Super User
กบง. ครั้งที่ 177 - วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2557 (ครั้งที่ 177)
วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับ ที่เหมาะสมเป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 6 มกราคม 2557 พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 2.0487 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 8 มกราคม 2557 อยู่ที่ 1.4482 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงเดิมอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 14 มกราคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 6 มกราคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลง 1.06, 0.70 และ 0.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 103.20, 117.22 และ 120.45 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอยู่ที่ 33.0375 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.1885 บาท ต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 37.49 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 1.10 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 15 มกราคม 2557 อยู่ที่ 1.7046 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดจะประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.1885 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.14 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 1.0233 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.19 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 เพิ่มขึ้น 1.10 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.08 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.30 บาท ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.40 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 16.70 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 125.43 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 108.73 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 12 มกราคม 2557 พบว่า กองทุนน้ำมันฯ มีทรัพย์สินรวมอยู่ 19,010 ล้านบาท มีหนี้สินรวมอยู่ 20,265 ล้านบาท ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็น ติดลบ 1,255 ล้านบาท และหากนำมารวมกับวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนจะมีวงเงินบริหารจัดการรายจ่ายดังกล่าวได้อีกประมาณ 264 วัน กรณีที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชยที่อัตรา 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยที่อัตรา 0.20 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 176 - วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2557 (ครั้งที่ 176)
วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะ เงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับ ที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2557 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 มกราคม 2557 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 6 มกราคม 2557 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 104.26, 117.92 และ 121.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 3.85, 3.39 และ 4.38 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2557 (ราคาปิดตลาดวันที่ 31 ธันวาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันที่ 6 มกราคม 2557 อยู่ที่ 33.2260 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.28 บาท ต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 27 ธันวาคม 2556 ที่ 32.9494 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่วนราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 7 มกราคม 2557 อยู่ที่ 36.39 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.58 บาทต่อลิตร (จากวันที่ 2 มกราคม 2557) ผู้ค้าได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมัน 1 ครั้งเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2557 โดยน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 และ E20 ปรับเพิ่มขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮฮล E85 ปรับเพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลคงราคาเดิม
5. สรุปปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ได้แก่ (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อ่อนค่าลง 0.2766 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.22 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 4.58 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.88 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 0.58 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.04 บาทต่อลิตร ดังนั้น จากทั้ง 3 ปัจจัยส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลในวันที่ 6 มกราคม 2557 ปรับตัวสูงขึ้น 0.62 บาทต่อลิตร เมื่อเทียบกับการประชุมครั้งก่อนหน้าเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2557
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 5 มกราคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 18,776 ล้านบาท หนี้สินรวม 19,473 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 698 ล้านบาท
7. จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 7 มกราคม 2557 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับสูง อยู่ที่ 2.0487 บาทต่อลิตร ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.50 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลอยู่ที่ประมาณ 1.94 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.55 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.66 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 27.83 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 158.84 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 131 ล้านบาท และจากฐานะกองทุนปัจจุบันติดลบ 698 ล้านบาท รวมวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนจะมีวงเงินบริหารจัดการได้อีกประมาณ 221 วัน (กรณีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 175 - วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2557 (ครั้งที่ 175)
วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะ เงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับ ที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร ผลจาก การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 108.11, 121.31 และ 125.73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ และน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.34 และ 1.91 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 0.21 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 20 ธันวาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันที่ 27 ธันวาคม 2556 อยู่ที่ 32.9494 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.28 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 20 ธันวาคม 2556 ที่ 32.6650 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่วนราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 2 มกราคม 2557 อยู่ที่ 35.81 บาทต่อลิตร ลดลง 1.22 บาทต่อลิตร (จากวันที่ 23 ธันวาคม 2556) และเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2556 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน และน้ำมันแก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้นชนิดละ 0.60 บาทต่อลิตร ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ปรับเพิ่มขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 2 มกราคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 18,361 ล้านบาท หนี้สินรวม 18,463 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 103 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง และอัตราส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่เปลี่ยนแปลงจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 7 จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 2 มกราคม 2557 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำที่ 1.0201 บาทต่อลิตร ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.50 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลอยู่ที่ประมาณ 1.17 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.52 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.42 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลงประมาณวันละ 27.83 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 136.57 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 164.40 ล้านบาท และจากฐานะกองทุนปัจจุบันติดลบ 103 ล้านบาท รวมวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนจะมีวงเงินบริหารจัดการได้อีกประมาณ 182 วัน (กรณีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 174 - วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 40/2556 (ครั้งที่ 174)
วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคาร B กระทรวงพลังงาน
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ผลจาก การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 107.77, 119.40 และ 125.94 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.20 และ 2.43 และ 1.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 (ราคา ปิดตลาดวันที่ 16 ธันวาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันที่ 20 ธันวาคม 2556 อยู่ที่ 32.6050 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 16 ธันวาคม 2556 ที่ 32.1614 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่วนราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 23 ธันวาคม 2556 อยู่ที่ 35.34 บาทต่อลิตร ลดลง 1.69 บาทต่อลิตร (จากวันที่ 17 ธันวาคม 2556)
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 18,155 ล้านบาท หนี้สินรวม 16,48 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 1,706 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.60 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลอยู่ที่ประมาณ 1.38 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.45 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.43 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลงประมาณวันละ 33.40 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 132.09 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 165.49 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 173 - วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 39/2556 (ครั้งที่ 173)
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคาร B กระทรวงพลังงาน
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG สำเร็จรูปนำเข้า
3. ขอแก้ไขชื่อในหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
4. สรุปผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 3/2556
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 106.57, 116.97 และ 124.64 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 0.64 และ 3.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ และน้ำมันเบนซิน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.13 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 2 ธันวาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันที่ 16 ธันวาคม 2556 อยู่ที่ 32.1614 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.18 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 2 ธันวาคม 2556 ที่ 32.3411 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่วนราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 16 ธันวาคม 2556 อยู่ที่ 37.03 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 1.54 บาทต่อลิตร (จากวันที่ 2 ธันวาคม 2556)
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 20,433 ล้านบาท หนี้สินรวม 17,503 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 2,930 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงและอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.40 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลอยู่ที่ประมาณ 1.62 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.57 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.59 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายลดลงประมาณวันละ 22.27 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 159.92 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 137.66 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป
เรื่อง หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG สำเร็จรูปนำเข้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) นำเข้า ดังนี้ (1) อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG นำเข้าและราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นที่ทำในราชอาณาจักร และ (2) หลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG นำเข้า เป็นดังนี้
ราคาก๊าซ LPG นำเข้า = CP + Premium + ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
โดยที่1) CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพน กับ บิวเทน 60 ต่อ 40 ณ เดือนที่มีการนำเข้า2) Premium = ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้า3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ Insurance, Loss, Demurrage, Import duty, Surveyor/witness fee & Lab expenses, Management Fee, Depot Operating Expenses และAdjust Demurrage (ส่วนต่างระหว่างค่า Demurrage ที่เกิดขึ้นจริงกับค่าประมาณการของเที่ยวเรือก่อนหน้าที่สามารถเจรจาจนได้ข้อยุติแล้ว)4) อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า
2. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2556 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือหารือสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อขอทบทวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการนำเข้า LPG สำเร็จรูป ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา เนื่องจาก ปตท. ได้รับมอบหมายให้นำเข้าก๊าซ LPG เพื่อจำหน่ายในประเทศให้เพียงพอ โดยที่ผ่านมา ปตท. นำเข้าก๊าซ LPG รูปของก๊าซโพรเพนและบิวเทนเพื่อผลิตเป็น LPG ที่คลังก๊าซเขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี แต่เนื่องจากสภาวะ LPG ในตลาดโลกเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2556 ค่อนข้างตึงตัว ทำให้มีผู้เสนอขายก๊าซ LPG เพียงรายเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งมอบในช่วงที่ ปตท. กำหนดวันที่ 16 - 18 ธันวาคม 2556 โดยขายเป็น LPG สำเร็จรูป ขนส่งด้วยเรือ Refrigerated จำนวน 30,000 เมตริกตัน จากประเทศไนจีเรีย และเสนอราคาต่ำกว่าเที่ยวอื่นๆ ประมาณ 10 - 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปตท. จำเป็นต้องซื้อก๊าซ LPG นำเข้าเที่ยวนี้เพื่อป้องกันการขาดแคลน โดยจะเป็นการนำเข้า LPG สำเร็จรูปครั้งแรกที่คลังก๊าซเขาบ่อยา
3. การดำเนินการตามข้อ 2 ข้างต้น มีข้อจำกัดในการปฎิบัติดังนี้ (1) คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 9 กำหนดให้การส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่นำเข้าให้ส่งแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระภาษีอากร ตามระเบียบกรมศุลกากร แต่ประกาศ กบง. กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร ตามข้อ 2(2) และข้อ 2(3) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งออกจากคลังก๊าซจังหวัดชลบุรีไปยังคลังก๊าซภูมิภาคหรือไปยังที่อื่นๆ เพื่อให้ราคาขายส่งก๊าซ LPG ที่คลังภูมิภาคเท่ากันทั่วประเทศ ซึ่งกรมศุลกากรไม่มีระเบียบปฏิบัติ เนื่องจากคลังก๊าซจังหวัดชลบุรีอยู่ในการดูแลของกรมสรรพสามิต ส่งผลให้เมื่อ ปตท. จ่าย LPG เที่ยวที่นำเข้านี้ออกจากคลังก๊าซเขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี ปตท. จะไม่สามารถส่งเงินเข้ากองทุนได้ตามประกาศที่กำหนด และ (2) ระบบ Thai Customs Electronic Systems (TCES) ของกรมศุลกากร สามารถบันทึกอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียงอัตราเดียว หากการดำเนินพิธีการนำเข้าของก๊าซ LPG เที่ยวนี้ใช้ 2 อัตรา คือ อัตรานำส่งเข้ากองทุนและอัตราชดเชยส่วนต่างราคานำเข้า กรมศุลกากรจึงไม่สามารถดำเนินการในระบบ TCES ได้ครบถ้วน
4. เพื่อให้ไม่เกิดการขาดแคลนและมีปริมาณก๊าซ LPG เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ รวมทั้งสามารถดำเนินการส่งเงินหรือขอเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ ได้ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2556 สนพ. ได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมธุรกิจพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน และ ปตท. โดยมีข้อสรุปคือ ให้เพิ่มเติมหลักเกณฑ์การคำนวณการนำเข้าก๊าซ LPG สำเร็จรูป และแก้ไขประกาศ กบง. เรื่อง “การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ” และขอเพิ่มเติมประกาศ กบง. เรื่อง “การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในราชอาณาจักร” โดยมีรายละเอียดดังนี้
4.1 หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG สำเร็จรูปจากการนำเข้า
โดยที่1) ราคาก๊าซ LPG สำเร็จรูปนำเข้า
- CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทน ณ เดือนที่มีการนำเข้า- Premium = ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้า- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ Insurance, Loss, Demurrage, Import duty, Surveyor/witness fee & Lab expenses, Management Fee และ Depot Operating Expenses- อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า2) ราคาก๊าซ LPG ที่ทำในราชอาณาจักร คือ ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ที่ กบง. กำหนด3) อัตราเฉลี่ยเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน คือ อัตราเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันตามประกาศ กบง. ข้อ 2 (1) เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร ัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ ตามระยะเวลาที่จ่ายก๊าซออกจากคลัง4.2 แก้ไขประกาศ กบง. ข้อ 2 เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ ดังนี้จากเดิม ข้อ 2 ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชย ทั้งนี้ไม่รวมถึงก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมดังต่อไปนี้ (1) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน สำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักร ยกเว้นก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดชลบุรี และก๊าซที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชรและโรงแยกก๊าซขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช กิโลกรัมละ ............. บาทแก้ไขเป็น ข้อ 2 ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชย สำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักร ทั้งนี้ไม่รวมถึงก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมดังต่อไปนี้ (1) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักร ยกเว้นก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดชลบุรีและก๊าซที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชรและโรงแยกก๊าซขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช กิโลกรัมละ .......... บาท4.3 เพิ่มเติมประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในราชอาณาจักร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG สำเร็จรูปจากการนำเข้า ดังนี้
โดยที่1) ราคาก๊าซ LPG สำเร็จรูปนำเข้า
CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทน ณ เดือนที่มีการนำเข้าPremium = ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้าค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ - Insurance - Loss - Demurrage - Import duty - Surveyor / witness fee & Lab expenses - Management Fee - Depot Operating Expensesอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า2) ราคาก๊าซ LPG ที่ทำในราชอาณาจักร คือ ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ที่ กบง. กำหนด3) อัตราเฉลี่ยเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน คือ อัตราเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันตามประกาศ กบง. ข้อ 2 (1) เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ ตามระยะเวลาที่จ่ายก๊าซออกจากคลัง
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ไปหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานให้มีความถูกต้อง และดำเนินการออกประกาศให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
เรื่อง ขอแก้ไขชื่อในหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
โดยที่X คือ ค่าเฉลี่ยร้อยละของไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานP1 คือ ราคาอ้างอิงไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ตามประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน (บาทต่อลิตร)P2 คือ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ (บาทต่อลิตร) โดยคำนวณจากราคา MOPS GO 0.5% + พรีเมียม ที่ 60 0 F x อัตราแลกเปลี่ยน/158.984โดยที่- ราคา MOPS GO 0.5% คือ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วซัลเฟอร์ 0.5% จาก Mean of Platt’s Singapore (เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล)- พรีเมียม คือ ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และ ค่า Loss • ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 1.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล • ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ – สิงคโปร์ (เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล) • ค่าประกันภัย ร้อยละ 0.084 ของ C&F • ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF- อัตราแลกเปลี่ยน อ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย(บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)- Conversion factor 60 0 F / 86 0 F
โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 เพื่อให้หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสอดคล้องกับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน
2. เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดย น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เท่ากับ (ราคา MOPS Gasoil 500 ppm + พรีเมียม) ที่ 600F x อัตราแลกเปลี่ยน/158.984 โดยที่ (1) ค่าพรีเมียม เท่ากับค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 2.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล + ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ + ค่าประกันภัยร้อยละ 0.084 ของ C&F + ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF (2) อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ) และ (3) Conversion factor 600 F / 860 F ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556
3. เนื่องจากหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตามข้อ 1 และ 2 กำหนดคำว่า “น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว” เหมือนกัน แต่หลักเกณฑ์การคำนวณต่างกัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนและถูกต้อง ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแก้ไขหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตามข้อ 2 ดังนี้ จากเดิม “ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เท่ากับ (ราคา MOPS Gasoil 500 ppm + พรีเมียม) ที่ 600F x อัตราแลกเปลี่ยน /158.984” แก้ไขเป็น “น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ เท่ากับ (ราคา MOPS Gasoil 500 ppm + พรีเมียม) ที่ 600F x อัตราแลกเปลี่ยน /158.984”
4. ตามที่กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ดำเนินการประกาศมาตรฐานคุณภาพของไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป ประกอบกับให้หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสอดคล้องกับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
โดยที่- ค่าพรีเมียม = ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 2.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล + ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ + ค่าประกันภัยร้อยละ 0.084 ของ C&F + ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF- อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)- Conversion factor 600 F / 860 F
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้แก้ไขชื่อในหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็นดังนี้
โดยที่- P2 = น้ำมันดีเซลอ้างอิงตลาดสิงคโปร์- ค่าพรีเมียม = ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 2.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล + ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ + ค่าประกันภัยร้อยละ 0.084 ของ C&F + ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF- อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)- Conversion factor 600 F / 860 F
เรื่อง สรุปผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 3/2556
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 กำหนดเป้าหมายการรับจำนำหัวมันสด 10 ล้านตัน และอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ครั้งที่ 16/2555 ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงพลังงานจัดทำแผนการใช้มันสำปะหลังในการผลิตเอทานอล โดยในปี 2556 กระทรวงพลังงานกำหนดเป้าหมายส่งเสริมให้ใช้เอทานอล 2 ล้านลิตรต่อวัน และขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันให้ใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลและจากมันสำปะหลังในสัดส่วนร้อยละ 62 : 38 ดังนั้น โรงงานเอทานอลใช้วัตถุดิบมันสำปะหลังจะผลิตเอทานอลเฉลี่ย 0.76 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 255.60 ล้านลิตรต่อปี คิดเป็นปริมาณการใช้หัวมันสด 1.6 ล้านตันต่อปี
2. เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบการปรับสูตรราคาเอทานอลตามสัดส่วนการใช้เอทานอลมันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้น โดยกำหนดสูตรราคาเอทานอลตามสัดส่วนการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลต่อมันสำปะหลังเป็น 62 : 38 และมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ประสานกรมการค้าภายในเพื่อตรวจสอบผู้ผลิตเอทานอลที่ใช้มันสำปะหลังในโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง โดยผู้ผลิตเอทานอลจากมันเส้นให้ใช้มันเส้นจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) ผู้ผลิตเอทานอลจากมันสดให้เปิดจุดรับซื้อมันสดที่หน้าโรงงาน และผู้ผลิตเอทานอลจากน้ำอ้อยให้ถือว่าอยู่ในกลุ่มกากน้ำตาล พร้อมทั้งให้รวบรวมรายงานยอดการซื้อมันสำปะหลังของโรงงานเอทานอลรายเดือน และรายงานให้ กบง. ทราบเป็นรายไตรมาส โดยในไตรมาส 3/2556 มีการใช้เอทานอล 2.66 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 0.08 ล้านลิตรต่อวัน และสัดส่วนเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังอยู่ที่ร้อยละ 30 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 3 ส่งผลให้ปริมาณหัวมันสดอยู่ที่ 499,791 ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 90,908 ตัน
3. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ มีดังนี้ (1) บริษัท อี85 จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังหยุดการผลิตเอทานอลในเดือนกรกฎาคม 2556 เพื่อปรับปรุงระบบบ่อบำบัดตามคำสั่งของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี (2) คลังกลางมันเส้น อคส. ในพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงงานเอทานอล มีมันเส้นไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ผลิตเอทานอล ผู้ผลิตเอทานอลจำเป็นต้องรับมันเส้น อคส. ในพื้นที่หรือจังหวัดอื่น ทำให้มีต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มมากขึ้น และ (3) ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 บางราย ไม่สามารถซื้อเอทานอลจากมันสำปะหลังได้ตามสัดส่วน กรมธุรกิจพลังงานได้แจ้งผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เพื่อขอความร่วมมือให้รับซื้อเอทานอลตามสัดส่วนเอทานอลจากกากน้ำตาลต่อมันสำปะหลังที่ 62 : 38 และต่อมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอล โดยเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการซื้อขายจริง โดยมีผลตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 เพื่อให้สะท้อนต้นทุนราคาเอทานอลที่แท้จริงของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 172 - วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 38/2556 (ครั้งที่ 172)
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 14.30 น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. รายงานผลการดำเนินการเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7)
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 107.24, 115.84 และ 127.99 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ และน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 1.45 และ 1.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.39 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันที่ 2 ธันวาคม 2556 อยู่ที่ 32.3411 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.13 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 ที่ 32.2064 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 23,356 ล้านบาท หนี้สินรวม 18,369 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 4,960 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.60 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล อยู่ที่ประมาณ 1.61 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.27 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.37 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 29.79 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 115.02 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 144.81 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 รัฐบาลได้แถลงนโยบายเกี่ยวกับการกำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสมเป็นธรรม และมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยมีนโยบายปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และภาคครัวเรือน ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 โดยให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนไว้ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555
2. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 โดยเห็นชอบให้ขยายเวลาตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม จนถึงเดือนมีนาคม 2556 และให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้สะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม ภายในปี 2556 โดยมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน และการบรรเทาผลกระทบกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ซึ่งต่อมา กบง. ได้พิจารณาขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนอีก 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2556 ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2556
3. เมื่อวันที่ 16 กรกฏาคม 2556 กพช. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยให้ปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม และเห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยครัวเรือนรายได้น้อย ช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 18 กิโลกรัมต่อ 3 เดือน และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ช่วยเหลือตามการใช้จริงไม่เกิน 150 กิโลกรัมต่อเดือน ทั้งนี้ ผู้ได้รับการช่วยเหลือสามารถเลือกใช้ถังขนาดใดก็ได้ แต่ไม่เกินขนาดถัง 15 กิโลกรัม โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จัดให้มีการจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิได้รับการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนและฐานข้อมูลร้านจำหน่ายก๊าซ ซึ่ง มีผู้มีสิทธิได้รับการบรรเทาผลกระทบฯ เป็นจำนวนมาก และมีขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อให้ได้รับสิทธิ ซึ่งอาจเกิดข้อผิดพลาดในการปฏิบัติตามโครงการหรืออาจมีการใช้สิทธิที่ไม่ถูกต้อง
4. กระทรวงพลังงาน ได้จัดให้มีการดำเนินการตรวจสอบการใช้สิทธิหรือการสนับสนุนการใช้สิทธิของร้านจำหน่ายก๊าซ LPG ทั้งระบบในระดับปฏิบัติการเชิงพื้นที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโครงการและเป็นการป้องปรามการใช้สิทธิโดยมิชอบหรือการนำไปแสวงหาประโยชน์ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) จึงได้จัดทำข้อเสนอ “โครงการส่งเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือน” โดยขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินการ ซึ่งจะมีรักษาการหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน (นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และมีกองตรวจและประเมินผล สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานดำเนินการ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
4.1 วัตถุประสงค์ของโครงการ เพื่อติดตามตรวจสอบการใช้สิทธิของครัวเรือนและร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ตามโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ(LPG) ภาคครัวเรือน ให้ดำเนินการอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพและป้องปรามการใช้สิทธิโดยมิชอบหรือการแสวงหาประโยชน์จากโครงการดังกล่าว4.2 การดำเนินงานโครงการฯ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกระทรวงพลังงาน ตามประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง ยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงาน (พ.ศ. 2556 - 2560) ประกาศ ณ วันที่ 4 มกราคม 2556 ยุทธศาสตร์ที่ 4 การกำกับดูแลกิจการพลังงานและราคาพลังงาน รวมทั้งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 ประกาศ ณ วันที่ 29 เมษายน 2556 หมวด 2 การจ่ายเงิน ข้อ 9 (4) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และข้อ 9 (5) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนหรือการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ4.3 เป้าหมายดำเนินการ ได้แก่ (1) ผู้ใช้สิทธิตามโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ (LPG) ภาคครัวเรือน ได้แก่ ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร และ (2) ผู้สมัครขอใช้สิทธิเพิ่มเติม ได้แก่ ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร4.4 ขอบเขตการดำเนินการ แบ่งเป็น (1) การกำหนดกลุ่มประเภทที่ต้องตรวจสอบ ได้แก่ การติดตาม รวบรวมข้อมูลผู้ได้รับสิทธิฯ ของกลุ่มต่างๆ การติดตามการใช้สิทธิ การขอเปลี่ยนแปลงการขอรับสิทธิ การขอเป็นผู้ได้รับสิทธิ พฤติกรรมการขอซื้อก๊าซ LPG ตามสิทธิ รวมทั้งกำหนดทิศทางการตรวจติดตามการใช้สิทธิ และ (2) การดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรเทาผู้ได้รับผลกระทบ ได้แก่ จัดประชุมชี้แจงสร้างความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น พลังงานจังหวัด เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้ทราบถึงความเป็นมา วิธีการดำเนินการต่าง ๆ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการปฏิบัติการตรวจสอบ การดำเนินการตรวจติดตามการใช้สิทธิ 12 เดือน พร้อมกับจัดทำรายงานรายจังหวัดและภาพรวมของประเทศ เดือนละ 1 ครั้ง รวม 12 ครั้ง4.5 ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2557 ในวงเงิน 49,434,000 บาท แบ่งเป็น (1) หมวดบุคลากร วงเงิน 19,684,000 บาท และ (2) หมวดการดำเนินงาน ได้แก่ ค่าจัดประชุมสัมมนา/อบรม ค่าจัดซื้ออุปกรณ์และวัสดุ และค่าเดินทาง ที่พัก ยานพาหนะสำหรับลงพื้นที่เก็บข้อมูล ตรวจสอบและตรวจติดตาม เป็นต้น ในวงเงิน 29,750,000 บาท ระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 12 เดือน
5. เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2556 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้มีการพิจารณาเรื่องโครงการส่งเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือน และได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ไปปรับปรุงรูปแบบและรายละเอียดโครงการฯ ตามความเห็นของที่ประชุม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ อบน. เวียนข้อเสนอโครงการที่ได้ปรับปรุงแล้วให้ อบน. พิจารณาก่อนนำเสนอ กบง. เพื่ออนุมัติวงเงินต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2556 ฝ่ายเลขานุการฯได้เวียนข้อเสนอโครงการฯ ซึ่งได้ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามมติที่ประชุมฯ ให้อนุกรรมการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีอนุกรรมการขอแก้ไข
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการการดำเนินงานโครงการส่งเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือน โดยอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2557 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือน ในวงเงินไม่เกิน 49,434,000 บาท (สี่สิบเก้าล้านสี่แสนสามหมื่นสี่พันบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญา โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการ และแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ
ทั้งนี้ ให้เพิ่มเติมและปรับปรุงขอบเขตของงานตามความเห็นของกรรมการในส่วนของการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน มาลงทะเบียนขอใช้สิทธิมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 หมวด 7 การตรวจสอบภายใน ข้อ 26 ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.)จัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงานทราบ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และคำสั่งกระทรวงพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 มีนาคม 2548 วรรคสาม ให้แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายใน สบพน. เป็นผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันฯ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงานทราบเพื่อนำเสนอ กบง. ต่อไป
2. ปีงบประมาณ 2556 สบพน. ได้ดำเนินการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ พร้อมทั้งได้สรุปผลการตรวจสอบกับผู้รับผิดชอบและผู้อำนวยการ สบพน. พบว่า มีความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน (Operational Risk) อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ เกิดความคลาดเคลื่อนไปจากที่ระเบียบกระทรวงพลังงานฯ กำหนดไว้ โดยสรุปการตรวจสอบได้ดังนี้
2.1 การตรวจสอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเบิก – จ่ายและติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2556 และโครงการต่อเนื่อง ดังนี้ (1) มีการสอบทานข้อมูล 2 ครั้ง คือ ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม 2555 และระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน 2556 นำเสนอคณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. และคณะกรรมการ สบพน. เรียบร้อยแล้ว (2) สรุปผลการตรวจสอบ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 มีโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินในปีงบประมาณ 2551 – 2555 ที่ยังไม่ปิดโครงการ จำนวน 20 โครงการ วงเงินอนุมัติรวม 998,276,227 บาท เบิกเงินจากแล้วจำนวน 289,075,998.69 บาท และใช้จ่ายจริงจำนวน 106,840,172.40 บาท และ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2556 มีโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินในปีงบประมาณ 2551 – 2556 ที่ยังไม่ปิดโครงการจำนวน 16 โครงการ วงเงินอนุมัติรวม 960,269,487 บาท เบิกเงินแล้วจำนวน 272,615,960.50 บาท และใช้จ่ายจริงจำนวน 127,448,597.02 บาท โครงการที่ยังไม่มีการดำเนินการและเบิกจ่ายเงิน และโครงการที่ยังไม่มีการรายงานผลการใช้จ่ายเงินจำนวน 10 โครงการ แบ่งเป็นปีงบประมาณ 2552 – 2553 จำนวน 3 โครงการ วงเงินรวม 122,200,000 บาท ปีงบประมาณ 2556 จำนวน 5 โครงการ วงเงินรวม 90,619,300 บาท ทั้งนี้ โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) วงเงินอนุมัติ 180 ล้านบาท เบิกเงินแล้วจำนวน 4.51 ล้านบาท จากการตรวจสอบพบว่า ผู้รับผิดชอบโครงการฯ มิได้จัดทำรายงานสรุปการรับ-จ่ายเงินกองทุนประจำเดือนส่งให้ สบพน. ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในระเบียบกระทรวงพลังงานฯ และโครงการจัดเก็บและทำลายชุดอุปกรณ์และถังก๊าซ LPG ตามแผนการดำเนินการสนับสนุนรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV งวดที่ 1 จำนวน 15,000 ชุด ของ ธพ. ได้ขอเบิกจ่าย งวดที่ 2 ซึ่งกองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินเข้าบัญชีโครงการแล้ว แต่ในการเบิกเงินงวดที่ 2 ไม่มีการรายงานผลการใช้จ่ายเงินในงวดที่ผ่านมา ซึ่งผู้รับการตรวจสอบโดยสำนักบริหารการเงินและบัญชีกองทุน ของ สบพน. ได้ชี้แจงว่า อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแบบฟอร์มสรุปผลการใช้จ่ายเงิน เพื่อใช้ในการควบคุมการเบิกเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการและเป็นไปตามที่ระเบียบกระทรวงพลังงานฯ กำหนด และ (3) คณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. ได้มีความเห็นและข้อเสนอแนะว่า สบพน. ควรจัดวางระบบการควบคุมและติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการต่างๆ ให้รัดกุมยิ่งขึ้น และเร่งรัดการจัดทำแบบฟอร์มสรุปผลการใช้จ่ายเงินในงวดที่ผ่านมาให้แล้วเสร็จ เพื่อส่งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกัน2.2 การตรวจสอบการคืนเงินคงเหลือและดอกผลของโครงการที่ปิดบัญชี ประจำปีงบประมาณ 2556 โดยสรุปผลการตรวจสอบได้ดังนี้ (1) โครงการที่ได้รับอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2551 - 2555 และแจ้งปิดบัญชีระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2555 – วันที่ 31 พฤษภาคม 2556 มี 9 โครงการ วงเงินรวม 111,326,040 บาท เบิกเงินเพื่อดำเนินโครงการแล้วทั้งสิ้น 97,826,038.00 บาท คงเหลือวงเงินที่ไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน 13,500,002 บาท (2) หน่วยงานที่เบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปแล้ว มีการใช้จ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการอยู่ในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ (3) มีการคืนเงินคงเหลือ ดอกผล และรายรับอื่นให้กองทุนน้ำมันฯ ถูกต้องครบถ้วน และ (4) จากการตรวจสอบ พบว่าบางหน่วยงานมีการนำส่งดอกผลหรือรายรับอื่นที่เกิดขึ้นคืนกองทุนน้ำมันฯ เพียงครั้งเดียวเมื่อสิ้นสุดโครงการ ซึ่งตามระเบียบฯ กำหนดให้นำส่งคืนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แต่ทั้งนี้สำนักบริหารการเงินและบัญชีกองทุน สบพน. ได้ประสานงานกับหน่วยงานดังกล่าว พร้อมทั้งจัดส่งระเบียบกระทรวงพลังงานฯ เพื่อให้ยึดถือปฏิบัติตาม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง รายงานผลการดำเนินการเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7)
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วต้องผสมด้วยไบโอดีเซลในอัตราส่วนร้อยละ 4.5 – 5.0 คิดเป็นปริมาณการใช้ไบโอดีเซลประมาณ 2.5 ล้านลิตรต่อวัน หรือปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบ 2,174 ตันต่อวัน ต้นปี 2556 ผลผลิตปาล์มน้ำมันมีปริมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือสูงกว่า 3 แสนตัน ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มลดต่ำลง จึงทำให้ราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันภายในประเทศตกต่ำ เพื่อช่วยเหลือผู้ปลูกปาล์มน้ำมันและบรรเทาปัญหาปาล์มน้ำมันล้นตลาด รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน พิจารณาเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 7 ซึ่งจะทำให้มีการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มจากปัจจุบัน 2.5 เป็น 4 ล้านลิตรต่อวัน หรือคิดเป็นการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบได้เพิ่มขึ้น 780 ตันต่อวัน
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 เห็นชอบให้ปรับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก 25% ใน 10 ปี (ปี 2555 - 2564) โดยเพิ่มเป้าหมายการใช้ไบโอดีเซลในภาคขนส่ง ในปี 2564 จากเดิม 5.97 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 7.72 ล้านลิตรต่อวัน ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2556 รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กปน.) เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2556 ที่เสนอให้กระทรวงพลังงานผลักดันการใช้ไบโอดีเซลให้เป็นไปตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก 25% ใน 10 ปี
3. การปรับเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 7 (น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7) จำเป็นต้องได้รับการรับรองจากผู้ผลิตรถยนต์ เพื่อป้องกันปัญหากับผู้ใช้รถในด้านการรับประกันรถยนต์ โดยต้องมีการหารือให้ได้ข้อยุติร่วมกันระหว่างผู้เกี่ยวข้อง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ผลิต ได้แก่ ผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ค้าน้ำมัน และกลุ่มผู้ใช้ ได้แก่ ผู้ผลิตรถยนต์
4. ธพ. ได้หารือกับผู้ผลิตรถยนต์ (สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย) และได้รับแจ้งว่าผู้เชี่ยวชาญจาก Japan Automobile Manufacturers Association, Inc. (JAMA) เสนอว่าเพื่อให้มีการยอมรับการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ขอให้มีการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้ (1) มาตรฐานคุณภาพไบโอดีเซล ให้คุณภาพทั่วไปสอดคล้องกับมาตรฐานไบโอดีเซลของยุโรป ยกเว้นข้อกำหนด ปริมาณสารโมโนกลีเซอร์ไรด์ เสนอให้กำหนดไม่สูงกว่าร้อยละ 0.70 โดยปริมาตร ซึ่งเข้มงวดกว่ามาตรฐานยุโรป เพื่อช่วยลดปัญหาการอุดตันของหัวฉีด และ (2) มาตรฐานคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ให้คุณภาพทั่วไปสอดคล้องกับมาตรฐานน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ของยุโรป ยกเว้นข้อกำหนด เสถียรภาพต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน เสนอให้กำหนดไม่ต่ำกว่า 35 ชั่วโมง ซึ่งเข้มงวดกว่ามาตรฐานยุโรป เพื่อช่วยลดปัญหาการอุดตันไส้กรองและหัวฉีด ที่มีสาเหตุมาจากการเสื่อมสภาพของไบโอดีเซล
5. ธพ. ได้หารือกับผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ค้าน้ำมันเกี่ยวกับข้อเสนอการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของ JAMA ได้ข้อสรุปดังนี้ (1) มาตรฐานคุณภาพไบโอดีเซล สามารถปรับข้อกำหนดปริมาณสารโมโนกลีเซอร์ไรด์ให้เข้มงวดกว่ามาตรฐานยุโรปตามที่เสนอมาได้ แต่ข้อกำหนดปริมาณฟอสฟอรัส ผู้ผลิตไบโอดีเซลเห็นควรกำหนดตามมาตรฐานปัจจุบัน ซึ่งยังไม่เข้มงวดเท่ามาตรฐานยุโรป เนื่องจากคุณสมบัตินี้กำหนดเพื่อรองรับระบบกำจัดมลพิษในไอเสียตามเทคโนโลยีรถยนต์ยูโร 5 แต่เทคโนโลยีรถยนต์ของประเทศไทยปัจจุบันอยู่ในระดับยูโร 4 จึงยังไม่จำเป็นต้องปรับค่าฟอสฟอรัสให้เข้มงวดขึ้นในขณะนี้ ประกอบกับการลดค่าฟอสฟอรัสจะทำให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลต้องลงทุนปรับปรุงกระบวนการผลิต จึงจะส่งผลให้ราคาไบโอดีเซลสูงขึ้น และ (2) มาตรฐานคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 สามารถปรับข้อกำหนดเสถียรภาพต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันให้เข้มงวดกว่ามาตรฐานยุโรปตามที่เสนอได้ แต่ข้อกำหนดเรื่องปริมาณน้ำ ซึ่งมาตรฐานยุโรปกำหนด ไม่สูงกว่า 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ผู้ค้าน้ำมันเสนอให้กำหนดไม่สูงกว่า 300 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เนื่องจากประเทศไทยมีสภาพอากาศร้อนชื้น การกำหนดมาตรฐานให้เข้มงวดเท่ายุโรปจึงยากต่อการปฏิบัติ
6. ธพ. ได้ขอข้อมูลวิชาการเพื่อสนับสนุนการเสนอให้เพิ่มความเข้มงวดของข้อกำหนดปริมาณน้ำในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 แต่ผู้ผลิตรถยนต์ไม่มีการจัดส่งข้อมูล ธพ. จึงสรุปว่าควรกำหนดค่าปริมาณน้ำ ไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามข้อเสนอของผู้ค้าน้ำมัน โดยมีเหตุผลดังนี้ (1) การเพิ่มสัดส่วนจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 7 เป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะต้องเร่งดำเนินการ เพื่อดูดซับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินที่เหลือจากการบริโภคและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม (2) ประเทศไทยใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี5 ที่มีปริมาณน้ำไม่สูงกว่า 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม มาเป็นเวลากว่า 5 ปี ไม่เคยมีปัญหาการใช้งานตามที่เป็นข้อกังวลของผู้ผลิตรถยนต์ (3) ธพ. ได้ดำเนินโครงการทดสอบการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี10 ที่มีปริมาณน้ำไม่สูงกว่า 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม กับรถยนต์บรรทุกขนาดเล็กในภาคสนาม ปรากฏว่าไม่มีปัญหาในการใช้งาน (4) ธพ. จะกำหนดมาตรฐานคุณภาพไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการเสื่อมสภาพของน้ำมันให้เข้มงวดกว่ามาตรฐานยุโรปตามข้อเสนอของ JAMA และผู้ผลิตรถยนต์ ดังนั้น การใช้งานน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 จึงไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหา และ (5) หลังเริ่มการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ธพ. จะติดตามตรวจสอบและควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อให้ไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผลิตจำหน่ายมีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด อีกทั้ง จะมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ผลิตรถยนต์
7. ธพ. ได้ประสานงานกับ JAMA และผู้ผลิตรถยนต์ (สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย) เกี่ยวกับผลการหารือกับผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ค้าน้ำมัน ปรากฏว่า JAMA ยอมรับร่างมาตรฐานคุณภาพไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ตามข้อเสนอของ ธพ. และ ธพ. ได้ประชุมหารือกับสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ตัวแทนผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ผลิตหัวฉีด สรุปได้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศตอบรับการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ในรถยนต์ แต่เนื่องจากบริษัทแม่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ซึ่งมีค่าน้ำแตกต่างจากมาตรฐานยุโรป ดังนั้น จึงขอให้มีการติดตามตรวจสอบค่าปริมาณน้ำในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 อย่างใกล้ชิด และควบคุมคุณภาพไบโอดีเซล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ต่อมา ธพ. ได้ดำเนินการประกาศมาตรฐานคุณภาพของไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ค้าน้ำมันมีระยะเวลาที่เพียงพอในการเตรียมการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานใหม่ และเพื่อให้ผู้ผลิตรถยนต์มีเวลาที่เพียงพอในการเตรียมการรับรองใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 171 - วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 37/2556 (ครั้งที่ 171)
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.30 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 108.66, 117.19 และ 127.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.10 และ 1.94 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ และน้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวลดลง 0.84 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 22 พฤศจิกายน 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 อยู่ที่ 32.2064 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.27 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 22 พฤศจิกายน 2556 ที่ 31.9402 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และผู้ค้าน้ำมันไม่มีการปรับราคาขายปลีกตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2556
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 กองทุนน้ำมันฯ มีทรัพย์สินรวม 24,255 ล้านบาท หนี้สินรวม 18,895 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 5,360 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.60 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล อยู่ที่ประมาณ 1.52 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.11 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.24 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 29.79 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 28.73 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 58.52 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร จาก 0.50 บาทต่อลิตร เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.00 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2556 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 170 - วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 36/2556 (ครั้งที่ 170)
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี กระทรวงพลังงาน
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 และ E20 ลงลิตรละ 0.20 บาท ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 107.56, 118.03 และ 125.66 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.86, 3.67 และ 2.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 18 ตุลาคม 2556) ในส่วนของ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2556 อยู่ที่ 31.9402 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.77 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 21 ตุลาคม 2556 ที่ 31.1737 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง คือวันที่ 18 และ 24 พฤศจิกายน 2556 โดยปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 และ E20 เพิ่มขึ้นชนิดละ 1.00 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เพิ่มขึ้นรวม 0.60 บาทต่อลิตร
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 กองทุนน้ำมันฯ มีทรัพย์สินรวม 24,255 ล้านบาท หนี้สินรวม 18,895 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 5,360 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ประกอบกับผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันฯ มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.60 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล อยู่ที่ประมาณ 1.65 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.26 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.38 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลงประมาณวันละ 29.79 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 1.06 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 28.73 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร จาก 1.10 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.50 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2556 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2556 ในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2556 มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นเจ้าภาพประสานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการดำเนินการความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 กระทรวงพลังงานได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมยกร่างแผนปฏิบัติการความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพิจารณาให้ความเห็นชอบ และจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
2. เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2556 ในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2556 ได้มีการพิจารณาแผนปฏิบัติการความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้นำยุทธศาสตร์ตามที่เสนอลงพื้นที่จังหวัด ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง จนได้ข้อสรุปร่วมกันเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2556 และได้สรุปนำเสนอนายกรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป
3. เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2556 ในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2556 นายกรัฐมนตรีได้พิจารณาผลการดำเนินการคณะทำงานด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอดังนี้ (1) แนวทางดำเนินการเชิงพื้นที่ ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเชิงพื้นที่ การพัฒนาเมืองสีเขียว (Green City) การจัดพื้นที่ (Zoning) พืชพลังงาน และการพัฒนาแหล่งพลังงาน (Source of Energy) ในจังหวัด (2) แผนปฏิบัติการความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ปรับปรุงใหม่ เห็นชอบแผนปฏิบัติการฯ กรอบงบประมาณ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลทางปฏิบัติตามระยะเวลาที่กำหนดต่อไป และ (3) กลไกการดำเนินการ ให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพติดตามประเมินผลการดำเนินการและรายงานต่อรัฐบาลเป็นระยะ
4. เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ลงนามในคำสั่งคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อติดตามประเมินผลการดำเนินการนำเสนอรัฐบาลผ่าน กบง. และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อย่างต่อเนื่อง ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี และเนื่องจากมีการเพิ่มเติมโครงการพัฒนาพลังงานเชิงพื้นที่ กระทรวงพลังงานจึงเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพื่อลงนามแต่งตั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 โดยคณะอนุกรรมการฯ มีองค์ประกอบคือ มีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นรองประธานอนุกรรมการ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอนุกรรมการและมีผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบาย มาตรการ และแนวทางการดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประสานงาน สนับสนุนการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการ ติดตามประเมินผล และรายงานผลดำเนินการต่อรัฐบาลผ่าน กบง. และ กพช. เป็นระยะ
5. เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2556 ในการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 1/2556 ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะทำงานจำนวน 2 คณะ ดังนี้
5.1 คณะทำงานพัฒนาเมืองพลังงานสะอาดหรือเมืองคาร์บอนต่ำ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 มีรองปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นรองประธาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะทำงาน และมีผู้แทนกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เป็นคณะทำงานและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ศึกษากำหนดแนวทางและจัดทำแผนปฏิบัติการการพัฒนาต้นแบบเมืองพลังงานสะอาดหรือเมืองคาร์บอนต่ำ ประสานงานและดำเนินการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการเมืองต้นแบบ พิจารณาผลดำเนินเพื่อปรับปรุงแนวทางการพัฒนาและกำหนดเกณฑ์และคัดเลือกเมืองพลังงานสะอาดในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม เพื่อให้อำนาจหน้าที่ของคณะทำงานเป็นไปอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ กบง. และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ จึงเห็นควรให้มีการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ใหม่5.2 คณะทำงานสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรวัสดุอุปกรณ์เพื่ออนุรักษ์พลังงานในอาคารและโรงงานควบคุม แต่งตั้งเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2556 มีรองปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอนุรักษ์พลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะทำงาน และมีผู้แทนสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นคณะทำงานและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวทางดำเนินการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดนำร่องเพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรวัสดุอุปกรณ์เพื่ออนุรักษ์พลังงานในอาคารและโรงงานควบคุมในพื้นที่นำร่องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสานงาน ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน พิจารณาผลดำเนินการจังหวัดนำร่องที่ดำเนินการในระยะแรก เพื่อปรับปรุงแนวทางการพัฒนาสำหรับขยายผลไปสู่พื้นที่อื่นในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม เพื่อให้อำนาจหน้าที่ของคณะทำงานเป็นไปอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ กบง. และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ จึงเห็นควรให้มีการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ใหม่
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ เพิ่มเติม เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 ในการดำเนินการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ให้การดำเนินการที่ผ่านมาของคณะอนุกรรมการฯ มีผลตั้งแต่วันที่มีคำสั่งแต่งตั้ง
2. เห็นชอบการจัดตั้งคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อบูรณาการดำเนินการในเรื่องสำคัญ ประกอบด้วย คณะทำงานพัฒนาเมืองพลังงานสะอาดหรือเมืองคาร์บอนต่ำ และคณะทำงานสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรวัสดุอุปกรณ์เพื่ออนุรักษ์พลังงานในอาคารและโรงงานควบคุม
กบง. ครั้งที่ 169 - วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 35/2556 (ครั้งที่ 169)
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี กระทรวงพลังงาน
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ราคาปิดตลาดของน้ำมันตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 106.70, 114.36 และ 123.43 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 1.43, 1.98 และ 2.52 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 11 ตุลาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 18 ตุลาคม 2556 อยู่ที่ 31.1737 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 11 ตุลาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ 31.4698 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 21,217 ล้านบาท หนี้สินรวม 15,682 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 5,535 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซลที่ปรับตัวลดลงและอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับสูง ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.50 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยของกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลอยู่ที่ประมาณ 1.86 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.48 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.60 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 26.18 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 7.67 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 18.51 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จาก 0.60 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.10 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและ แผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 168 - วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 34/2556 (ครั้งที่ 168)
วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557- 2561)
2. การปรับปรุงการมอบอำนาจในการดำเนินคดีทางปกครอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 ได้มีมติอนุมัติเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2551 - 2555 ให้ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 173,679,300 บาท พร้อมทั้งเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท ซึ่งต่อมาได้มีการทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ทุกปี โดยสรุปผลการอนุมัติเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปี 2551 – 2555 เป็นจำนวนเงินรวม 205,880,000 บาท
2. ผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปี 2551 – 2555 ของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เฉลี่ยร้อยละ 48.44, 36.26, 83.34, 67.39 และ 25.30 ตามลำดับ ซึ่งเมื่อพิจารณาผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปี 2551 – 2555 เปรียบเทียบกับวงเงินที่ได้รับอนุมัติ พบว่า สบพน. และ สนพ. มีผลการใช้จ่ายเงินอยู่ในระดับต่ำคิดเป็นร้อยละ 25.30 และ 36.26 ตามลำดับ เนื่องจาก (1) ปี 2552 - 2554 สบพน. มีค่าใช้จ่ายในหมวดค่าจ้างชั่วคราว เป็นเงินเดือนตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ วงเงินประมาณ 0.9 – 1.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60 - 70 ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีการจ้างในตำแหน่งนี้ และ (2) ปี 2551 – 2555 สนพ. มีการตั้งงบประมาณในหมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่ ค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาวิจัย และเงินสำรอง จำนวนเงินรวมประมาณ 6.0 - 7.0 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นร้อยละ 60 - 70 ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งที่ผ่านมามีการเบิกจ่ายน้อยมากและเป็นการเบิกจ่ายในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเดินทางไปราชการต่างประเทศและในส่วนของเงินสำรองไม่มีการเบิกจ่าย
3. เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2555 กบง. ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2556 ให้ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงิน 16.5400, 6.3604, 7.7518, 1.2352 และ 2.3422 ล้านบาท ตามลำดับ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 34,229,600 บาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2556 เป็นเงิน 150 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 5 หน่วยงาน ได้รายงานผลการ เบิกจ่ายเงิน ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2556 เป็นจำนวนเงินรวม 18,119,309.73 บาท คิดเป็นร้อยละ 52.93 นอกจากนี้กบง. ได้อนุมัติกรอบวงเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2551 – 2555 เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินงานโครงการตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ สรุปผลการใช้จ่ายเงินปี 2551 – 2555 คิดเป็นร้อยละ 89.29, 87.63, 91.21, 49.09 และ 99.41 เมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่ได้รับ
4. ในปีงบประมาณ 2556 หน่วยงานภายใต้กระทรวงพลังงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น จำนวนรวม 7 โครงการ ดังนี้ (1) สป.พน. จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการสร้างความรับรู้แนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน วงเงินรวม 8 ล้านบาท (2) สนพ. จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการจัดทำฐานข้อมูลร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร และครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ เพื่อรองรับการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โครงการการศึกษาค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG (ภาคขนส่ง) โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ปีงบประมาณ 2556 และโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 127.5 ล้านบาท (3) ธพ. จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จำนวนเงินรวม 5.1193 ล้านบาท และ (4) พพ. จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการจัดตั้งศูนย์บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ ผ่านทางสถาบันการศึกษาของรัฐ (ระยะที่ 1) วงเงิน 16.5 ล้านบาท สรุปวงเงินที่ได้รับอนุมัติในปี 2556 จำนวนเงินรวม 157.1193 ล้านบาท ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2556 มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวนเงิน 70.4313 ล้านบาท
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 21,532 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 15,872 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 15,724 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 148 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิเป็นบวก 5,660 ล้านบาท
6. เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2556 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อเสนอแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันฯ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561) ซึ่ง สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้จัดส่งคำขอแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561) เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 199,400,600 บาท และขออนุมัติกรอบวงเงินงบค่าใช้จ่ายอื่น ปี 2557 – 2571 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท และในปี 2557 สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้จัดทำคำขอรับการสนับสนุนเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2557 เป็นเงินรวม 46,072,400 บาท
7. สรุปแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2557 ของ 5 หน่วยงาน เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ 2556 ดังนี้ (1) สป.พน. ขอรับการสนับสนุนจำนวนบุคลากรอัตราเดิม และปรับลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากร ทำให้จำนวนเงินขอรับการสนับสนุนลดลง 0.1276 ล้านบาท จากเดิมปี 2556 จำนวนเงิน 16.5400 ล้านบาท เป็นจำนวนเงิน 16.4124 ล้านบาท (2) สนพ. ขอรับการสนับสนุนจำนวนบุคลากรลดลงจาก 4 อัตรา เหลือ 3 อัตรา ปรับลดค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมด้านปิโตรเคมีและค่าวารสารต่างประเทศ ปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ และขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทบทวนแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555 - 2559) ทำให้จำนวนเงินขอรับการสนับสนุนเพิ่มขึ้น 3.3650 ล้านบาท จากเดิมปี 2556 จำนวนเงิน 6.3604 ล้านบาท เป็นจำนวนเงิน 9.7254 ล้านบาท (3) กรมสรรพสามิต ปรับเพิ่มจำนวนบุคลากรจาก 21 อัตรา เป็น 23 อัตรา และขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายดำเนินงานโครงการจำนวน 5 โครงการ ทำให้จำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนเพิ่มขึ้น 8.6959 ล้านบาท จากเดิมปี 2556 จำนวนเงิน 7.7518 ล้านบาท เป็นจำนวนเงิน 16.4477 ล้านบาท (4) กรมศุลกากร ขอรับการสนับสนุนจำนวนบุคลากรอัตราเดิม จำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนลดลง 0.1005 ล้านบาท จากเดิมในปี 2556 จำนวนเงิน 1.2352 ล้านบาท เป็นจำนวนเงิน 1.1347 ล้านบาท และ (5) สบพน. ปรับลดจำนวนบุคลากรจาก 2 อัตรา เป็น 1 อัตรา และปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการจัดทำโปรแกรมสำเร็จรูปควบคุมการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ทำให้จำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุน เพิ่มขึ้น 0.0100 ล้านบาท จากเดิมปี 2556 จำนวนเงิน 2.3422 ล้านบาท เป็นจำนวนเงิน 2.3522 ล้านบาท สรุปจำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนตามแผนการใช้จ่ายเงิน งบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2557 ปรับเพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 11.8428 ล้านบาท จากเดิมปีงบประมาณ 2556 จำนวนเงินรวม 34.2296 ล้านบาท เป็นจำนวนเงินรวม 46.0724 ล้านบาท
8. เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2556 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้พิจารณาเรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561) และได้มีมติดังนี้ (1) รับทราบ ผลการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2556 ของหน่วยงานต่างๆ (2) เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงิน งบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561) ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงินรวม 199,400,600 บาท และงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2557 – 2561 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง และ (3) อนุมัติเงิน งบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2557 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงินรวม 46,072,400 บาท โดยงบประมาณทุกหมวดรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ และให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป ทั้งนี้ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2556 ของหน่วยงานต่างๆ
2. อนุมัติกรอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561) ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 189,130,600 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบเก้าล้านหนึ่งแสนสามหมื่นหกร้อยบาทถ้วน) และงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2557 – 2561 จำนวนเงิน ปีละ 300 ล้านบาท (สามร้อยล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง
3. อนุมัติเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2557 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 35,802,400 บาท (สามสิบห้าล้านแปดแสนสองพันสี่ร้อยบาทถ้วน) โดยงบประมาณทุกหมวดรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป
4. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำข้อเสนอโครงการของกรมสรรพสามิต ในงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2557 หมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ จำนวน 4 โครงการ เสนอคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณในงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2557 ต่อไป
เรื่อง การปรับปรุงการมอบอำนาจในการดำเนินคดีทางปกครอง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2556 ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งเรียกให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ทำคำให้การพร้อมด้วยพยานหลักฐาน 1 ชุด และจัดทำคำให้การและสำเนาพยานหลักฐานที่มีการรับรองสำเนาถูกต้อง อีก 1 ชุด รวม 2 ชุด ยื่นต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งในคดีศาลปกครองกลาง หมายเลขดำที่ 1143/2555 กรณีนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ผู้ฟ้องคดี ได้ยื่นฟ้อง กบง. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ 1 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ 2 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่ 3 ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ผอ.สนพ.) ที่ 4 คณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ 5 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ 6 คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่ 7 คณะกรรมการกลางว่าด้วยสินค้าและบริการ ที่ 8) โดยกล่าวหาว่าผู้ถูกฟ้องคดีร่วมกันกำหนดราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่แพงเกินจริงและเอื้อประโยชน์ต่อเอกชน ซึ่งการกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา และการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าการตลาด ค่าขนส่ง การกำหนดอัตราราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีกอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ กบง. จึงขอให้หยุดขึ้นราคาน้ำมัน ราคาก๊าซธรรมชาติรวมทั้งค่าไฟฟ้า เนื่องจากกำหนดราคาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่ง สนพ. ได้รับคำสั่งเรียกให้ทำคำให้การวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ครบกำหนดยื่นคำให้การในวันที่ 8 สิงหาคม 2556
2. สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ได้รวบรวมเอกสารหลักฐานเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงประกอบคำให้การ แต่เนื่องจากเอกสารหลักฐานมีปริมาณมาก ทำให้ไม่สามารถยื่นคำให้การได้ทันตามกำหนด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 สนพ. ได้มีหนังสือขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การต่อศาลปกครองไปอีก 30 วัน นับแต่วันครบกำหนดเดิม ต่อมาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2556 กบง. ได้มีมติเห็นควรให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีกรณีที่ กบง. เป็นผู้ฟ้องคดีหรือถูกฟ้องคดีปกครองทุกศาลและทุกชั้นศาลปกครองจนกว่าคดีจะถึงที่สุด และให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ได้ทุกประการไม่ว่าจะเป็นไปในทางจำหน่ายสิทธิหรือไม่ก็ตาม ตลอดจนให้มีอำนาจในการมอบอำนาจช่วงให้นิติกรไปดำเนินการใดๆ แทน และได้มอบหมายให้ประธาน กบง. มีอำนาจแทน กบง. ในการลงนามในใบมอบอำนาจและเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อแต่งตั้งให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีปกครองนาม กบง. ทุกคดี
3. สำนักงานศาลปกครองกลาง ได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาล ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2556 และลงวันที่ 28 สิงหาคม 2556 แจ้งว่า ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กพช.) และที่ 3 (กบง.) ขยายระยะเวลายื่นคำให้การออกไปถึงวันที่ 7 กันยายน 2556 และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กพช.) และที่ 3 (กบง.) จัดส่งหนังสือมอบอำนาจและ/หรือมติคณะกรรมการที่มอบอำนาจให้ สนพ. เป็นผู้มีอำนาจในการดำเนินคดีปกครองแทนผู้ถูกฟ้องที่ 2 (กพช.) และที่ 3 (กบง.) มาพร้อมคำให้การด้วย ซึ่งเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2556 สนพ. ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคดีปกครอง สำนักงานอัยการสูงสุด ขอความอนุเคราะห์จัดพนักงานอัยการเพื่อแก้ต่างคดี โดยสำนักงานศาลปกครองกลาง ได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาล ลงวันที่ 9 กันยายน 2556 ถึงร้อยเอกฉัตรชัย กันนิ่ม พนักงานอัยการ ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 และที่ 8 (กบง. ที่ 3) แจ้งว่าศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 และที่ 8 ขยายระยะเวลายื่นคำให้การออกไปถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2556 และต่อมาได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาล ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2556 ถึงร้อยเอกฉัตรชัย กันนิ่ม พนักงานอัยการ ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 และที่ 8 (กบง. ที่ 3) แจ้งว่า ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 และที่ 8 ขยายระยะเวลายื่นคำให้การออกไปถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2556
4. เพื่อให้การดำเนินคดีปกครองเกิดประโยชน์ต่อทางราชการและมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอเสนอให้มีการปรับปรุงเพิ่มเติมดังนี้ (1) การมอบอำนาจ เดิม กบง. มอบหมายให้ประธาน กบง. มีอำนาจทำการแทน กบง. ในการลงนามในใบมอบอำนาจและเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อแต่งตั้งให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีปกครองในนาม กบง. ทุกคดี ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรเพิ่มเติมให้ กบง. มอบอำนาจให้กรรมการและเลขานุการ กบง. มีอำนาจทำการแทน กบง. ในกรณีดังกล่าวด้วย และรวมทั้งให้มีอำนาจในการ ไปให้ถ้อยคำต่อศาล ทำคำชี้แจงข้อเท็จจริง หรือมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการดังกล่าวทุกคดี และ (2) การยื่นขอขยายระยะเวลาจัดทำคำให้การ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เป็นผู้ยื่นขอขยายระยะเวลาทำคำให้การต่อ ศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 โดยยังไม่ได้รับมอบหมายจาก กบง. ให้เป็นผู้มีอำนาจทำการ แทน กบง. ต่อมาศาลปกครองกลางได้มีหนังสืออนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การออกไปถึงวันที่ 7 กันยายน 2556 โดยขอให้จัดส่งหนังสือมอบอำนาจและ/หรือมติคณะกรรมการที่มอบอำนาจให้กรรมการและเลขานุการ เป็นผู้มีอำนาจในการดำเนินคดีปกครองแทนผู้ถูกฟ้องที่ 2 (กพช.) และที่ 3 (กบง.) มาพร้อมคำให้การด้วย ฝ่ายเลขานุการฯเสนอขอความเห็นชอบกรณียื่นขอขยายระยะเวลาทำคำให้การต่อศาลปกครองกลางของกรรมการและเลขานุการฯ กบง. เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 ต่อ กบง.
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงานและ/หรือผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีอำนาจแทน กบง. ในการลงนามในใบมอบอำนาจและเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อแต่งตั้งให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีปกครอง ในนาม กบง. ทุกคดี รวมทั้งให้มีอำนาจในการไปให้ถ้อยคำต่อศาล ทำคำชี้แจงข้อเท็จจริง หรือมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการดังกล่าวทุกคดี
2. เห็นชอบให้สัตยาบันในการที่ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้แทนในการยื่นขอขยายระยะเวลาทำคำให้การ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 ในคดีศาลปกครองกลาง หมายเลขดำที่ 1143/2555