร้อยละ 38 ในระหว่างปี 2551-2554 เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรงกลั่นกำลังดำเนินการปรับปรุงเพื่อเตรียมการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานใหม่ (ยูโร 4) จึงเป็นเหตุให้โรงกลั่นน้ำมันบางแห่งยังไม่สามารถผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอลที่มีค่าอะโรมาติกไม่สูงกว่าร้อยละ 35 ได้ทันในวันที่ 1 มกราคม 2551
3. ธพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรฐานน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เพื่อรองรับรถยนต์ อี 20 ที่จะนำมาจำหน่ายในต้นปี 2551 และสนับสนุนให้มีการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ในเชิงพาณิชย์ และพิจารณาผ่อนผันปริมาณสารอะโรมาติกในน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 โดย ธพ. ได้ดำเนินการออกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล พ.ศ. 2550 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 โดยมีสาระสำคัญ คือ กำหนดมาตรฐานน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 และกำหนดมาตรฐานน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่ 1 มีสารอะโรมาติกไม่สูงกว่าร้อยละ 35 และชนิดที่ 2 มีสารอะโรมาติกไม่สูงกว่าร้อยละ 38 และ ธพ. ขอให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) พิจารณาเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอลที่มีสารอะโรมาติกไม่สูงกว่าร้อยละ 38 ให้สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอลที่มีสารอะโรมาติกไม่สูงกว่าร้อยละ 35 เพื่อให้มีข้อแตกต่างกับโรงกลั่นที่สามารถผลิตน้ำมันที่มีปริมาณสารอะโรมาติกไม่สูงกว่าร้อยละ 35
4. เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 สนพ. ธพ. และผู้ผลิตน้ำมัน ได้ร่วมหารือเพื่อให้สอดคล้องกับประกาศของ ธพ. โดยจากการประชุมดังกล่าว สนพ. พิจารณาแล้วเห็นควร ดังนี้
4.1 การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20
1) ให้กำหนดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันพื้นฐานแก๊สโซฮอล อี20 เท่ากับราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันเบนซิน 95 + 1.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับราคาที่เหมาะสมและสามารถจูงใจให้มีการผลิตและจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20
2) เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้ผู้ค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 มากขึ้น โดยควรกำกับดูแลค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ให้อยู่ในระดับที่ไม่น้อยกว่าค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน โดยใช้กลไกอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อสนับสนุนให้มีการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ได้เร็วขึ้น โดยในช่วงแรกอาจให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 สูงกว่าค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ได้ระดับหนึ่ง จึงเห็นควรกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ให้เท่ากับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1)
4.2 การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 2) ที่มีปริมาณสารอะโรมาติกร้อยละ 38
1) ใช้หลักการกำหนดจากส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 50 กับน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 35 ที่มีการซื้อขายจริงในตลาดสิงคโปร์ แล้วใช้วิธีคำนวณหาส่วนต่างของราคาน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ38 (ซึ่งไม่มีซื้อขายในตลาดสิงคโปร์)
2) จากข้อมูลราคาน้ำมันเบนซินที่มีการซื้อขายจริงในตลาดสิงคโปร์ในเดือนพฤศจิกายน 2550 พบว่า ราคาน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 50 กับน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 35 จะแตกต่างกันประมาณ 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเมื่อคำนวณเป็นส่วนต่างของราคาน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 35 กับน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 38 จะอยู่ระดับ 0.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือเท่ากับ 0.05 บาทต่อลิตร
5. การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ดังนี้
1) ให้กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เท่ากับ 80% ของ [ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันเบนซินออกเทน 95 + (1.7 $/BBL x อัตราแลกเปลี่ยน /158.984)] + 20% ของราคาเอทานอล
2) ให้ระดับราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล อี 20 ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1) ไม่น้อยกว่า 0.50 บาทต่อลิตร
3) ให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ให้ไม่ต่ำกว่าค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน
4) ในช่วงแรกให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เท่ากับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1) โดยมอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม
6. ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 2) ที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 38 สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1) ที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 35 เท่ากับ 0.05 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ดังนี้
1.1 ให้กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เท่ากับ 80% ของ [ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันเบนซินออกเทน 95 + (1.7 $/BBL x อัตราแลกเปลี่ยน /158.984)] + 20% ของราคาเอทานอล
1.2 ให้ระดับราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1) ประมาณ 1.00 บาทต่อลิตร
1.3 ให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ให้ไม่ต่ำกว่าค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน เช่นเดียวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10
1.4 ในช่วงแรกให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เท่ากับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1) โดยมอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ตามความเหมาะสม
2. ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 2) ที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 38 สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1) ที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 35 เท่ากับ 0.05 บาทต่อลิตร
ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อมีผลบังคับใช้ต่อไป
เรื่องที่ 3 การเรียกเก็บค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย (Energy Loss) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลได้มีนโยบายการส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจการผลิตไฟฟ้า โดยได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) เมื่อปี 2535 เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration ซึ่งเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานนอกรูปแบบและแหล่งพลังงานภายในประเทศให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น และเป็นการลดการลงทุนของภาครัฐในระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า
2. การดำเนินงานตามนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผ่านมา การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ทำสัญญาเชื่อมโยงระบบกับ SPP โดยมี SPP 2 ราย คือ บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด และบริษัท น้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์ จำกัด ที่ กฟภ. กำหนดให้ชำระค่าชดเชยการสูญเสียพลังงานไฟฟ้า (Loss) ให้กับ กฟภ. ขณะที่ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ไม่ได้กำหนดให้ SPP ต้องลงนามในสัญญาเพื่อจ่ายค่า Loss
3. เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2547 คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ได้พิจารณาเรื่อง ผลกระทบของ SPP ต่อการสูญเสียพลังงานในระบบไฟฟ้า และได้มีมติเห็นควรให้การรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ไม่ต้องคิดค่าชดเชย Loss ยกเว้นในกรณี SPP จำนวน 2 ราย ที่ได้ทำสัญญาชดเชย Loss กับ กฟภ. แล้ว โดยให้ กฟภ. ปรับปรุงวิธีการคิดค่าชดเชย Loss เช่น กำหนดรูปแบบมาตรฐานการเก็บข้อมูลสำหรับการคำนวณให้ชัดเจน ข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณควรใช้ค่าเฉลี่ยของความต้องการไฟฟ้า และข้อมูลกำลังการผลิตของ SPP โดยใช้ค่าเฉลี่ยรายเดือน นอกจากนี้ การคำนวณค่า Loss ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ให้ใช้ Single Line Diagram และใช้ข้อมูลป้อนรายเดือน เป็นต้น ทั้งนี้ กรณี SPP ที่ได้ทำสัญญาชดเชยค่า Loss กับ กฟภ. แล้ว หากต้องการยกเลิกสัญญาต้องเป็นการยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย หรืออาจตกลงกันว่าเมื่อค่า Loss มีค่าเป็นศูนย์ ให้ยุติการคิดค่าชดเชย Loss
4. บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด ได้มีหนังสือถึง รมว.พน. แจ้งให้ทราบว่าบริษัทฯ ได้ทำสัญญาเชื่อมโยงระบบกับ กฟภ. เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2544 และได้มีการจ่ายชดเชยค่า Loss ตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 - กุมภาพันธ์ 2549 และต่อมา กฟภ. ได้แจ้งบริษัทฯ ว่า เดือนมีนาคม - มิถุนายน 2549 ไม่มีหน่วยสูญเสีย บริษัทฯ จึงได้มีหนังสือถึง กฟภ. ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2549 เพื่อขอแก้ไขสัญญาเชื่อมโยงระบบสำหรับ SPP โดยขอให้ กฟภ. พิจารณายกเลิกการเก็บค่าชดเชย Loss ซึ่ง กฟภ. ได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้คงข้อความตามสัญญาเชื่อมโยงระบบสำหรับ SPP ของบริษัทฯ ไว้เหมือนเดิม
5. คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2550 ได้พิจารณาเรื่อง การเรียกเก็บค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย (Energy Loss) ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
5.1 คณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะดังนี้ (1) กระทรวงพลังงานยังคงนโยบายให้การรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ไม่ต้องคิดค่าชดเชย Loss เนื่องจากผลกระทบจากการเชื่อมโยงกับระบบของ SPP กับการไฟฟ้า จะขึ้นอยู่กับกำลังผลิตและตำแหน่งที่ตั้งของ SPP ซึ่งบางตำแหน่งอาจช่วยลด Loss ในระบบได้ โดยการไฟฟ้าสามารถกำหนดหลักเกณฑ์การเชื่อมโยงระบบ และวิเคราะห์ตำแหน่งที่ตั้งและขนาดที่เหมาะสมของ SPP ก่อนอนุญาตให้เชื่อมโยงกับระบบได้อยู่แล้ว และ (2) ปัจจุบันได้มีการขยายการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP เพิ่มขึ้น และมีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ทำให้ในบางตำแหน่งอาจกระทบกับระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ ดังนั้น จึงเห็นควรพิจารณาทบทวนเรื่อง การเก็บค่าชดเชย Loss สำหรับ SPP และ VSPP โดยในกรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายประสงค์ที่จะให้มีสัญญาเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าและต้องการคิดค่าชดเชย Loss ก็ให้มีการคิดค่าชดเชย Loss บนหลักเกณฑ์ที่ เท่าเทียมกัน กล่าวคือ ให้มีการคิดค่าชดเชย Loss ในระบบที่เพิ่มขึ้นจาก SPP และ VSPP และมีการจ่ายค่าชดเชย Loss ในระบบของการไฟฟ้าที่ลดลงให้กับ SPP และ VSPP ด้วย
5.2 คณะอนุกรรมการฯ มีมติดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการให้การรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP ไม่ต้องคิดค่าชดเชย Loss และ (2) เห็นควรให้ กฟภ. ยกเลิกการคิดค่าชดเชย Loss ตามสัญญาเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าของ SPP ที่มีปริมาณพลังงานไฟฟ้าสูญเสียมีค่าเป็นศูนย์แล้ว
6. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2547 กพช. ได้มีมติมอบหมายให้ กบง. เป็นผู้วินิจฉัยปัญหาจากการปฏิบัติตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ในประเด็นที่ไม่ใช่ปัญหาด้านนโยบาย เพื่อให้การแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติที่มีลักษณะดังกล่าวสามารถดำเนินการได้อย่างคล่องตัวและรวดเร็ว และเสนอ กพช. เพื่อทราบต่อไป ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้พิจารณารับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ดังรายละเอียดข้อ 5.1และขอความเห็นชอบมติของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ดังรายละเอียดข้อ 5.2
มติของที่ประชุม
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ดังนี้
1.1 กระทรวงพลังงานยังคงนโยบายให้การรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ไม่ต้องคิดค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย เนื่องจากผลกระทบจากการเชื่อมโยงกับระบบของ SPP กับการไฟฟ้า จะขึ้นอยู่กับกำลังผลิตและตำแหน่งที่ตั้งของ SPP ซึ่งบางตำแหน่งอาจช่วยลด Loss ในระบบได้ โดยการไฟฟ้าสามารถกำหนดหลักเกณฑ์การเชื่อมโยงระบบ และวิเคราะห์ตำแหน่งที่ตั้งและขนาดที่เหมาะสมของ SPP ก่อนอนุญาตให้เชื่อมโยงกับระบบได้อยู่แล้ว
1.2 เห็นควรพิจารณาทบทวนเรื่อง การเก็บค่าชดเชย Loss สำหรับ SPP และ VSPP โดย ในกรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายประสงค์ที่จะให้มีสัญญาเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าและต้องการคิดค่าชดเชย Loss โดยให้คิดค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสียบนหลักเกณฑ์ที่เท่าเทียมกัน กล่าวคือ ให้คิดค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสียในระบบที่เพิ่มขึ้นจาก SPP และ VSPP และจ่ายค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย ในระบบของการไฟฟ้าที่ลดลงให้กับ SPP และ VSPP ด้วย
2. เห็นชอบตามมติของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ดังนี้
2.1 เห็นชอบในหลักการให้การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และผู้ผลิตไฟฟ้า ขนาดเล็กมาก (VSPP) ไม่ต้องคิดค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย
2.2 เห็นควรให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ยกเลิกการคิดค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย ตามสัญญาเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่มีปริมาณพลังงานไฟฟ้าสูญเสียมีค่าเป็นศูนย์แล้ว
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินโครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ (Training the Trainer) ในวงเงิน 8.39 ล้านบาท เพื่อผลิตวิทยากรที่จะไปอบรมติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ให้เพียงพอกับความต้องการในอนาคต โดย ธพ. ได้ร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในการฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวน 150 คน แต่เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 กรมพัฒนาฝีมือแรงงานไม่ได้จัดตั้งงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดซื้อชุดเครื่องมือ อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการฝึกอบรมช่างชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ ให้กับหน่วยงานส่วนภูมิภาคและศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน
2. วันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 ธพ. ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินโครงการ "จัดซื้อชุดเครื่องมือ อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการฝึกอบรมช่างชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์" เพื่อจัดซื้อชุดเครื่องมือ อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการฝึกอบรมช่างชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ให้กับส่วนภูมิภาค หรือศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานที่เป็นศูนย์กลางประจำภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวน 4 ชุด ในวงเงินงบประมาณ 10.6 ล้านบาท โดยมีสำนักความปลอดภัยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธพ. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ระยะเวลาดำเนินโครงการ 6 เดือนนับจากวันที่ลงนามในสัญญา
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ประจำดยมีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน ชอบโครงการ ใช้ก๊าซบอากาศหรับฝึกติดตั้งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวนรวม 4 ชุดปีงบประมาณ 2551 ให้กับกรมธุรกิจพลังงาน ในการดำเนินโครงการจัดซื้อชุดเครื่องมือ อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการฝึกอบรมช่างชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ ในวงเงิน 10,600,000 บาท (สิบล้านหกแสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือนนับจากวันที่ลงนามในสัญญา
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อดำเนินโครงการ เสริมสร้างผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ในวงเงิน 14.25 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2549 - 29 กุมภาพันธ์ 2551 มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ให้เพียงพอกับความต้องการในอนาคต โดย ธพ. ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ในการจัดฝึกอบรมเพื่อผลิตผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV รวมทั้งจัดหาชุดเครื่องมือและอุปกรณ์ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ให้กับวิทยาลัยเทคนิคในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการฯ เมื่อโครงการดำเนินการแล้วเสร็จจะมีสถานที่ตรวจและทดสอบที่ได้มาตรฐานทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 29 จังหวัด
2. เนื่องจากในปีงบประมาณ 2551 ตามแผนการขยายสถานีบริการ NGV ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะมีการกระจายของสถานีบริการฯ ในจังหวัดต่างๆ จำนวนกว่า 45 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อผลักดันยุทธศาสตร์การใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง ธพ. จึงได้จัดทำโครงการเสริมสร้างผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ระยะที่ 2 ขึ้นโดยจัดฝึกอบรมเพื่อผลิตผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV รวมทั้งจัดหาชุดเครื่องมือและอุปกรณ์ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ให้กับวิทยาลัยเทคนิคในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการฯ เพิ่มเติมอีก 16 จังหวัด
3. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 ธพ. ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินโครงการ "เสริมสร้างผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ระยะที่ 2" เพื่อเพิ่มจำนวนบุคลากรที่ทำหน้าที่ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ที่มีคุณสมบัติตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด และเพื่อเพิ่มสถานที่ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ให้กระจายไปในจังหวัดที่มีสถานีบริการ NGV ให้ครบถ้วนทั่วทั้งประเทศ ดำเนินการโดยจัดซื้อชุดเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV จำนวน 16 ชุด และจัดฝึกอบรมบุคลากรจากวิทยาลัยเทคนิค จำนวน 16 จังหวัดๆ ละ 4 คน รวมทั้งหมด 64 คน ในวงเงินงบประมาณ 10.5 ล้านบาท โดยมีสำนักความปลอดภัยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธพ. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 9 เดือนนับจากวันลงนามในสัญญา
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ประจำดยมีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน ชอบโครงการ ใช้ก๊าซบอากาศหรับฝึกติดตั้งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวนรวม 4 ชุดปีงบประมาณ 2551 ให้กับกรมธุรกิจพลังงาน ในการดำเนินโครงการเสริมสร้างผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ระยะที่ 2 ในวงเงิน 10,500,000 บาท (สิบล้านห้าแสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือนนับจากวันลงนามในสัญญา
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ตุลาคม - 28 พฤศจิกายน 2550)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนตุลาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 77.12 และ 82.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3.76 และ 5.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากข่าวกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกาประกาศปริมาณสำรองน้ำมัน ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2550 ลดลงทุกชนิด ประกอบกับข่าวค่าเงินสกุลดอลล่าห์สหรัฐฯ อ่อนตัวลดลงต่ำสุด และต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 28 พฤศจิกายน ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.99 และ 92.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากค่าเงินดอลล่าห์สหรัฐฯ อ่อนตัวลงมากและแผ่นดินไหวในอิหร่านที่อาจมีผลต่ออุตสาหกรรมน้ำมัน และญี่ปุ่นยังคงนำเข้าน้ำมันอย่างต่อเนื่องเพื่อทดแทนพลังงานนิวเคลียร์ ประกอบกับ PIRA คาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันเพื่อความอบอุ่นจะเพิ่มขึ้น รวมทั้งเหตุเพลิงไหม้หลุมขุดเจาะ Thistle Alpha บริเวณทะเลเหนือได้ส่งผลให้ปริมาณการผลิตประมาณ 5,000 บาร์เรลต่อวันได้หยุดดำเนินการชั่วคราว
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 88.71, 87.46 และ 95.08 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.20, 6.11 และ 4.37 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและโรงกลั่น Dumai กำลังผลิต 120,000 บาร์เรลต่อวันของอินโดนีเซียจะปิดซ่อมบำรุงในช่วงเดือนพฤศจิกายน รวมทั้งข่าวเพลิงไหม้ที่โรงกลั่น S-Oil ของเกาหลีใต้และข่าว Chinese Petroleum Corp. ของไต้หวันลดการส่งออกน้ำมันดีเซลในเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 120,000 ตัน และในช่วงวันที่ 1 - 28 พฤศจิกายน ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 100.42, 99.10 และ 106.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและอุปทาน Heating Oil ในยุโรปตึงตัวจากโรงกลั่น Gonfreville ในฝรั่งเศสเลื่อนกำหนดเดินเครื่องใหม่ออกไปอีก 1 สัปดาห์ ประกอบกับโรงกลั่น Yokkaichi (175,000 บาร์เรลต่อวัน) ของประเทศญี่ปุ่นเลื่อนการเดินเครื่องใหม่ (13,500 บาร์เรลต่อวัน) ออกไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดีเซล 0.5%S ทำสถิติอยู่ในระดับสูงสุดอีกครั้งที่ 111.120 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
3. เดือนตุลาคม ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91แก๊สโซฮอล 95, 91 เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 3 ครั้ง และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 2 ครั้ง ดีเซลหมุนเร็วบี 5 เพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 1 ครั้ง และเพิ่มขึ้น 0.10 บาท/ลิตร จำนวน 1 ครั้งและในช่วงวันที่ 1 - 28 พฤศจิกายน ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91แก๊สโซฮอล 95, 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็วบี 5 เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จำนวน 1 ครั้ง เพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 1 ครั้ง และเพิ่มขึ้น 0.30 บาท/ลิตร จำนวน 1 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95, 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็วบี 5 ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 อยู่ที่ระดับ 32.89, 31.59, 28.89, 28.09, 29.34 และ 28.34 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนธันวาคม 2550 คาดว่าราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนและแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 85 - 90 และ 90 - 95 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ลดลงและเข้าเก็งกำไรในตลาดน้ำมันของกลุ่มเฮดฟันท์ รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศผู้ผลิต สำหรับราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 100 - 105 และ 105 - 110 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการใช้น้ำมันดีเซลที่เพิ่มมากขึ้นในฤดูหนาว และค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องและความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นของประเทศที่กำลังพัฒนา
5. สำหรับสถานการณ์ LPG ช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2550 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 172.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 740.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามต้นทุนราคาน้ำมันดิบและความต้องการในภูมิภาคเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและความอบอุ่น ขณะที่อุปทานในภูมิภาคตึงตัวจากโรงกลั่นในไทยปิดซ่อมบำรุงประจำปี อย่างไรก็ตามจากระดับราคาที่สูงส่งผลให้ปริมาณความต้องการเริ่มปรับตัวลดลง ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 10.9962 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในประเทศอยู่ในระดับ 0.9263 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 276.07 ล้านบาทต่อเดือน อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ส่งออก อยู่ที่ระดับ 7.1809 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 53.86 ล้านบาทต่อเดือน สำหรับราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนธันวาคม 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 120.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 860.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซ LPG ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นอยู่ที่ระดับ 10.8964 บาทต่อกิโลกรัม และเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.29 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายได้ประมาณ 89 ล้านบาท
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนตุลาคม 2550 การผลิตและจำหน่ายเอทานอลมีปริมาณรวม 0.67 และ 0.72 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 7 ราย โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพไตรมาส 1 - 4 ในปี 2550 อยู่ที่ลิตรละ 19.33, 18.62, 16.82 บาท และ 15.29 บาท ตามลำดับ ขณะที่มีปริมาณเอทานอลสำรองของผู้ค้าน้ำมันรวม 24.22 ล้านลิตร ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 เดือนตุลาคมและในช่วงวันที่ 1 - 28 พฤศจิกายน 2550 มีปริมาณ 4.67 และ 4.95 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่าย จำนวน 11 บริษัท และสถานีบริการ 3,661 แห่ง โดยที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ในช่วงเวลาเดียวกันมีปริมาณ 0.93 และ 1.08 ล้านลิตรต่อวัน จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่ายจำนวน 3 บริษัท และสถานีบริการน้ำมัน 740 แห่ง ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 28.89 และ 28.09 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 4.00 และ 3.50 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนตุลาคมมีผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานจำนวน 6 ราย มีกำลังการผลิตรวม 950,000 ลิตรต่อวัน และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2550 อยู่ที่ 31.17 และ 34.38 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนตุลาคม มีจำนวน 2.10 ล้านลิตรต่อวัน หรือมีการใช้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ย 150,500 ลิตรต่อวัน โดยมีบริษัทน้ำมันที่จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 2 ราย คือ ปตท. และ บางจาก สถานีบริการรวม 819 แห่ง ปัจจุบันใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เท่ากับ 0.10 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ 28.34 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.00 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 มีเงินสดสุทธิ 13,496 ล้านบาท มีหนี้สิน ค้างชำระ 15,639 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระ 990 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 5,332 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 3 ปี) 517 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 2,143 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ประจำปีงบประมาณ 2551 ให้แก่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน ในวงเงิน 50 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2551 แต่โครงการฯ ดังกล่าวมีสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงาน ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสะดวก คล่องตัว และรวดเร็วในการดำเนินโครงการยิ่งขึ้น จึงควรให้ สป.พน.เป็นผู้เบิกจ่ายโดยตรงจากสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ ให้เปลี่ยนแปลงชื่อหน่วยงานที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ประจำปีงบประมาณ 2551 ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน จาก "สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน" เป็น "สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน" ในวงเงินงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบตามข้อเสนอดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 8 รายงานผลการศึกษาดูงาน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ให้ สนพ. ในการดำเนินโครงการสนับสนุนการประสานผลักดันนโยบายแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ โดยให้มีการศึกษา ดูงานและสัมมนาเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในต่างประเทศ ต่อมา สนพ. ได้อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ของ สนพ. และเจ้าหน้าที่จาก ธพ. เดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อดูงานด้านการใช้แก๊สโซฮอล ในรถยนต์ และเข้าร่วมการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง Cellulosic Ethanol and 2nd Generation Biofuels Moving to industrial-Scale Production ในระหว่างวันที่ 12-22 ตุลาคม 2550 โดยมีรายละเอียดการสัมมนาดังนี้
1.1 การพัฒนาด้านการจัดหาเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuels) โดยประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดหาพลังงานจากสิ่งมีชีวิต ได้แก่ การผลิตเอทานอลจากเส้นใยพืชและส่วนเหลือใช้จากพืชนำมาย่อยสลายด้วยเอนไซม์ที่เหมาะสม ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและมีแหล่งวัตถุดิบให้เลือกใช้ได้มากขึ้น รวมทั้งสามารถลดต้นทุนการผลิต โดยคาดว่าจะเริ่มมีการผลิตใช้ในเชิงพาณิชย์ในปี ค.ศ. 2012
1.2 การวิจัยพัฒนาการผลิตบิวทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนเอทานอลในอนาคต เนื่องจากมีคุณสมบัติดีกว่าเอทานอล มีความดันไอต่ำ ละลายในน้ำได้น้อยกว่า ให้พลังงานสูงกว่า และไม่มีปัญหาในการขนส่งทางท่อ
1.3 การวิจัยและพัฒนาการผลิตไบโอดีเซลจากสาหร่าย โดยพบว่าในสาหร่ายจะมีสารคาร์บอนสูง ซึ่งเหมาะสมในการนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง (ไบโอดีเซล) ขณะเดียวกันสามารถเพาะเลี้ยงง่าย เจริญเติบโตรวดเร็วและได้ปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาวิจัย คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 5 ปี จึงจะสามารถนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้
2. การส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลในรัฐ Minnesota มีหน่วยงานหลัก 3 หน่วยงาน ที่รับผิดชอบการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล คือ 1) กระทรวงพาณิชย์ มีหน้าที่กำหนดและดูแลด้านมาตรฐานของน้ำมันชนิดต่างๆ 2) กระทรวงเกษตร มีหน้าที่ส่งเสริมการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในเชิงพาณิชย์ และ 3) ศูนย์ทดสอบเครื่องยนต์ ทำหน้าที่ทดสอบและวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบที่จะนำน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดใหม่มาใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยมีขั้นตอนการบังคับใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ดังนี้ 1) ค.ศ.1990 เริ่มการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 2) ค.ศ.1996 บังคับใช้ อี10 ทั่วมลรัฐและสถานีบริการที่จะขายน้ำมัน 3) ค.ศ.2000 เริ่มมีการใช้ อี85 4) ค.ศ.2007 เริ่มมีการใช้น้ำมัน อี20 5) ค.ศ.2013 ประกาศบังคับใช้ อี20 และ 6) ค.ศ.2015 ประกาศบังคับใช้ บี20
3. สรุปผลการสัมมนาและดูงาน ได้ดังนี้ 1) ประเทศต่างๆ ได้คิดค้นพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างแพร่หลายเพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล เช่น การผลิตไบโอดีเซลจากสาหร่าย การผลิตเอทานอลจากต้นพืช และคาดว่าจะสามารถนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี ค.ศ. 2012 โดยประเทศสหรัฐอเมริกา จะกลายเป็นผู้ผลิตเอทานอลรายใหญ่ของโลก ขณะเดียวกันจะเป็นผู้ใช้รายใหญ่ด้วยเช่นกัน ส่วนแนวทางการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลในรัฐ Minnesota คือภาครัฐมีความเข้มแข็ง กำหนดนโยบายชัดเจนและมีการประสานงานกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน และภาคเอกชนมีการตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนมีการเตรียมการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 9 รายงานความก้าวหน้าการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานมีนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าปิโตรเลียมจากต่างประเทศและช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศ โดยให้มีการใช้เอทานอลทดแทน MTBE ในน้ำมันเบนซิน 95 และเนื้อน้ำมันเบนซิน 91 บางส่วน โดยมีเป้าหมายปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล วันละ 8 ล้านลิตร ณ สิ้นปี 2550 โดยได้กำหนดมาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ดังนี้
1.1 มาตรการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ โดยบริษัทน้ำมันและบริษัทผลิตรถยนต์ได้ออกมารับประกันการซ่อมฟรี หากเกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์
1.2 มาตรการจูงใจด้านผู้บริโภค โดยส่งเสริมด้านราคาด้วยการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ปรับเพิ่มส่วนต่างของราคาน้ำมันเบนซินให้สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 1.50 บาทต่อลิตร ตั้งแต่ต้นปี 2548 ณ ปัจจุบันส่วนต่างราคาสำหรับออกเทน 95 อยู่ที่ระดับ 4 บาทต่อลิตร และออกเทน 91 อยู่ที่ระดับ 3.50 บาทต่อลิตร
1.3 มาตรการจูงใจด้านผู้จำหน่าย มีการปรับเพิ่มค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอลให้สูงกว่าน้ำมันเบนซิน โดยลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอลลง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันแพงและเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ณ ปัจจุบันค่าการตลาดน้ำมัน แก๊สโซฮอลสูงกว่าน้ำมันเบนซินประมาณลิตรละ 90 สตางค์
1.4 การเพิ่มสัดส่วนการใช้เอทานอลในน้ำมันแก๊สโซฮอล กระทรวงพลังงานได้ร่วมกับกระทรวงการคลัง ส่งเสริมการจำหน่ายรถยนต์ที่สามารถใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป โดยใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิต ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551
2. การส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล อี 10 ในช่วงปลายปี 2547 มีปริมาณจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับวันละ 244,337 ลิตร หลังจากดำเนินการมาตรการส่งเสริมแก๊สโซฮอลตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับจนเดือนพฤศจิกายน 2550 มีปริมาณจำหน่ายวันละ 6.03 ล้านลิตร มีสถานีบริการที่จำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล จำนวน 3,743 แห่ง และคาดว่าปริมาณจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลเดือนธันวาคม 2550 เป็นวันละ 6.57 ล้านลิตร และมีจำนวนสถานีบริการฯ เพิ่มขึ้นเป็น 3,911 แห่ง
3. แผนดำเนินการในอนาคต ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ ได้แก่ ปตท. และเจ็ท ที่มีหัวจ่ายน้ำมัน แก๊สโซฮอล 95 ครบทุกสถานีบริการแล้ว และมีแผนจะเพิ่มหัวจ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ให้มากขึ้น รวมทั้ง บริษัทบางจาก จะเพิ่มหัวจ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และมีแผนจะจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เป็นรายแรกในต้นปีหน้า ส่วนเชฟรอนจะมีหัวจ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลครบทุกสถานีบริการในเดือนธันวาคม 2550 สำหรับบางจาก เจ็ท และระยองเพียวฯ จะยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 ในเดือนมกราคม 2551 ส่วนเอสโซ่จะยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 ให้ได้ร้อยละ 80 ภายในปีนี้
4. เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 ธพ. ได้ออกประกาศกำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมัน แก๊สโซฮอล อี20 ออกเทน 95 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่าง นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยผู้ผลิตรถยนต์ได้ประมาณการว่าภายในปี 2551 จะจำหน่ายรถยนต์ อี 20 ได้ 60,000 คัน โดยรถยนต์อี 20 จะเพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 5,000 คัน ปัจจุบันค่ายรถยนต์ฮอนด้าและฟอร์ดได้เปิดตัวรถยนต์อี 20 แล้ว ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 บริษัทบางจาก จะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 โดยจะมีสถานีบริการ 5 แห่ง และบริษัท ปตท. จะมีสถานีบริการในกรุงเทพฯ 5 - 10 แห่ง ต้นปี 2551 และจะทยอยเปิดให้ครบ 20 แห่งภายในปี 2551
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 10 รายงานความก้าวหน้าการส่งเสริมการใช้ NGV ในยานยนต์
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงาน มีมาตรการส่งเสริมการใช้ NGV ในภาคการขนส่ง 3 ส่วน ได้แก่ 1) การพัฒนาบุคลากร 2) การกำหนดกฎระเบียบ กฎหมาย และ 3) การส่งเสริมด้านธุรกิจ NGV
2. การพัฒนาบุคลากร ได้ดำเนินโครงการต่างๆ ประกอบด้วย
2.1 โครงการเสริมสร้างช่างชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV เพื่อเพิ่มจำนวนช่างชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต โดยจัดฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้ประชาชนที่สนใจ โดยการดำเนินงานที่ผ่านมามีผู้ผ่านการฝึกอบรมจำนวน 480 คน โดยในปี 2551 ตั้งเป้าหมายไว้ 400 คน
2.2 โครงการผลิตวิทยากรติดตั้งอุปกรณ์ NGV (Training the Trainer) โดยร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานในการฝึกอบรมข้าราชการ/พนักงานเพื่อเป็นวิทยากรสอนการฝึกอบรมช่างติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กระจายไปทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายในปี 2551 ให้มีผู้ผ่านการฝึกอบรมจำนวน 150 คน
2.3 โครงการเสริมสร้างผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV โดยร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาและกรมการขนส่งทางบก เพื่อเพิ่มจำนวนสถานที่ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ไปทั่วประเทศ โดยฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยเทคนิค พร้อมทั้งจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ตรวจและทดสอบให้ ปัจจุบันมีสถานที่ตรวจและทดสอบ 40 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีเป้าหมายในปี 2551ที่จะพัฒนาวิทยาลัยเทคนิคเพิ่มขึ้นอีก 35 จังหวัด
3. การกำหนดกฎระเบียบและกฎหมาย โดยได้พัฒนากฎหมายเพื่อกำกับดูแลการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติให้เกิดความปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีกฎหมายที่ใช้ในการกำกับดูแล 1 ฉบับ คือ กฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยของสถานีบริการ NGV ส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างดำเนินการ และเนื่องจากปัจจุบันก๊าซธรรมชาติที่ใช้มาจากแหล่งที่แตกต่างกัน ทำให้คุณภาพของก๊าซแตกต่างกันด้วย ดังนั้นจึงได้ดำเนินการกำหนดมาตรฐานคุณภาพของก๊าซธรรมชาติให้อยู่ในมาตรฐานที่สามารถยอมรับได้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค โดยได้จัดตั้งศูนย์ทดสอบอุปกรณ์ NGV เพื่อทำหน้าที่ตรวจรับรองถังและอุปกรณ์ NGV ตามกฎหมาย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างอาคารและการจัดหาเครื่องมือของผู้รับจ้าง
4. การส่งเสริมด้านธุรกิจ NGV กระทรวงพลังงานร่วมมือกับ ปตท. ดำเนินการส่งเสริมการใช้ NGV ในภาคการขนส่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดโดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่ใช้เชื้อเพลิงจำนวนมาก
4.1 ต่างจังหวัด มีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ รถบรรทุก หัวลากและรถโดยสาร บขส. โดยจัดเงินทุนหมุนเวียนให้กู้ยืมเพื่อดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ NGV ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งปัจจุบันมีรถบรรทุกและรถโดยสารเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 3,000 คัน ทั้งนี้ ปตท. ได้ก่อสร้างสถานีบริการ NGV เพื่อให้บริการตามเส้นทางหลักทั่วประเทศกว่า 90 สถานี
4.2 กรุงเทพฯ และปริมณฑล รถยนต์ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ รถโดยสาร ขสมก. รถร่วมบริการ รถแท็กซี่และรถตุ๊กตุ๊ก โดยมีรถที่เปลี่ยนแปลงเป็นรถ NGV แล้วกว่า 20,000 คัน และมีสถานีบริการ NGV ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 100 สถานี
4.3 โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถแท็กซี่ เพื่อให้รถแท็กซี่ที่ใช้ LPG เปลี่ยนเป็น NGV มีเป้าหมายจำนวน 50,000 คัน ภายในปี 2552 โดยได้จัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในรถแท็กซี่ มีหน้าที่กำหนดมาตรการส่งเสริม สนับสนุนและเสนอแนะนโยบายเพื่อผลักดันให้รถแท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเปลี่ยนมาใช้ NGV เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งได้กำหนดมาตรการต่างๆ ดังนี้ 1) มาตรการสนับสนุนด้านนโยบาย ได้แก่ การปรับเพิ่มราคา LPG, ให้สถานีบริการ LPG ของรถแท็กซี่เปลี่ยนเป็น NGV ฟรี, รถแท็กซี่ NGV ติดตั้งฟรี จำนวน 50,000 คัน และรถแท็กซี่จดทะเบียนใหม่ต้องใช้ NGV เป็นต้น 2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การเพิ่มสถานีบริการ NGV อีก 149 แห่งภายในปี 2552, เปลี่ยนสถานีบริการ LPG เป็นสถานีบริการ NGV, รับรองอู่ติดตั้งมาตรฐานฯ เพิ่มขึ้นอีก 26 แห่ง, เพิ่มรถขนส่งก๊าซ NGV อีก 660 คัน ภายในปี 2552
5. ผลการดำเนินงาน ณ ปัจจุบัน สรุปได้ดังนี้ 1) จำนวนรถ NGV รวม 51,121คัน 2) จำนวนสถานีบริการ NGV รวม 188 แห่ง 3) จำนวนสถานที่ตรวจและทดสอบฯ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 32 แห่ง ต่างจังหวัด 8 แห่ง รวมทั้งสิ้น 40 แห่ง และ 4) จำนวนอู่ติดตั้งมาตรฐาน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 18 แห่ง ต่างจังหวัด 3 แห่ง รวมทั้งสิ้น 21 แห่ง
6. แผนการดำเนินงานในอนาคต มีดังนี้ 1) เพิ่มสถานีบริการ NGV ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวน 149 แห่ง ภายในปี 2552 ส่วนต่างจังหวัดอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง 33 แห่ง 2) เพิ่มจำนวนสถานที่ตรวจและทดสอบฯ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ปัจจุบันกำลังดำเนินการฝึกอบรมให้วิทยาลัยเทคนิค 20 จังหวัด และ 3) เพิ่มจำนวนอู่ติดตั้งมาตรฐานฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 26 แห่ง และกำหนดหลักเกณฑ์การรับรอง สำหรับศูนย์บริการติดตั้งสาขาและสำหรับอู่ติดตั้งรถยนต์ขนาดใหญ่
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 22 - วันจันทร์ ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2550
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2550 (ครั้งที่ 22)
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2550 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551-2555
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มิถุนายน - สิงหาคม 2550)
4. การทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค
5. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551-2555
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2548 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2549 - 2553 เป็นจำนวนเงินรวม 376,153,400 บาท พร้อมทั้งอนุมัติเงินสนับสนุนจำนวนปีละ 80 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนสำรองกองกลางให้กับหน่วยงานต่างๆ ใช้ เมื่อมีเหตุฉุกเฉินและจำเป็นในช่วงปี 2549 - 2553 เป็นจำนวนเงินรวม 400 ล้านบาท
2. เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมัน (อบน.) ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปี 2550 ให้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) เป็นค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2550 คือ 4,567,400 บาท, 734,600 บาท, 1,381,100 บาท, 21,257,200 บาท และ 12,473,700 บาท ตามลำดับ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 40,414,000 บาท ภายใต้กรอบงบประมาณ ปี 2549 - 2553 ที่ กบง. ได้อนุมัติ ต่อมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2550 อบน. ได้มีมติรับทราบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯปีงบประมาณ 2550 ของหน่วยงานต่างๆ และเห็นชอบให้ปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันฯปีงบประมาณ 2551-2555 ของหน่วยงานต่างๆ พร้อมทั้งอนุมัติเงินสนับสนุนจำนวนปีละ 200 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนสำรองกองกลางให้กับหน่วยงานต่างๆ ใช้เมื่อมีเหตุฉุกเฉิน และให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพ. ได้รายงานผลการใช้จ่ายเงินตามที่ได้รับอนุมัติของปีงบประมาณ 2550 ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2550 มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 35,948,545 บาท เงินคงเหลือ 4,465,455 บาท และหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงพลังงานซึ่งประกอบด้วย กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และ สนพ. ได้จัดทำข้อเสนอโครงการต่างๆ เพื่อขอเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการใช้แก้ปัญหาภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2550 โดย กบง. ได้อนุมัติรวมเป็นเงิน 60.750 ล้านบาท จำนวน 4 โครงการ ซึ่งปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายใช้เงินในโครงการไปแล้วจำนวน 5,302,615 บาท
4. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549 กบง. ได้มีมติเรื่องข้อเสนอการปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้น โดยเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์และดีเซลเพิ่มขึ้นอีก 1.50 บาท/ลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาท/ลิตร เป็น 4.00 บาท/ลิตร ได้ส่งผลให้มีเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การชำระหนี้ของกองทุนน้ำมันฯ คาดได้ว่าสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดเวลา และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ที่ติดลบอยู่ได้ลดลงตามลำดับ ซึ่งคาดว่ากองทุนน้ำมันฯ จะมีฐานะเป็นบวกในเดือนมกราคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ใหม่ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2550 สนพ. ได้มีหนังสือให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องปรับแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ในปี 2551 - 2555
5. สำนักงานปลัดกระทรวง>พลังงาน สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพ. ได้ปรับปรุงประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2551 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 41,093,000 บาท ดังนี้ คือ
ตารางที่ 1 ประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ 2551
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | หมวดค่าจ้างชั่วคราว | หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | หมวดค่าครุภัณฑ์ | หมวดรายจ่ายอื่นๆ | ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | รวม |
1. สป.พน. | 1.2629 | 4.6465 | - | 2.2160 | - | 8.1254 |
2. สนพ. | 0.7731 | 8.3593 | - | 11.4000 | - | 20.5324 |
3. กรมสรรพสามิต | 0.9209 | 0.8303 | 0.3600 | - | - | 2.1112 |
4. กรมศุลกากร | 0.4792 | 0.3880 | - | - | - | 0.8672 |
5. สบพ. | 0.9900 | 0.4968 | - | - | 7.9700 | 9.4568 |
รวม | 4.4261 | 14.7209 | 0.3600 | 13.6160 | 7.9700 | 41.0930 |
5.1 สป.พน. ได้ขอปรับเพิ่มงบดำเนินการหมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ ในส่วนค่าจ้างเหมาบริการ คือ 1) จ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการพื้นที่ เป็นจำนวนเงิน 0.9 ล้านบาท เพื่อรับผิดชอบงานด้านการบริหารจัดการพื้นที่โครงการในภาคใต้ 2) ผู้ประสานงานในพื้นที่ 10 ตำแหน่ง จำนวนเงินรวม 0.752 ล้านบาท เพื่อประสานงานในพื้นที่โครงการและให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ และ 3) ในหมวดรายจ่ายอื่นๆ ได้ขอปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศเป็น 2.216 ล้านบาท ทั้งนี้ ยอดเงินรวมขอรับการสนับสนุนของ สป.พน. เพิ่มขึ้นเป็นเงินปีละ 8.1254 ล้านบาท (เดิม 4.5674 ล้านบาท) หรือยอดรวมปี 2551-2555 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 40.6270 ล้านบาท
5.2 สนพ. ขอปรับลดหมวดค่าจ้างชั่วคราวลง และขอปรับเพิ่มงบดำเนินการในหมวดค่าตอบแทนใช้สอย และวัสดุ ในส่วนค่าจ้างเหมาบริการ และในหมวดรายจ่ายอื่นๆ ในการจ้างที่ปรึกษาด้านพลังงานจำนวน 2 อัตรา ดังนั้น สนพ. จะมีค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงินปีละ 20.5324 ล้านบาท (เดิม 21.2572 ล้านบาท) หรือยอดรวม ปี 2551 - 2555 เป็นจำนวนเงิน 102.6620 ล้านบาท
5.3 กรมสรรพสามิต ขอปรับเพิ่มงบลงทุนในหมวดครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง โดยขอจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์เลเซอร์เพิ่ม เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จำนวนเงินรวม 0.36 ล้านบาท ทำให้ยอดเงินค่าใช้จ่ายรวมในปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 2.1112 ล้านบาท (เดิม 1.3811 ล้านบาท) และ มียอดรวมปี 2551-2555 เป็นจำนวนเงิน 9.2156 ล้านบาท
5.4 กรมศุลกากร ขอปรับเพิ่มจำนวนเงินในหมวดค่าจ้างชั่วคราวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2550 ทำให้มียอดค่าใช้จ่ายรวมในปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 0.8672 ล้านบาท (เดิม 0.7346 ล้านบาท) และมียอดรวมปี 2551-2555 เป็นจำนวนเงิน 4.3360 ล้านบาท
5.5 สบพ. ได้ขอเปลี่ยนแปลงรายการค่าใช้จ่ายในงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ของ สบพ. ในปี 2551 ดังนี้ 1) ขอปรับเปลี่ยนรายละเอียดในหมวดงบบุคลากร จากค่าจ้างเจ้าหน้าที่จำนวน 4 ตำแหน่ง เป็นค่าจ้างบุคลากรตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฯ 1 ตำแหน่ง ทำให้ค่าใช้จ่ายงบบุคลากรปี 2551 ลดลงเป็น 0.9 ล้านบาท 2) ขอยกเลิกงบประชาสัมพันธ์หน่วยงานระหว่างมีภาระการชำระหนี้ของกองทุนน้ำมันฯ จำนวนเงิน 1 ล้านบาท และ 3) ขอยกเลิกงบค่าสัมมนาและฝึกอบรม จำนวนเงิน 0.4 ล้านบาท ทั้งนี้ ยอดค่าใช้จ่ายรวมในปี 2551 ของ สบพ. ลดลงเหลือ 1.4868 ล้านบาท (เดิม 4.4615 ล้านบาท) โดยมียอดรวมปี 2551-2555 เป็นจำนวนเงิน 8.0647 ล้านบาท
5.6 ในส่วนค่าใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ในช่วงปี 2551 - 2555 (5 ปี) ของทุกหน่วยงานประมาณ 173.6793 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น สป.พน. จำนวน 40.6270 ล้านบาท สนพ. จำนวน 102.6620 ล้านบาท กรมสรรพสามิต จำนวน 9.2156 ล้านบาท กรมศุลกากร จำนวน 4.3360 ล้านบาท สบพ. จำนวน 8.0647 ล้านบาท ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร จำนวน 8.7740 ล้านบาท
6. นอกจากนี้ในปี 2551 สนพ. และ ธพ. ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอรับเงินสนับสนุนโครงการจากงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นจำนวน 13 โครงการ ดังนี้
6.1 สนพ. ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 7 โครงการ จำนวนเงินรวม 213 ล้านบาท ได้แก่ 1) โครงการประเมินผลภาพรวมการดำเนินการตามยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศ ในวงเงิน 10 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน 2) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 3 ในวงเงิน 50 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน 3) โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคา LPG ในวงเงิน 40 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 8 เดือน 4) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ด้านนโยบายพลังงาน ในวงเงิน 50 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 - ธันวาคม 2551 5) โครงการประชาสัมพันธ์สนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ในวงเงิน 30 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน 6) โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ในวงเงิน 30 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน และ 7) การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2551 ในวงเงิน 3 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 - ธันวาคม 2551
6.2 ธพ. ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 6 โครงการ จำนวนเงินรวม 180.8 ล้านบาท ได้แก่ 1) โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบและตรวจสอบเพื่อการรับรองถังก๊าซธรรมชาติอัด (ถัง CNG) ในประเทศไทย ระยะที่ 2 ในวงเงิน 50 ล้านบาท มีระยะเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2551 2) โครงการพัฒนาช่างผู้ชำนาญการในการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ในวงเงิน 2 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2551 3) โครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 55.8 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2553 4) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านพลังงานตามภารกิจและยุทธศาสตร์ของ กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 60 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2550 - ธันวาคม 2555 5) โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงิน 10 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปีงบประมาณ 2551 - 2555) และ 6) โครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ในวงเงิน 3 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนกันยายน 2550 - สิงหาคม 2551
7. ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งในปีงบประมาณ 2551 สนพ. และ ธพ. ได้ของบสนับสนุนเพื่อโครงการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2551 เป็นจำนวน 292 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยยังประสบปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลต้องดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทั้งในด้านการศึกษาวิจัยโครงการต่างๆ เพื่อรองรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น สนพ. จึงเห็นควรของบสนับสนุนเพื่อโครงการต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 58 ล้านบาท สำหรับโครงการที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2551 ซึ่งจะทำให้งบสนับสนุนเพื่อโครงการต่างๆ (ค่าใช้จ่ายอื่นๆ) สำหรับค่าใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินปี 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และในปี 2552 - 2555 เป็นเงินจำนวนปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้
8. สำหรับการประมาณค่าใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ ในปี 2551 - 2555 ประกอบด้วย เงินสนับสนุนให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนน้ำมันฯ รวม 5 หน่วยงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพ. และค่าใช้จ่ายอื่นๆ สรุปได้ดังนี้
ตารางที่ 2 ประมาณการค่าใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงปี 2551 - 2555 (ขอปรับใหม่)
หน่วย : ล้านบาท
หมวดรายจ่าย | ปีงบประมาณ | รวม 2551-2555 | ||||
พ.ศ. 2551 | พ.ศ. 2552 | พ.ศ. 2553 | พ.ศ. 2554 | พ.ศ. 2555 | ||
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 8.1254 | 8.1254 | 8.1254 | 8.1254 | 8.1254 | 40.6270 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 20.5324 | 20.5324 | 20.5324 | 20.5324 | 20.5324 | 102.6620 |
3. กรมสรรพสามิต | 2.1112 | 1.8011 | 1.7511 | 1.7511 | 1.8011 | 9.2156 |
4. กรมศุลกากร | 0.8672 | 0.8672 | 0.8672 | 0.8672 | 0.8672 | 4.3360 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 1.4868 | 1.5462 | 1.6092 | 1.6759 | 1.7467 | 8.0647 |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | 7.9700 | 0.8040 | - | - | - | 8.7740 |
รวมค่าใช้จ่ายของหน่วยงานต่างๆ | 41.0930 | 33.6763 | 32.8853 | 32.9520 | 33.0728 | 173.6793 |
7. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ | 350.0000 | 300.000 | 300.000 | 300.000 | 300.000 | 1550.0000 |
รวมทั้งสิ้น (1 - 7) | 391.0930 | 333.6763 | 332.8853 | 332.9520 | 333.0728 | 1723.6793 |
มติของที่ประชุม
1. รับทราบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2550 ของหน่วยงานต่างๆ
2. อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551-2555 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 173,679,300 บาท (หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามล้านหกแสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสามร้อยบาทถ้วน) พร้อมทั้งเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ตามรายละเอียดในตารางที่ 2
1. เห็นชอบอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน จำนวน 7 โครงการ เป็นจำนวนเงินรวม 213 ล้านบาท (สองร้อยสิบสามล้านบาทถ้วน) ตามรายละเอียดดังนี้
3.1 โครงการประเมินผลภาพรวมการดำเนินการตามยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศ ในวงเงิน 10 ล้านบาท (สิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
3.2 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 3 ในวงเงิน 50 ล้านบาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
3.3 โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคา LPG ในวงเงิน 40 ล้านบาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 8 เดือนนับจากวันที่ลงนามในสัญญา
3.4 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน ในวงเงิน 50 ล้านบาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 - ธันวาคม 2551
3.5 โครงการประชาสัมพันธ์สนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ในวงเงิน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
3.6 โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ในวงเงิน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
3.7 การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2551 ได้แก่ 1) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 2) โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคา LPG และ 3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน ในวงเงิน 3 ล้านบาท (สามล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 - ธันวาคม 2551
2. เห็นชอบอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของ กรมธุรกิจพลังงาน จำนวน 6 โครงการ เป็นจำนวนเงินรวม 180.8 ล้านบาท (หนึ่งร้อยแปดสิบล้านแปดแสนบาทถ้วน) ตามรายละเอียดดังนี้
4.1 โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบและตรวจสอบเพื่อการรับรองถังก๊าซธรรมชาติอัด (ถัง CNG) ในประเทศไทย ระยะที่ 2 ในวงเงิน 50 ล้านบาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2551
4.2 โครงการพัฒนาช่างผู้ชำนาญการในการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ในวงเงิน 2 ล้านบาท (สองล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2551
4.3 โครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 55.8 ล้านบาท (ห้าสิบห้าล้านแปดแสนบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2553
4.4 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านพลังงานตามภารกิจและยุทธศาสตร์ของกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 60 ล้านบาท (หกสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนธันวาคม 2550 - ธันวาคม 2555
4.5 โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงิน 10 ล้านบาท (สิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปีงบประมาณ 2551 - 2555)
4.6 โครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ในวงเงิน 3 ล้านบาท (สามล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนกันยายน 2550 - สิงหาคม 2551
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในหมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการสนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงาน สู่การปฏิบัติเป็นจำนวนเงิน 23,500,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนธันวาคม 2549 - พฤศจิกายน 2550 โดยอนุมัติในส่วนงบรายจ่ายอื่นของโครงการฯ ให้เป็นค่าโครงการศึกษาวิจัย จำนวน 3,000,000 บาท และต่อมาเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2550 กบง. ได้มีมติให้ สนพ. แก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ในส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการศึกษาวิจัยเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการศึกษาวิจัย จำนวน 2,224,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปศึกษา ดูงานในต่างประเทศ จำนวนเงิน 776,000 บาท
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2550 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานและเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ จากระหว่างเดือนธันวาคม 2549 - พฤศจิกายน 2550 เป็นระหว่างเดือนธันวาคม 2549 - มีนาคม 2551 ภายใต้วงเงินเดิมที่ได้รับอนุมัติ
3. รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมและผลักดันให้มีการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ในประเทศ โดยกำหนดเป้าหมายให้มี ยอดจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ในปริมาณ 0.8 - 1.0 ล้านลิตรต่อวัน ภายในปี 2550 ดังนั้นเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายและแผนที่วางไว้ สนพ. ในฐานะเป็นหน่วยงานเสนอแนะนโยบายด้านพลังงานของประเทศ จึงมีความจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ระบบบริหารจัดการในการผลิตเอทานอลและน้ำมันแก๊สโซฮอล์ การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และแนวทางการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค โดยการศึกษาจากประสบการณ์การส่งเสริม การใช้เอทานอลในประเทศต่างๆ ที่ประสบผลสำเร็จ สนพ. จึงขอเปลี่ยนแปลงงบค่าใช้จ่ายของโครงการสนับสนุนประสานผลักดันฯ ในงบรายจ่ายอื่น โครงการศึกษาวิจัย จำนวน 2,224,000 บาท (สองล้านสองแสนสองหมื่นสี่พันบาทถ้วน) เป็นงบรายจ่ายอื่น การศึกษาดูงานในต่างประเทศ จำนวน 2,224,000 บาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน แก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการสนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ในหมวดงบรายจ่ายอื่น จากเดิม "ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการศึกษาวิจัย จำนวน 2,224,000 บาท" เปลี่ยนเป็น "ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาและดูงานในต่างประเทศ จำนวน 2,224,000 บาท (สองล้านสองแสนสองหมื่นสี่พันบาทถ้วน)"
เรื่องที่ 3 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มิถุนายน - สิงหาคม 2550)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 67.55 และ 72.73 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2.94 และ 5.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากในเดือนมิถุนายนเกิดก่อการร้ายในประเทศไนจีเรีย ส่งผลให้ต้องหยุดการผลิตน้ำมันดิบ รวม 82,000 บาร์เรลต่อวัน และเดือนกรกฎาคมบริษัทเชลล์ไนจีเรียหยุดการผลิตน้ำมันดิบบริเวณ Western Delta ทำให้กำลังการผลิตของเชลล์ไนจีเรียลดลงรวม 475,000 บาร์เรลต่อวัน ประกอบกับรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของอิหร่านแถลงว่าโอเปคอาจจะไม่พิจารณาเพิ่มการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนกันยายน 2550
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 82.43 และ 81.41 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากเดือนพฤษภาคม 6.34 และ 6.55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากโรงกลั่น 6 แห่งในญี่ปุ่นมีแผนเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันเบนซินในเดือนกรกฎาคม 2550 ประกอบกับโรงกลั่นของสหรัฐอเมริกากลับมาดำเนินการหลังปิดฉุกเฉินและปิดซ่อมบำรุง อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันเบนซินได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากข่าว Oman Refinery Company ออกประมูลซื้อน้ำมันเบนซิน 95 ปริมาณ 183,000 บาร์เรล และจีนมีแผนลดการส่งออกน้ำมันเบนซินในเดือนสิงหาคม 2550 ลงประมาณ 50,000 ตัน แต่ราคาน้ำมันในเดือนสิงหาคมได้ปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบและสภาพอากาศที่เย็นลง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเบนซินในรถยนต์ของญี่ปุ่นลดลง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 83.51 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 1.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากมีความต้องการซื้อน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.05% ในภูมิภาคเพิ่มขึ้นจากเวียดนาม ซึ่งประกาศเปลี่ยนคุณภาพน้ำมันดีเซลสำหรับรถยนต์จากเดิมกำมะถัน 0.25% เป็น 0.05% เริ่มบังคับใช้ 1 กรกฎาคม 2550 และ Arbitrage Cargoes จากเอเชียไปขายยังชิลีและยุโรป ประกอบกับบริษัทผู้ค้าน้ำมันหลายรายชะลอการเข้าซื้อน้ำมันดีเซล และมี Gasoil Cargoes จากอินเดียและตะวันออกกลางเข้ามาในภูมิภาคเป็นระยะๆ
3. สำหรับช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 ราคาขายปลีกน้ำมันได้ถูกปรับราคาหลายครั้ง ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 แก๊สโซฮอล์ 95, 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็วบี 5 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 29.46, 28.66, 26.04, 25.46, 25.46 และ 24.76 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนพฤษภาคม 0.53, 0.53, 0.82, 1.10, 0.12 และ 0.12 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนกันยายน 2550 คาดว่าราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนตามกระแสข่าว ซึ่งราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 65 - 75 และ 70 - 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 75 - 85 และ 80 - 90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงฤดูหนาวและสภาวะเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน
5. สำหรับสถานการณ์ LPG ช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 24 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน อยู่ที่ระดับ 590 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซิน ประกอบกับความต้องการซื้อในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในธุรกิจปิโตรเคมี และ Platts คาดการณ์ความต้องการใช้ LPG เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในเอเชียเหนือจะทรงตัวในระดับสูง โดยเดือนกันยายนราคา ก๊าซ LPG ในตลาดโลกจะปรับตัวลดลง 22 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน อยู่ที่ระดับ 568 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในเดือนกันยายนอยู่ในระดับ 10.9706 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในประเทศอยู่ที่ระดับ 0.9007 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 276.70 ล้านบาทต่อเดือน อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ส่งออก อยู่ที่ระดับ 4.3043 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 30.13 ล้านบาทต่อเดือน สำหรับการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนตุลาคม คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 575 - 583 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เดือนสิงหาคม 2550 การผลิตและการจำหน่ายเอทานอลมีปริมาณรวม 0.48 และ 0.41 ล้านลิตร>ต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการจำนวน 7 ราย แต่ผลิตเอทานอลเพียง 5 ราย โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพในไตรมาสที่ 1, 2 และ 3 ปี 2550 อยู่ที่ลิตรละ 19.33, 18.62 และ 16.82 ตามลำดับ ส่วนไตรมาส 4 มีแนวโน้มลดลงอยู่ที่ลิตรละ 16.00 บาท ขณะที่ปริมาณเอทานอลสำรองของผู้ค้าน้ำมัน 21.47 ล้านลิตร ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2550 ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ในเดือนมิถุนายน - สิงหาคม มีปริมาณรวม 4.10, 4.08 และ 4.11 ล้านลิตร>ต่อวัน ตามลำดับ จากบริษัทค้าน้ำมัน ที่จำหน่ายจำนวน 11 บริษัท และสถานีบริการ 3,557 แห่ง ขณะเดียวกัน ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณการจำหน่าย 0.58, 0.61 และ 0.70ล้านลิตรต่อ>วัน ตามลำดับ จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่ายจำนวน 3 บริษัท และสถานีบริการรวม 654 แห่ง
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนสิงหาคม 2550 มีผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของ กรมธุรกิจพลังงานจำนวน 6 ราย กำลังการผลิตได้รวม 1,250,000 ลิตรต่อวัน และราคาไบโอดีเซลเฉลี่ยเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 อยู่ที่ 30.95, 29.66 และ 29.43 บาทต่อ>ลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ในช่วงเวลาเดียวกัน จำนวน 1.50, 1.67 และ 1.85 ล้านลิตรต่อวัน หรือใช้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ย 75,000 83,500 และ 92,500 ลิตรต่อ>วัน ตามลำดับ โดยมีบริษัทที่จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 2 ราย คือ ปตท. และบางจาก สถานีบริการรวม 770 สถานี ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ 25.04 บาทต่อ>ลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.70 บาทต่อลิตร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เท่ากับ 1.00 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2550 มีเงินสดสุทธิ 14,807 ล้านบาท หนี้สินค้างชำระ 27,907 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 17,600 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระ 990 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 8,556 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 2 และ 3 ปี) 761 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 13,100 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมฯ รับทราบ และเห็นชอบให้นำแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหลังสิ้นสุดภาระการชำระหนี้เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
เรื่องที่ 4 การทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2536 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้มีการกำกับดูแลการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ สถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค โดยให้ใช้ราคาขายปลีกของบริษัทน้ำมัน ในกรุงเทพมหานครบวกด้วยค่าขนส่งตามบัญชีค่าขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเกณฑ์กลางในการพิจารณา ทั้งนี้ ให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดและสำนักงานการค้าภายในจังหวัดใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นแนวในการคำนวณราคาขายปลีกที่เหมาะสมของจังหวัดต่างๆ
2. ปัจจุบันการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก โดยเฉพาะในประเด็นดังต่อไปนี้ คือ 1) ค่าขนส่งที่สูงขึ้น บัญชีความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค ที่ใช้ในปัจจุบันใช้ค่าขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ 12 บาทต่อลิตร เป็นฐานซึ่งเป็นระดับราคาในช่วงปี 2546 แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับสูงขึ้นจากเดิมเคลื่อนไหวในช่วงค่อนข้างกว้างที่ระดับ 20 - 25 บาทต่อลิตร ซึ่งมีผลให้ค่าขนส่งตามบัญชีเดิมอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก และได้มีการร้องเรียนให้แก้ไขอัตราค่าขนส่งอ้างอิงที่รัฐใช้ในการกำกับดูแล 2) การเปลี่ยนแปลงของเส้นทางการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปี 2544 ได้เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการสร้างเส้นทางคมนาคมใหม่ๆ มากขึ้น ทำให้ต้นทุนขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
3. เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2548 กระทรวงพลังงานได้มีคำสั่งที่ 34/2548 เรื่องแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค เพื่อทำหน้าที่กำกับศึกษาทบทวนบัญชีความแตกต่าง โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) เป็นประธานคณะทำงาน ต่อมาในการประชุมคณะทำงานศึกษาทบทวนบัญชีฯ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2548 ได้มีมติคือ 1) ให้สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยดำเนินการศึกษาบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคใหม่ โดยให้แล้วเสร็จภายในปี 2549 2) ให้สถาบันปิโตรเลียมฯ ดำเนินการศึกษาอัตราความแตกต่างชั่วคราวในระหว่างที่การศึกษาบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคใหม่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยใช้แบบจำลองเดิมแต่คำนึงถึงปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไป และ 3) ให้กระทรวงพลังงานศึกษาแผนแม่บทการขนส่งพลังงานทั้งระบบเพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงวิธีการขนส่งในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. ในการประชุมคณะทำงานศึกษาทบทวนบัญชีฯ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2549 ได้มีมติเห็นชอบบัญชี ค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคที่ใช้เป็นอัตราความแตกต่างชั่วคราวระหว่างที่การศึกษายังไม่แล้วเสร็จ โดยใช้สมมติฐาน ณ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 24 บาทต่อลิตร และสัดส่วนของขนาดรถบรรทุกน้ำมันระหว่าง 15,000 ลิตร และ 30,000 ลิตร คือ 70:30 โดยดำเนินการปรับความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคตามบัญชีชั่วคราว ผู้ค้าน้ำมันเป็นผู้ดำเนินการตามภาวะตลาดในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยอยู่ภายใต้การกำกับของ สนพ. และกรมการค้าภายใน
5. เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2549 สนพ. ร่วมกับกรมการค้าภายใน สถาบันปิโตรเลียมฯ และผู้ค้าน้ำมัน ได้ดำเนินการปรับเพิ่มอัตราบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคจากฐานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ระดับ 12.5 บาทต่อลิตร เป็นระดับ 24 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าขนส่งของภูมิภาคในระยะทาง 50 กิโลเมตรเพิ่มขึ้น 4 สตางค์ต่อลิตร และค่าขนส่งของพื้นที่ในระยะทางที่ไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร เพิ่มขึ้น 18 สตางค์ต่อลิตร ดังนั้นอัตราค่าขนส่งในการปรับบัญชีฯ ชั่วคราวเพิ่มขึ้น 4 - 18 สตางค์ต่อลิตร ต่อมาสถาบันปิโตรเลียมฯ ได้ทำการศึกษาบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค โดยศึกษาครอบคลุมทุกปัจจัยที่มีผลกระทบต่อค่าขนส่งเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่เนื่องจากปัจจุบันการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก โดยเฉพาะประเด็นดังต่อไปนี้ 1) จุดเริ่มต้นในบัญชี ค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค เดิมใช้จุดเริ่มต้นคือคลังน้ำมันช่องนนทรี ยกเว้นภาคใต้และภาคตะวันตกที่ขนส่งจากศรีราชา แต่ปัจจุบันคลังน้ำมันช่องนนทรีมีการจ่ายน้ำมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงมีการปรับจุดเริ่มต้นใหม่ โดยภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสานรับน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมัน ศรีราชา ภาคตะวันออกและจังหวัดใกล้เคียงรับน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมันศรีราชาหรือมาบตาพุด ขึ้นกับระยะทางที่ใกล้ที่สุด และภาคใต้รับน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมันศรีราชาและมาบตาพุดตามสัดส่วน Refinery capacity (42% : 58%) 2) การเปลี่ยนแปลงของเส้นทางขนส่ง โดยหลังปี 2544 ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เป็นผลจากการพัฒนาระบบการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้น โดยที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลางบางจังหวัดและภาคใต้ กำหนดให้รับจากคลังน้ำมันอ้างอิงที่ใกล้อำเภอนั้นมากที่สุด ส่วนกรุงเทพฯ ภาคตะวันออกและจังหวัดใกล้เคียง (ภาคกลางบางจังหวัด) กำหนดให้รับจากโรงกลั่นน้ำมันที่ใกล้อำเภอนั้นมากที่สุด
6. การคำนวณระยะทางถนนโดยใช้ระบบ GIS ของกรมทางหลวงหาระยะทางระหว่างอำเภอ โดยคิดระยะทาง 2 ช่วง คือ 1)ระยะทางจากโรงกลั่นน้ำมันศรีราชาหรือมาบตาพุดถึงคลังน้ำมันอ้างอิง และ 2) ระยะทางจากคลังน้ำมันอ้างอิงไปยังอำเภอต่างๆ แล้วนำมารวมกันเพื่อให้ได้ระยะทางจากจุดเริ่มต้นถึงปลายทางที่รถบรรทุกน้ำมันวิ่งผ่านก่อนนำค่าไปใช้ในการคำนวณค่าขนส่งทางรถบรรทุก โดยยกเว้น 1) ภาคตะวันออกและจังหวัดใกล้เคียงกับจุดเริ่มต้นซึ่งจะคิดระยะทางจากโรงกลั่นน้ำมันศรีราชาหรือมาบตาพุดไปได้โดยตรง 2) ภาคใต้และภาคตะวันตก ซึ่งคิดระยะทางเฉพาะจากคลังน้ำมันอ้างอิงไปยังอำเภอต่างๆ เท่านั้นเนื่องจากการขนออกจากโรงกลั่นน้ำมันทางเรือ การปรับอัตราค่าขนส่งมาตรฐานราคาน้ำมันดีเซล จากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ 12.5 บาท/ลิตร เป็น 24 บาท/ลิตร และการเปลี่ยนขนาดบรรทุกของรถขนาด 15,000 ลิตร และ 30,000 ลิตร โดยสัดส่วน 70:30 เป็นขนาดบรรทุกของรถ 16,000 ลิตร และ 32,000 ลิตร เป็นสัดส่วน 30:70 ส่งผลให้ค่าขนส่งจากจุดเริ่มต้นถึงสถานีบริการอำเภอปลายทางเป็นดังนี้
ตารางเปรียบเทียบบัญชีความแตกต่างฯ หม่กับบัญชีชั่วคราว
หน่วย : สตางค์/ลิตร
ภาค | บัญชีความแตกต่างฯ ใหม่ | เปรียบเทียบกับบัญชีชั่วคราว (+/-) | ||||
ต่ำสุด | สูงสุด | เฉลี่ย | ต่ำสุด | สูงสุด | เฉลี่ย | |
ภาคเหนือตอนบน | 61 | 118 | 84 | -5 | 15 | 8 |
ภาคเหนือตอนล่าง | 30 | 134 | 47 | -10 | 10 | 3 |
ภาคอีสานตอนบน | 45 | 83 | 63 | -11 | 16 | 2 |
ภาคอีสานตอนล่าง | 18 | 79 | 51 | -4 | 15 | 5 |
ภาคกลาง | 12 | 31 | 20 | -2 | 9 | 2 |
ภาคตะวันออก | -1 | 27 | 10 | -12 | 7 | -3 |
กรุงเทพฯ | - | - | - | - | - | - |
ปริมณฑล | - | - | - | - | - | - |
ภาคตะวันตก | 10 | 43 | 21 | -3 | 13 | 4 |
ภาคใต้ตอนบน | 31 | 55 | 43 | -5 | 13 | 3 |
ภาคใต้ตอนล่าง | 32 | 57 | 44 | -2 | 15 | 4 |
7. ต่อมาเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2550 คณะทำงานศึกษาทบทวนบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค ได้มีมติเห็นชอบบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพกับส่วนภูมิภาค และให้มีการทบทวนบัญชีความแตกต่างฯ ทุก 1 ปี เพื่อให้บัญชีที่ใช้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยมอบหมายให้ สนพ. และกรมการค้าภายใน เป็นผู้พิจารณาดำเนินการปรับส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดในช่วงเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้ จากการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น คาดว่าจะสามารถปรับส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดในไตรมาสที่ 2 ปี 2551
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทำการทบทวนบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคในรายละเอียดให้ถูกต้องและชัดเจน และนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการมอบอำนาจให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้มีอำนาจสั่งการในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ ภายใต้ กบง. แทนคณะกรรมการฯ โดยให้รายงานผลให้คณะกรรมการฯ ทราบ ในการประชุมภายหลัง
2. ในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2550 ประธาน กบง. ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ภายใต้ กบง. 5 คณะ ซึ่งประกอบด้วย 1) คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน มีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานอนุกรรมการ และผู้แทน สนพ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ โดยมีคำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2550 2) คณะอนุกรรมการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า โดยมีปลัดกระทรวงพลังงานหรือรองปลัดกระทรวงพลังงานที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานอนุกรรมการ และ ผอ.สนพ. หรือผู้แทนเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ โดยมีคำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2550 3) คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน มีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานอนุกรรมการร่วม และผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ โดยมีคำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2550 4) คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการจากเดิม "รองปลัดกระทรวงพลังงานซึ่งปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมายเป็นประธานอนุกรรมการ" เป็น "ปลัดกระทรวงพลังงานหรือรองปลัดกระทรวงพลังงานที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานอนุกรรมการ" โดยสั่ง ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2550 และ 5) คณะอนุกรรมการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า มีปลัดกระทรวงพลังงานหรือรองปลัดกระทรวงพลังงานที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานอนุกรรมการ และผู้แทน สนพ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ โดยมีคำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 4 กันยายน 2550
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ