Super User
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 31 มีนาคม 2547
การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน 10 ธันวาคม 2547
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 16-22 กรกฎาคม 2555
การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน 4 ธันวาคม 2547
กบง. ครั้งที่ 97 - วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 39/2554 (ครั้งที่ 97)
เมื่อวันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
2. หลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามมาตรฐานยูโร 4
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (2) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (3) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และพิจารณาการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ต่อไป
2. การปรับราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอปรับราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 โดยเริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน และกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป เพื่อให้สามารถเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้จัดทำร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง
โครงสร้างราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
3. การปรับราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ดำเนินการการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เพื่อให้สามารถกำหนดให้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และจัดทำร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม โดยที่คำสั่งนายกรัฐมนตรี และร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานข้างต้นได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอประเด็นเพื่อพิจารณาดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) ขอความเห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (3) ขอความเห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (4) ขอความเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม (5) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป (6) มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ติดตาม ตรวจสอบเพื่อมิให้มีการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท และ (7) มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
3. เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../.... เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม
5. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
6. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ติดตาม ตรวจสอบเพื่อมิให้มีการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท
7. มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการจัดเก็บก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามมาตรฐานยูโร 4
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 ได้มีมติเห็นชอบนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยได้กำหนดมาตรการด้านพลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการพลังงานในรูปแบบต่างๆ คือ กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันสำเร็จรูปให้สูงขึ้นและให้ความสำคัญในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาธุรกิจพลังงาน โดยให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายและผู้ใช้ร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาปัญหาสิ่งแวดล้อม
2. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 เห็นชอบให้มีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยในอนาคต ตามแนวทางของมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงยูโร 4 และให้กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ ปรับลดปริมาณกำมะถันจากไม่สูงกว่า 500 ppm เป็นไม่สูงกว่า 50 ppm ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2549 กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ออกประกาศกำหนดลักษณะและคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอนาคต ให้มีผลบังคับใช้สำหรับน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันมีระยะเวลาในการปรับปรุงการผลิต
3. ปัจจุบันหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
4. การคำนวณต้นทุนส่วนเพิ่มของโรงกลั่น มีขั้นตอนดังนี้ (1) ศึกษาขบวนการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันในไทย (2) ศึกษาวิธีการและต้นทุนของประเทศอื่นๆ ที่ได้นำมาตรฐานยูโร 4 มาใช้ รวมถึงวิธีการ ขั้นตอนการปรับปรุงขบวนการกลั่น และต้นทุนส่วนเพิ่ม (3) วิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด และปรับปรุงข้อมูลต้นทุนให้ได้ต้นทุนที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคมากที่สุด และ (4) นำต้นทุนจากการวิเคราะห์มาคำนวณหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ทั้งนี้ สมมติฐานที่ใช้ในการกำหนดผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสม อายุของหน่วยกลั่นเท่ากับ 20 ปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใช้อัตรา MLR - 2% เนื่องจากกิจการกลั่นน้ำมันมีความมั่นคงและสามารถกู้ได้ในอัตราต่ำกว่าธุรกิจทั่วไป อัตราเงินเฟ้อให้เท่ากับ 3% อัตราทุนต่อหนี้เท่ากับ 1 : 1 ระยะเวลาผ่อนคืนเงินกู้เท่ากับ 10 ปี และอัตราแลกเปลี่ยนที่ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ
5. ผลกระทบจากการปรับน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 มีดังนี้ (1) ประโยชน์ที่ได้รับ ได้แก่ ลดการเกิดก๊าซโอโซนที่เกิดจากน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ลดปริมาณฝุ่นละอองจากเครื่องยนต์ดีเซล ลดปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และสารเบนซีนจากการใช้น้ำมันเบนซิน ลดผลกระทบทางด้านสุขภาพอนามัย เช่น ลดอัตราการเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร ลดอัตราผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง สามารถนำรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำ (รถยนต์ยูโร 4) เข้ามาใช้ในประเทศไทยได้ ซึ่งจะทำให้ลดการระบายมลพิษออกสู่บรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำอุปกรณ์กำจัดมลพิษมาใช้กับรถยนต์ดีเซล ซึ่งจะช่วยลดการระบายมลพิษออกสู่บรรยากาศได้มากขึ้น และ (2) การปรับเพิ่มต้นทุนน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 จะทำให้ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นประมาณ 0.48 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นประมาณ 0.43 บาทต่อลิตร
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอเสนอดังนี้
6.1 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่น เพื่อให้การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นสะท้อนต้นทุนการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 จึงควรปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ดังนี้
6.2 การปรับต้นทุนส่วนเพิ่มยูโร 4 ต้องคำนึงถึงสต๊อกที่คลังน้ำมันก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 และคุณภาพน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมัน ดังนั้น การปรับราคาหน้าโรงกลั่นจึงควรทยอยปรับเพื่อไม่ให้ผู้บริโภครับภาระจากการปรับราคาหน้าโรงกลั่นทันทีและคุณภาพที่ยังไม่ได้มาตรฐานยูโร4 โดยน้ำมันดีเซลใช้เวลาปรับคุณภาพให้ได้มาตรฐานยูโร 4 จากคลังไปจนถึงสถานีบริการน้ำมันประมาณ 9 สัปดาห์ ส่วนน้ำมันเบนซิน ในช่วงแรกยังมีน้ำมันจากโรงกลั่น SPRC เข้ามาในระบบ หลังจากสัปดาห์ที่ 9 SPRC จะนำเข้าน้ำมันเบนซินมาตรฐานยูโร 4 เข้ามาจำหน่าย ทำให้ใช้ระยะเวลาการเปลี่ยนน้ำมันเป็นมาตรฐานยูโร 4 ประมาณ 15 สัปดาห์ ดังนั้น จึงขอความเห็นชอบระยะเวลาและต้นทุนส่วนเพิ่มยูโร 4 สำหรับการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ดังนี้
6.3 เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) ถูกคำสั่งศาลปกครองระงับโครงการที่ดำเนินการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 2 ธันวาคม 2552 ทำให้การดำเนินการติดตั้งการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ล่าช้า SPRC ได้ยื่นหนังสือขอผ่อนผันคุณภาพน้ำมันเบนซินกับกรมธุรกิจพลังงาน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับโรงกลั่นอื่นที่ผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ตามกำหนด จึงควรกำหนดให้ SPRC ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่วนเพิ่มสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในราชอาณาจักรที่ผลิตไม่ได้มาตรฐานน้ำมันยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงวันที่สามารถจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ ดังนี้
โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ดังนี้
2. เห็นชอบระยะเวลาและต้นทุนส่วนเพิ่มยูโร 4 สำหรับการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ดังนี้
3. เห็นชอบให้โรงกลั่นน้ำมันบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเพิ่มสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในราชอาณาจักรที่ผลิตไม่ได้มาตรฐานน้ำมันยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงวันที่สามารถจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 22 มีนาคม 2547
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 12 พฤศจิกายน 56
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 20 มีนาคม 2547
กบง. ครั้งที่ 96 - วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 38/2554 (ครั้งที่ 96)
เมื่อวันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า นายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) จะเป็นประธานในพิธีเปิดตัวโครงการบัตร เครดิตพลังงาน เพื่อช่วยลดภาระค่าเชื้อเพลิงให้กับกลุ่มผู้ประกอบการรถแท็กซี่ รถสามล้อ และรถตู้ร่วม ขสมก. NGV ในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในวันที่ 15 ธันวาคม 2554 เวลาประมาณ 9.30 น. ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
เรื่องที่ 1 การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 ได้เห็นชอบโครงการบัตรเครดิตพลังงาน โดยสรุปได้ดังนี้
1.1 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิง ประมาณ 81,275 คัน (ผู้ขับรถ 156,275 คน) ประกอบด้วย (1) รถแท็กซี่ ประมาณ 75,000 คัน (ผู้ขับรถ 150,000 คน) (2) รถตุ๊กตุ๊ก ประมาณ 1,675 คัน (ผู้ขับรถ 1,675 คน) (3) รถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก. ประมาณ 4,600 คัน (ผู้ขับรถ 4,600 คน) โดยมีหลักการการให้บัตรเครดิตพลังงาน คือ จัดทำบัตรเครดิตพลังงานให้คนขับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิงเป็น "รายบุคคล" และพื้นที่ให้บริการคือสถานีบริการก๊าซ NGV ที่เข้าร่วมโครงการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ประมาณ 200 แห่ง
1.2 วิธีการใช้บัตรเครดิตพลังงาน ต้องใช้บัตร 2 ใบควบคู่กัน คือ บัตรเติมก๊าซ NGV เป็นบัตร Magnetic ประจำรถแต่ละคัน ออกโดย ปตท. เพื่อแสดงสิทธิของรถที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 81,275 ใบ และมี บัตรเครดิตพลังงาน เป็นบัตร Magnetic +Chip รายบุคคล ออกโดยธนาคารกรุงไทย เพื่อแสดงสิทธิการได้รับวงเงินเครดิตพลังงานเป็นรายเดือน จำนวน 156,275 ใบ
1.3 เงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตพลังงาน (1) วงเงินเครดิต 3,000 บาทต่อบัตร ผู้ใช้บัตรจะได้รับเครดิตพร้อมส่วนลดตามกำหนดจนครบวงเงิน (2) เมื่อใช้วงเงินครบ 3,000 บาท แต่ยังไม่ถึงรอบการชำระเงิน ผู้ใช้บัตรยังคงได้รับส่วนลดตามกำหนด โดยต้องชำระเป็นเงินสดแทนแต่ไม่เกินวงเงิน 3,000 บาท (3) ธนาคารจะตัดยอดชำระเงินทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน และกำหนดวันที่ต้องชำระเงินภายในสิ้นเดือน (4) การชำระเงินต้องชำระเต็มวงเงินเท่านั้น (ไม่สามารถชำระบางส่วนได้) เมื่อชำระเงินแล้ววงเงินจะกลับไปที่ 3,000 บาท หากไม่ชำระเงินตามระยะเวลา ที่กำหนดให้ถือว่าผิดเงื่อนไขการใช้บัตรฯ และต้องเสียค่าธรรมเนียมในการชำระล่าช้า ดังนั้น ผู้ใช้บัตรจะไม่ได้รับส่วนลดและต้องชำระค่าก๊าซ NGV ด้วยเงินสด และ (5) ในกรณีที่ผู้ใช้บัตรไม่ชำระเงินตามกำหนดเกิน 2 เดือน ธนาคารจะยกเลิกสิทธิการใช้บัตรดังกล่าวและขึ้นบัญชีไม่สามารถสมัครได้อีก
1.4 สำหรับอัตราเงินชดเชยส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้เท่ากับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมัน และมีระยะเวลาการใช้บัตรเครดิตพลังงานเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2558 และการให้ส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - 31 ธันวาคม 2558
2. สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เรื่อง ปรับราคาแก๊ส โดยขอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาเพิ่มวงเงินในการเติมก๊าซ NGV ในราคาที่ได้ส่วนลดจากเดือนละไม่เกิน 6,000 บาทต่อคน เป็นไม่เกินเดือนละ 9,000 บาทต่อคน เนื่องจากสันนิบาตสหกรณ์ฯ แจ้งว่าการเติมก๊าซ NGV ของแท็กซี่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 300 บาทต่อคน
3. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่า การเพิ่มวงเงินเติมก๊าซ NGV เป็นเดือนละ 9,000 บาทต่อคน จะสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ขับขี่รถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะและสอดคล้องกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือนมากขึ้น จึงเสนอการเปลี่ยนแปลงเฉพาะในส่วนของเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน จากเดิม "วงเงินเครดิต 3,000 บาทต่อบัตร โดยผู้ใช้บัตรจะได้รับเครดิตพร้อมส่วนลดตามกำหนดจนครบวงเงิน เมื่อใช้วงเงินครบ 3,000 บาท แต่ยังไม่ถึงรอบการชำระเงิน ผู้ใช้บัตรยังคงได้รับส่วนลดตามกำหนด โดยต้องชำระเป็นเงินสดแทน แต่ไม่เกินวงเงิน 3,000 บาท" เป็น "แต่ไม่เกินวงเงิน 6,000 บาท" ทั้งนี้ รายละเอียดอื่นๆ ของโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน โดยเพิ่มวงเงินในการเติมก๊าซ NGV ในราคาที่ได้ส่วนลดจากเดือนละไม่เกิน 6,000 บาทต่อคน เป็นไม่เกินเดือนละ 9,000 บาทต่อคน โดยมีวงเงินเครดิต 3,000 บาทต่อบัตร โดยผู้ใช้บัตรจะได้รับเครดิตพร้อมส่วนลดตามกำหนดจนครบวงเงิน เมื่อใช้วงเงินครบ 3,000 บาท แต่ยังไม่ถึงรอบการชำระเงิน ผู้ใช้บัตรยังคงได้รับส่วนลดตามกำหนด โดยต้องชำระเป็นเงินสดแทนแต่ไม่เกินวงเงิน 6,000 บาท
2. เห็นชอบให้ปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินการในข้อ 4.5 ของโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ให้สอดคล้องกับขั้นตอนการดำเนินการในปัจจุบัน ดังนี้
" 4.5 ขั้นตอนการดำเนินการ
(1) ลงนามความร่วมมือโครงการบัตรเครดิตพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) วันที่ 29 พฤศจิกายน 2554
(2) เริ่มใช้บัตรเครดิตพลังงานในโครงการนำร่องจำนวน 150 คัน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไป
(3) เปิดรับสมัครเข้าโครงการ โดยมีจุดรับสมัครเข้าโครงการบัตรเครดิตพลังงานแบบ "One Stop Service" ที่รองรับคนจำนวนมาก ระหว่างวันที่ 15 - 23 ธันวาคม 2554
(4) ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไป เปิดรับสมัครเข้าโครงการได้ที่บริษัทติดตั้งก๊าซ NGV มาตรฐานที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับรอง ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล"
ทั้งนี้ รายละเอียดอื่นๆ ของโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554