คณะกรรมการและอนุกรรมการ (2532)
Children categories
กบง. ครั้งที่ 16 - วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2559 (ครั้งที่ 16)
วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
1. รายงานความคืบหน้าการลอยตัวราคา NGV
3. ข้อสรุปการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
4. ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานความคืบหน้าการลอยตัวราคา NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 กบง. มีมติเห็นชอบ Roadmap การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร แบบมีเงื่อนไข โดยตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 ถึง 15 กรกฎาคม 2559 ให้ ปตท. กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม แต่หากต้นทุนราคาก๊าซ NGV อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้ปรับราคา ขายปลีกก๊าซ NGV ลง และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไป ให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปรับให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ในวันที่ 16 ของทุกเดือน รวมทั้งให้คงราคา ขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะไว้ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม และปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับ กลุ่มรถโดยสารสาธารณะจากเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 และ 35,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 และ 40,000 บาทต่อเดือน จนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พรบ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ (2) เห็นชอบการปรับ ค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยขอความร่วมมือ ปตท. ให้คิดค่าขนส่งโดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
2. ปัจจุบัน ต้นทุนก๊าซ NGV คำนวณภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้ใช้ค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจากการคำนวณราคาขายปลีกก๊าซ NGV พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 13.92 และ13.66 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบันคิดในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร และคิดค่าขนส่งก๊าซ NGV สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ก๊าซ NGV โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสถานีหลักมาก สนพ. จึงได้มีการประชุมหารือร่วมกับ ปตท. เรื่องแผนการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก สรุปได้ดังนี้ (1) ต้นทุนก๊าซ NGV ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV (ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร) ในปัจจุบันบวกค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร (สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม) และ (2) ควรให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่จำหน่ายในสถานีบริการ NGV ที่อยู่ห่างไกลจากสถานีหลักมากกว่า 250 กิโลเมตรไว้ที่ 15.34 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษี อบจ.) ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2559 และตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2559 ให้มีการทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับในสถานีที่อยู่ในช่วงระยะทางดังกล่าว ทั้งนี้ โดยให้สะท้อนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่สูงสุดที่ 4 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนพฤศจิกายน 2559
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 กบง. ได้เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ประกอบด้วย (1) เน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลักแล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เกินให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้น้อยที่สุด (2) มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รับไปดำเนินโครงการฯ ในรูปแบบโครงการนำร่อง (Pilot Project) ก่อน และให้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) คัดเลือกพื้นที่ในการดำเนินโครงการนำร่อง (3) ให้ พพ. สนพ. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ประเมินผลโครงการ หากบรรลุเป้าหมายที่กำหนดก็ให้พิจารณาแนวทางขยายผลการปฏิบัติไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และ (4) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ให้ กบง. ทราบเป็นระยะๆ ต่อไป
2. พพ. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินโครงการนำร่อง สรุปได้ดังนี้ (1) ร่วมกันกำหนดเป้าหมายโครงการ กลุ่มเป้าหมาย พื้นที่เป้าหมาย ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง และรูปแบบโครงการ (2) นำระเบียบเดิมของ กฟภ. และ กฟน. มาปรับใช้รองรับโครงการนำร่องฯ (3) ขั้นตอนดำเนินการ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก คือ 1) การปรับปรุงกฎระเบียบ 2) การประกาศเปิดรับสมัคร 3) การพิจารณาตอบรับ เข้าร่วมโครงการ 4) การติดตั้งระบบ และ 5) ตรวจสอบระบบเชื่อมต่อ (4) ข้อจำกัดทางเทคนิคที่ต้องคำนึงในการดำเนินโครงการ ได้แก่ ข้อกำหนดปริมาณกำลังไฟฟ้า และข้อจำกัดปริมาณการติดตั้ง (5) ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ประกอบด้วย รูปแบบการสนับสนุน การกำกับดูแล การติดตามผล การตรวจวัดข้อมูล การอำนวยความสะดวกในการสมัครเข้าร่วมโครงการ (6) กำหนดปริมาณการติดตั้งที่ 100 MWp ตามลำดับการยื่นขอ จนกว่าจะครบ 100 MWp โดยติดตั้งในพื้นที่ของ กฟน. และ กฟภ. (7) ระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี โดยสิ้นปี 2559 จะมีการติดตามและประเมินผลกระทบ เรื่องความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และเสนอแนวทางการส่งเสริมในระยะต่อไป
3. วันที่ 5 มกราคม 2559 กบง. ได้รับทราบแนวทางการดำเนินงานโครงการนำร่อง ที่ พพ. นำเสนอและ มอบหมายให้พิจารณาเพิ่มเติมในประเด็นดังต่อไปนี้ (1) การซื้อขายไฟฟ้าในอนาคต ควรมีการพิจารณาราคาให้เหมาะสม (2) ควรมีการศึกษาระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าให้ชัดเจนก่อนดำเนินการ (3) การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายควรมีการศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาทางเทคนิค จากการเกิดกระแสไฟฟ้าไหลย้อนจากการดำเนินการโครงการนำร่องและ (4) เพื่อให้การดำเนินการเกิดความชัดเจนมากขึ้น ควรมีการจัดตั้งคณะทำงานเข้ามากำกับดูแลการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งต่อมา พพ. ได้จัดตั้งคณะทำงานกำหนดแนวทางและประสานงาน กำกับติดตามโครงการ นำร่องฯ และได้มีการจัดประชุมแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 และเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 และมีผลสรุปแนวทางการดำเนินงานดังนี้ (1) คณะทำงานฯ ได้เห็นชอบให้จัดทำหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการโครงการนำร่องฯ เฉพาะเช่นเดียวกับโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากโซล่ารูฟในระบบ FiT ในปี 2556 และเพิ่มเติมในปี 2558 และเมื่อคณะทำงานฯ เห็นชอบแล้ว ให้นำส่งให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาออกระเบียบว่าด้วยการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอย่างเสรี (สำหรับโครงการ นำร่องฯ) และออกประกาศต่อไป (2) คณะทำงานฯ พิจารณาเห็นชอบให้สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันที่มีประสบการณ์ในการศึกษาจัดทำ Solar PV Roadmap ของประเทศไทย ศึกษาวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ของระบบพลังงานแสงอาทิตย์และผลกระทบด้านเทคนิคของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ต่อระบบไฟฟ้า รวมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ (3) พื้นที่โครงการนำร่องของ กฟน. เป็นพื้นที่ทั้งหมดในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ส่วนพื้นที่โครงการนำร่องของ กฟภ. ได้เสนอนำร่องใน 2 พื้นที่ คือ พัทยา และเกาะสมุย ต่อมา กฟภ. ได้เสนอคณะทำงานฯ ขอปรับเป็นพื้นที่ทั่วประเทศในเขตบริการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (4) คณะทำงานฯ พิจารณาว่า ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการฯ คงต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการนานกว่าที่ พพ. เคยนำเสนอ กบง. ไว้เดิม เนื่องจากต้องมีการเพิ่มขั้นตอนการออกระเบียบและประกาศเข้าร่วมโครงการฯ โดยจากเดิมคาดว่าจะเปิดรับสมัครในเดือนมีนาคม 2559 และเริ่มติดตั้งในเดือนเมษายน 2559 นั้น จึงได้ปรับปรุงกำหนดการใหม่ โดยจะทำการประชาสัมพันธ์และเริ่มรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้ในเดือนกรกฎาคม 2559 และเริ่มดำเนินการติดตั้งในช่วงเดือนธันวาคม 2559 – มกราคม 2560 พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลโครงการตั้งแต่เดือนมกราคม 2560
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง ข้อสรุปการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
สนพ. ขอถอนวาระออกก่อน โดยจะนำเสนอในการประชุม กบง. ครั้งต่อไป
เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถูกจัดตั้งตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือในการป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้รักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศจากความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลกเพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่เกิดจากความผันผวนดังกล่าวให้น้อยที่สุด แต่เนื่องจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน ยังมีปัญหาและยังมีความไม่ชัดเจนในการดำเนินงานบางประการที่ต้องแก้ไข เช่น การจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามความเห็นของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปใช้เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันจนทำให้เกิดการบิดเบือน ราคาไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เป็นต้น ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องยกร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... (พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ) ขึ้นมาใหม่ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของกองทุนน้ำมันฯ วัตถุประสงค์ การบริหารงาน และแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ เพื่อให้ พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2558 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธาน กบง. ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีการศึกษาแนวทางในการปฏิรูปบทบาท หน้าที่ และการใช้ประโยชน์ของกองทุนน้ำมันฯ และการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการเตรียมการเสนอแนะนโยบายและมาตรการทางด้านพลังงาน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการประชุมเพื่อร่วมพิจารณายกร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... แล้ว จำนวน 4 ครั้ง ซึ่ง สนพ. ได้ดำเนินการยกร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ (1) ร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... มี 7 หมวด และบทเฉพาะกาล จำนวน 42 มาตรา โดยหมวด 1 การจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ หมวด 2 การบริหารกิจการของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 3 สำนักงานกองทุนน้ำมันฯ กำหนดฐานะ อำนาจหน้าที่ของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 4 การดำเนินการของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 5 พนักงานเจ้าหน้าที่ กำหนดอำนาจหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน หมวด 6 การบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผล และหมวด 7 บทกำหนดโทษ และบทเฉพาะกาล (2) ให้ กบง. ยังคงมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกองทุนน้ำมันฯ เหมือนเดิม (3) โอนอำนาจหน้าที่ของ สบพน. และคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (อบน.) มารวมไว้ใน พ.ร.บ. นี้ (4) มาตรา 3 เป็นการกำหนดบทนิยามเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และสะดวกในการใช้งาน (5) มาตรา 4 เป็นการกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรักษาการตาม พ.ร.บ. นี้ (6) มาตรา 5 เป็นบทการจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ และกำหนดวัตถุประสงค์ (7) มาตรา 6 และ มาตรา 7 เป็นการกำหนดเงินและทรัพย์สิน (8) มาตรา 8 เป็นการกำหนดการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (9) มาตรา 9 ถึง มาตรา 13 เป็นการกำหนดคุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การประชุมและการได้รับเบี้ยประชุม (10) มาตรา 14 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (11) มาตรา 15 และมาตรา 16 เป็นการจัดตั้งสำนักงาน กองทุนน้ำมันฯ ขึ้นเป็นนิติบุคคล (12) มาตรา 17 ถึงมาตรา 22 เป็นการกำหนดผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารสำนักงาน (13) มาตรา 23 กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ มีสถานะเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารการจัดการกองทุนน้ำมันฯ (14) มาตรา 24 ในกรณีเกิดวิกฤติน้ำมันเชื้อเพลิง ให้คณะกรรมการประกาศและดำเนินการตามแผนรองรับกรณีวิกฤติตามแนวทางและนโยบายที่ กพช. ให้ความเห็นชอบ (15) มาตรา 25 ถึงมาตรา 30 เป็นการกำหนดแนวทางปฎิบัติ ให้ชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเงินเข้า และการจ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ (16) มาตรา 31 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ ของพนักงานเจ้าหน้าที่ (17) มาตรา 32 เป็นการกำหนดการดำเนินการด้านการบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผลของกองทุนน้ำมันฯ (18) มาตรา 33 ถึง มาตรา 36 เป็นการกำหนดบทลงโทษ เพื่อให้การบังคับใช้ พ.ร.บ. และ (19) มาตรา 37 ถึง มาตรา 42 เป็นการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อให้การบังคับใช้ พ.ร.บ. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปปรับปรุง และแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของที่ประชุม และนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2559 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
กบง. ครั้งที่ 142 - วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2556 (ครั้งที่ 142)
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) เป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 20 มีนาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ เบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 104.75, 121.81 และ 121.08 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 0.35, 1.79 และ 2.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2556 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ทำให้เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลง 0.50 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และ 95 ลง 0.30 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 21 มีนาคม 2556 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 21 มีนาคม 2556
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 มีนาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 5,171 ล้านบาท หนี้สินรวม 20,657 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 15,486 ล้านบาท
5. จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง เพื่อรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ และให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 95 และแก๊สโซฮอล 91, 95 และ E20 ขึ้น 0.20 บาทต่อลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ใหม่ ดังนี้
หน่วย : บาทต่อลิตร | |||
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 9.20 | 9.40 | +0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 4.00 | 4.20 | +0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 1.90 | 2.10 | +0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.20 | 0.00 | +0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -10.90 | -10.90 | - |
น้ำมันดีเซล | 2.20 | 2.70 | +0.50 |
จากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 34.08 ล้านบาท จากวันละ 137.96 ล้านบาท เป็นรายรับวันละ 172.03 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร จาก 2.20 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2556 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 18 - วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2559 (ครั้งที่18)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา13.30น.
1. แนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
สรุปสาระสำคัญ
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2559 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้พิจารณาข้อสรุปผลการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวลที่คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวลเสนอและได้เพิ่มเติมแนวทางการแก้ไขปัญหาเป็น3แนวทางและมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯวิเคราะห์ผลกระทบทางเลือก3แนวทางเสนอกบง.พิจารณาก่อนนาเสนอกพช.เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไปโดยสรุปผลการวิเคราะห์ทางเลือก 3 แนวทางได้ดังนี้
1. ทางเลือกที่ 1 ตามข้อสรุปของคณะอนุกรรมการฯคือสามารถเลือกเปลี่ยนจาก Adder เป็น FiT (สัญญาลด 3 ปี) ซึ่งจะมีผลกระทบเชิงบวกเชิงลบทั้งทางตรงและทางอ้อมได้แก่(1)ผลกระทบเชิงบวกทางตรงเช่นสลายข้อขัดแย้งและยุติคดีฟ้องร้อง(เป็นไปตามข้อร้องเรียนของผู้ประกอบการ)เกิดความเป็นธรรมเป็นFiTเหมือนกันทั้งระบบและทำให้บรรลุเป้าหมายAEDP(2)ผลกระทบเชิงบวกทางอ้อมเช่นในอนาคตภาครัฐอาจสามารถรับซื้อไฟฟ้ารูปแบบFiTที่ราคาต่ำกว่าค่าไฟฟ้าขายส่งเฉลี่ยและทำให้เกิดการกระจายการลงทุนในโรงไฟฟ้าแบบDistributed GreenGenerationซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้า(3) ผลกระทบเชิงลบทางตรง เช่นค่า Ftเพิ่มขึ้นนามาสู่การถูกฟ้องร้องจากภาคประชาชนหรือNGOและรัฐอาจเสียประโยชน์โดยไม่จำเป็นจากFreeRider(กลุ่มโรงน้ำตาล)และ(4)ผลกระทบเชิงลบทางอ้อมเช่นอาจทำให้เกิดกรณีตัวอย่างที่ไม่พึงประสงค์ในการเรียกร้องหากอัตรารับซื้อในอนาคตสูงกว่า
2. ทางเลือกที่ 2 ให้ยกเลิกมติกพช.เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่เกี่ยวกับช่วงการเปลี่ยนผ่าน(กลุ่ม2เฉพาะเชื้อเพลิงชีวมวล) ให้เปลี่ยนกลับมาเป็นระบบAdder ทั้งหมดซึ่งจะมีผลกระทบได้แก่(1)ผลกระทบเชิงบวกทางตรงเช่นไม่เกิดผลกระทบกับค่าFtเพิ่มเติมและเกิดความเป็นธรรมโดยเป็นAdderเหมือนกันทั้งระบบ(2)ผลกระทบเชิงบวกทางอ้อมเช่นยุติปัญหาความเลื่อมล้าของราคารับซื้อไฟฟ้าและการแข่งขันด้านราคาเชื้อเพลิงชีวมวลลดลง(3)ผลกระทบเชิงลบทางตรงเช่นส่งผลต่อภาพลักษณ์ของกระทรวงพลังงานและอาจส่งผลให้ผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลบางส่วนไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนและอาจยุติกิจการ(โดยเฉพาะกลุ่มไม่มีเชื้อเพลิงเอง)และ(4)ผลกระทบเชิงลบทางอ้อมเช่นการขับเคลื่อนแผนAEDPยากขึ้น และอาจต้องรับซื้อเพิ่มในระบบFiTในอนาคต
3. ทางเลือกที่ 3 ให้รอผลคำตัดสินของศาลและดาเนินการตามแนวทางคำตัดสินซึ่งจะมีผลกระทบได้แก่(1)ผลกระทบเชิงบวกทางตรงเช่นให้ศาลซึ่งเป็นหน่วยงานที่เป็นกลางตัดสินทำให้ไม่เกิดการครหาในการเอื้อประโยชน์แก่ภาคเอกชนและไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ของกระทรวงพลังงาน(หากชนะคดี)(2)ผลกระทบเชิงลบทางตรงเช่น อาจมองได้ว่ากระทรวงพลังงานไม่ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาและหากแพ้คดีทำให้ภาครัฐอาจต้องเตรียมตั้งงบประมาณมาชดเชยค่าเสียหายของผู้ประกอบการและ(3)ผลกระทบเชิงลบทางอ้อมเช่นอาจทำให้ผู้ประกอบการอื่นๆฟ้องคดีลักษณะเดียวกันเพิ่มเติม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมลโดยให้โครงการชีวมวลในรูปแบบAdderสามารถเลือกปรับรูปแบบAdderเป็นFiTได้ดังนี้
1. สามารถเลือกที่จะอยู่ในรูปแบบAdderอย่างเดิมต่อไปได้ ตามเงื่อนไขเดิมหรือ
2. สามารถเลือกที่จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบFiTได้โดยมีเงื่อนไขดังนี้
2.1 ได้รับอัตราFiTและFiTPremiumตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติไว้เมื่อวันที่15ธันวาคม2557
2.2 มีอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าคงเหลือในรูปแบบFiTเท่ากับอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่กำหนดไว้20ปีปรับลดด้วยระยะเวลาที่ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ไปแล้วและปรับลดระยะเวลาการรับซื้อไฟฟ้าอีกดังนี้
ดำเนินการแล้ว ภายใต้ระบบAdder | อายุโครงการคงเหลือ | ระยะเวลาที่ปรับลด |
0 -12เดือน | 19-20ปี | 4 ปี 8 เดือน (56เดือน) |
มากกว่า12- 24เดือน | 18-19ปี | 4 ปี 4 เดือน (52เดือน) |
มากกว่า 24- 36เดือน | 17-18ปี | 4 ปี 0 เดือน (48เดือน) |
มากกว่า 36- 48เดือน | 16-17ปี | 3 ปี 9 เดือน (45เดือน) |
มากกว่า 48- 60เดือน | 15-16ปี | 3 ปี 5 เดือน (41เดือน) |
มากกว่า 60- 72เดือน | 14-15ปี | 3 ปี 2 เดือน (38เดือน) |
มากกว่า 72- 84เดือน | 13-14ปี | 2 ปี 11 เดือน (35 เดือน) |
มากกว่า 84- 96เดือน | 12- 13ปี | 2 ปี 8 เดือน (32เดือน) |
มากกว่า96เดือน | น้อยกว่า12ปี | 2 ปี 3 เดือน (27เดือน) |
2.3 มีระยะเวลาคงเหลือที่จะได้รับอัตราFiTPremium เท่ากับ 8 ปีปรับลดด้วยระยะเวลาที่ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ไปแล้ว
2.4 ทั้งนี้ภายหลังสิ้นสุดอายุสัญญาในรูปแบบFiTแล้วภาครัฐสามารถที่จะพิจารณาต่ออายุสัญญาไปอีกตามจำนวนปีที่ถูกปรับลดโดยการพิจารณาต่ออายุสัญญาจะต้องมีอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่คำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ
กบง. ครั้งที่ 12 - วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 12/2558 (ครั้งที่ 12)
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 09.00 น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2558 ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 31.71 52.62 และ 43.27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 23 ธันวาคม 2558 อยู่ที่ 36.2308 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 24 ธันวาคม 2558 อยู่ที่ 29.37 บาทต่อลิตร และราคาเอทานอล ณ เดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ 25.00 บาทต่อลิตร ลดลง 3.11 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 12 มกราคม 2558
2. จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2558 อยู่ในระดับต่ำ ดังนี้ 30.76 23.80 23.38 21.44 18.79 และ 20.59 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ในขณะที่ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มีการอ้างอิงราคาน้ำมัน ไม่ได้ลดลงตามราคาน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 4.25 บาทต่อลิตร ต่ำกว่าน้ำมันเบนซินอยู่ 1.35 บาทต่อลิตร จึงเป็นโอกาสในการปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ของน้ำมันดีเซลให้ใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซิน โดยไม่ส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อให้สามารถ ปรับภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรดำเนินการ 2 ช่วง ดังนี้
2.1 ช่วง 1 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อสะสมไว้สำหรับ โอนเป็นภาษีสรรพสามิต ในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำหรือราคาปรับตัวลดลง ซึ่งในขณะนี้สามารถ ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้นได้ 0.70 บาทต่อลิตร จาก 0.05 บาทต่อลิตร เป็น 0.75 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณ 1,235 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายจ่าย 198 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 1,037 ล้านบาทต่อเดือน2.2 ช่วงที่ 2 ปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1 บาทต่อลิตร จาก 4.25 บาทต่อลิตร เป็น 5.25 บาทต่อลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1.18 บาทต่อลิตร ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต 1 บาทต่อลิตร ภาษีเทศบาล 0.10 บาทต่อลิตร และภาษีมูลค่าเพิ่ม 0.08 บาทต่อลิตร ดังนั้น เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น เห็นควรให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันดีเซลลดลง 1.10 บาทต่อลิตร จาก 0.75 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 0.35 บาทต่อลิตร พร้อมกับวันที่มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2558 มีทรัพย์สินรวม 49,301 ล้านบาท หนี้สินรวม 6,680 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 42,621 ล้านบาท โดยแยกเป็นส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิง 35,014 ล้านบาท และก๊าซ LPG 7,607 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพิ่มขึ้น 0.70 บาทต่อลิตร จาก 0.05 บาทต่อลิตร เป็น 0.75 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2558 และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เกี่ยวกับการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรืออัตราเงินชดเชย โดยกำหนดให้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป (Finished Products) ที่มีคุณภาพเป็นไปตามที่กรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
2. เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลงเท่ากับภาษีสรรพสามิตและภาษีเทศบาลที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลคงเดิม ในกรณีที่น้ำมันดีเซลคงเหลือ ณ คลังน้ำมันได้มีการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้เกินให้สามารถขอคืนได้ โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้วันเดียวกับการปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล
เรื่อง การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวล
สรุปสาระสำคัญ
1. สมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลและเครือข่ายได้ร้องเรียนต่อประธานกรรมการนโยบายแห่งชาติ ถึงความไม่เป็นธรรมจากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่มีมติให้ปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในระบบ Adder เป็นระบบ Feed-in Tariff (FiT) ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในรูปแบบ Adder ไม่สามารถเปลี่ยนเป็น FiT ได้ ซึ่งสมาคมฯ มีข้อเสนอให้แก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการ โดยการให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวลทุกรายที่ได้รับการสนับสนุนในรูปแบบ Adder มีสิทธิเปลี่ยนเป็นรูปแบบ FiT
2. ต่อมา ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำข้อร้องเรียนและข้อเสนอของสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลฯ เสนอต่อ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 ซึ่ง กพช. มีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับข้อเสนอของสมาคมฯ ไปศึกษาข้อเท็จจริง ตลอดจนชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อข้อร้องเรียนและข้อเสนอของสมาคมฯ ให้ได้มาซึ่งข้อยุติร่วมกัน ดังนั้น เพื่อให้ข้อร้องเรียนดังกล่าวได้รับการแก้ไข ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ ตรวจสอบและศึกษาข้อเท็จจริงของข้อร้องเรียนดังกล่าว ตลอดจนชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อข้อร้องเรียนหรือข้อเสนอของสมาคมฯ เพื่อให้มาซึ่งข้อยุติร่วมกัน และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาต่อ กบง. พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ เสนอคำสั่งให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานลงนามต่อไป
กบง. ครั้งที่ 11 - วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2558 (ครั้งที่ 11)
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10.00 น.
1. รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
2. ความคืบหน้าการหารือโครงสร้างต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG และค่าขนส่งก๊าซ NGV
3. การนำส่งเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
5. แผนการดำเนินงานหยุดซ่อมแหล่งก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในปี 2559
6. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนธันวาคม 2558
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. นายวัชระ เพชรทอง ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ต่อศาลปกครองกลาง เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 ทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อประชาชนและไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคทั้งประเทศ โดยขอให้เพิกถอนมติ กบง. ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 และขอให้ศาลไต่สวนและกำหนดวิธีการชั่วคราวเพื่อระงับการประกาศใช้มติ กบง. ดังกล่าวไว้ชั่วคราวก่อนการพิพากษา ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีไปให้ถ้อยคำต่อศาลในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมและพิจารณาคำขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของผู้ถูกฟ้องคดี
2. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ กบง. ได้มอบหมายให้รองผู้อำนวยการ สนพ. (นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ) เป็นผู้ให้ถ้อยคำต่อศาล ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 แทน เนื่องจากติดราชการสำคัญ โดยยืนยันว่า การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ในครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดสาธารณประโยชน์ สร้างความเป็นธรรมให้แก่ทุกภาคส่วน ยกเลิกการบิดเบือนราคา ลดการชดเชยจากน้ำมันประเภทอื่น (cross subsidy) และทำให้การผลิต การบริโภค และการลงทุนเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างที่ควรจะเป็น
3. เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาล คดีหมายเลขดำที่ 348/2558 คดีหมายเลขแดงที่ 561/2558 โดยศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากผู้ฟ้องคดียังไม่ถือว่าเป็นผู้เดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงไม่เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานผลคดีดังกล่าวต่อ กบง. เพื่อทราบแล้วเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2558 ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้รับคำฟ้อง เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ในขั้นตอนต่อไปศาลปกครองจะได้มีหมายแจ้งคำสั่งศาลถึงผู้ถูกฟ้องคดี (กบง.) เพื่อให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง ความคืบหน้าการหารือโครงสร้างต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG และค่าขนส่งก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ประธานฯ ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทบทวนต้นทุนราคาก๊าซ LPG และก๊าซ NGV และให้นำเสนอให้ที่ประชุมทราบในการประชุมครั้งถัดไป ดังนั้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 สนพ. ได้มีการประชุมร่วมกับ ปตท. เพื่อหารือเกี่ยวกับต้นทุนก๊าซ LPG ซึ่งมาจาก 4 แหล่ง และมีต้นทุนฯ ดังนี้ (1) โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยต้นทุนโรงแยกฯ เดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงมกราคม 2559 อยู่ที่ 15.7621 บาทต่อกิโลกรัม (2) โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก ต้นทุนฯ อ้างอิงราคาตลาดโลก CP-20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน แต่กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงเสนอขอต้นทุนราคาก๊าซ LPG ไม่ต่ำกว่า CP Flat ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาด้านปริมาณก๊าซ LPG จากโรงกลั่นที่เพิ่มขึ้น (3) นำเข้า ต้นทุนจากการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสูตรราคาเดิมที่ราคา LPG ตลาดโลก (CP)+85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยต้นทุนการนำเข้า ก๊าซ LPG ในปี 2557 และปี 2558 อยู่ที่ 85 และ 103 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่ง สนพ. ได้ทำหนังสือขอให้ ปตท. ชี้แจงข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายในแต่ละรายการเพื่อใช้ในการตรวจสอบแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอข้อมูล และ (4) บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด ต้นทุนก๊าซ LPG จาก บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด เดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงมกราคม 2559 อยู่ที่ 15.30 บาทต่อกิโลกรัม
2. ส่วนต้นทุนราคาก๊าซ NGV ปัจจุบันคำนวณภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย สนพ. ได้มีการทบทวนต้นทุนราคาก๊าซ NGV เป็นรายเดือน รวมถึงมีการติดตามต้นทุนก๊าซ NGV ของ ปตท. ด้วย ซึ่งจากผลการศึกษาต้นทุนก๊าซ NGV ของสถาบันวิจัยฯ พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ณ เดือนตุลาคม 2558 อยู่ที่ 14.51 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาขายปลีกก๊าซ NGV จากข้อมูลต้นทุนก๊าซ NGV ตามจริงของ ปตท. ในปี 2557 อยู่ที่ 17.79 บาทต่อกิโลกรัม
3. หลักเกณฑ์การคิดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบัน ปตท. มีการคิดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร เช่น ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในสถานีที่อยู่ไกลจากสถานีหลักมากที่สุดที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงรายนั้นอยู่ที่ 15.34 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษี อบจ.) ในขณะที่ผลการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่ศึกษาโดยสถาบันวิจัยฯ พบว่า ต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักจะอยู่ที่ 0.0167 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร แต่ปัจจุบัน สนพ. ได้มีการปรับปรุงต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก มาอยู่ที่ 0.0151 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลง ดังนั้น หากกำหนดให้ใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0151 บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้สถานีที่อยู่ไกลจากสถานีหลักมากที่สุด (จังหวัดเชียงราย) ซึ่งมีระยะทางในการขนส่งก๊าซ NGV เท่ากับ 465.62 กิโลเมตร มีค่าขนส่งอยู่ที่ 6.72 บาทต่อกิโลกรัม (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ 20.22 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม การกำหนดให้ใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก โดยใช้ต้นทุนค่าขนส่งจริงที่ 0.0151 บาทต่อกิโลกรัม จะเป็นการช่วยสนับสนุนให้โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพอัด (Compressed Biogas: CBG) ในพื้นที่ห่างไกลสถานีหลักก๊าซ NGV มีความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น
4. การส่งเสริมการผลิตก๊าซ CBG สนพ. ได้มีการพิจารณาต้นทุนก๊าซ CBG เพื่อมาเปรียบเทียบกับต้นทุนก๊าซ NGV ซึ่งผลที่ได้ในเบื้องต้นโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พบว่า ต้นทุนการผลิตและขนส่งก๊าซ CBG จนถึงสถานีจำหน่าย NGV จากน้ำเสียจะอยู่ที่ 8.63 – 12.97 บาทต่อกิโลกรัมไบโอมีเทน ซึ่งหากต้องการที่จะส่งเสริมก๊าซ CBG ก็จำเป็นต้องพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและผลตอบแทนทางการเงินเพื่อจูงใจนักลงทุน ซึ่งจากผลการศึกษา ค่า financial rate of return ของ CBG ที่หน้าสถานีบริการ ต้องอยู่ที่ราคา 20 บาทต่อกิโลกรัมไบโอมีเทน จึงจะใกล้เคียงกับราคาก๊าซชีวภาพที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า เพื่อให้ราคาก๊าซ CBG สามารถแข่งขันในตลาดได้ รัฐควรมีนโยบายส่งเสริม ดังนี้ (1) สนับสนุนด้านเงินลงทุน (2) สนับสนุนเงินทุนในการทดสอบคุณภาพของก๊าซ CBG (3) สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และ (4) เพื่อไม่ให้เกิดค่าขนส่ง สถานีบริการก๊าซ CBG ควรตั้งอยู่ที่เดียวกับโรงงานที่ผลิต
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง การนำส่งเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. ในช่วงปี 2555-2556 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งผลิตก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง และโรงอะโรเมติกส์ ได้ยื่นเอกสารต่อกรมสรรพสามิต เพื่อขอรับเงินเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับ ก๊าซ LPG ที่ผลิตภายในประเทศ ซึ่งกรมสรรพสามิตได้ตรวจสอบตามระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและ การเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 และได้มีหนังสือถึง สบพน. เพื่อขอเบิกจ่ายเงินชดเชยให้แก่บริษัทฯ สบพน. จึงได้จ่ายเงินชดเชยให้กรมสรรพสามิตเพื่อจ่ายให้บริษัทฯ แล้ว แต่เนื่องจากบริษัทฯ เห็นว่าการจำหน่าย ก๊าซ LPG จากโรงอะโรเมติกส์ไม่เข้าข่ายที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ จึงขอส่งเงินดังกล่าวคืน โดยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 กรมสรรพสามิตได้นำเช็คฝากเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ แล้ว จำนวน 216,491,329.78 บาท
2. ต่อมา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2557 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีหนังสือถึง สบพน. เพื่อสอบถามเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ดังนี้ (1) วิธีการและหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบว่าบริษัทฯ ส่งเงินคืนครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ (2) การตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีบริษัทอื่นๆ ที่ไม่เข้าข่ายได้รับเงินชดเชยตามประกาศ กบง. หรือไม่ และ (3) การเบิกจ่ายเงินชดเชยในช่วงดังกล่าว เป็นช่วงที่กองทุนน้ำมันฯ ขาดสภาพคล่อง และได้กู้เงินจากสถาบันการเงิน ทำให้มีต้นทุนดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาส สบพน. ได้มีการรายงานผลเสียหายที่เกิดขึ้นต่อ กบง. หรือไม่ ซึ่งเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 สบพน. ได้รายงานเรื่องที่บริษัทฯ ส่งเงินคืนจำนวน 216,491,329.78 บาท ให้ กบง. ทราบแล้ว และมีการตอบบันทึกข้อความของ สตง. แล้ว
3. เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 สบพน. ได้หารือกับ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสนพ. เพื่อสรุปแนวทางในการดำเนินการตามที่ สตง. สอบถาม ซึ่งผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นว่าหากบริษัทฯ ชดใช้เงินก็ถือว่ากองทุนไม่เสียหาย รวมทั้งตามระเบียบคำสั่งไม่ได้ระบุการเรียกค่าเสียหายจากกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สบพน. ได้คำนวณต้นทุนเงินกู้และค่าเสียโอกาสจากการลงทุนอันเกิดจากการเบิกจ่ายเงินชดเชยของบริษัทฯ พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 8,190,110.76 บาท โดยแบ่งเป็น ช่วงที่มีภาระหนี้เงินกู้ 5,236,680.50 บาท และช่วงที่ไม่มีภาระหนี้เงินกู้ 2,953,430.26 บาท ซึ่ง สบพน. ได้ประสานกับ สนพ. เพื่อหารือเกณฑ์การคำนวณดังกล่าว และได้แจ้งให้สรรพสามิตพื้นที่ระยองแจ้งให้บริษัทฯ ทราบ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2558 กรมสรรพสามิต ได้ส่งสำเนาเอกสารการนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของบริษัทฯ จำนวน 8,190,110.76 บาท เรียบร้อยแล้ว และเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 กรมสรรพสามิต ได้มีหนังสือถึง สบพน. เพื่อชี้แจงวิธีการตรวจสอบและสรุปผลการตรวจสอบการขอรับเงินของบริษัทฯ และการตรวจสอบเพิ่มเติมกับบริษัทอื่นๆ ที่ไม่เข้าข่ายได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ตามประกาศ กบง. เรียบร้อยแล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 หมวด 7 การตรวจสอบภายใน ข้อ 26 ให้ สบพน. จัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงาน การรับ-จ่ายและการควบคุมภายในของโครงการที่ได้รับเงินจากกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานต่อปลัดกระทรวงพลังงาน (ปพน.)อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งตามคำสั่งกระทรวงพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันฯ ลงวันที่ 23 มีนาคม 2548 ให้ สบพน. แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายใน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานต่อ ปพน. เพื่อนำ กบง. ต่อไป
2. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ผู้ตรวจสอบภายใน สบพน. ได้ปฏิบัติงานในด้านการตรวจสอบการเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการและงบบริหารที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ โดยการสอบทานเอกสารและสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย (1) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) (2) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) (3) กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) (4) สบพน. (5) กรมสรรพสามิต และ (6) กรมศุลกากร และได้รายงานผลการตรวจสอบต่อผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานที่ได้รับการตรวจสอบ รวมทั้งรายงานต่อผู้อำนวยการและคณะกรรมการตรวจสอบของ สบพน. พิจารณาเห็นชอบแล้ว โดยมีการตรวจสอบดังนี้ (1) การเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการ ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2558 และโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า (2) การเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินงบบริหาร ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2558 (3) การบันทึกบัญชี เข้าระบบ GFMIS ของกรมบัญชีกลาง (4) การจัดทำรายงาน ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ตามระยะเวลาที่ระเบียบกระทรวงพลังงานฯ กำหนดไว้ และ(5) การควบคุมภายใน เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินโครงการและงบบริหารที่เหมาะสม
3. ในภาพรวมการเบิก-จ่ายเงินเป็นไปตามแผนการใช้เงินที่ได้รับอนุมัติ และการปฏิบัติงานเป็นไปตามระเบียบกระทรวงพลังงานฯ มีเพียงบางหน่วยงานที่ไม่พบการบันทึกบัญชีและจัดส่งรายงานการเงินประจำเดือนล่าช้ากว่าที่ระเบียบฯ กำหนดไว้ ซึ่งได้แจ้งให้ผู้ที่รับผิดชอบรับทราบ เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขแล้ว โดยสรุป มีความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน (Operational Risk) ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ (Compliance Risk) และความเสี่ยงทางด้านการเงิน (Financial Risk) อยู่ในระดับต่ำ มีการควบคุมภายในด้านการเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินอยู่ในระดับที่เหมาะสม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง แผนการดำเนินงานหยุดซ่อมแหล่งก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในปี 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะทำงานจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าได้หารือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรื่องแผนการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ ประจำปี 2559 ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงระบบไฟฟ้า เพื่อนำมาจัดทำแผนเตรียมความพร้อมรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความมั่นคงในระบบ สรุปสาระสำคัญของแผนการดำเนินงานและผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ได้ดังนี้
1.1 แผนการทำงานการหยุดซ่อมแหล่งก๊าซฯ ในปี 2559 ที่มีผลกระทบต่อภาคไฟฟ้าปี 2559 ได้แก่ (1) แหล่งยาดานา มีแผนหยุดการผลิตในเดือนมีนาคม 2559 เป็นเวลา 4 วัน ส่งผลต่อปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันตกประมาณ 1,070 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (2) แหล่งซอติก้า มีแผนการหยุดผลิตระหว่างวันที่ 19 – 28 มีนาคม 2559 ส่งผลต่อการลดปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันตกประมาณ 640 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (3) แหล่งเยตากุน มีแผนการหยุดผลิต ระหว่างวันที่ 10 – 18 เมษายน 2559 ส่งผลต่อการลดปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันตกประมาณ 570 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (4) แหล่ง JDA-A18 มีแผนการหยุดซ่อมบำรุงในเดือนเมษายน 2559 เป็นเวลา 12 วัน ส่งผลต่อปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันออก และพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาประมาณ 420 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งผลกระทบให้ ปตท. ต้องหยุดจ่ายก๊าซฯ ให้แก่โรงไฟฟ้าและสถานี NGV จะนะ และ (5) แหล่งสินภูฮ่อม มีแผนหยุดซ่อมบำรุงระหว่างวันที่ 21-30 กันยายน 2559 ส่งผลต่อปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือให้แก่โรงไฟฟ้าและสถานี NGV น้ำพอง รวมประมาณ 150 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่ง ปตท. ได้ประสานงานกับ กฟผ. ในการกำหนดช่วงเวลาซ่อมบำรุงประจำปีของโรงไฟฟ้าให้สอดคล้องกับแผนการทำงาน ของผู้ผลิตก๊าซฯ เพื่อลดผลกระทบ1.2 กฟผ. ได้พิจารณาแผนหยุดจ่ายก๊าซฯ ผลกระทบต่อระบบไฟฟ้า และแผนการดำเนินงานของ กฟผ. แล้ว สรุปได้ว่า (1) เสนอให้เลื่อนการหยุดซ่อมแหล่งก๊าซฯ จากแหล่งสินภูฮ่อมจากเดิมระหว่างวันที่ 21-30 กันยายน 2558 เป็นวันที่ 17-26 กันยายน 2558 เพื่อให้ตรงกับแผนหยุดซ่อมบำรุงประจำปีของโรงไฟฟ้า (2) การหยุดจ่ายก๊าซฯ จาก JDA-A18 ในเดือนเมษายน 2559 (12 วัน) จะไม่มีผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าภาคใต้ และยังคงสามารถบริหารจัดการเพื่อรองรับมาตรฐานความมั่นคง N-1 ได้ แต่จะมีผลทำให้การใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จำนวน 12 และ 16 ล้านลิตร ตามลำดับ (3) การหยุดจ่ายก๊าซฯ จากสหภาพ เมียนมาร์ (ยาดานา เยตากุน และซอติก้า) ในช่วงวันที่ 19-28 มีนาคม 2559 และ 9-18 เมษายน 2559 จะไม่มีผลกระทบต่อระบบไฟฟ้านครหลวงและยังคงสามารถบริหารจัดการเพื่อรองรับมาตรฐานความมั่นคง N-1 ได้ แต่จะมีผลทำให้ต้องใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลเพิ่มในเดือนเมษายน 2559 จำนวน 6 และ 1.3 ล้านลิตร ตามลำดับ
2. ตามแผนการทำงานของผู้ผลิตก๊าซฯ ข้างต้น อาจทำให้มีความจำเป็นต้องเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมันในปริมาณค่อนข้างสูงซึ่งจะมีผลกระทบต่อ Ft งวดเดือนมกราคม – เมษายน 2559 ดังนั้น ปตท. และ กฟผ. จึงอยู่ระหว่างเจรจาปรับเปลี่ยนกำหนดการหยุดซ่อมเพื่อลดผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า โดย กฟผ.ได้เสนอกรอบเวลาที่เหมาะสม ดังนี้ (1) ปรับเลื่อนกำหนดการหยุดผลิตของแหล่งยาดานาซึ่งจะส่งผลให้ต้องหยุดจ่ายก๊าซฯ จากสหภาพ เมียนมาร์ทุกแหล่ง จากเดือนมีนาคม 2559 เป็น 12-18 เมษายน 2559 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แหล่งเยตากุนหยุดผลิต และ (2) ปรับเลื่อนกำหนดการหยุดผลิตของแหล่ง JDA-A18 จากช่วงเดือนเมษายน 2559 เป็นระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน – 7 กรกฎาคม 2559 (12 วัน) สำหรับกระทรวงพลังงานมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ (1) กระทรวงพลังงานร่วมกับ กฟผ. และ บมจ. ปตท. ดำเนินงานหารือแผนการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติร่วมกันเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ให้ได้ข้อยุติและรายงาน กบง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ และ (2) สนพ. และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานจัดเตรียมมาตรการรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าว เช่น การรณรงค์การลดใช้พลังงานไฟฟ้า และมาตรการ Demand Response เป็นต้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนธันวาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ 466 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2558 จำนวน 55 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤศจิกายน 2558 อยู่ที่ 35.9366 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2558 ที่ 0.0614 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับเพิ่มขึ้น 0.7040 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 15.8011 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 16.5051 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.75 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.04 บาทต่อกิโลกรัม
2. เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันฯ ก๊าซ LPG ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,937 ล้านบาท จึงขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 3 แนวทาง ดังนี้ (1) คงราคาขายปลีกไว้ที่ 22.29 บาท ต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ 0.7040 บาทต่อกิโลกรัม จาก 0.6130 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 1.3170 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 557 ล้านบาทต่อเดือน (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ อีก 0.0778 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 0.6130 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 0.6908 บาทต่อกิโลกรัมซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 22.96 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 333 ล้านบาท/เดือน และ (3) คงอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.6130 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.75 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.04 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 11.30 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 312 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 1.3170 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 13 - วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2559 (ครั้งที่ 13)
วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 14.30 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมกราคม 2559
2. Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
3. การทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
4. แนวทางดำเนินการโครงการนำร่องการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเสรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมกราคม 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนมกราคม 2559 อยู่ที่ 363 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 103 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ 36.1761 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่ 0.2395 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 1.5501 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 16.5051 บาทต่อกิโลกรัม (459.2837 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 14.9550 บาทต่อกิโลกรัม (413.3943 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2. เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 2 แนวทาง ดังนี้ (1) คงราคาขายปลีกไว้ที่ 22.29 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 1.5501 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 1.3170 บาทต่อกิโลกรัม เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.2331 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 2 ล้านบาทต่อเดือน และ (2) ปรับลดราคาขายปลีกลง 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยปรับลดอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ ลง 0.9240 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 1.3170 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.3930 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 21.62 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 225 ล้านบาท ต่อเดือน ทั้งนี้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,495 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.2331 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
เรื่อง Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 มีมติให้ปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV โดยมีเป้าหมายให้ราคาขายปลีกเป็นไปตามกลไกตลาด ดังนี้ (1) ปรับเพิ่มราคาก๊าซ NGV สำหรับรถส่วนบุคคล 1 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 10.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 11.50 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) ให้คงราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งต่อมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีการพิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV จำนวนทั้งสิ้น 4 ครั้ง ได้แก่ (1) วันที่ 30 กันยายน 2557 (2) วันที่ 2 ธันวาคม 2557 (3) วันที่ 30 มกราคม 2558 และ (4) วันที่ 7 กันยายน 2558 โดยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2558 ได้เห็นชอบให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.00 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.50 บาทต่อกิโลกรัม และให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2558 เป็นต้นไป
2. โครงสร้างราคาก๊าซ NGV ปัจจุบันยังคงคำนวณตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งจากการที่ สนพ. ได้ทบทวนต้นทุนภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจากการติดตามต้นทุน NGV ของ ปตท. พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ได้จากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยฯ และต้นทุนของ ปตท. อยู่ที่ 14.32 และ 16.97 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ นอกจากนี้สถาบันวิจัยฯ ยังได้มีการคิดค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่เป็นส่วนของ ปตท. และส่วนที่เป็นของเอกชน โดยมีการแบ่งสัดส่วนตามปริมาณขายระหว่างสถานีบริการนอกแนวท่อกับสถานีบริการบนแนวท่อ ในอัตรา 55:45 ซึ่งค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้การดำเนินการสถานีบริการก๊าซ NGV มีประสิทธิภาพ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เปลี่ยนวิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายดำเนินการมาคำนวณเฉพาะในส่วนที่เป็นของเอกชนอย่างเดียว โดยใช้สัดส่วนการดำเนินธุรกิจจากสถานีหลักไปสถานีลูกต่อสถานีแนวท่อตามจริงคือ 60:40 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่คำนวณได้ลดลงจากเดิมที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะภาคเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม
3. เนื่องจากราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันยังไม่สะท้อนต้นทุนการดำเนินงาน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้
3.1 แนวทางที่ 1 ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน โดยให้ปรับไปตามประมาณการราคาของเดือนมกราคม 2559 จากเดิมที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.62 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2558 เป็นต้นไป และตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาขายปลีก ก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุน โดยในส่วนของต้นทุนของราคาเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) ให้ใช้ราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมาในการคำนวณ และให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน โดยขอความร่วมมือ ปตท. พิจารณาให้ส่วนลดสำหรับการขายส่งก๊าซ NGV จากแนวท่อ (Ex-Pipeline) สำหรับลูกค้าที่เป็นคู่สัญญาของ ปตท. นับตั้งแต่วันที่ ปตท. เริ่มมีการขายส่งก๊าซ NGV จากแนวท่อไปยังลูกค้าดังกล่าว3.2 แนวทางที่ 2 ให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปจนกว่าต้นทุนราคา ก๊าซ NGV จะลดลงมาเท่ากับ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม จึงจะปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุน โดยในส่วนของต้นทุนของราคาเฉลี่ย Pool Gas ให้ใช้ราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมาในการคำนวณ และให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือนโดยทั้ง 2 แนวทางจะขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะไว้ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม และให้ปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ จากเดิม 9,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรถสาธารณะจาก 35,000 บาทต่อเดือน เป็น 40,000 บาทต่อเดือน โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน รับไปศึกษาเพิ่มเติมความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาอุดหนุนราคาก๊าซ NGV โดยให้คำนึงถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในอดีตด้วย และให้นำกลับมารายงานอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่อง การทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และ E85 และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
2. ปัจจุบันประกาศกรมธุรกิจพลังงานได้กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยกำหนดว่าต้องมีสัดส่วนการผสมพลังงานทดแทนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 9.0 9.0 19.0 75.0 และ 6.5 และไม่สูงกว่าร้อยละ 10.0 10.0 20.0 E85 (ไม่ได้กำหนด) และ 7.0 ตามลำดับ ทั้งนี้จากการที่ราคาพลังงานทดแทนมีราคาสูงกว่าพลังงานจากฟอสซิล ทำให้ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงผสมพลังงานทดแทน ในสัดส่วนที่ต่ำสุดตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานเพื่อให้มีต้นทุนต่ำ ดังนั้น เพื่อให้หลักเกณฑ์สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยให้ใช้สัดส่วนการผสมในอัตราต่ำตามประกาศกรมธุรกิจพลังงานในการแทนค่าในการคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
3. ผลจากการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น จะทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนแปลง โดยจะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และ E85 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.5352 1.4357 1.2728 และ 3.3237 บาทต่อลิตร มาอยู่ที่ 1.6347 1.5380 1.3707 4.3416 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ค่าการตลาดคงเดิมอยู่ที่ 2.5471 และ 1.6242 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานผู้ค้าเพื่อปรับราคาขายปลีกให้เหมาะสมต่อไป
เรื่อง แนวทางดำเนินการโครงการนำร่องการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเสรี
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2558 สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เห็นชอบข้อเสนอโครงการปฏิรูปเร็ว (Quick win) เรื่อง โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์สำหรับบ้านและอาคาร) ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการฯ โดยเน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลัก แล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เกินให้แก่
การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้น้อยที่สุด โดยราคารับซื้อไฟฟ้าต้องไม่ก่อภาระต่อประชาชน และมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รับไปดำเนินโครงการฯ โดยให้ดำเนินการในรูปแบบโครงการนำร่อง (Pilot Project) ก่อน และให้รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ให้ กบง. ทราบเป็นระยะต่อไป
2. พพ. ได้ประชุมหารือแนวทางดำเนินโครงการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันกำหนด แนวทางการดำเนินโครงการ Pilot Project สรุปได้ดังนี้
2.1 แนวคิดการดำเนินโครงการได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายโครงการ กลุ่มเป้าหมาย พื้นที่เป้าหมาย ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง และรูปแบบโครงการ2.2 ระเบียบที่ใช้รองรับโครงการ สามารถนำระเบียบเดิมของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวง ว่าด้วยข้อกำหนดการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า พ.ศ. 2551 มาปรับใช้กับการดำเนินโครงการ ซึ่งปัจจุบัน การไฟฟ้าฯ และ กกพ. อยู่ระหว่างการปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนานกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้า2.3 ขั้นตอนดำเนินการ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลักคือ การปรับปรุงกฎระเบียบ การประกาศเปิด รับสมัคร การพิจารณาตอบรับเข้าร่วมโครงการ การติดตั้งระบบ และตรวจสอบระบบเชื่อมต่อ2.4 ข้อจำกัดทางเทคนิค การไฟฟ้าฯ ได้ให้ข้อมูลเรื่อง ข้อจำกัดทางเทคนิคที่ต้องคำนึงในการดำเนินโครงการ ได้แก่ ข้อกำหนดปริมาณกำลังไฟฟ้า และข้อจำกัดปริมาณการติดตั้ง2.5 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการให้บรรลุผลสำเร็จ มีประเด็นที่ควรพิจารณา ประกอบด้วย รูปแบบการสนับสนุน การกำกับดูแล การติดตามผล การตรวจวัดข้อมูล การอำนวยความสะดวกในการสมัครเข้าร่วมโครงการ2.6 พื้นที่และปริมาณการติดตั้ง ในขั้นโครงการระยะนำร่อง ได้กำหนดปริมาณการติดตั้งที่ 100 MWp ตามลำดับการยื่นขอ จนกว่าจะครบ 100 MWp โดยติดตั้งในพื้นที่ของ กฟน. และ กฟภ.2.7 แผนการดำเนินงานโครงการ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี โดยมีแผนการดำเนินงานดังนี้ (1) เดือนมกราคม 2559 นำเสนอแนวทางดำเนินโครงการต่อ กบง. (2) เดือนกุมภาพันธ์ 2559 กกพ. พิจารณากำหนดแนวทางหรือระเบียบการติดตั้ง (3) เดือนมีนาคม 2559 กฟน. และ กฟภ. ประชาสัมพันธ์โครงการและเปิด รับสมัคร (4) เดือนเมษายน 2559 ติดตั้งโซลาร์รูฟเสรีในระยะนำร่อง จนครบปริมาณ 100 MWp และ (5) สิ้นปี 2559 ติดตามและประเมินผลกระทบต่อความมั่นคงระบบไฟฟ้า และเสนอแนวทางการส่งเสริมในระยะต่อไป
มติของที่ประชุม
รับทราบ
กบง. ครั้งที่ 21 - วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2559 (ครั้งที่ 21)
เมื่อวันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 14.30 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2559
2. ยกเลิกการชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม
3. ความก้าวหน้าการส่งเสริมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
ผู้มาประชุม
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์)
9. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนเมษายน 2559 อยู่ที่ 332 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก
เดือนก่อน 30 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่งผลให้ราคาก๊าซ LPG นำเข้า และราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน อยู่ที่ 417 และ 312 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ โดยราคาก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ และราคาก๊าซ LPG จาก ปตท. สผ. อยู่ที่ 436 และ 432 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 4.47 และ 4.4262 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนเมษายน 2559 อยู่ที่ 35.4031 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากเดือนมีนาคม 2559 เท่ากับ 0.3664 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากต้นทุนก๊าซ LPG ดังกล่าว ส่งผลให้ราคา ณ
โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับเพิ่มขึ้น 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.6826 บาทต่อกิโลกรัม (382.5221 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 14.0285 บาทต่อกิโลกรัม (396.2513 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2. เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซ LPG ณ วันที่ วันที่ 27 มีนาคม 2559 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,244
ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 2 แนวทาง ดังนี้ แนวทางที่ 1 คงราคา
ขายปลีกไว้ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ อีก 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม
จากเดิมชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชยที่ 0.7095 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 263 ล้านบาทต่อเดือน และแนวทางที่ 2 ปรับเพิ่มราคาขายปลีกขึ้น 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยปรับลดอัตราเงินชดเชยกองทุนลง 0.2802 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชยที่ 0.0834 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 20.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.96 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาท/ถัง 15 กก.) ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 30 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีก 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชยที่ 0.7095 บาทต่อกิโลกรัม โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
6 เมษายน 2559 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 ยกเลิกการชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม
สรุปสาระสำคัญ
1. ช่วงปี 2553 การใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มีปริมาณ 457 พันตันต่อเดือน และการผลิตในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 314 พันตันต่อเดือน ซึ่งทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LPG ประมาณ 110 - 154 พันตันต่อเดือน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 1,606 - 2,017 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้น เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันฯ รัฐจึงมีนโยบายเพิ่มปริมาณการจัดหาภายในประเทศ โดยมาตรการหนึ่งคือเพิ่มการผลิตไฟฟ้า
จากโรงไฟฟ้าขนอม เพื่อให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 4 (ขนอม) สามารถเดินเครื่องผลิตก๊าซ LPG ได้เพิ่มขึ้น
แต่ปัจจุบันโรงไฟฟ้าขนอมเดินเครื่องไม่เต็มกำลัง เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพต่ำ และมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่สูง ดังนั้นการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนอมจะทำให้ค่าไฟฟ้าที่ผลิตสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนค่า Ft รัฐจึงเห็นควรให้จ่ายชดเชยโดยลดราคาก๊าซธรรมชาติให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าขนอม ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 กบง. ได้พิจารณาการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซ LPG ในประเทศ และมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมและวิธีการดำเนินการเพื่อจ่ายเงินชดเชย โดยให้เริ่มจ่ายเงินชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2553
2. วันที่ 19 มกราคม 2553 – เดือนมกราคม 2559 โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 4 (ขนอม) สามารถผลิต
ก๊าซ LPG ได้จำนวน 993,836 ตัน และกองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินชดเชยมูลค่าส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับการผลิตก๊าซ LPG ดังกล่าวจำนวน 2,634 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ในช่วงเวลาเดียวกันจำนวนเงินชดเชยดังกล่าวคิดเป็นเงินจำนวน 14,523 ล้านบาท ดังนั้น มาตรการการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนอมสามารถประหยัดเงินชดเชยจากการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ถึง 11,890 ล้านบาท แต่เนื่องจากโรงไฟฟ้าทดแทนขนอม ชุดที่1 ที่สร้างขึ้นใหม่ขนาด 930 เมกะวัตต์ ในพื้นที่เดิมจะเริ่มการทดสอบการทำงานทั้งระบบ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2559 ส่งผลให้มีการเรียกปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติเพียงพอที่จะทำให้โรงแยกก๊าซขนอมสามารถเดือนเครื่องได้เอง ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ จึงไม่มีความจำเป็นต้องชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ยกเลิกชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติ
จากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม รอบเดือนเมษายน 2559 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม นับจากวันที่โรงไฟฟ้าทดแทนขนอม ชุดที่ 1 ผลิตพลังงานไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date)
เป็นต้นไป
เรื่องที่3 ความก้าวหน้าการส่งเสริมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2558 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะพลาสติก คือ อัตราเงินชดเชย = 14.50 – ราคาน้ำมันดิบ ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 14.50 บาทต่อลิตร จะไม่มีการชดเชยต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะ
โดยให้มีระยะเวลาชดเชย 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2561 และให้ สนพ. พิจารณาทบทวนต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกทุกๆ 1 ปี โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2561
2. ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 เป็นต้นมา สนพ. ได้ดำเนินการออกประกาศกำหนดอัตราเงินชดเชยฯ
ทุกเดือน และข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 มีโรงกลั่นฯ มายื่นขอรับเงินชดเชยจากสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) จำนวน 1 ราย ได้แก่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งรับซื้อน้ำมันที่ได้มาจากการแปรรูปขยะพลาสติกของโรงงานแปรรูปขยะเทศบาลหัวหิน ในปริมาณทั้งหมด 216,114 ลิตร และได้ใช้เงินชดเชยไปทั้งสิ้น 956,785 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 20 - วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2559 (ครั้งที่ 20)
เมื่อวันพุธที่ 30 มีนาคม 2559
1. รายงานความคืบหน้าโครงการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
2. สถานภาพการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
3. ความก้าวหน้า Roadmap การเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
4. ความก้าวหน้าการรับฟังข้อคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 เรื่องการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยการดำเนินการระยะยาวได้มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการ ดังนี้ (1) ขยายระบบคลังและท่าเรือนำเข้าเขาบ่อยา ให้มีกำลังนำเข้าสูงสุด 250,000 ตันต่อเดือน และก่อสร้างคลังและท่าเรือนำเข้าแห่งใหม่ มีกำลังนำเข้าสูงสุด 250,000 ตันต่อเดือน (2) ขยายระบบคลังจ่ายก๊าซ บ้านโรงโป๊ะ โดยการขยายกำลังการจ่ายทั้งทางรถยนต์และรถไฟ ซึ่งจะทำให้สามารถจ่าย LPG ได้ 276,000 ตันต่อเดือน (3) ขยายระบบคลังภูมิภาค ได้แก่ คลังก๊าซบางจาก คลังก๊าซขอนแก่น คลังก๊าซนครสวรรค์ คลังก๊าซสุราษฏร์ธานี และคลังก๊าซสงขลา (4) ขยายระบบขนส่งก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซฯ ไปคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะและคลังก๊าซเขาบ่อยา
2. เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 ครม. มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 เรื่อง หลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทนการลงทุน โดยมีกรอบวงเงินการลงทุนเพื่อใช้ในการดำเนินการรวมทั้งสิ้น 48,599 ล้านบาท และแบ่งการลงทุนเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 ลงทุน 20,954 ล้านบาท และระยะที่ 2 ลงทุน 27,645 ล้านบาท
3. ความคืบหน้าในการก่อสร้าง ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ร้อยละ 98.89 และพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน 2559 โดยมีรายละเอียดของส่วนการขยายคลังก๊าซ ดังนี้ (1) งานขยายคลังก๊าซเขาบ่อยาและท่าเรือ ประกอบด้วย การก่อสร้างท่าเรือ สำหรับการรับก๊าซเพิ่ม 1 ท่า และสำหรับจ่ายก๊าซเพิ่ม
1 ท่า การก่อสร้างถังเก็บก๊าซทรงกลม ขนาด 2,000 ตันเพิ่ม 2 ถัง การก่อสร้างถังเย็นเก็บก๊าซขนาด 25,000 ตันเพิ่ม
2 ถัง การติดตั้งระบบท่อ อุปกรณ์รับก๊าซโปรเพน บิวเทน LPG การติดตั้งเครื่องสูบก๊าซโปรเพนและบิวเทน การติดตั้งชุด BOG compressor และ TR compressor และการติดตั้งเครื่องสูบก๊าซ LPG จากคลังก๊าซเขาบ่อยาไปคลังก๊าซ
บ้านโรงโป๊ะ (2) งานขยายคลังก๊าซบ้านโรงโป๊ะ เป็นการปรับปรุงระบบขนส่งทางรถไฟและจัดซื้อตู้รถไฟ (3) งานขยายคลังก๊าซภูมิภาค ประกอบด้วย คลังปิโตรเลียมขอนแก่น เพิ่มถังเก็บก๊าซทรงกลมขนาด 3,000 ตัน 1 ถัง และขยายลานบรรจุก๊าซเพิ่ม 4 ช่องจ่าย คลังปิโตรเลียมขอนแก่นขยายสะพานชั่งเพิ่ม 1 เครื่อง คลังปิโตรเลียมนครสวรรค์ ขยายลานบรรจุก๊าซเพิ่ม 2 ช่องจ่าย และขยายสะพานชั่งเพิ่ม 1 เครื่อง คลังปิโตรเลียมสุราษฎร์ธานี เพิ่มถังเก็บก๊าซทรงกลมขนาด 3,000 ตัน 1 ถัง และขนาด 1,000 ตัน 1 ถัง และขยายสะพานชั่งเพิ่ม 1 เครื่อง และคลังปิโตรเลียมสงขลา เพิ่มถังเก็บก๊าซทรงกลมขนาด 2,000 ตัน 1 ถัง ขยายลานบรรจุก๊าซเพิ่ม 1 ช่องจ่าย ขยายสะพานชั่งเพิ่ม 1 เครื่อง และติดตั้ง Marine Loading Arm เพิ่ม 1 ชุด
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานภาพการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันประเทศไทยมีความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้านใน 2 รูปแบบ ได้แก่
(1) การซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการที่พัฒนาขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าผ่านสายส่งเชื่อมโยงระหว่างประเทศ เพื่อร่วมมือในการพัฒนาด้านพลังงานไฟฟ้ากับประเทศนั้นๆ และขายไฟฟ้าให้กับประเทศไทย ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) 7,000 เมกะวัตต์ สาธารณรัฐประชาชนจีน 3,000 เมกะวัตต์ และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และราชอาณาจักรกัมพูชา ไม่ระบุปริมาณรับซื้อไฟฟ้า และ (2) การแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศผ่านการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้ากำลังระหว่างสองประเทศ (Grid to Grid) ปัจจุบันมีการแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (ฟฟล.) ซึ่งเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าแบบ Non-Firm นอกจากนี้ยังมีการขายพลังงานไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. และการไฟฟ้ากัมพูชาเป็นปริมาณมากผ่านการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า จากสถานีไฟฟ้าแรงสูงวัฒนานครของ กฟผ. เข้าไปยังเมืองบันเตียนเมียนเจย (ศรีโสภณ) พระตะบอง และเสียมราฐ
2. สถานภาพการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบัน สรุปได้ดังนี้ (1) การซื้อขายไฟฟ้าฯ ปัจจุบัน กฟผ. ได้มีการตกลงซื้อขายไฟฟ้ากับผู้พัฒนาโครงการ กำลังผลิตรวม 5,421 เมกะวัตต์ และ (2) การแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าฯ ปัจจุบัน กฟผ. ได้มีการแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้า ทั้งสิ้นจำนวน 5 จุด และ กฟภ.
มีจำนวนจุดซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศ ทั้งสิ้น 21 จุด (3) โครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาการรับซื้อไฟฟ้า
ซึ่งคณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้มอบหมายให้ กฟผ. ไปดำเนินการเจรจาในรายละเอียดกับผู้พัฒนาโครงการ และให้นำผลการเจรจามารายงานและเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป และ (4) โครงการที่มีศักยภาพ มีการศึกษาถึงความเป็นไปได้ ในการพัฒนาโครงการต่างๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน ดังนี้ (1) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้แก่ โครงการเซนาคาม โครงการเซกอง 4 โครงการเซกอง 5 และโครงการน้ำกง 1 กำลังผลิต 660 240 330 และ 75เมกะวัตต์ ตามลำดับ (2) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ได้แก่ โครงการมายตง โครงการมายกก โครงการเชียงตุง โครงการทะนินทะยี และโครงการมะริด กำลังผลิต 6,300 390 200-600 600 และ 1,200-2,000 เมกะวัตต์ ตามลำดับ และ
(3) ราชอาณาจักรกัมพูชา ได้แก่ โครงการสตึงมนัม กำลังผลิต 94 เมกะวัตต์
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ความก้าวหน้า Roadmap การเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 กบง. ได้เห็นชอบในหลักการ เรื่อง Roadmap การดำเนินการเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG โดยมีแผนยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมการแข่งขันให้มีผู้นำเข้ามากกว่าหนึ่งราย มีขั้นตอนการดำเนินการเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่ไม่เอื้อต่อการให้ผู้ค้าก๊าซ LPG รายอื่นนำเข้าระยะที่ 2 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้าให้ผู้ประกอบการรายอื่น (นอกเหนือจาก ปตท.) ด้วยระบบโควต้า โดยใช้ราคานำเข้าที่ CP+85 เหรียญสหรัฐต่อตันระยะที่ 3 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้าให้ผู้ประกอบการรายอื่น (นอกเหนือจาก ปตท.) ด้วยระบบโควต้า โดยใช้ราคานำเข้าที่ CP+X เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่ง X เป็นสูตรคงที่อ้างอิงกับดัชนีที่เหมาะสม สะท้อนต้นทุนการขนส่งและจัดหาซึ่งปรับตามตลาดโลกระยะที่ 4 เปิดการประมูลการนำเข้าก๊าซ LPG เมื่อมีผู้ค้ามาตรา 7 สามารถนำเข้าได้มากกว่าหนึ่งราย และประสงค์จะนำเข้ามากกว่าปริมาณนำเข้าที่ประเทศต้องการ
2. ดำเนินการยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งแล้วเสร็จ ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 และการดำเนินการตาม Roadmap ในขั้นที่ 2 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (1) ยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งทุกคลังทั่วประเทศ (2) ยกเลิกประกาศ กบง. ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 ฉบับที่ 20 พ.ศ. 2551 และฉบับที่ 91 พ.ศ. 2551 (3) กำหนดบัญชีค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการกำกับดูแลราคา ณ คลังภูมิภาค สำหรับให้กระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นข้อมูลควบคุมราคาขายปลีกก๊าซ LPG
3. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 บริษัท พี เอ พี แก๊สแอนด์ออยล์ จำกัด ได้จัดทำหนังสือถึงกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เพื่อขอนำเข้าก๊าซ LPG มาจำหน่ายในประเทศปริมาณ 2,000 ตันต่อเดือน ตลอดปี 2559 ต่อมา
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2559 ธพ. แจ้งให้นำเข้าก๊าซ LPG ได้ในปริมาณ 2,000 ตันต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน
โดยเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 แต่ทั้งนี้ บริษัท พี เอ พี แก๊สแอนด์ออยล์ จำกัด ไม่สามารถดำเนินการนำเข้า
ตามแผนที่วางไว้ได้
4. เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2559 บริษัทสยามแก๊สฯ แอนด์ ปิโตรเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อขอนำเข้าก๊าซ LPG เป็นเวลา 3 เดือน โดยในแต่ละเดือนประสงค์จะนำเข้ามาในปริมาณเที่ยวละ 22,000 ตันจำนวนสองเที่ยว โดยจะเริ่มนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป แต่ ธพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้ชะลอคำขอการนำเข้าออกไปก่อน เนื่องจากต้องรอการพิจารณาอัตราค่าบริการและกฎระเบียบการใช้คลังก๊าซนำเข้าเขาบ่อยาที่เหมาะสม นอกจากนั้น ธพ. ได้มอบหมายให้ ปตท. นำเข้าก๊าซ LPG ในปี 2559 โดย ปตท. ได้ทำสัญญาระยะยาวในการซื้อก๊าซ LPG ก่อนที่ กบง. จะมีมติเห็นชอบเปิดเสรีให้มีการนำเข้ามากกว่าหนึ่งราย รวมถึงความต้องการใช้ก๊าซ LPG ของประเทศที่ลดลง ส่งผลให้ในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2559 นี้ เหลือปริมาณการนำเข้าที่สามารถนำมาประมูลได้ไม่เกินสองลำเรือขนาดลำละ 44,000 ตัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ความก้าวหน้าการรับฟังข้อคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2558 กบง. ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีการศึกษาแนวทางในการปฏิรูปบทบาท หน้าที่ และการใช้ประโยชน์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการประชุม
เพื่อร่วมพิจารณายกร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... จำนวน 4 ครั้ง ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 -กุมภาพันธ์ 2559 ต่อมาเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2559 กบง. ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ โดยให้นำข้อสังเกตุของ กบง. ไปปรับปรุงให้เรียบร้อยก่อนและให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณา ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559 กพช. ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ต่อไป
2. เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2559 สนพ. ได้ดำเนินการจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติฯ โดยได้เชิญหน่วยงานจากภาครัฐ ผู้ประกอบการ นักวิชาการ สถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชน ที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมสัมมนารับฟังความคิดเห็น โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาจำนวนประมาณ 130 คน นอกจากนี้ สนพ. ยังได้นำร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว เผยแพร่ทางเว็บไซด์ของ สนพ. ตั้งแต่วันทื่ 14 มีนาคม 2559 – 28 มีนาคม 2559 และจัดพิมพ์เผยแพร่ให้แก่ผู้สนใจทั่วไป รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็น เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติฯ ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ซึ่งปัจจุบันมีองค์กรต่างๆ ได้นำเสนอความเห็นเพิ่มเติม ได้แก่ สภาอุตสาหกรรม กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน สำนักงานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ
3. จากการเปิดรับฟังความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติฯ จากช่องทางต่างๆ สามารถสรุปประเด็นหลักๆ ได้ ดังนี้ (1) ควรเพิ่มหลักการและเหตุผลให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (2) ควรเพิ่มนิยามคำว่า วิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง ให้ชัดเจน (3) ในวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ และโครงสร้างพื้นฐานมีทั้งส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยผู้ที่ไม่เห็นด้วยขอให้ดำเนินการโดยใช้งบประมาณแผ่นดิน (4) ในนิยามคำว่าโรงกลั่นน้ำมัน ไม่ควรรวมโรงอะโรเมติก และโรงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและสารละลาย มีทั้งส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยผู้ที่ไม่เห็นด้วย เห็นว่าจะทำให้เกิดการเพิ่มต้นทุนและลดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบริษัทปิโตรเคมีขนาดกลาง (5) การเรียกเก็บเงินเข้ากองทุน หรือการจ่ายชดเชย ควรดำเนินการเฉพาะน้ำมันที่จำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น ไม่ควรรวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้เองในขบวนการผลิต และที่ใช้เป็นวัตถุดิบ เนื่องจากอยู่ในกระบวนการผลิต และ (6) กองทุนควรมีมาตรการป้องกันการแทรกแซงจากภาคการเมือง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 17 - วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2559 (ครั้งที่ 17)
เมื่อวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
2.รายงานความเคลื่อนไหวราคาเชื้อเพลิงชีวภาพ
3.ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ...
4.โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2559
5.แนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2558 มีมติเห็นชอบแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558-2579 (Gas Plan 2015) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้มีการทบทวนแผนฯเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของแแผนฯอย่างมีนัยสำคัญ และให้หน่อยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการต่อไป โดยมอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนฯต่อ กบง. ทุก 3 เดือน และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนฯ ตามมติ กพช. ดังกล่าว
2.การจัดทำแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan 2015) ให้รองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ ให้มีเพียงพอในอนาคต ได้ กำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน 4 ด้านสำคัญ คือ (1) ลดการใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งมีต้นทุน สูงขึ้นรวดเร็วจากการนำเข้า LNG (2) ยืดอายุแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติโดยกระตุ้นการสำรวจและพัฒนา แหล่งในประเทศและการใช้เทคโนโลยี เพื่อรักษาระดับการจัดหาให้ยาวนานขึ้น (3) การหาแหล่งและการบริหาร จัดการ LNG ที่มีประสิทธิภาพ และ (4) มีโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางด้านการแข่งขัน ทั้งทางกายภาพ และกติกา ที่สอดรับกับแผนจัดหา รวมทั้งวางกรอบแนวทางการจัดหาและบริหารจัดการ LNG ในอนาคตให้เกิดการแข่งขัน และเพื่อให้สอดคล้องกับแผน PDP 2015 จึงได้จัดทำคาดการณ์การใช้และการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว ภายใต้ แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558 – 2579 ใน 3 กรณี คือ (1) กรณีฐาน – คาดว่าความต้องการใช้
ก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (2) กรณีคิดความเสี่ยงด้านความต้องการใช้จากการชะลอโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน และความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผน AEDP และ EEDP ทำได้ 70% และ (3) กรณีสัมปทานที่จะสิ้นสุดอายุในปี 2565 และ 2566 ผลิตไม่ต่อเนื่อง
3.แผนดำเนินงานเพื่อรองรับแผนการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติระยะยาว จะดำเนินการใน 4 ด้าน คือ
3.1 ลดการใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งมีต้นทุนสูงขึ้นรวดเร็วจากการนำเข้า LNG โดย (1) ส่งสัญญาณ
ของราคา รวมถึงการปรับ Pool Pricing เพื่อให้ผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติรายใหม่ๆ พิจารณาต้นทุนเศรษฐศาสตร์
ของโครงการจากราคาก๊าซธรรมชาติที่อิงกับราคาก๊าซ LNG (2) ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากการกระจายเชื้อเพลิงตามแผน PDP 2015 ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า โดยดำเนินการพัฒนาโรงไฟฟ้า
ตามแผน PDP 2015 (3) เร่งมาตรการประหยัดพลังงานของก๊าซธรรมชาติเพื่ออุตสาหกรรมตามแผน EEP 2015 และ (4) ส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) สำหรับรถยนต์ขนส่งสาธารณะและรถบรรทุก
3.2 รักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศให้ยาวนานขึ้น โดยกระตุ้นการสำรวจและพัฒนาแหล่งในประเทศและการใช้เทคโนโลยี โดย (1) เปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ เพื่อสำรวจหาปิโตรเลียมอย่างต่อเนื่อง (2) บริหารจัดการสัญญาสัมปทานที่จะสิ้นสุด เพื่อรักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยให้คงที่อย่างต่อเนื่อง และ (3) บริหารจัดการแหล่งก๊าซในอ่าวไทย ในระยะสั้นจะจัดทำแผนการลดปริมาณ Bypass Gas ที่โรงแยกก๊าซเพื่อช่วยยืดอายุแหล่งผลิตแหล่งในประเทศและใช้ประโยชน์ก๊าซจากอ่าวไทยให้ได้ประโยชน์สูงสุด และ (4) พิจารณาพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน
3.3 การหาแหล่งและการบริหารจัดการ LNG ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ (1) เพิ่มจำนวนผู้จัดหาและจำหน่ายเพื่อสร้างการแข่งขันภายในประเทศ (2) เสริมสร้างความร่วมมือในการจัดหาก๊าซธรรมชาติระดับ AEC ผ่านทาง ASCOPE รวมทั้งพิจารณาจัดตั้ง AEC LNG Buyer Club และ (3) จัดตั้งสำนัก LNG เพื่อสนับสนุน และดูแลความเสี่ยงการจัดหา รวมถึงการจัดสร้างฐานข้อมูล และเครื่องมือการวิเคราะห์ในระยะ 20 ปีข้างหน้า รวมทั้งแนวนโยบายส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในด้านการจัดหา LNG ส่งผลให้จำนวนผู้จัดหาและผู้จำหน่ายเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงต้องมีแนวทางกำกับด้านการจัดหาและบริหารจัดการ LNG ที่เหมาะสม
3.4 มีโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางด้านการแข่งขันทั้งทางกายภาพ (โครงข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติและท่าเรือรับ LNG) และกติกาที่สอดรับกับแผนจัดหา (Third Party Access, TPA) เพื่อให้สามารถจัดหาก๊าซธรรมชาติเพียงพอต่อความต้องการใช้ในอนาคต
ทั้งนี้ การดำเนินงานตามแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558 – 2579 Gas Plan 2015 จะมีโครงการ/กิจกรรม ที่คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายใน ปี 2559 – 2560 ดังนี้ (1) การคาดการณ์ความต้องการใช้ก๊าซปี 59 เพื่อติดตามการใช้ก๊าซให้เป็นไปตามแนวแนวทางการชะลอการเติบโตของความต้องการใช้ก๊าซ (2) การบริหารจัดการแปลงสัมปทานที่จะหมดอายุ ในปี 2565-2566 เพื่อให้การผลิตก๊าซธรรมชาติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง (3) การเปิดให้ยื่นขอสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ (4) การบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวให้มีประสิทธิภาพ ลดก๊าซจากอ่าวที่ไม่ผ่านโรงแยกฯ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (5) การศึกษาแนวทางการกำกับดูแลด้าน LNG เพื่อให้มีแนวทางการบริหารจัดการและกำกับดูแล LNG อย่างเหมาะสม และสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันในธุรกิจ LNG และ (6) LNG Terminal
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานความเคลื่อนไหวราคาเชื้อเพลิงชีวภาพ
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงวิธีการคำนวณและการกำหนดราคาเอทานอล โดยให้ใช้ราคาเอทานอลอ้างอิงจากการเปรียบเทียบราคาต่ำสุด ระหว่างราคาเอทานอลที่ผู้ผลิตรายงานต่อกรมสรรพสามิตกับราคาเอทานอลที่ผู้ค้ามาตรา 7 รายงานต่อ สนพ. โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการ ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
2.สถานการณ์ราคาเอทานอลปัจจุบัน มีรายละเอียดดังนี้ (1) ราคาเอทานอลรายงานจากกรมสรรพสามิต อยู่ที่ 22.94 บาทต่อลิตร (2) ข้อมูลราคาเอทานอลรายงานจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 อยู่ที่ 23.82 บาทต่อลิตร (3) ราคาเอทานอลอ้างอิงจากการนำเข้าจากประเทศบราซิล อยู่ที่ 22.35 บาทต่อลิตร (4) ราคาเอทานอล คำนวณจากต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 22.08 บาทต่อลิตร โดยพิจารณาราคากากน้ำตาล 3.95 บาทต่อกิโลกรัม และราคามันสดที่ 2.05 บาทต่อกิโลกรัม ราคาเอทานอลอ้างอิงในเดือนมีนาคม 2559 อยู่ที่ 22.94 บาทต่อลิตร
3.ราคาไบโอดีเซลที่ใช้ในสูตรการคำนวณจะใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก(เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 ราคาไบโอดีเซลปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาผลปาล์มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงปิดฤดูกาลโดยในเดือนมกราคม 2559 ผลปาล์มทะลายเฉลี่ยขึ้นไปถึง 5.40 บาทต่อกิโลกรัม และ CPOเฉลี่ยจากกรมการค้าภายในปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 29.63 บาทต่อกิโลกรัม จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ราคาไบโอดีเซลเริ่มจะลดลง เนื่องจากผลปาล์มเริ่มเปิดฤดูกาล โดยราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์ – 6 มีนาคม 2559 ลิตรละ 31.76 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนลิตรละ 1.20 บาท และสต๊อค CPO เดือน มกราคม 2559 มีปริมาณ 260,856 ตัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 กบง. ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... และได้มีมติมอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... และนำเสนอต่อที่ประชุม กบง. ในการประชุมวันที่ 7 มีนาคม 2559 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอ กพช. ต่อไป
2. สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ได้ดำเนินการปรับร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามมติที่ประชุม กบง. เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 ดังนี้ (1) วัตถุประสงค์ข้อ (1) (2) (3) (5) และ (6) ยังคงเหมือนเดิม แต่เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้นจึงได้เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ข้อ (4) ลงทุนการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ สำหรับสนับสนุนการป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำมาใช้ในกรณีวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อประโยชน์ความมั่นคงทางด้านพลังงาน (2) องค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปรับเปลี่ยน ประธานกรรมการจากปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยตัดผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เพิ่มปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และปรับลดจำนวนผู้ทรงคุณวุฒิจากจำนวน 5 คน เป็นจำนวน 4 คน และ (3) โอนอำนาจหน้าที่ของ กบง. ในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงมาอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตาม พ.ร.บ. นี้
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นำร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2559
สรุปสาระสำคัญ
1.กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนมีนาคม 2559 อยู่ที่ 302 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 5 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 35.7695 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.5566 บาท ต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.0480 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.7306 บาทต่อกิโลกรัม (377.9808 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 13.6826 บาทต่อกิโลกรัม (382.5221 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2.เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซ LPG ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2559 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,188 ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไว้ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับลดการชดเชยกองทุนน้ำมันฯลง 0.0480 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.4116 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายประมาณ 130 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.3636 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 5 แนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
สรุปสาระสำคัญ
1.เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 กพช. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบ Adder เป็น Feed-in Tariff (FiT) และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานรับไปดำเนินการตามแนวทาง ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออกประกาศว่าด้วยการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (ไม่รวมพลังงานแสงอาทิตย์) ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากแบบ Adder เป็น FiT พ.ศ. 2558 (ประกาศ กกพ.) และประกาศ กกพ. (เพิ่มเติม) เพื่อดำเนินการตามมติ กพช. ดังกล่าว
2.สมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลและเครือข่าย (สมาคมฯ) ได้ร้องเรียนต่อประธาน กพช. ถึงความไม่เป็นธรรมจากมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่มีมติให้ปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder เป็นรูปแบบ FiT ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กมาก (VSPP) กลุ่มที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว ในรูปแบบ Adder เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถเปลี่ยนเป็น FiT ได้ โดยสมาคมฯ มีข้อเสนอให้พิจารณาแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการ โดยการให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากที่ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลทุกรายที่ได้รับการสนับสนุนในรูปแบบ Adder มีสิทธิเปลี่ยนเป็นแบบ FiT และได้รับอัตรา FiT ตามตาราง (FiT+FiT Premium)
3.ต่อมา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ กบง. รับข้อเสนอของสมาคมฯ ไปศึกษาข้อเท็จจริง ตลอดจนชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อข้อร้องเรียนและข้อเสนอของสมาคมฯ ให้ได้มาซึ่งข้อยุติร่วมกัน และเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2558 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล (คณะอนุกรรมการฯ) เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนหรือข้อเสนอของสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลดังกล่าว
4.คณะอนุกรรมการฯ ได้ประชุมเพื่อจัดทำข้อสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยมีการประชุมรวม 6 ครั้ง ในระหว่างวันที่ 20 มกราคม 2559 – 23 กุมภาพันธ์ 2559 โดยมีข้อสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาฯ ดังนี้ (1) มติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 มีความเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการกลุ่มที่จะอยู่ในระบบ Adder ตามเดิม โดยพิจารณาตามหลักปฏิบัติตามสัญญา (2) การดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลปัจจุบันกำลังประสบปัญหาเรื่องต้นทุนการดำเนินการและค่าเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (3) แนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม ประกอบด้วย อาทิ 1) ให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) สามารถเลือกที่จะอยู่ในรูปแบบ Adder อย่างเดิมต่อไปได้ตามเงื่อนไขเดิม หรือ 2) สามารถเลือกที่จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบ FiT (FiT+FiT Premium) ได้ โดยมีเงื่อนไข เช่น ได้รับอัตรา FiT และ FiT Premium ตามที่ กพช. ได้มีมติไว้ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 และมีอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าคงเหลือในรูปแบบ FiT เท่ากับอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่กำหนดไว้ 20 ปี หักลดด้วยระยะเวลาที่ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ไปแล้วและหักลดระยะเวลาการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีก 3 ปี เป็นต้น
5.เพื่อให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวลในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ จึงเห็นควรมอบหมายให้ กกพ. ในฐานะผู้กำกับดูแลกิจการไฟฟ้า เป็นผู้จัดทำระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องรองรับการเปลี่ยนรูปแบบจาก Adder เป็น FiT ตามแนวทางของคณะอนุกรรมการฯ พร้อมทั้งให้กำหนดช่วงเวลาที่จะดำเนินการปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบ FiT ให้ชัดเจน หากพ้นกำหนดช่วงเวลาดังกล่าว สิทธิในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายไฟฟ้าเป็นอันสิ้นสุดไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้อีก รวมทั้งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการกับ VSPP ภายหลังสิ้นสุดอายุสัญญาว่า ในอนาคตการต่อหรือไม่ต่อสัญญา VSPP ภาครัฐควรพิจารณาในกรอบผลประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ โดยมีทางเลือกในการดำเนินการ ดังนี้ (1) ไม่ต่ออายุสัญญาและยุติการดำเนินโครงการ หรือ (2) ต่ออายุสัญญา โดยให้โครงการขายไฟฟ้าในอัตราที่ไม่มากกว่าอัตราดังต่อไปนี้
1) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลประเภท VSPP ในรูปแบบ FiT ณ ช่วงเวลาดังกล่าว2) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลประเภท VSPP ในรูปแบบ Adder ณ ช่วงเวลาดังกล่าว 3) อัตราค่าไฟฟ้าขายส่งเฉลี่ย ณ ช่วงเวลาดังกล่าว เพื่ิอประโยชน์สูงสุดของภาครัฐ
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำแนวทางในการพิจารณาจำนวน 3 แนวทาง ดังนี้ (1) ตามข้อสรุป
ของคณะอนุกรรมการฯ สามารถเลือกเปลี่ยนจาก Adder เป็น FiT(สัญญาลด 3 ปี) (2) ให้ยกเลิกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่เกี่ยวกับช่วงการเปลี่ยนผ่าน (กลุ่ม 2 เฉพาะเชื้อเพลิงชีวมวล) ให้เปลี่ยนกลับมาเป็นระบบ Adder ทั้งหมดและ (3) ให้รอผลคำตัดสินของศาล และดำเนินการ
ตามแนวทางคำตัดสิน และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป