Super User
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 10 ธันวาคม 56
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 5 เมษายน 2547
กบง. ครั้งที่ 100 - วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2555 (ครั้งที่ 100)
เมื่อวันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG และ NGV ในภาคขนส่ง
2. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล
3. เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2555
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG และ NGV ในภาคขนส่ง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ดังนี้ (1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีก NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555 (2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ถึงเดือนเมษายน 2555 (3) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (4) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) โดยปรับพร้อมกับการขึ้นราคา NGV 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (5) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (6) มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ
2. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ (1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - ธันวาคม 2555 (2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยของก๊าซ NGV ลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เดือนเมษายน 2555 (3) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ออกประกาศ กบง. เรื่อง อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ฉบับที่ 10 โดยกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 ในอัตรากิโลกรัมละ 1.50 บาท และฉบับที่ 16 กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป ในอัตรากิโลกรัมละ 1.50 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ปรับเพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 9.00 บาทต่อกิโลกรัม
3. กบง. เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) เห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง (3) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ในช่วงวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรา 0.7009 บาทต่อกิโลกรัม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ก่อนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555
4. สนพ. ได้ออกประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง จำนวน 2 ฉบับ โดยฉบับที่ 3 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มตามระยะเวลาและในอัตราที่เพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 16 - 31 มกราคม 2555 อัตรากิโลกรัมละ 0.7009 บาท และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 เพิ่มขึ้นในอัตรากิโลกรัมละ 0.7009 บาทต่อเดือน ไปสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2556 ที่อัตราราคากิโลกรัมละ 10.4154 บาท และฉบับที่ 19 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรากิโลกรัมละ 0.7009 บาท เป็นต้นไป
5. เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 และมติ กบง. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 จึงเสนอให้ปรับลดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ลง 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากชดเชย 1.50 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 1.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV เพิ่มขึ้นจาก 9.00 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 9.50 บาทต่อกิโลกรัม และเพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 และมติ กบง. เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 จึงเสนอปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง จาก 0.7009 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 1.4018 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นจาก 18.83 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 19.58 บาทต่อกิโลกรัม
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอให้ กบง. พิจารณาดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ในอัตรา 1.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555 (2) ขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ในอัตรา 1.4018 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555 (3) ขอความเห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ โดยขอยกเลิกข้อความในข้อ 2 และ เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง และ (4) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ในอัตรา 1.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555
2. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 1.4018 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555
3. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ และ เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง โดยให้ยกเลิกข้อความในข้อ 2 ของร่างประกาศและให้ปรับข้อความในข้อ 3 เป็นข้อ 2 แทน
4. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554เกี่ยวกับแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล เดือนละ 1 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง. พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว อัตรา 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง. พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม
2. กบง. เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในเดือนมกราคม 2555 โดยให้ สนพ. ออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และให้ สนพ. นำเสนอ กพช. พิจารณามอบหมายให้ กบง. กำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ
3. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 มีเงินสดในบัญชี 2,988 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 20,623 ล้านบาท แยกเป็นหนี้อยู่ระหว่างการเบิกจ่ายชดเชย 20,469 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 154 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิติดลบ 17,635 ล้านบาท
4. ในการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร และให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ 0.60 บาทต่อลิตร จากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะมีผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น 1.07 บาทต่อลิตร ราคาน้ำมันดีเซลคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และกองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 21 ล้านบาท จากติดลบวันละ 142 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 121 ล้านบาท
5. จากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามข้อ 4 จะทำให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 แก๊สโซฮอล E20 และแก๊สโซฮอล E85 อยู่ในอัตรา 0.60 -0.80 และ -12.60 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าที่เคยกำหนดไว้เดิมเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 ที่อัตรา 0.10 -1.30 และ -13.50 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ดังนั้น จึงเห็นควรให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำข้อเสนอการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแต่ละชนิดไม่สูงเกินกว่าอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้แล้วนำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป นอกจากนี้ พบว่าส่วนต่างราคาของน้ำมันเบนซิน 91 กับแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 1.28 บาทต่อลิตร ขณะที่ส่วนต่างราคา ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554 อยู่ที่ 4.90 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ผู้ใช้น้ำมันเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซิน 91 มากขึ้น จากเดิม 8.30 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มเป็น 9.90 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่แก๊สโซฮอล 95 มีการใช้ลดลงจาก 6.05 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 4.96 ล้านลิตรต่อวัน ดังนั้น เพื่อจูงใจให้ผู้ใช้น้ำมันเปลี่ยนมาใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มมากขึ้น จึงควรขยายส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซิน 91 กับแก๊สโซฮอล 95 ให้มากขึ้น โดย ทยอยปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันเบนซิน 95 ให้มีส่วนต่างกับราคาแก๊สโซฮอล 95 ในระดับที่เหมาะสม และให้ สนพ. ติดตามประเมินผลการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในแต่ละเดือนพร้อมให้ความเห็นประกอบการพิจารณาของ กบง. ในการประชุมครั้งต่อๆ ไป
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลขึ้น 1.00 บาทลิตร ส่งผลให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 2.00 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 2.20 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 อยู่ที่ 0.60 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ชดเชยที่ 0.80 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ชดเชยที่ 12.60 บาทต่อลิตร โดยให้ สนพ. ไปออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป และให้ สนพ. จัดทำข้อเสนอการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ โดยการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแต่ละชนิดไม่สูงเกินกว่าอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554 แล้วนำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 1.00 | 2.00 | +1.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 1.00 | 2.00 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.20 | 2.20 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -0.40 | 0.60 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -1.80 | -0.80 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -13.60 | -12.60 | +1.00 |
น้ำมันดีเซล | 0.60 | 0.60 | - |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจัดทำข้อเสนอการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแต่ละชนิดไม่สูงเกินกว่าอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554 นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
เรื่องที่ 3 เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2555
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณ นำระบบการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากล และมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ซึ่งกองทุนน้ำมันฯ เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป
2. เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2555 กรมบัญชีกลาง ได้รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง โดยได้ให้ความเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2554 ปรากฏว่าผลการดำเนินงานอยู่ที่ระดับ 3.8370 คะแนน (สูงกว่าค่าปกติ/สูงกว่า 3 คะแนน)
3. ในเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2554 สนพ. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กรมบัญชีกลาง และบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีบัญชี 2555 โดยสรุปเกณฑ์การประเมินผลฯ ดังนี้
3.1 ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ประกอบด้วย 4 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากความสามารถในการหาเงินกู้ของกองทุน (2) อัตราผลตอบแทนจากการบริหารเงินฝากของกองทุนฯ (3) ร้อยละของความสำเร็จของโครงการที่ใช้งบประมาณของกองทุนฯ เมื่อเทียบกับแผนงานโครงการที่อนุมัติ และ (4) การจัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 170 ให้กรมบัญชีกลาง
3.2 ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ประกอบด้วย 4 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) ร้อยละความคลาดเคลื่อนของการพยากรณ์ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 6 ประเภท เทียบกับข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) รอบ 12 เดือน (2) ร้อยละของการเผยแพร่การวิเคราะห์ภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้นตามประกาศ กบง. ทางเว็ปไซต์ของ สบพน. ได้ภายใน 1 วันทำการ หลังจากการรับแจ้งประกาศ กบง. จาก สนพ. และการเผยแพร่ภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้ประชาชนทราบรายสัปดาห์ (3) การรักษามาตรฐานระยะเวลาการจ่ายเงินให้หน่วยเบิกนับแต่วันที่ได้รับเอกสารในการจ่ายชดเชยตามประกาศ กบง. และ (4) การรักษามาตรฐานระยะเวลาในการจ่ายเงินให้หน่วยเบิกนับแต่วันที่ได้รับเอกสารในการจ่ายชดเชยก๊าซแอลพีจีนำเข้าจากต่างประเทศ
3.3 การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) ร้อยละของระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ และ (2) ระดับความสำเร็จของการนำข้อคิดเห็นจากการสำรวจความพึงพอใจไปปรับปรุง
3.4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย 6 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) บทบาทคณะกรรมการทุนหมุนเวียน (2) การบริหารความเสี่ยง (3) การควบคุมภายใน (4) การตรวจสอบภายใน (5) การบริหารจัดการสารสนเทศ และ (6) การบริหารทรัพยากรบุคคล
4. เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2554 กรมบัญชีกลางได้จัดส่ง "บันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2555 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" มาให้ และขอให้ผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว และส่งคืนกรมบัญชีกลาง ซึ่งการนำเสนอให้ผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงฯ จะต้องผ่านความเห็นชอบจาก กบง. ก่อน ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำเสนอ กบง. เพื่อขอความเห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีบัญชี 2555 และมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2555 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ เสนอประธาน กบง. ลงนามต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2555 และมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2555 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เสนอประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานลงนามต่อไป
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ได้รายงานสถานการณ์น้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงปี 2554 ถึงต้นปี 2555 สรุปได้ดังนี้
(1) น้ำมันเบนซิน ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2554 ได้มีการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 และ 95 ลง ทำให้ผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซิน 91 มากขึ้น จากเดิมเฉลี่ยครึ่งปีแรกของปี 2554 อยู่ที่ประมาณ 7.5 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 9 - 10 ล้านลิตรต่อวัน และในช่วงเวลาเดียวกัน น้ำมันเบนซิน 95 มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 และ 95 E10 มีปริมาณการใช้ลดลง น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E20 มีการใช้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากมีสถานีบริการน้ำมันฯ จำนวนน้อย น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นมากในช่วงเดือนธันวาคม 2554
(2) น้ำมันดีเซล ในช่วงต้นปี 2554 รัฐบาลมีนโยบายตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไว้ที่ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2554 ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซลเกรดเดียว คือน้ำมันดีเซล บี5 ซึ่งปัญหาของน้ำมันดีเซล บี5 คือ การขาดแคลนปาล์มน้ำมันเนื่องจากอาจมีการส่งออกปาล์มในช่วงราคาที่มาเลเซียสูงกว่าราคาในประเทศ ซึ่ง ธพ. ได้ประสานกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ ให้ช่วยควบคุมการส่งออกเพื่อให้สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบให้เพียงพอต่อการใช้ ทั้งนี้ ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล โดยในช่วงฤดูฝนปริมาณการใช้จะลดลงอยู่ในช่วง 48 - 50 ล้านลิตร และในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2554 ปริมาณการใช้จะเพิ่มสูงขึ้น
(3) ก๊าซ LPG มีปริมาณการใช้ประมาณ 500,000 - 550,000 ตันต่อเดือน อัตราการใช้ในภาพรวมเพิ่มประมาณร้อยละ 7 - 9 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าปกติ ในภาคอุตสาหกรรม ช่วงต้นปี 2554 มีปริมาณการใช้ประมาณ65,000 ตันต่อเดือน หลังจากทยอยปรับเพิ่มราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ทำให้ปริมาณการใช้ลดลงอยู่ประมาณ 50,000 ตันเดือน ในขณะเดียวกันปริมาณการใช้ในภาคครัวเรือนเพิ่มใกล้เคียงกับในปีก่อนหน้าคือร้อยละ 7 - 9 ส่วนในภาคขนส่ง แม้ว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับสูงแต่ปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ยังคงมีการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 อยู่ที่ประมาณ 60,000 - 70,000 ตันต่อเดือน และในเดือนมกราคม 2555 อยู่ที่ 92,000 ตันต่อเดือน และในภาคปิโตรเคมี ปกติมีการใช้อยู่ที่ประมาณ 190,000 - 200,000 ตันต่อเดือน
(4) มาตรการการป้องกันการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท ซึ่ง ธพ. ได้มีการประชุมชี้แจงผู้ค้าก๊าซ LPG ให้ทราบถึงขั้นตอนรายงานการค้าก๊าซ LPG และมาตรการในการตรวจสอบสถานประกอบการให้เห็นถึงผลกระทบที่จะตามมาและโทษของการลักลอบถ่ายเท LPG มีการให้ความรู้และขอความร่วมมือหน่วยงานราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของราคาก๊าซ LPG ในประเทศเพื่อนบ้านอยู่ในระดับสูงกว่าราคาในประเทศมาก ซึ่งทำให้เกิดการลักลอบถ่ายเทก๊าซ LPG ในแถบชายแดน จังหวัดสระแก้ว และ จังหวัดตาก เป็นต้น ซึ่ง ธพ. ได้มีมาตรการป้องกันและตรวจสอบการลักลอบ ได้แก่ การแก้ไขระเบียบ ธพ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การสั่งพักใช้หรือเพิกถอนการอนุญาตให้มอบหมายดำเนินการบรรจุก๊าซแทน พ.ศ. 2547 ให้มีบทลงโทษเข้มงวดขึ้น รวมทั้งจัดตั้งทีมงานตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายของโรงบรรจุก๊าซ และสถานีบริการในพื้นที่เป้าหมาย ประกอบด้วย ธพ., สำนักงานพลังงานจังหวัด เจ้าหน้าที่จากกรมศุลกากร และตำรวจ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 10-16 มกราคม 2554
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 30 กรกฎาคม - 5 สิงหาคม 2555
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 03 ธันวาคม 56
กบง. ครั้งที่ 99 - วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2555 (ครั้งที่ 99)
เมื่อวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (2) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (3) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
ทั้งนี้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และพิจารณาการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ต่อไป
2. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 เห็นชอบแนวทาง การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง ดังนี้ (1)เห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาท/กก. (0.41 บาท/ลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง (3) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
3. สนพ. ได้ออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2555 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยตั้งแต่วันที่ 16 - 31 มกราคม 2555 ในอัตรา 0.7009 บาท/กก. และในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรา 1.4018 บาท/กก.
4. จากประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ดังกล่าว ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 หรือวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับข้อกฎหมายในการบังคับใช้จากการออกประกาศให้สอดคล้องกับมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 และเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดระยะเวลาบังคับใช้ สนพ. จึงได้ดำเนินการออกประกาศ ฉบับที่ 17 โดยให้การปรับขึ้นราคาในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป รวมทั้งการดำเนินการข้างต้นทำให้เกิดช่องว่างในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ระหว่างวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2555
5. ฝ่ายเลขานุการฯได้เสนอประเด็นให้ กบง. พิจารณาดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ในช่วงวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรา 0.7009 บาท/กก. (2) ขอความเห็นชอบในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2555 เป็นต้นไป โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในเดือนต่อๆไป (3) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ในช่วงวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรา 0.7009 บาทต่อกิโลกรัม
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณารายละเอียดในการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ซึ่งเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 23-29 กรกฎาคม 2555
กบง. ครั้งที่ 98 - วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2555 (ครั้งที่ 98)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
3. การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้
1) ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในระดับราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และคงอัตราเงินชดเชย 2 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 15 มกราคม 2555 2) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึง ธันวาคม 2555 เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ใช้ NGV มากเกินไป 3) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555 และ 4) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป
2. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้
2.1 การปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 โดยทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - ธันวาคม 2555 และทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555
2.2 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.) ให้มีการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 -31 มกราคม 2555 ในอัตรา 0.50 บาท ต่อกิโลกรัม และให้ทยอยปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 3 ครั้ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2555 และให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมันเดือนละ 2.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ธันวาคม 2555 ทั้งนี้ เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนนี้ จะใช้เป็นเงินส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในโครงการบัตรเครดิตพลังงาน
3. เพื่อให้สามารถดำเนินการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ NGV ที่จำหน่ายให้รถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จึงได้ดำเนินการจัดทำร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2555 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น ทั้งนี้ ร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในขั้นต้นแล้ว
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ที่ .../2555 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. มอบให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบความถูกต้องของร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ .../2555 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง อีกครั้งก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การชะลอการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันดีเซล เป็นการชั่วคราว โดยมอบหมายให้ กบง. รับไปกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรกของรัฐบาล ต่อมาเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 กบง. ได้เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 จากเดิม 7.50 บาทต่อลิตร เป็น 0.00 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 91 จากเดิม 6.70 บาทต่อลิตร เป็น 0.00 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลจากเดิม 2.80 บาทต่อลิตร เป็น 0.00 บาทต่อลิตร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2554 เป็นต้นมา
2. เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล กบง. เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2554 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลง จาก 2.40 บาทต่อลิตร เป็น 1.40 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 จากเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.10 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.40 บาทต่อลิตร และให้ชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เพิ่ม จากชดเชย 1.30 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 2.80 บาทต่อลิตร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป และเนื่องจากน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 มีราคาเท่ากับน้ำมันเบนซิน 91 แต่ค่าความร้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ประมาณร้อยละ 3 ดังนั้น กบง. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 จึงได้เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลง จาก 1.40 บาทต่อลิตร เป็น 0.20 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 เป็นต้นไป
3. กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลเดือนละ 1 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง. พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง.พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม
4. เพื่อลดภาระการชดเชยและเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ จึงมีแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน เดือนละ 1 บาทต่อลิตร ไปจนสู่อัตรา 7.50 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และ (3) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ไปอยู่ที่ 5.00 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ไปอยู่ที่ 3.55 บาทต่อลิตร E20 ไปอยู่ที่ 2.50 บาทต่อลิตร และ E85 ไปอยู่ที่ชดเชย 12.66 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
5. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 10 มกราคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 110.80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 124.15 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 129.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเป็นดังนี้ น้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 40.92 บาท น้ำมันเบนซิน 91 ลิตรละ 36.97 บาท น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลิตรละ 35.69 บาท และน้ำมันดีเซลลิตรละ 29.99 บาท โดยค่าการตลาดน้ำมัน ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2554 อยู่ที่ลิตรละ 5.0867, 1.8436, 0.8742 และ 0.8726 บาท ตามลำดับ
6. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 6 มกราคม 2555 มีเงินสดในบัญชี 3,769 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 18,319 ล้านบาท แยกเป็นหนี้อยู่ระหว่างการเบิกจ่ายชดเชย 18,165 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 154 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิติดลบ 14,550 ล้านบาท
7. เพื่อให้การดำเนินการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละเดือน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทาง ดังนี้
7.1 ขอความเห็นชอบการกำหนดเวลาที่เหมาะสมในการนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาทยอยปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลในแต่ละครั้ง ให้คำนึงถึงผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
7.2 ขอความเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในเดือนมกราคม 2555 ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 0.00 | 1.00 | +1.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 0.00 | 1.00 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 0.20 | 1.20 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.40 | -0.40 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.80 | -1.80 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -13.50 | -13.60 | -0.10 |
น้ำมันดีเซล | 0.00 | 0.60 | +0.60 |
โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
8. จากการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้น ในส่วนของกองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 53.62 ล้านบาท จากติดลบวันละ 97.85 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 44.23 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในเดือนมกราคม 2555 ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 0.00 | 1.00 | +1.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 0.00 | 1.00 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 0.20 | 1.20 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.40 | -0.40 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.80 | -1.80 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -13.50 | -13.60 | -0.10 |
น้ำมันดีเซล | 0.00 | 0.60 | +0.60 |
และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณามอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) กำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 3 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ 1) ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในระดับราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และคงอัตราเงินชดเชย 2 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 15 มกราคม 2555 2) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึง ธันวาคม 2555 เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ใช้ NGV มากเกินไป 3) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555 และ 4) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบให้ กบง. รับไปหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป
2. เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.) กบง. ได้มีมติเห็นชอบโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ วงเงินบัตรเครดิต 3,000 บาท และส่วนลดราคาขายปลีก NGV จากการใช้บัตรเครดิตและเงินสดรวมวงเงิน 9,000 บาท ซึ่งการให้ส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - 31 ธันวาคม 2558 ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2554 กลุ่มผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุกขนส่งได้เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เกี่ยวกับการทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ได้เชิญกลุ่มผู้ร้องเรียนหารือร่วมกัน และผลการหารือได้กำหนดให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อทบทวนการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV โดยมีภาครัฐและกลุ่มผู้ประกอบการร่วมเป็นคณะทำงาน
3. เนื่องจากโครงการบัตรเครดิตพลังงาน เป็นการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้มีนโยบายขยายกลุ่มการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น ได้แก่ รถร่วมโดยสารประจำทาง ขสมก. รถมินิบัสร่วม ขสมก. และรถสองแถวร่วม ขสมก. โดยจัดทำบัตรส่วนลดราคาก๊าซ NGV ให้กับกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว รวมทั้งกลุ่มที่ได้รับสิทธิตามโครงการบัตรเครดิตพลังงานเดิมบางส่วน ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินส่วนลดให้กับกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV ในระยะแรกตามโครงการบัตรเครดิตพลังงานมี ปตท. เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการ ดังนั้น จึงเห็นสมควรมอบหมายให้ ปตท. เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดทำบัตรส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบัตรส่วนลดที่เกิดขึ้น
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับไปดำเนินการจัดทำบัตรส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV และเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรส่วนลดต่อไป