Super User
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 11 กันยายน 2558
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 10 กันยายน 2558
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 27 สิงหาคม - 2 กันยายน 2555
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 09 กันยายน 2558
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 08 กันยายน 2558
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 07 กันยายน 2558
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 04 กันยายน 2558
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 6 พฤษภาคม 2547
กบง. ครั้งที่ 104 - วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2555 (ครั้งที่ 104)
เมื่อวันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล
2. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
3. การชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบเกี่ยวกับการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อเช้าวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 ซึ่งได้หารือเกี่ยวกับราคาสินค้าแพง และการสำรวจตลาดสินค้าของรัฐมนตรี โดยพบว่าราคาสินค้ามีทั้งที่สูงขึ้นและลดลง แต่การนำเสนอข่าวส่วนใหญ่เป็นราคาสินค้าที่สูงขึ้นมากกว่า โดยมีการอ้างถึงสาเหตุบางอย่างเกิดจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นในส่วนของกระทรวงพลังงานต้องมีการพิจารณาราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม พร้อมทั้งต้องมีการหารือกับกระทรวงพาณิชย์และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือในเรื่องนี้ร่วมกันด้วย
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เกี่ยวกับแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล เดือนละ 1 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง. พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม
2. เพื่อให้การดำเนินการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละเดือน กบง. เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555 จึงได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณามอบหมายให้ กบง. กำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. กบง. ได้มีการประชุมและมีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จำนวน 4 ครั้ง ได้แก่ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555, 15 กุมภาพันธ์ 2555, 15 มีนาคม 2555 และวันที่ 10 เมษายน 2555 โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และวันที่มีผลบังคับใช้ ดังนี้
ชนิดน้ำมันเชื้อเพลิง | อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (บาทต่อลิตร) | ||||
อัตราเดิม | 16 ม.ค.55 | 16 ก.พ.55 | 16 มี.ค.55 | 16 เม.ย.55 | |
น้ำมันเบนซิน 95 | 0.00 | 1.00 | 2.00 | 3.00 | 4.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 0.00 | 1.00 | 2.00 | 3.00 | 4.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 0.20 | 1.20 | 2.20 | 2.20 | 2.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.40 | -0.40 | 0.60 | 0.60 | 0.60 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.80 | -1.80 | -0.80 | -0.80 | -0.80 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -13.50 | -13.60 | -12.60 | -12.60 | -12.60 |
น้ำมันดีเซล | 0.00 | 0.60 | 0.60 | 0.60 | 0.60 |
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยวันที่ 2 พฤษภาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 116.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 131.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 132.83 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูงส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศสูงตามไปด้วย โดย ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 31.63, 43.45 และ 40.03 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
5. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 3,740 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 26,857 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 26,508 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 349 ล้านบาท ดังนั้นกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 23,117 ล้านบาท
6. เนื่องจากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง การปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน ดังนั้นเพื่อรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อและบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนจากภาวะราคาน้ำมันแพง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซลในอัตราเดิม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซลในอัตราเดิม ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | อัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (บาทต่อลิตร) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 4.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 4.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 2.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 0.60 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.80 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -12.60 |
น้ำมันดีเซล | 0.60 |
เรื่องที่ 2 แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ดังนี้ (1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีก NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555 (2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ถึงเดือนเมษายน 2555 (3) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (4) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) โดยปรับพร้อมกับการขึ้นราคา NGV 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (5) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และ (6) มอบหมายให้ กบง. พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ
2. การดำเนินการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV โดย กบง. ได้ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยของก๊าซ NGV ลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนเมษายน 2555 โดยได้ออกประกาศ กบง. เรื่องอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ จำนวน 5 ฉบับ มีผลให้ปัจจุบันอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ NGV อยู่ที่อัตรากิโลกรัมละ 0.00 บาท การปรับลดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ NGV ดังกล่าว ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2555 ปรับเพิ่มขึ้น 2.00 บาทต่อกิโลกรัม จาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.50 บาทต่อกิโลกรัม
3. การศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซ NGV โดยกระทรวงพลังงานได้จัดตั้งคณะทำงานศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซ NGV ซึ่งคณะทำงานฯ ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ดำเนินการจัดจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ เพื่อศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซ NGV ซึ่งเดิมศึกษาโดยสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTIT) เพื่อให้ผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง โดยในขณะนี้สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ และคณะทำงานฯ อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลการศึกษาฯ เพื่อให้ได้ข้อสรุปในการจัดทำข้อเสนอแนวทางการปรับราคาก๊าซ NGV เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพิจารณาต่อไป
4. การดำเนินการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG โดย กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ออกประกาศกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง เพื่อปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง แล้วรวม 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 16 เมษายน 2555 เดือนละหนึ่งครั้งๆ ละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) รวมเป็นเงิน 3.00 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งปรับเพิ่มขึ้นจาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 21.13 บาทต่อกิโลกรัม และอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 2.8036 บาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอ แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาก่อนวันที่ 16 พฤษภาคม 2555 โดยขอความเห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน (16 พฤษภาคม 2555 ถึง 15 สิงหาคม 2555) และขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 2.8036 บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน (16 พฤษภาคม 2555 ถึง 15 สิงหาคม 2555)
เรื่องที่ 3 การชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอโครงการแทรกแซงมันสำปะหลังปี 2554/55 ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2555 ราคารับจำนำหัวมันสด (ตามเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งที่ร้อยละ 25) อยู่ที่ 2.75 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 10 ล้านตัน จำกัดการรับจำนำอยู่ที่ 250 ตันต่อราย และจะมีการปรับขึ้นราคาการรับจำนำทุกเดือนๆ ละ 5 สตางค์
2. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2554 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ได้เสนอแนวการเพิ่มการใช้เอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังประมาณ 200,000 ลิตรต่อวัน เป็น 400,000 ลิตรต่อวัน โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ รักษาสมดุลราคา ดังนั้น กระทรวงพลังงาน จึงมีโครงการส่งเสริมการรับซื้อเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังสำหรับการใช้เป็นเชื้อเพลิงให้มากขึ้น ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2555 กบง. ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาแนวทางการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) หารือกับสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตรวจสอบข้อกฎหมายเกี่ยวกับการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ในโครงการและจ่ายชดเชยโดยตรงให้กับโรงงานเอทานอลเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย
3. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2555 ได้มีการประชุมแนวทางการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลตำรวจโทวิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) เป็นประธาน และได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตรวจสอบข้อกฎหมายในการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ตามโครงการและการจ่ายเงินชดเชยตรงให้กับโรงงานเอทานอล พร้อมทั้งประสานกรมสรรพสามิตเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลราคาอ้างอิงเอทานอลจากกากน้ำตาล และรายงานผลให้ทราบต่อไป
4. เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2555 สนพ. และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้เข้าร่วมประชุมชี้แจงกับคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) ในประเด็นการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาเอทานอลผลิตจากมันสำปะหลัง ซึ่งคณะกรรมการมีความเห็นว่าเอทานอลมิใช่น้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น กบง. จึงไม่มีอำนาจกำหนดให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เป็นเงินจ่ายชดเชยเอทานอลให้แก่โรงงานเอทานอล แต่สามารถสั่งจ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ โรงกลั่นได้ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 10 ซึ่งบัญญัติให้การชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิง (ในที่นี้ หมายถึง การชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล) กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2553 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1 ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ก็มีการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่แล้ว
5. เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2555 สนพ. ได้หารือร่วมกับ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) พพ. และผู้ค้ามาตรา 7 เพื่อหาข้อสรุปแนวทางการส่งเสริมการรับซื้อเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังสำหรับเป็นเชื้อเพลิง แต่เนื่องจากผู้ค้ามาตรา 7 มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับผู้ผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลและมันสำปะหลังอยู่แล้ว ดังนั้นหากต้องการให้มีการรับซื้อเอทานอลตามปริมาณเป้าหมาย 400,000 ลิตรต่อวัน จึงจำเป็นต้องขยายเวลาการรับซื้อเอทานอลจาก 2 เดือน เป็น 5 เดือน
6. สรุปรายละเอียดโครงการ
6.1 เป้าหมายการรับซื้อมันสำปะหลังและเอทานอลเพื่อใช้ในการผลิตแก๊สโซฮอลตามโครงการ
1) มันสำปะหลัง 150,000 ตัน หรือมันเส้น 64,172 ตัน โดยประมาณ
2) เอทานอล 400,000 ลิตรต่อวัน คิดเป็นจำนวนเอทานอล 24,400,000 ลิตร
6.2 บริษัทผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง เข้าร่วมโครงการ 2 ราย ปริมาณการผลิต 24.4 ล้านลิตร ได้แก่ บริษัท ทรัพย์ทิพย์ จำกัด คิดเป็นจำนวนเอทานอล 13 ล้านลิตร และบริษัท พี.เอส.ซี สตาร์ช โปรดักส์ (มหาชน) คิดเป็นจำนวนเอทานอล 11.4 ล้านลิตร
6.3 ผู้ผลิตเอทานอล จะรับซื้อมันเส้นจากคลังกลางของโครงการตามสัดส่วนการผลิตเอทานอลในราคารับจำนำมันสำปะหลังเฉลี่ยย้อนหลัง 4 เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม 2555 ที่ราคาเฉลี่ย 2.825 บาทต่อกิโลกรัม และใช้ราคารับซื้อมันเส้นเป็นราคาเดียวจนเสร็จสิ้นโครงการในเดือนกันยายน 2555
6.4 ผู้ค้ามาตรา 7 เข้าร่วมโครงการ 3 ราย คือ (1) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับซื้อเอทานอลจาก บริษัททรัพย์ทิพย์ฯ 12.2 ล้านลิตร และ บริษัท พี.เอส.ซี สตาร์ชฯ 4.0 ล้านลิตร (2) บริษัท บางจาก จำกัด (มหาชน) รับซื้อเอทานอลจาก บริษัท พี.เอส.ซี สตาร์ชฯ 7.4 ล้านลิตร และ (3) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) รับซื้อเอทานอลจากบริษัททรัพย์ทิพย์ฯ 0.8 ล้านลิตร
7. แนวทางการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง
7.1 วิธีการชดเชย
1) ชดเชยราคาแก๊สโซฮอลที่สูงขึ้นจากการใช้เอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังในโครงการมาผสม เมื่อเทียบกับเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลในแต่ละเดือน ให้แก่ผู้ค้ามาตรา 7 ที่เข้าร่วมโครงการ โดยคำนวณจากปริมาณเอทานอลที่ขอชดเชยแล้วจะไม่เกินกว่าปริมาณเอทานอลที่รับซื้อจากผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังที่ซื้อจากคลังกลาง (อคส.) (ปตท. ไม่เกิน 16.2 ล้านลิตร บางจาก ไม่เกิน 7.4 ล้านลิตร และไทยออยล์ไม่เกิน 0.8 ล้านลิตร)
2) พพ. เป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานความถูกต้องของปริมาณ และราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอลรับซื้อจากเอทานอลในโครงการ (อคส.) รวมทั้งปริมาณที่จำหน่ายให้ผู้ค้ามาตรา 7 และแจ้งให้ ธพ. ทราบ
3) ธพ. เป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานการจำหน่ายแก๊สโซฮอลและจำนวนเงินที่ขอชดเชย ของผู้ค้ามาตรา 7 สอบยันความถูกต้องกับหลักฐานที่ พพ. ส่งให้ ธพ. ตรวจสอบ เพื่อแจ้งให้ สนพ. ดำเนินการต่อไป
4) สนพ. ออกประกาศ กบง. กำหนดอัตราเงินชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังในโครงการฯ และทำหนังสือแจ้งให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ค้ามาตรา 7
7.2 อัตราการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล
8. สมมุติฐานราคาเอทานอลจากกากน้ำตาลเฉลี่ยเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน 2555 ที่ราคา 19.3 บาทต่อลิตร เงินชดเชย ราคาเอทานอลจะเท่ากับ 7.412 บาทต่อลิตร ดังนั้น วงเงินขอชดเชยแก๊สโซฮอลจะเท่ากับ 180 ล้านบาท ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง ในวงเงิน 180 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทางการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังดังนี้
1.1 วิธีการชดเชย
1) ชดเชยราคาแก๊สโซฮอลที่สูงขึ้นจากการใช้เอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังในโครงการมาผสม เมื่อเทียบกับเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลในแต่ละเดือน ให้แก่ผู้ค้ามาตรา 7 ที่เข้าร่วมโครงการ โดยคำนวณจากปริมาณเอทานอลที่ขอชดเชยแล้วจะไม่เกินกว่าปริมาณเอทานอลที่รับซื้อจากผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังที่ซื้อจากคลังกลาง (อคส.) (ปตท. ไม่เกิน 16.2 ล้านลิตร บางจาก ไม่เกิน 7.4 ล้านลิตร และไทยออยล์ไม่เกิน 0.8 ล้านลิตร)
2) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานความถูกต้องของปริมาณ และราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอลรับซื้อจากเอทานอลในโครงการ (อคส.) รวมทั้งปริมาณที่จำหน่ายให้ผู้ค้ามาตรา 7 และแจ้งให้กรมธุรกิจพลังงานทราบ
3) กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานการจำหน่ายแก๊สโซฮอลและจำนวนเงินที่ขอชดเชยของผู้ค้ามาตรา 7 สอบยันความถูกต้องกับหลักฐานที่ พพ. ส่งให้ ธพ. ตรวจสอบ เพื่อแจ้งให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการต่อไป
4) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานกำหนดอัตราเงินชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังในโครงการฯ และทำหนังสือแจ้งให้ สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน จ่ายเงินชดเชยให้ผู้ค้ามาตรา 7
1.2 อัตราการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล
2. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง ในวงเงิน 180 ล้านบาท (หนึ่งร้อยแปดสิบล้านบาทถ้วน)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 ให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีกไตรมาสละ 1 ครั้ง จำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม ต่อมาคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG โดยภาคครัวเรือน ให้ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 ภาคขนส่ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ให้ปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (ปรับราคาไปแล้ว 4 เดือน รวม 3 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 1.64 บาทต่อลิตร) และภาคปิโตรเคมี กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 1 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
2. สถานการณ์ก๊าซ LPG โดยในไตรมาสแรกของปี 2555 การจัดหาก๊าซ LPG มาจากการผลิตในประเทศร้อยละ 74 (จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติร้อยละ 64 และจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีร้อยละ 36) และนำเข้าร้อยละ 26 ส่วนความต้องการใช้หลักอยู่ในภาคครัวเรือนประมาณร้อยละ 41 ส่วนที่เหลืออยู่ในภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม และภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีประมาณร้อยละ 15, 9 และ 35 ตามลำดับ ทั้งนี้ ในช่วงปี 2550 - ไตรมาสแรกของปี 2555 อัตราการขยายตัวของความต้องการใช้ก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนโดยเฉลี่ยร้อยละ 9 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของ GDP และอัตราการขยายตัวของจำนวนครัวเรือน จึงเป็นไปได้ว่าส่วนหนึ่งของก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนมีการรั่วไหลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน หรือนำไปใช้ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม โดยพบว่าเมื่อเริ่มปรับราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 เป็นต้นมา ปริมาณใช้ก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมลดลงอย่างต่อเนื่อง
3. ปัจจุบันก๊าซหุงต้มที่จำหน่ายในประเทศถูกตรึงราคาไว้ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ได้ปรับราคาไปแล้ว 4 ครั้งๆ ละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม ราคาจำหน่าย ณ วันที่ 23 เมษายน 2555 เท่ากับ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าราคาก๊าซหุงต้ม 3 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในภาคอุตสาหกรรม ได้ปรับราคาครบถ้วนตามมติคณะรัฐมนตรีแล้วจำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม รวม 12 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีราคาจำหน่าย 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคาจำหน่ายก๊าซ LPG ในประเทศเพื่อนบ้าน ณ วันที่ 4 เมษายน 2555 ในประเทศ ลาว พม่า กัมพูชา มาเลยเซีย และเวียดนาม อยู่ที่ 49, 34, 45, 20 และ 59 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ขณะที่ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศไทยอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม
4. เนื่องจากก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม มีราคาแตกต่างกัน ส่งผลให้มีการนำก๊าซ LPG ไปใช้ข้ามสาขาหรือผิดประเภท ดังนี้ (1) การลักลอบนำก๊าซ LPG จากโรงบรรจุก๊าซไปจำหน่ายข้ามสาขา ส่งผลให้เงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในสาขาขนส่งและอุตสาหกรรมไม่ครบถ้วน (2) การนำถังก๊าซหุงต้มไปใช้ในยานพาหนะ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน (3) การการลักลอบถ่ายเท LPG จากถังก๊าซหุงต้ม หรือรถขนส่งก๊าซ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ปัจจุบันยังไม่พบการกระทำผิดดังกล่าว และ ( 4) การนำถังก๊าซหุงต้มไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมแทนการใช้ถังเก็บขนาดใหญ่หรือถัง Bulk ปัจจุบันยังไม่มีความผิดเนื่องจากกฎหมายอนุญาตให้ตั้งถังก๊าซหุงต้มขนาด 48 กิโลกรัมได้ 20 ใบ (ไม่เกิน 1,000 กิโลกรัม) แต่อาจส่งผลให้ความปลอดภัยลดลง และ เนื่องจากก๊าซ LPG ในประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบมีราคาสูงกว่าก๊าซหุงต้มที่จำหน่ายในประเทศมาก ทำให้มีการลักลอบส่งออกก๊าซ LPG ที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบกและทางทะเล
5. เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2555 คณะอนุกรรมการกำหนดแนวทางปฏิบัติงานในการป้องกันและตรวจสอบการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ได้เห็นชอบให้ ขอความร่วมมืองานปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ปนม. ตร.) ออกตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG ข้ามสาขา
6. ธพ. ได้ติดตามข้อมูลปริมาณจำหน่ายก๊าซให้โรงบรรจุก๊าซและสถานีบริการที่มีความผิดปกติ ดังนี้ (1) โรงบรรจุก๊าซในจังหวัดตามแนวชายแดนและจังหวัดใกล้เคียงที่มียอดจำหน่ายสูงผิดปกติ จำนวน 173 แห่ง ใน 31 จังหวัด และ (2) สถานีบริการจำหน่ายก๊าซ LPG ที่มียอดจำหน่ายผิดปกติหรือมีพฤติกรรมน่าสงสัยทั่วประเทศ จำนวน 405 แห่ง ซึ่ง ธพ. ได้ประสาน ปนม. ตร. จัดส่งชุดปฏิบัติการในส่วนกลาง เพื่อร่วมดำเนินการตรวจสอบ 12 ชุดปฏิบัติการๆ ละ 15 คน รวม 180 คน มีเวลาปฏิบัติงานได้เดือนละประมาณ 14 วัน ตรวจสอบโรงบรรจุก๊าซและสถานีบริการจำนวน 578 แห่ง จะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 5 เดือน รวมระยะเวลาปฏิบัติงาน 70 วัน
7. ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบโรงบรรจุก๊าซและสถานีบริการก๊าซ LPG ทั่วประเทศ จำนวน 578 แห่ง เป็นจำนวน 13,584,000 บาท โดยขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 7 เดือน (ระยะเวลา ปนม.ตร. ดำเนินงาน 5 เดือน และระยะเวลาสำหรับเบิกจ่ายเงิน 2 เดือน)
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2555 ให้กรมธุรกิจพลังงาน เพื่อดำเนินงานโครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้านจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงิน 13,584,000 บาท (สิบสามล้านห้าแสนแปดหมื่นสี่พันบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 7 เดือน โดยให้สามารถเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นจริง โดยสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการได้