มติกพช.กบง. (474)
กบง. ครั้งที่ 7 - วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2558 (ครั้งที่ 7)
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 13.30 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนสิงหาคม 2558
2. แนวทางการส่งเสริมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
3. แนวทางการแก้ไขระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนสิงหาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และนำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน สำหรับระหว่างเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2558 ราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และนำเข้า อยู่ที่ 498 CP-20 และ CP+85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ และบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อยู่ที่ 13.90 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งทำให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) อยู่ที่ 15.6764 บาทต่อกิโลกรัม
2. เพื่อให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีการทบทวนต้นทุนราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG ระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2558 แล้ว สรุปได้ ดังนี้ (1) ต้นทุนจากโรงแยกฯ เดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2558 ลดลง 0.4018 บาทต่อกิโลกรัม จาก 16.3791 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.9773 บาทต่อกิโลกรัม (2) คงต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติกอ้างอิงราคาตลาดโลกที่ CP-20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เนื่องจากเป็นต้นทุนที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงเดือนสิงหาคม 2558 เท่ากับ 12.3685 บาทต่อกิโลกรัม (3) คงต้นทุนก๊าซ LPG จากการนำเข้าอยู่ที่ CP + 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้ต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG เดือนสิงหาคม 2558 อยู่ที่ 15.9861 บาทต่อกิโลกรัม และ (4) ต้นทุนบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อยู่ที่ 14.40 บาทต่อกิโลกรัม
3. จากราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนสิงหาคม 2558 อยู่ที่ 379 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2558 จำนวน 28 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนกรกฎาคม 2558 อยู่ที่ 34.4527 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2558 จำนวน 0.5738 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.7742 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 15.6764 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 14.9022 บาทต่อกิโลกรัม
4. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนสิงหาคม 2558 ที่ปรับลดลง 0.7742 บาทต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG เป็น 3 แนวทาง ดังนี้ (1) คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่ 1.0725 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.83 บาท ต่อกิโลกรัม จาก 23.96 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.13 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับ 320 ล้านบาทต่อเดือน (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่ 0.7742 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 1.0725 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 1.8467 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกคงเดิมที่ 23.96 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับ 602 ล้านบาทต่อเดือน และ (3) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่ 0.1480 บาทต่อกิโลกรัม จาก 1.0725 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 1.2205 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ลดลงเหลือ 23.29 บาทต่อกิโลกรัม และจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับ 374 ล้านบาทต่อเดือน โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ณ วันที่ 2 สิงหาคม 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,816 ล้านบาm
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ดังนี้
1.1 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 15.9773 บาท ต่อกิโลกรัม
1.2 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก เป็นราคาตลาดโลก (CP) ลบ 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
1.3 กำหนดราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
1.4 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 14.40 บาทต่อกิโลกรัมโดยที่ CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียของเดือนนั้น เป็นสัดส่วนระหว่างโปรเปน กับ บิวเทน 60 ต่อ 40ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน ซึ่งการทบทวนครั้งต่อไปจะเป็นในรอบเดือนตุลาคม 2558
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตและนำเข้ากิโลกรัมละ 0.9121 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 เป็นต้นไป
เรื่อง แนวทางการส่งเสริมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะในอัตราไม่เกิน 7 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 5 ปี และมอบให้ สนพ. ไปศึกษารายละเอียดการกำหนดอัตราชดเชยที่เหมาะสม โดยให้นำเสนอประธาน กบง. ให้ความเห็นชอบก่อนออกประกาศ กบง. ต่อไป
2. ปี 2552 สนพ. ได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะ พบว่า จากการคำนวณผลตอบแทนโครงการที่อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.5 ราคาขยะที่ระดับ 2,000 บาทต่อตันขยะพลาสติก ระยะเวลาโครงการ 15 ปี และความสามารถผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกได้ 0.225 ล้านลิตรต่อตันต่อปี จะได้ราคาต้นทุนน้ำมันจากขยะพลาสติกที่ประมาณ 18 บาทต่อลิตร หรือประมาณ 87 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ดังนั้น เพื่อให้การผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกสามารถแข่งขันได้ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลดต่ำกว่า 18 บาทต่อลิตร กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 จึงได้เห็นชอบอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยให้อัตราเงินชดเชยเท่ากับ 18 ลบด้วยราคาน้ำมันดิบ และหากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 18 บาทต่อลิตร หรือ 87 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะไม่มีการชดเชย โดยให้มีระยะเวลาการชดเชย 5 ปี
3. ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้เริ่มดำเนินโครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 แต่ยังไม่มีการชดเชยเนื่องจากไม่มีผู้ผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกรายใดมาขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ รวมทั้งบางช่วงราคาน้ำมันดิบดูไบได้ปรับสูงขึ้นเกิน 18 บาทต่อลิตร ทำให้ไม่ต้องมีการชดเชยตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบดูไบได้ลดต่ำลงมาอยู่ที่ประมาณ 11.79 บาทต่อลิตร หรือ 57 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ผู้ผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกมีหนังสือถึง สนพ. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติก แต่ระยะเวลาสนับสนุนได้สิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2558 เนื่องจากครบกำหนดระยะเวลา 5 ปี
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รวบรวมข้อมูลต้นทุนการผลิตจากผู้ผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกจำนวน 7 ราย พบว่า น้ำมันที่ผลิตได้จากขยะพลาสติกมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 11.27-17.76 บาทต่อลิตร หรือเทียบเท่าราคาน้ำมันดิบดูไบที่ประมาณ 54-85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งต้นทุนที่ลดต่ำลงมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติก ฝ่ายเลขานุการฯ จึงมีความเห็นว่า เพื่อให้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริงควรกำหนดต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกเฉลี่ยที่ 14.50 บาทต่อลิตร
5. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2558 อยู่ที่ประมาณ 11.93 บาทต่อลิตร ในขณะที่ต้นทุนจากการผลิตน้ำมันขยะอยู่ที่ประมาณ 14.50 บาทต่อลิตร ซึ่งไม่สามารถแข่งขันกับราคาน้ำมันดิบดูไบได้ ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้มีการชดเชยราคาให้กับโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับซื้อน้ำมันจากขยะพลาสติก ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบดูไบต่ำกว่าประมาณ 14.50 บาทต่อลิตร โดยให้อัตราเงินชดเชยเท่ากับ 14.50 ลบด้วยราคาน้ำมันดิบ และหากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 14.50 บาทต่อลิตร จะไม่มีการชดเชยต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะ โดยให้มีระยะเวลาชดเชย 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2561 และให้ สนพ. พิจารณาทบทวนต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกทุกๆ 1 ปี
มติของที่ประชุม
เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะพลาสติก ดังนี้
ทั้งนี้หากราคาน้ำมันดิบสูงกว่า 14.50 บาทต่อลิตร จะไม่มีการชดเชยต้นทุนการผลิน้ำมัน จากขยะ โดยให้มีระยะเวลาชดเชย 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2561 แะให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาทบทวนต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกทุกๆ 1 ปี
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2561
เรื่อง แนวทางการแก้ไขระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
สรุปสาระสำคัญ
1. ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นระเบียบที่ประกาศใช้ก่อนที่จะมีการตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) โดยระเบียบได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งประกอบด้วย
(1) ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ฉบับ พ.ศ. 2550
(2) ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ประเภทสัญญา Non-Firm ฉบับ พ.ศ. 2550 และ
(3) ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน) และเพื่อเป็นการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และขนาดเล็กมาก (VSPP) กพช. เห็นชอบให้มีการสนับสนุนในรูปแบบการให้อัตราส่วนเพิ่มในการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Adder) ทั้งนี้การให้ Adder ไม่ได้อยู่ในระเบียบรับซื้อไฟฟ้า แต่เป็นประกาศแนบท้ายสัญญา
2. ต่อมา กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Feed in Tariff (FiT) โดยให้ประกาศหยุดรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Adder โดยมีผลถัดจากวันที่ กพช. มีมติ โดยให้โครงการที่ยื่นคำร้องขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder ก่อนวันที่ กพช. มีมติ ให้สามารถปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบ FiT ได้ ซึ่งภายหลัง กพช. มีมติดังกล่าวได้มีผู้ประกอบการบางส่วน ได้มีหนังสือหารือมายังกระทรวงพลังงาน เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการยื่นขอขายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าโดยไม่ขอรับ Adder รวมถึงหารือแนวทางการปฏิบัติในการรับซื้อไฟฟ้า ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าการเปิดให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ขอรับการสนับสนุนทั้งในรูปแบบ Adder หรือ FiT นั้น อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณ การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ที่กระทรวงพลังงานจะเปิดรับซื้อ ซึ่งจะพิจารณาถึงศักยภาพของระบบไฟฟ้าและศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนในแต่ละพื้นที่ จึงขอเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการพัฒนาการผลิตไฟฟ้า จากพลังงานหมุนเวียน เพื่อทำหน้าที่เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขกฎ/ระเบียบที่อาจไม่เอื้อให้เกิดการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการเปิดรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT โดยไม่กระทบต่อระบบไฟฟ้า
มติของที่ประชุม
เห็นชอบการแต่งตั้งอนุกรรมการแก้ไขระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
กบง. ครั้งที่ 7 - วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2558 (ครั้งที่ 7)
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 11.00 น.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในข้อ 6.9 ปฏิรูปโครงสร้างราคาเชื้อเพลิงประเภทต่างๆ ให้สอดคล้องกับต้นทุนและให้มี ภาระภาษีที่เหมาะสมระหว่างน้ำมันต่างชนิดและผู้ใช้ต่างประเภท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ของประเทศและให้ผู้บริโภคระมัดระวังที่จะไม่ใช้อย่างฟุ่มเฟือย
2. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีมติให้ปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV โดยมีเป้าหมายให้ราคาขายปลีกเป็นไปตามกลไกตลาด ดังนี้ (1) ราคาก๊าซ NGV สำหรับรถส่วนบุคคล จากเดิม 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ปรับขึ้น 1 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 11.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 และ (2) ให้คงราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม
3. กบง. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ (1) ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้น 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 10.50 บาท ต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 11.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 (2) ให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และ (3) ขอความร่วมมือให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ขยายสถานีบริการและร่วมลงทุนขยายท่อส่งก๊าซ เพื่อให้การบริการทั่วถึงทุกภูมิภาค และต่อมาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 ได้มติเห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV อีกครั้ง ดังนี้ (1) สำหรับรถยนต์ ส่วนบุคคล เพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 11.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็นอยู่ที่ 12.50 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะเพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็นอยู่ที่ 9.50 บาทต่อกิโลกรัม
4. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2557 ส่งผลให้ราคา ก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มที่จะลดลงตามไปด้วย ทั้งนี้ สนพ. คาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปี 2558 จะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40 – 50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จึงได้ประมาณการราคาก๊าซ NGV รายเดือนสำหรับปี 2558 แบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้ (1) กรณีราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปี 2558 อยู่ที่ 40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV เฉลี่ยปี 2558 อยู่ที่ 14.56 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งประกอบด้วย ราคาเฉลี่ยของต้นทุนราคาก๊าซฯ และค่าใช้จ่ายดำเนินการอยู่ที่ 9.87 และ 3.74 บาทต่อกิโลกรัม และค่าภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 7 และ (2) กรณีราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปี 2558 อยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV เฉลี่ย ปี 2558 อยู่ที่ 14.87 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งประกอบด้วย ราคาเฉลี่ยของต้นทุนราคาก๊าซฯ และค่าใช้จ่ายดำเนินการอยู่ที่ 10.16 และ 3.74 บาทต่อกิโลกรัม และค่าภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 7
5. เนื่องจากราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันยังคงต่ำกว่าต้นทุนของก๊าซ NGV จึงเห็นควรให้มีการทยอยปรับราคาเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนก๊าซ NGV มากขึ้น โดยปรับราคาขายปลีก ก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัมจากเดิม 12.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2558 และปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 9.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2558 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้นในอัตรา 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 12.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2558 และปรับราคา ขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะขึ้นในอัตรา 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 9.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลได้มีนโยบายในการส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบกากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบผลิตพลังงานร่วม (Cogeneration) ซึ่งการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP จะเป็นการเพิ่มความมั่นคงในการจัดหาไฟฟ้าของประเทศ และเป็นการแบ่งเบาภาระการลงทุนของภาครัฐในระบบผลิตและระบบจำหน่าย ดังนั้นจึงได้มีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
2. จากการดำเนินการตามนโยบายการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration ที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ผลิตไฟฟ้าที่ขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ด้วยสัญญา Firm ระบบ Cogeneration จำนวนทั้งสิ้น 82 โครงการ คิดเป็นปริมาณไฟฟ้าเสนอขายตามสัญญา (Contracted Capacity) รวมทั้งสิ้น 6,901 เมกะวัตต์ และพบว่ามีอุปสรรคและปัญหาจากการดำเนินการ ดังนื้ (1) SPP ระบบ Cogeneration กลุ่มที่รับซื้อในรอบก่อนปี 2550 จำนวนทั้งสิ้น 25 โครงการ ปริมาณเสนอขายตามสัญญา 1,787 เมกะวัตต์ กำลังจะเริ่มทยอยสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560-2568 จึงจำเป็นต้องมีการกำหนดแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนกับ SPP กลุ่มดังกล่าว (2) พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมีความจำเป็นต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำอย่างต่อเนื่อง หากสัญญา SPP ระบบ Cogeneration ดังกล่าว สิ้นสุดอายุลงอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนของประเทศได้ ดังนั้น กระทรวงพลังงาน จึงเสนอแนวทางในการส่งเสริม SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาให้สามารถดำเนินการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานในภาคอุตสาหกรรมต่อไป
3. หลักการพิจารณาดำเนินการกับ SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560-2568 ควรพิจารณาดำเนินการกับ SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560-2568 ดังนี้ (1) โรงไฟฟ้าที่เป็นเทคโนโลยีเก่าและมีประสิทธิภาพต่ำควรเจรจาปรับปรุงอัตรารับซื้อไฟฟ้าใหม่ เนื่องจากผู้ประกอบการได้รับผลตอบแทนในส่วนของการลงทุนคืนแล้วทั้งหมด ดังนั้น ราคารับซื้อไฟฟ้าควรสะท้อนต้นทุนที่จากการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าเท่านั้น (2) ในกรณีที่มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ควรส่งเสริมให้เกิดการผลิตไฟฟ้ารูปแบบกระจายศูนย์ (Distributed Generation) เพื่อลดความสูญเสียการส่งพลังงานไฟฟ้าในระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า เพื่อให้การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าด้วย SPP ระบบ Cogeneration เกิดประโยชน์สูงสุด โดยกำหนดให้โรงไฟฟ้า ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมีการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำหรือน้ำเย็นปริมาณมากเท่านั้น รวมทั้งกำหนดปริมาณการขายไฟฟ้าเข้าระบบไม่ให้มากเกินความจำเป็น โดยกำหนดปริมาณการขายไฟฟ้าลงให้น้อยที่สุด และให้สอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าและไอน้ำของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และควรมีระเบียบที่มีความรัดกุมสามารถกำกับดูแลโรงไฟฟ้าให้ดำเนินการผลิตไฟฟ้าและ ไอน้ำเป็นไปตามวัตถุประสงค์
4. กระทรวงพลังงานขอเสนอแนวทางการดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญา ภายในปี 2560 – 2568 โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ (1) กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2560 – 2561 เห็นควรให้ได้รับการต่ออายุสัญญาเดิมออกไปอีก 3 - 5 ปี โดยรับซื้อไฟฟ้าส่วนที่เหลือ จากการขายให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมเข้าสู่ระบบของ กฟผ. ในปริมาณที่น้อยสุด และเมื่อสิ้นสุดการขยายสัญญาแล้ว ให้ดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ในลักษณะเดียวกับกลุ่มที่ 2 และ (2) กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2562 – 2568 เห็นควรให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในพื้นที่เดิมหรือพื้นที่ใกล้เคียง เฉพาะโรงไฟฟ้าที่มีสถานที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม หรือกลุ่มโรงงานขนาดใหญ่ที่มีการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำหรือน้ำเย็นปริมาณมากเท่านั้น โดยโรงไฟฟ้าใหม่จะต้องมีขนาดกำลังการผลิตเหมาะสมกับปริมาณความต้องการใช้ไอน้ำของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และรับซื้อไฟฟ้าส่วนที่เหลือจากการขายให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมเข้าสู่ระบบของ กฟผ. ในปริมาณที่น้อยสุด ด้วยสัญญาที่เหมาะสมและเป็นธรรม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักการและแนวทางการดำเนินการกับ SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560 - 2568 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอในข้อ 3 และ ข้อ 4 และให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้เสนอ กพช. พิจารณามอบหมายให้ กบง. รับมาพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดเพื่อให้เกิดผลทางปฏิบัติต่อไป
กบง. ครั้งที่ 8 - วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2558 (ครั้งที่ 8)
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 10.00 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกันยายน 2558
2. แนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล
4. แผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกันยายน 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2558 เห็นชอบการคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และการนำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนกันยายน 2558 อยู่ที่ 327 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 52 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนสิงหาคม 2558 อยู่ที่ 35.5744 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนกรกฎาคม 2558 ที่ 1.1217 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.6403 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 14.9022 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 14.2619 บาทต่อกิโลกรัม
2. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนกันยายน 2558 ที่ปรับลดลง 0.6403 บาทต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG เป็น 2 แนวทาง ดังนี้ (1) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่ 0.0141 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 0.9121 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 0.9262 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.96 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 22.29 บาทต่อกิโลกรัม หรือลดลง 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับ 275 ล้านบาทต่อเดือน และ (2) ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่ 0.2943 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 0.9121 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 0.6178 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.96 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 21.96 บาทต่อกิโลกรัม หรือลดลง 15 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับ 160 ล้านบาทต่อเดือนทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 8,095 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.9262 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2558 เป็นต้นไป
เรื่อง แนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล
สรุปสาระสำคัญ
1. มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 เห็นชอบแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้เก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละประเภทในอัตราที่ใกล้เคียงกันตามอัตราค่าความร้อน อย่างไรก็ตามในส่วนของแก๊สโซฮอล 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ซึ่งมีค่าความร้อนใกล้เคียงกัน (30,920 และ 30,579 บีทียูต่อลิตร ตามลำดับ) แต่ยังมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่างกันถึง 0.50 บาทต่อลิตร จึงเห็นควรให้มีการปรับอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนของน้ำมันทั้งสองประเภทในอัตราเดียวกัน
2. ปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ แก๊สโซฮอล 91 ในเดือนมิถุนายน 2558 อยู่ที่ 8.83 และ 10.94 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2557 0.88 และ 2.91 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ในขณะที่ปริมาณการใช้เอทานอลเดือนมิถุนายน 2558 อยู่ที่ 3.52 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2557 1.37 ล้านลิตรต่อวัน
3. จากราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ แก๊สโซฮอล 91 วันที่ 4 กันยายน 2558 อยู่ที่ 26.10 และ 25.28 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งลดลงจากเดือนมกราคม 2557 14.60 และ 13.01 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ในขณะที่ราคาเอทานอลเดือนกันยายน 2558 อยู่ที่ 27.19 บาทต่อลิตร ลดลงจากเดือนมกราคม 2557 0.24 บาทต่อลิตร
4. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) รายงานฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2558 ในส่วนน้ำมันเชื้อเพลิง มีทรัพย์สินรวม 38,263 ล้านบาท หนี้สินรวม 3,008 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 35,255 ล้านบาท
5. ปัจจุบันอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 95 เท่ากับ 0.45 บาทต่อลิตรและ น้ำมัน แก๊สโซฮอล E10 91ชดเชย 0.05 บาทต่อลิตร ทำให้มีส่วนต่างของอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของทั้งสองประเภทอยู่ที่ 0.50 บาทต่อลิตร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และเป็นไปตามมติ กพช. ที่ให้มีการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในอัตราใกล้เคียงกัน และให้อัตราเงินจ่ายเข้าออกกองทุนน้ำมันฯ มีค่าใกล้ศูนย์ ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่าควรปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ แก๊สโซฮอล E10 95 เท่ากับ แก๊สโซฮอล E10 91 ที่ 0.01 บาทต่อลิตร ซึ่งจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 2.5 ล้านบาทต่อวันหรือ 75 ล้านบาทต่อเดือน
6. ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามข้อเสนอดังกล่าว จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 95 ลดลง 0.44 บาทต่อลิตร และแก๊สโซฮอล E10 91 เพิ่มขึ้น 0.06 บาทต่อลิตร และส่วนต่างราคาขายปลีกต่างกัน 0.29 บาทต่อลิตร รวมทั้งทำให้กองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันสำเร็จรูป มีสภาพคล่องลดลงประมาณ 95.79 ล้านบาทต่อเดือน (หรือ 3.19 ล้านบาทต่อวัน) จากมีรายรับ 20.70 ล้านบาทต่อเดือน (หรือ 0.69ล้านบาทต่อวัน) เป็นมีรายจ่าย 75 ล้านบาทต่อเดือน (หรือ 2.50 ล้านบาทต่อวัน)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฯ ดังนี้
ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้ดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2558 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 ได้มีมติให้ปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV ดังนี้ เป้าหมายคือราคาขายปลีกเป็นไปตามกลไกตลาดที่ 16.00 บาทต่อกิโลกรัม โดย (1) ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้ปรับขึ้นราคาขายปลีก 1 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 11.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 และ (2) คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 กบง. มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV โดยให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้น 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 11.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 และให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และขอความร่วมมือให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการขยายสถานีบริการ และร่วมลงทุนขยายท่อส่งก๊าซ เพื่อให้การบริการทั่วถึงทุกภูมิภาค และ กบง. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV โดยสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 11.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็นอยู่ที่ 12.50 บาทต่อกิโลกรัม และปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะเพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็นอยู่ที่ 9.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557
3. เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2558 กบง. มีมติเห็นชอบการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้นในอัตรา 0.50 บาทต่อกิโลกรัมจากเดิม 12.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.00 บาทต่อกิโลกรัม และปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะขึ้นในอัตรา 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 9.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.00 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2558
4. สถานการณ์ NGV ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2558 ปริมาณการจำหน่ายก๊าซฯ 8,649 ตันต่อวัน (หรือประมาณ 311 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน) มีสถานีบริการ NGV จำนวน 499 สถานี แบ่งเป็นสถานีแม่ 20 สถานี สถานีลูก 479 สถานี ครอ+บคลุม 54 จังหวัด และมีจำนวนรถ NGV สะสม 470,142 คัน แบ่งเป็น รถเบนซิน 259,391 คัน รถดีเซล 45,893 คัน และรถ OEM 164,858 คัน
5. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2557 ส่งผลให้ราคา ก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มที่จะลดลงตามไปด้วย สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จึงได้ประมาณการราคาก๊าซ NGV รายเดือนในปี 2558 ดังนี้
* หมายเหตุ : ต้นทุนราคาก๊าซฯ ประกอบด้วย ราคาเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) ค่าใช้จ่าย ในการจัดหาและค้าส่ง และค่าบริการส่งก๊าซทางท่อ
6. เนื่องจากราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันยังคงต่ำกว่าราคาต้นทุนของก๊าซ NGV ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้นในอัตรา 0.50 หรือ 1.00 บาทต่อกิโลกรัมจากเดิม 13.00 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.50 หรือ 14.00 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2558 ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะขึ้น โดยให้ส่วนต่างระหว่างราคาขายปลีกรถยนต์ส่วนบุคคลกับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 3 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2558 หรือ ให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.00 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.50 บาทต่อกิโลกรัม และให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2558 เป็นต้นไป
เรื่อง แผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เรื่อง แผนระบบรับ-ส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง ดังนี้ (1) เห็นชอบโครงการลงทุนในระยะที่ 1 ของโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas Pipeline Network จำนวน 3 โครงการ วงเงินลงทุนประมาณ 13,900 ล้านบาท โดยมอบหมายให้ ปตท. เป็นผู้ดำเนินการ และ (2) เห็นชอบในหลักการสำหรับการลงทุนในระยะที่ 2 และ 3 ของโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการจัดหา/นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Facilities) โดยมอบหมายให้ ปตท. ไปดำเนินการศึกษารายละเอียดตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และให้นำผลการศึกษาเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอต่อ กพช. เพื่อทราบต่อไป
2. ประมาณการความต้องการก๊าซฯและการจัดหาก๊าซฯ ในระยะยาว (ปี 2558 - 2579) ของประเทศไทย พบว่าความต้องการใช้ก๊าซฯจะเพิ่มขึ้น ในระยะ 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2558 – 2562) ส่วนในระยะยาว (พ.ศ. 2563 - 2579) ความต้องการใช้ก๊าซฯจะลดลง แต่หากว่าแผน PDP 2015 ที่กำหนดให้มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่สามารถดำเนินการได้ รวมทั้ง แผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan : AEDP) และแผนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Development Plan : EEDP) ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จะส่งผลให้ความต้องการใช้ก๊าซฯเพื่อเป็นเชื้อเพลิงทดแทนในระยะยาวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การจัดหาก๊าซฯของประเทศมาจาก 3 ส่วนคือ (1) แหล่งภายในประเทศ (บนบกและในทะเล) รวมถึงพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างประเทศ ซึ่งมีปริมาณจำกัดและลดลงตามอายุการผลิต (2) การนำเข้าทางท่อก๊าซฯจากประเทศเมียนมาร์ซึ่งมีนโยบายที่จะไม่ส่งก๊าซฯเพิ่มเติมให้ประเทศไทย และ (3) การนำเข้าในรูปก๊าซธรรมชาติเหลว
3. การประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีผลสรุปว่า การดำเนินโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 จากระยองไปยังระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทรน้อย – โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ/พระนครใต้ ขอให้ลดขนาดท่อลงจากขนาด 48 นิ้ว เป็น 42 นิ้ว กำหนดแล้วเสร็จปี 2564 และโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก จากสถานีควบคุมความดันก๊าซธรรมชาติราชบุรี - วังน้อยที่ 6 (RA#6) ไปยัง จ.ราชบุรี ขนาด 30 นิ้ว กำหนดแล้วเสร็จปี 2564 โดยโครงการทั้ง 2 ขอให้ ปตท. เป็นผู้ดำเนินการ นอกจากนี้ กฟผ. ได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ FSRU สำหรับจัดส่งก๊าซฯ ให้แก่โรงไฟฟ้าพระนครใต้ และโรงไฟฟ้าบางปะกง และหากผลการศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอให้เสนอ สนพ. และ สกพ. เพื่อพิจารณา เนื่องจากโครงการ ของ กฟผ. ดังกล่าวกระทบต่อการลงทุนในระยะที่ 3 ของโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติและโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งใหม่ จ.ระยอง (ขนาด 7.5 ล้านตันต่อปี) เพื่อรองรับการจัดหา LNG ในปริมาณที่มากกว่า 10 ล้านตันต่อปี จึงขอให้ชะลอการดำเนินการออกไปเพื่อรอผลการศึกษาจาก กฟผ. ซึ่งหากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและส่งผลให้ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปตท. ก็สามารถทบทวนรายละเอียดและกำหนดเวลาแล้วเสร็จของโครงการขึ้นใหม่ สำหรับโครงการ FSRU ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศ (พื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา) กำหนดแล้วเสร็จในปี 2567 และโครงการ LNG receiving terminal แห่งใหม่ ควรให้ใช้วิธีการเปิดประมูลหาผู้ดำเนินโครงการเช่นเดียวกับการประมูลโรงไฟฟ้า IPP
4. ปตท. ได้มีการปรับปรุงโครงการฯ ตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการในระยะยาว ดังต่อไปนี้
(1) โครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซฯในระยะที่ 2 (ช่วงปี 2558 - 2564) จำนวน 2 โครงการ วงเงินลงทุน เดิม 117,100 ล้านบาท มีการลดวงเงินลงทุนเหลือ 110,100 ล้านบาท และกำหนดแล้วเสร็จปี 2564คือ (1) โครงการระบบท่อส่งก๊าซฯ บนบกเส้นที่ 5 จากระยอง ไปยัง ระบบท่อส่งก๊าซฯไทรน้อย – โรงไฟฟ้า พระนครเหนือ/พระนครใต้ ได้มีการลดขนาดท่อจาก 48 นิ้ว เหลือ 42 นิ้ว สามารถลดเงินลงทุนจาก 103,500 ล้านบาท เหลือเงินลงทุน 96,500 ล้านบาท และ(2) โครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ บนบก จากสถานีควบคุมความดันก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย ที่ 6 (RA#6) ไปยัง จ.ราชบุรี เงินลงทุน 13,600 ล้านบาท(2) โครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซฯในระยะที่ 3 (ช่วงปี 2564 - 2570) จำนวน 2 โครงการ วงเงินการลงทุนรวม 12,000 ล้านบาท มีการเปลี่ยนแปลงเวลาดำเนินโครงการ คือ (1) โครงการสถานีเพิ่มความดันก๊าซฯ (Compressor) บนระบบท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย เงินลงทุน 5,500 ล้านบาท เลื่อนกำหนดเวลาแล้วเสร็จจากปี 2564 เป็นปี 2574 และ (2) โครงการสถานีเพิ่มความดันก๊าซฯ (Compressor) กลางทางบนระบบท่อส่งก๊าซฯบนบกเส้นที่ 5 (Onshore #5 Midline Compressor) เงินลงทุน 6,500 ล้านบาท เลื่อนกำหนดเวลาแล้วเสร็จจากปี 2564 เป็นปี 2570(3) โครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการจัดหา/นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG Receiving Facilities) จำนวน 2 โครงการ วงเงินการลงทุนรวม 65,500 ล้านบาท คือ (1) โครงการ LNG Receiving Terminal แห่งใหม่ จ.ระยอง เงินลงทุน 38,500 ล้านบาท กำหนดแล้วเสร็จปี 2565 และ (2) โครงการ Floating Storage and Regasification Unit : FSRU ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศ (พื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา) เงินลงทุน 27,000 ล้านบาท กำหนดแล้วเสร็จปี 2567ทั้งนี้ ปตท.จะดำเนินการติดตามแนวโน้มความต้องการใช้ก๊าซฯในอนาคตอย่างใกล้ชิด และหากพบว่าความต้องการใช้ก๊าซฯมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ปตท.จะทำการปรับปรุงรายละเอียดโครงการและกำหนดแล้วเสร็จของโครงการในส่วนของผลการศึกษาเพิ่มเติมตามข้อเสนอของ กกพ. การเปรียบเทียบต้นทุนของราคาก๊าซธรรมชาติ จากการนำเข้าจากเมียนมาร์ในรูปแบบของ LNG ผ่านทางโครงการ Floating Storage and Regasification Unit (FSRU) ในเมียนมาร์ กับโครงการระบบท่อส่งก๊าซฯบนบกจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก (โครงการระบบท่อส่งก๊าซฯ จากสถานีควบคุมความดัน ราชบุรี-วังน้อย ที่ 6 (RA#6) และ โครงการสถานีเพิ่มความดันในระบบท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี - วังน้อย รวมถึง โครงการสถานีเพิ่มความดันก๊าซฯระหว่างเส้นทางของท่อส่งก๊าซฯ บนบกเส้นที่ 5 (Onshore #5 Midline Compressor)) พบว่าอัตราค่าบริการทั้ง 2 ส่วน อยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกันการนำเข้าจากเมียนมาร์ในรูปแบบของ LNG มีอัตราค่าบริการรวมประมาณ 61.08 บาทต่อล้านบีทียู (เป็นการศึกษาอัตราค่าบริการในเบื้องต้น ทั้งนี้ยังไม่รวมภาษีอื่นๆ ที่ประเทศเมียนมาร์อาจจะมีการเรียกเก็บเพิ่มเติม) ในขณะที่การดำเนินโครงการระบบท่อส่งก๊าซฯบนบกจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก นั้นมีอัตราค่าบริการรวมประมาณ 60.92 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งเป็นโครงการที่เหมาะสมกว่า
5. คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีความเห็นว่าควรให้การสนับสนุนแผนฯ ดังกล่าว เนื่องจากสามารถช่วยเสริมสร้างความมั่นคงของระบบโครงข่ายพลังงานของประเทศในระยะยาว ตลอดจนช่วยให้เกิดการบริหารจัดการคุณภาพก๊าซธรรมชาติฝั่งตะวันออกและตะวันตกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้จะมีการปรับเลื่อนกำหนดแล้วเสร็จของโครงการสถานีเพิ่มความดันก๊าซธรรมชาติบนระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติราชบุรี - วังน้อย และโครงการสถานีเพิ่มความดันก๊าซธรรมชาติกลางทางบนระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 ออกไปก็ตาม แต่ระบบยังคงมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับกับปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคตได้ ทั้งนี้ วงเงินลงทุนรวมของแผนฯ ที่ลดลงจากแผนฯ เดิม ทำให้การปรับเพิ่มของอัตราค่าบริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อในอนาคตลดลง และส่งผลต่ออัตราค่าไฟฟ้าในอนาคตลดลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งใหม่ จังหวัดระยอง ที่จะมอบให้ ปตท. เป็นผู้ดำเนินโครงการนั้น ปตท. จะต้องเปิดให้บุคคลที่สาม สามารถใช้หรือเชื่อมต่อสถานี LNG (Third Party Access: TPA) เต็มรูปแบบ นอกจากนี้ การพิจารณาเลือกที่ตั้งของสถานี LNG ในอนาคตควรมีการพิจารณาสถานที่ตั้งในพื้นที่อื่น เพื่อให้เกิดการกระจายตัวของแหล่งพลังงาน ลดความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์ และเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานด้วย
6. จากผลการศึกษาและผลการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงมีประเด็นที่เสนอเพื่อขอความเห็นชอบ ดังนี้
6.1 ขอความเห็นชอบให้ดำเนินโครงการในการลงทุนในระยะที่ 2 ของโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (ส่วนที่ 1) จำนวน 2 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 110,100 ล้านบาท โดยมอบหมายให้ ปตท. เป็นผู้ดำเนินโครงการ6.2 ขอความเห็นชอบให้ดำเนินโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งใหม่ จ.ระยอง ของ โครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการจัดหา/นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Facilities) (ส่วนที่ 2) ในวงเงินลงทุนรวม 38,500 ล้านบาท โดยมอบหมายให้บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG) เป็นผู้ดำเนินโครงการ6.3 ขอความเห็นชอบกรอบโครงการ FSRU ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศ (พื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา) ของโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการจัดหา/นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Facilities) (ส่วนที่ 2) ในวงเงินลงทุนรวม 27,000 ล้านบาท โดยมอบหมายให้ สนพ. และ กกพ. ร่วมกันศึกษา จัดทำและดำเนินการออกระเบียบและหลักเกณฑ์ในการจัดหาผู้ดำเนินโครงการ FSRU และออกประกาศเชิญชวนต่อไป ทั้งนี้ให้เสนอผลการคัดเลือกผู้ดำเนินโครงการ FSRU ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป6.4 มอบหมายให้ กฟผ. ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการ FSRU สำหรับจัดส่งก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงไฟฟ้าพระนครใต้และโรงไฟฟ้าบางปะกง โดยเมื่อดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จ ให้นำผลการศึกษาเสนอต่อ สนพ. และ กกพ. เพื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับโครงการตามที่ระบุอยู่ในแผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง เพื่อพิจารณาดำเนินโครงการที่มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศในภาพรวมก่อนนำเสนอต่อ กบง. และ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป6.5 ขอความเห็นชอบกรอบโครงการในการลงทุนในระยะที่ 3 ของโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (ส่วนที่ 1) โดยมอบหมายให้ ปตท. ไปดำเนินการติดตามแนวโน้มความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคตอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้หากพบว่าความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ให้ ปตท. ดำเนินการทบทวนรายละเอียดโครงการและกำหนดแล้วเสร็จโครงการใหม่อีกครั้ง เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ รวมถึงเพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์แก่ประเทศสูงสุด ทั้งนี้ เมื่อ ปตท. ดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จให้นำเสนอผลการศึกษานำเสนอต่อ สนพ. ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบโครงการลงทุนในส่วนที่ 1 ระยะที่ 2 ของโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas Pipeline Network) โดยมอบหมายให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการโครงการ จำนวน 2 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 110,100 ล้านบาท ให้เข้าระบบภายในปี 2564
2. เห็นชอบให้เลื่อนโครงการลงทุนในระยะที่ 3 ออกไป 6 - 10 ปี สำหรับโครงการสถานีเพิ่มความดันก๊าซธรรมชาติ จำนวน 2 โครงการ (ส่วนที่ 1 ระยะที่ 3) วงเงินลงทุนรวม 12,000 ล้านบาท โดยให้มีการติดตามและประเมินความจำเป็นของโครงการเป็นระยะๆ
3. ในส่วนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการจัดหา/นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Facilities) (ส่วนที่ 2) จำนวน 2 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 65,500 ล้านบาท มอบหมายให้กระทรวงพลังงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ไปศึกษาเพิ่มเติมโดยให้คำนึงถึงแนวโน้มความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคตอย่างใกล้ชิด แล้วนำกลับมาเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติอีกครั้ง
กบง. ครั้งที่ 9 - วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2558 (ครั้งที่ 9)
วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10.00 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนตุลาคม 2558
2. แนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล
3. แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2559
4. ขอเสนอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนตุลาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2558 เห็นชอบการคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก การนำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนตุลาคม 2558 อยู่ที่ 362 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มจากเดือนก่อน 35 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย เดือนกันยายน 2558 อยู่ที่ 36.1765 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนสิงหาคม 2558 ที่ 0.6021 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับเพิ่มขึ้น 0.8435 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 14.2619 บาทต่อกิโลกรัม (400.9046 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 15.1054 บาทต่อกิโลกรัม (417.5477 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนตุลาคม 2558 ที่ปรับเพิ่มขึ้น 0.8435 บาทต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ปรับลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.8435 บาทต่อกิโลกรัม จาก 0.9262 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 0.0827 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้ราคาขายปลีกคงเดิมอยู่ที่ 22.29 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 54 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ณ วันที่ 27 กันยายน 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 8,221 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.0827 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป
เรื่อง แนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล
สรุปสาระสำคัญ
จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 กับ น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 กับ น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ตามโครงสร้างราคา ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2558 ใกล้เคียงกันมาก ทำให้ต้นทุนต่อค่าความร้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 แพงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อส่งเสริมและเพิ่มแรงจูงใจในการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าควรเพิ่มส่วนต่างของราคาให้มากขึ้น ดังนี้ (1) เพิ่มส่วนต่างราคา ขายปลีกระหว่างน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จาก 1.82 บาทต่อลิตร เป็น 2.36 บาทต่อลิตร โดยการปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.90 บาทต่อลิตร เป็น 2.40 บาทต่อลิตร และ (2) เพิ่มส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 จาก 4.32 บาทต่อลิตร เป็น 6.46 บาทต่อลิตร โดยการเพิ่มอัตราเงินชดเชยแก๊สโซฮอล E85 เพิ่มขึ้น 2.00 บาทต่อลิตร จากชดเชย 7.23 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 9.23 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง มีสภาพคล่องลดลงประมาณ 114.38 ล้านบาทต่อเดือน (หรือ 3.81 ล้านบาทต่อวัน) จากมีรายจ่าย 62.25 ล้านบาทต่อเดือน (หรือ 2.07 ล้านบาทต่อวัน) เป็นมีรายจ่าย 176.62 ล้านบาทต่อเดือน (หรือ 5.89 ล้านบาทต่อวัน)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้ดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป
เรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2556 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้อนุมัติกรอบแผนการ ใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561) ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) เป็นจำนวนเงินรวม 189,130,600 บาท และงบค่าใช้จ่ายอื่น จำนวนเงินปีละ 300,000,000 บาท เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) บริหารจัดการงบประมาณตามกรอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ระยะ 5 ปี และให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ
2. เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 กบง. ได้รับทราบผลการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2557 ดังนี้ (1) งบบริหาร มีผลการเบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น 21,200,200 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 59.77 ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติรวม 35,802,400 บาท และ (2) งบค่าใช้จ่ายอื่น มีผลการเบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น 43,162,400 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 29.18 ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติรวม 147,908,900 บาท รวมทั้งอนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2558 เป็นงบบริหารจำนวน 37,641,200 บาท และงบค่าใช้จ่ายอื่น จำนวน 300,000,000 บาท ทั้งนี้ ผลการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2558 มีดังนี้ (1) งบบริหาร มีผลการเบิกจ่ายเงิน 15,790,900 บาท คิดเป็นร้อยละ 41.95 ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ (2) งบค่าใช้จ่ายอื่น อบน. ได้อนุมัติงบค่าใช้จ่ายอื่น จำนวน 2 โครงการ วงเงิน 23,500,000 บาท มีผลการเบิกจ่ายจำนวน 2,680,000 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.40
3. เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2558 อบน. ได้อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันฯ งบบริหาร ปีงบประมาณ 2559 ให้กับ 5 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงิน 27,161,600 บาท ดังนี้ (1) สป.พน. 10,532,400 บาท (2) สนพ. 7,639,100 บาท (3) กรมสรรพสามิต 6,687,800 บาท (4) กรมศุลกากร 1,032,300 บาท และ (5) สบพน. 1,270,000 บาท โดยงบประมาณทุกหมวดรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 และได้อนุมัติงบค่าใช้จ่ายอื่น วงเงิน 300,000,000 บาท โดยในเบื้องต้นได้พิจารณาและอนุมัติให้ดำเนินงานโครงการจำนวน 3 โครงการ จำนวนเงินรวม 10,075,820 บาท ได้แก่ (1) โครงการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างราคา ณ โรงกลั่น น้ำมันเชื้อเพลิง (สนพ.) 6,875,820 บาท (2) โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลราคาพลังงานต่างประเทศ (สนพ.) 2,000,000 บาท และ (3) โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) 1,200,000 บาท
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2559 ดังนี้ (1) งบบริหาร ให้กับ 5 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินรวม 27,161,600 บาท โดยงบประมาณทุกหมวดรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 และ (2) งบค่าใช้จ่ายอื่น วงเงิน 300,000,000 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ทั้งนี้ ในส่วนของการอนุมัติให้ดำเนินโครงการในปีงบประมาณ 2559 โดยคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ภายใต้งบค่าใช้จ่ายอื่น มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อทราบเป็นระยะ
2. อนุมัติให้ดำเนินงานโครงการจำนวน 3 โครงการ จำนวนเงินรวม 10,075,820 บาท โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2559 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เรื่อง ขอเสนอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. สืบเนื่องมาจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์และจัดทำรายงานการปฏิรูป ในวาระที่ 10 : ระบบพลังงาน ได้เสนอประเด็นการปฏิรูป บทบาท หน้าที่ และการใช้ประโยชน์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้มีการตราพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีหลักการที่ชัดเจนเนื่องจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปัจจุบันจัดตั้งตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมา สปช. ได้ดำเนินการแล้ว จะมีหน่วยงานที่รับช่วงในการที่จะดำเนินการต่อ โดยทางสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการที่จะรับแนวคิดเหล่านั้นให้มาเป็นการร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หลังจากนั้นทาง สบพน. ได้ประสานกับทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ว่าการปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว ควรจะมีการจัดตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการฯ โดยตรงเป็นการเฉพาะเนื่องจากเห็นว่าจะมีประเด็นที่เกี่ยวกับคณะกรรมการบริหารนโยบาย (กบง.) โดยเฉพาะการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จึงเสนอให้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการหนึ่งชุดเพื่อดำเนินการ
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) สำนักงานคณะกรรมการการกฤษฎีกา กรมสรรพสามิต กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรมธุรกิจพลังงาน สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน กรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร กรมการพลังงานทหาร และผู้ทรงคุณวุฒิ (นายเมตตา บันเทิงสุข) เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์พิจารณาร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ ที่จะปรับปรุง ร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ (ฉบับแรก) ที่มีการดำเนินการมาแล้ว เพื่อให้พร้อมที่จะมีการนำเสนอ ร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการเสนอร่างคำสั่งให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานลงนามต่อไป
กบง. ครั้งที่ 10 - วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 10/2558 (ครั้งที่ 10)
วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 10.30 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนพฤศจิกายน 2558
2. การปรับปรุงวิธีการคำนวณและการกำหนดราคาเอทานอล
3. มาตรการส่วนลดราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนตุลาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีการทบทวนต้นทุนราคาซื้อตั้งต้น ของก๊าซ LPG ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2558 – มกราคม 2559 แล้ว สรุปได้ ดังนี้ (1) ต้นทุนจากโรงแยกฯ เดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2558 ลดลง 0.2152 บาทต่อกิโลกรัม จาก 15.9773 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.7621 บาทต่อกิโลกรัม (2) คงต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติกอ้างอิงราคาตลาดโลกที่ CP-20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เนื่องจากเป็นต้นทุนที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงฯ เดือนพฤศจิกายน 2558 เท่ากับ 14.0272 บาทต่อกิโลกรัม (3) คงต้นทุนก๊าซ LPG จากการนำเข้าอยู่ที่ CP + 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้ต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG เดือนพฤศจิกายน 2558 อยู่ที่ 17.7941 บาทต่อกิโลกรัม และ (4) ต้นทุนบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อยู่ที่ 15.30 บาทต่อกิโลกรัม
2. จากราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนพฤศจิกายน 2558 อยู่ที่ 411 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม 2558 จำนวน 49 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2558 อยู่ที่ 35.8752 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2558 จำนวน 0.3013 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับเพิ่มขึ้น 0.6957 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 15.1054 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 15.8011 บาทต่อกิโลกรัม
3. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6957 บาทต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ของก๊าซ LPG ที่ 0.0695 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 0.0827 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 0.0132 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.67 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 80 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ดังนี้
1.1 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 15.7621 บาทต่อกิโลกรัม1.2 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก เป็นราคาตลาดโลก (CP) ลบ 20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน1.3 กำหนดราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน1.4 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 15.30 บาทต่อกิโลกรัมโดยที่ CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียของเดือนนั้น เป็นสัดส่วนระหว่างโปรเปน กับ บิวเทน 60 ต่อ 40ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.6130 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไป
เรื่อง การปรับปรุงวิธีการคำนวณและการกำหนดราคาเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 กบง. ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอล โดยใช้ราคาเอทานอลเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการซื้อขายที่ผู้ผลิตเอทานอลแจ้งกับกรมสรรพสามิต โดยมีผลตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 เป็นต้นมา โดยข้อมูลราคาเอทานอลที่ผู้ผลิตเอทานอลแจ้งต่อกรมสรรพสามิต ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน 2558 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 26.68 บาทต่อลิตร ในขณะที่ราคาเอทานอลที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แจ้งต่อ สนพ. อยู่ที่ประมาณ 25.31 บาทต่อลิตร ทำให้เกิดส่วนต่างจำนวน 1.37 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ สนพ. ใช้ในการกำกับดูแลไม่สะท้อนต้นทุนราคาเอทานอล
2. เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2558 ได้มีการประชุมหารือระหว่าง หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สนพ. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน และหน่วยงานเอกชน ได้แก่ สมาคมเอทานอล แห่งประเทศไทย สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เรื่องหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอล เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาโดยมีข้อสรุป ดังนี้ (1) ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 รายงานราคาซื้อเอทานอลให้กับ สนพ. (2) ให้ผู้ผลิตเอทานอลรายงานราคาขายเอทานอลที่ถูกต้องให้กับกรมสรรพสามิต (3) ให้ใช้ราคา เอทานอลอ้างอิง จากการเปรียบเทียบราคาต่ำสุดระหว่างราคาเอทานอลที่ผู้ผลิตเอทานอลรายงานต่อกรมสรรพสามิต กับราคาเอทานอลที่ผู้ค้ามาตรา 7 รายงานต่อ สนพ. (4) ให้ สนพ. ยกเลิกประกาศ กบง. เรื่อง ราคาอ้างอิงเอทานอลแปลงสภาพและไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน หากมีผู้ที่ต้องการทราบราคาที่ใช้ในการคำนวณโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ให้สอบถามโดยตรงที่ สนพ. เนื่องจากการเปิดเผยราคาต้องได้รับความเห็นชอบจาก ผู้ซื้อและผู้ขาย
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 รายงานราคาซื้อเอทานอลให้กับ สนพ.
2. เห็นชอบให้ขอความร่วมมือให้ผู้ผลิตเอทานอลรายงานราคาขายเอทานอลที่ถูกต้องให้กับกรมสรรพสามิต
3. เห็นชอบให้ใช้ราคาเอทานอลอ้างอิง จากการเปรียบเทียบราคาต่ำสุดระหว่างราคาเอทานอล ที่ผู้ผลิตเอทานอลรายงานต่อกรมสรรพสามิต กับราคาเอทานอลที่ผู้ค้ามาตรา 7 รายงานต่อ สนพ.
4. เห็นชอบยกเลิกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง ราคาอ้างอิงเอทานอล แปลงสภาพและไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน
ทั้งนี้มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
เรื่อง มาตรการส่วนลดราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เรื่องแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และเพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ และมอบหมายให้ กบง. ไปพิจารณาหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป ซึ่งต่อมา กบง. ได้มีมติเห็นชอบตามลำดับ ดังนี้ (1) วันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 เห็นชอบโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ โดยมีวงเงินบัตรเครดิต 3,000 บาท และส่วนลดราคาขายปลีก NGV วงเงิน 6,000 บาท (2) วันที่ 14 ธันวาคม 2554 เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน โดยเพิ่มวงเงินส่วนลดจากเดือนละไม่เกิน 6,000 บาทต่อคน เป็นไม่เกิน 9,000 บาทต่อคน (3) วันที่ 12 มกราคม 2555 ได้มอบหมายให้ ปตท. ดำเนินการจัดทำบัตรส่วนลดและเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรส่วนลดสำหรับรถร่วมโดยสารประจำทาง และ (4) วันที่ 8 มีนาคม 2555 ได้มอบหมายให้ ปตท. จัดทำบัตรส่วนลดเพิ่มเติมแก่กลุ่มรถโดยสาร ที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ. การขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 หมวด 1 - 4 และเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
2. ผลการดำเนินการ ณ วันที่ 30 กันยายน 2558 มีดังนี้ (1) การใช้เงินเชื่อชำระค่าก๊าซด้วยบัตรเครดิตพลังงาน NGV มีจำนวนผู้ถือบัตรทั้งหมด 95,903 ราย แบ่งเป็น บัตรฯ ที่พร้อมใช้งานได้ 68,612 ราย บัตรฯ ที่ถูกระงับใช้งาน/ยกเลิกใช้งาน 27,291 ราย ผู้ชำระค่าก๊าซฯ ด้วยบัตรฯ จำนวน 1,001 ราย จำนวนเงินเครดิต 0.82 ล้านบาท (เดือนกันยายน 2558) และมีหนี้ค้างชำระสะสม 20.32 ล้านบาท จากผู้ถือบัตรฯ 25,673 ราย (2) การใช้ส่วนลดราคา NGV ของรถโดยสารสาธารณะ มีจำนวนบัตรฯที่ได้รับส่วนลดราคาก๊าซ NGV ทั้งหมด 90,200 ใบ แบ่งเป็น บัตรเครดิตพลังงาน NGV จำนวน 68,612 ใบ บัตรเติมก๊าซฯ จำนวน 21,588 ใบ จำนวนเงินที่ให้ส่วนลดราคาก๊าซ NGV เดือนกันยายน 2558 อยู่ที่ 227 ล้านบาท และจำนวนเงินสะสมที่ให้ส่วนลดราคา NGV (มกราคม 2554 – กันยายน 2558) อยู่ที่ 6,345 ล้านบาท
3. จากพฤติกรรมของผู้ใช้บัตรเครดิตพลังงาน NGV ทั้งหมด 68,612 ราย พบว่า ผู้ใช้บัตรเครดิตพลังงาน NGV ส่วนใหญ่ประมาณ 67,505 ราย จะใช้บัตรฯ เพื่อรับส่วนลดและชำระเป็นเงินสด ส่วนที่เหลือประมาณ 1,107 ราย จะชำระเป็นเงินเชื่อ ซึ่งการกำหนดให้บัตรเครดิตฯ ที่มีวงเงินเครดิต 3,000 บาท/ใบ เพื่อชำระค่าก๊าซ NGV นั้นไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ที่ได้รับสิทธิฯ และยังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการทุจริต เกิดภาระหนี้กับผู้ถือบัตรฯ และภาระของหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการฯ ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอขอปิดโครงการบัตรเครดิตพลังงาน NGV ตามระยะเวลาเดิม ซึ่งจะสิ้นสุดโครงการฯ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 และขอความร่วมมือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบหนี้ค้างชำระที่เกิดจากโครงการบัตรเครดิตพลังงาน NGV และขอความเห็นชอบให้ขยายมาตรการการให้ส่วนลดราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะไปอีก 1 ปี (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2559 - 31 ธันวาคม 2559) หรือจนกว่าจะมี พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฉบับใหม่ ด้วยการใช้บัตรส่วนลดราคา NGV ชำระค่าก๊าซฯ เป็นเงินสดอย่างเดียว และให้ใช้คุณสมบัติของผู้สมัครและหลักเกณฑ์การสมัครตามเดิม โดยขอความร่วมมือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการ และเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรส่วนลดราคาก๊าซ NGV ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการบัตรเครดิตพลังงาน NGV ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 และขอความร่วมมือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบหนี้ค้างชำระที่เกิดจากโครงการบัตรเครดิตพลังงาน NGV
2. เห็นชอบให้ขยายมาตรการการให้ส่วนลดราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ (ในเขต กทม./ปริมณฑล: รถแท็กซี่/ตุ๊กตุ๊ก/รถตู้ ร่วม ขสมก. ในต่างจังหวัด: รถโดยสาร/มินิบัส/สองแถว ร่วม ขสมก. รถโดยสาร/รถตู้ ร่วม บขส. และรถแท็กซี่) ไปอีก 1 ปี (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 – วันที่ 31 ธันวาคม 2559) หรือจนกว่าจะมีพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฉบับใหม่ ด้วยการใช้บัตรส่วนลดราคาก๊าซ NGV ชำระค่าก๊าซฯ เป็นเงินสดอย่างเดียว โดยรถโดยสารสาธารณะขนาดเล็กวงเงินไม่เกิน 9,000 บาทต่อเดือนต่อใบ และรถโดยสารสาธารณะ ขนาดใหญ่ วงเงินไม่เกิน 35,000 บาทต่อเดือนต่อใบ และให้ใช้คุณสมบัติของผู้สมัครและหลักเกณฑ์การสมัครตามเดิม โดยขอความร่วมมือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการ และเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรส่วนลดราคาก๊าซ NGV ต่อไป
กบง. ครั้งที่ 11 - วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2558 (ครั้งที่ 11)
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10.00 น.
1. รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
2. ความคืบหน้าการหารือโครงสร้างต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG และค่าขนส่งก๊าซ NGV
3. การนำส่งเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
5. แผนการดำเนินงานหยุดซ่อมแหล่งก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในปี 2559
6. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนธันวาคม 2558
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. นายวัชระ เพชรทอง ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ต่อศาลปกครองกลาง เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 ทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อประชาชนและไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคทั้งประเทศ โดยขอให้เพิกถอนมติ กบง. ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 และขอให้ศาลไต่สวนและกำหนดวิธีการชั่วคราวเพื่อระงับการประกาศใช้มติ กบง. ดังกล่าวไว้ชั่วคราวก่อนการพิพากษา ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีไปให้ถ้อยคำต่อศาลในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมและพิจารณาคำขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของผู้ถูกฟ้องคดี
2. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ กบง. ได้มอบหมายให้รองผู้อำนวยการ สนพ. (นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ) เป็นผู้ให้ถ้อยคำต่อศาล ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 แทน เนื่องจากติดราชการสำคัญ โดยยืนยันว่า การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ในครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดสาธารณประโยชน์ สร้างความเป็นธรรมให้แก่ทุกภาคส่วน ยกเลิกการบิดเบือนราคา ลดการชดเชยจากน้ำมันประเภทอื่น (cross subsidy) และทำให้การผลิต การบริโภค และการลงทุนเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างที่ควรจะเป็น
3. เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาล คดีหมายเลขดำที่ 348/2558 คดีหมายเลขแดงที่ 561/2558 โดยศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากผู้ฟ้องคดียังไม่ถือว่าเป็นผู้เดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงไม่เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานผลคดีดังกล่าวต่อ กบง. เพื่อทราบแล้วเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2558 ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้รับคำฟ้อง เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ในขั้นตอนต่อไปศาลปกครองจะได้มีหมายแจ้งคำสั่งศาลถึงผู้ถูกฟ้องคดี (กบง.) เพื่อให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง ความคืบหน้าการหารือโครงสร้างต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG และค่าขนส่งก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ประธานฯ ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทบทวนต้นทุนราคาก๊าซ LPG และก๊าซ NGV และให้นำเสนอให้ที่ประชุมทราบในการประชุมครั้งถัดไป ดังนั้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 สนพ. ได้มีการประชุมร่วมกับ ปตท. เพื่อหารือเกี่ยวกับต้นทุนก๊าซ LPG ซึ่งมาจาก 4 แหล่ง และมีต้นทุนฯ ดังนี้ (1) โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยต้นทุนโรงแยกฯ เดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงมกราคม 2559 อยู่ที่ 15.7621 บาทต่อกิโลกรัม (2) โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก ต้นทุนฯ อ้างอิงราคาตลาดโลก CP-20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน แต่กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงเสนอขอต้นทุนราคาก๊าซ LPG ไม่ต่ำกว่า CP Flat ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาด้านปริมาณก๊าซ LPG จากโรงกลั่นที่เพิ่มขึ้น (3) นำเข้า ต้นทุนจากการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสูตรราคาเดิมที่ราคา LPG ตลาดโลก (CP)+85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยต้นทุนการนำเข้า ก๊าซ LPG ในปี 2557 และปี 2558 อยู่ที่ 85 และ 103 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่ง สนพ. ได้ทำหนังสือขอให้ ปตท. ชี้แจงข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายในแต่ละรายการเพื่อใช้ในการตรวจสอบแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอข้อมูล และ (4) บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด ต้นทุนก๊าซ LPG จาก บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด เดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงมกราคม 2559 อยู่ที่ 15.30 บาทต่อกิโลกรัม
2. ส่วนต้นทุนราคาก๊าซ NGV ปัจจุบันคำนวณภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย สนพ. ได้มีการทบทวนต้นทุนราคาก๊าซ NGV เป็นรายเดือน รวมถึงมีการติดตามต้นทุนก๊าซ NGV ของ ปตท. ด้วย ซึ่งจากผลการศึกษาต้นทุนก๊าซ NGV ของสถาบันวิจัยฯ พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ณ เดือนตุลาคม 2558 อยู่ที่ 14.51 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาขายปลีกก๊าซ NGV จากข้อมูลต้นทุนก๊าซ NGV ตามจริงของ ปตท. ในปี 2557 อยู่ที่ 17.79 บาทต่อกิโลกรัม
3. หลักเกณฑ์การคิดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบัน ปตท. มีการคิดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร เช่น ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในสถานีที่อยู่ไกลจากสถานีหลักมากที่สุดที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงรายนั้นอยู่ที่ 15.34 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษี อบจ.) ในขณะที่ผลการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่ศึกษาโดยสถาบันวิจัยฯ พบว่า ต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักจะอยู่ที่ 0.0167 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร แต่ปัจจุบัน สนพ. ได้มีการปรับปรุงต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก มาอยู่ที่ 0.0151 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลง ดังนั้น หากกำหนดให้ใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0151 บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้สถานีที่อยู่ไกลจากสถานีหลักมากที่สุด (จังหวัดเชียงราย) ซึ่งมีระยะทางในการขนส่งก๊าซ NGV เท่ากับ 465.62 กิโลเมตร มีค่าขนส่งอยู่ที่ 6.72 บาทต่อกิโลกรัม (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ 20.22 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม การกำหนดให้ใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก โดยใช้ต้นทุนค่าขนส่งจริงที่ 0.0151 บาทต่อกิโลกรัม จะเป็นการช่วยสนับสนุนให้โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพอัด (Compressed Biogas: CBG) ในพื้นที่ห่างไกลสถานีหลักก๊าซ NGV มีความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น
4. การส่งเสริมการผลิตก๊าซ CBG สนพ. ได้มีการพิจารณาต้นทุนก๊าซ CBG เพื่อมาเปรียบเทียบกับต้นทุนก๊าซ NGV ซึ่งผลที่ได้ในเบื้องต้นโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พบว่า ต้นทุนการผลิตและขนส่งก๊าซ CBG จนถึงสถานีจำหน่าย NGV จากน้ำเสียจะอยู่ที่ 8.63 – 12.97 บาทต่อกิโลกรัมไบโอมีเทน ซึ่งหากต้องการที่จะส่งเสริมก๊าซ CBG ก็จำเป็นต้องพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและผลตอบแทนทางการเงินเพื่อจูงใจนักลงทุน ซึ่งจากผลการศึกษา ค่า financial rate of return ของ CBG ที่หน้าสถานีบริการ ต้องอยู่ที่ราคา 20 บาทต่อกิโลกรัมไบโอมีเทน จึงจะใกล้เคียงกับราคาก๊าซชีวภาพที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า เพื่อให้ราคาก๊าซ CBG สามารถแข่งขันในตลาดได้ รัฐควรมีนโยบายส่งเสริม ดังนี้ (1) สนับสนุนด้านเงินลงทุน (2) สนับสนุนเงินทุนในการทดสอบคุณภาพของก๊าซ CBG (3) สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และ (4) เพื่อไม่ให้เกิดค่าขนส่ง สถานีบริการก๊าซ CBG ควรตั้งอยู่ที่เดียวกับโรงงานที่ผลิต
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง การนำส่งเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. ในช่วงปี 2555-2556 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งผลิตก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง และโรงอะโรเมติกส์ ได้ยื่นเอกสารต่อกรมสรรพสามิต เพื่อขอรับเงินเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับ ก๊าซ LPG ที่ผลิตภายในประเทศ ซึ่งกรมสรรพสามิตได้ตรวจสอบตามระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและ การเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 และได้มีหนังสือถึง สบพน. เพื่อขอเบิกจ่ายเงินชดเชยให้แก่บริษัทฯ สบพน. จึงได้จ่ายเงินชดเชยให้กรมสรรพสามิตเพื่อจ่ายให้บริษัทฯ แล้ว แต่เนื่องจากบริษัทฯ เห็นว่าการจำหน่าย ก๊าซ LPG จากโรงอะโรเมติกส์ไม่เข้าข่ายที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ จึงขอส่งเงินดังกล่าวคืน โดยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 กรมสรรพสามิตได้นำเช็คฝากเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ แล้ว จำนวน 216,491,329.78 บาท
2. ต่อมา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2557 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีหนังสือถึง สบพน. เพื่อสอบถามเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ดังนี้ (1) วิธีการและหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบว่าบริษัทฯ ส่งเงินคืนครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ (2) การตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีบริษัทอื่นๆ ที่ไม่เข้าข่ายได้รับเงินชดเชยตามประกาศ กบง. หรือไม่ และ (3) การเบิกจ่ายเงินชดเชยในช่วงดังกล่าว เป็นช่วงที่กองทุนน้ำมันฯ ขาดสภาพคล่อง และได้กู้เงินจากสถาบันการเงิน ทำให้มีต้นทุนดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาส สบพน. ได้มีการรายงานผลเสียหายที่เกิดขึ้นต่อ กบง. หรือไม่ ซึ่งเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 สบพน. ได้รายงานเรื่องที่บริษัทฯ ส่งเงินคืนจำนวน 216,491,329.78 บาท ให้ กบง. ทราบแล้ว และมีการตอบบันทึกข้อความของ สตง. แล้ว
3. เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 สบพน. ได้หารือกับ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสนพ. เพื่อสรุปแนวทางในการดำเนินการตามที่ สตง. สอบถาม ซึ่งผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นว่าหากบริษัทฯ ชดใช้เงินก็ถือว่ากองทุนไม่เสียหาย รวมทั้งตามระเบียบคำสั่งไม่ได้ระบุการเรียกค่าเสียหายจากกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สบพน. ได้คำนวณต้นทุนเงินกู้และค่าเสียโอกาสจากการลงทุนอันเกิดจากการเบิกจ่ายเงินชดเชยของบริษัทฯ พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 8,190,110.76 บาท โดยแบ่งเป็น ช่วงที่มีภาระหนี้เงินกู้ 5,236,680.50 บาท และช่วงที่ไม่มีภาระหนี้เงินกู้ 2,953,430.26 บาท ซึ่ง สบพน. ได้ประสานกับ สนพ. เพื่อหารือเกณฑ์การคำนวณดังกล่าว และได้แจ้งให้สรรพสามิตพื้นที่ระยองแจ้งให้บริษัทฯ ทราบ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2558 กรมสรรพสามิต ได้ส่งสำเนาเอกสารการนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของบริษัทฯ จำนวน 8,190,110.76 บาท เรียบร้อยแล้ว และเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 กรมสรรพสามิต ได้มีหนังสือถึง สบพน. เพื่อชี้แจงวิธีการตรวจสอบและสรุปผลการตรวจสอบการขอรับเงินของบริษัทฯ และการตรวจสอบเพิ่มเติมกับบริษัทอื่นๆ ที่ไม่เข้าข่ายได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ตามประกาศ กบง. เรียบร้อยแล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 หมวด 7 การตรวจสอบภายใน ข้อ 26 ให้ สบพน. จัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงาน การรับ-จ่ายและการควบคุมภายในของโครงการที่ได้รับเงินจากกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานต่อปลัดกระทรวงพลังงาน (ปพน.)อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งตามคำสั่งกระทรวงพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันฯ ลงวันที่ 23 มีนาคม 2548 ให้ สบพน. แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายใน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานต่อ ปพน. เพื่อนำ กบง. ต่อไป
2. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ผู้ตรวจสอบภายใน สบพน. ได้ปฏิบัติงานในด้านการตรวจสอบการเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการและงบบริหารที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ โดยการสอบทานเอกสารและสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย (1) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) (2) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) (3) กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) (4) สบพน. (5) กรมสรรพสามิต และ (6) กรมศุลกากร และได้รายงานผลการตรวจสอบต่อผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานที่ได้รับการตรวจสอบ รวมทั้งรายงานต่อผู้อำนวยการและคณะกรรมการตรวจสอบของ สบพน. พิจารณาเห็นชอบแล้ว โดยมีการตรวจสอบดังนี้ (1) การเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการ ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2558 และโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า (2) การเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินงบบริหาร ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2558 (3) การบันทึกบัญชี เข้าระบบ GFMIS ของกรมบัญชีกลาง (4) การจัดทำรายงาน ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ตามระยะเวลาที่ระเบียบกระทรวงพลังงานฯ กำหนดไว้ และ(5) การควบคุมภายใน เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินโครงการและงบบริหารที่เหมาะสม
3. ในภาพรวมการเบิก-จ่ายเงินเป็นไปตามแผนการใช้เงินที่ได้รับอนุมัติ และการปฏิบัติงานเป็นไปตามระเบียบกระทรวงพลังงานฯ มีเพียงบางหน่วยงานที่ไม่พบการบันทึกบัญชีและจัดส่งรายงานการเงินประจำเดือนล่าช้ากว่าที่ระเบียบฯ กำหนดไว้ ซึ่งได้แจ้งให้ผู้ที่รับผิดชอบรับทราบ เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขแล้ว โดยสรุป มีความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน (Operational Risk) ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ (Compliance Risk) และความเสี่ยงทางด้านการเงิน (Financial Risk) อยู่ในระดับต่ำ มีการควบคุมภายในด้านการเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินอยู่ในระดับที่เหมาะสม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง แผนการดำเนินงานหยุดซ่อมแหล่งก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในปี 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะทำงานจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าได้หารือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรื่องแผนการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ ประจำปี 2559 ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงระบบไฟฟ้า เพื่อนำมาจัดทำแผนเตรียมความพร้อมรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความมั่นคงในระบบ สรุปสาระสำคัญของแผนการดำเนินงานและผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ได้ดังนี้
1.1 แผนการทำงานการหยุดซ่อมแหล่งก๊าซฯ ในปี 2559 ที่มีผลกระทบต่อภาคไฟฟ้าปี 2559 ได้แก่ (1) แหล่งยาดานา มีแผนหยุดการผลิตในเดือนมีนาคม 2559 เป็นเวลา 4 วัน ส่งผลต่อปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันตกประมาณ 1,070 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (2) แหล่งซอติก้า มีแผนการหยุดผลิตระหว่างวันที่ 19 – 28 มีนาคม 2559 ส่งผลต่อการลดปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันตกประมาณ 640 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (3) แหล่งเยตากุน มีแผนการหยุดผลิต ระหว่างวันที่ 10 – 18 เมษายน 2559 ส่งผลต่อการลดปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันตกประมาณ 570 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (4) แหล่ง JDA-A18 มีแผนการหยุดซ่อมบำรุงในเดือนเมษายน 2559 เป็นเวลา 12 วัน ส่งผลต่อปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันออก และพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาประมาณ 420 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งผลกระทบให้ ปตท. ต้องหยุดจ่ายก๊าซฯ ให้แก่โรงไฟฟ้าและสถานี NGV จะนะ และ (5) แหล่งสินภูฮ่อม มีแผนหยุดซ่อมบำรุงระหว่างวันที่ 21-30 กันยายน 2559 ส่งผลต่อปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือให้แก่โรงไฟฟ้าและสถานี NGV น้ำพอง รวมประมาณ 150 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่ง ปตท. ได้ประสานงานกับ กฟผ. ในการกำหนดช่วงเวลาซ่อมบำรุงประจำปีของโรงไฟฟ้าให้สอดคล้องกับแผนการทำงาน ของผู้ผลิตก๊าซฯ เพื่อลดผลกระทบ1.2 กฟผ. ได้พิจารณาแผนหยุดจ่ายก๊าซฯ ผลกระทบต่อระบบไฟฟ้า และแผนการดำเนินงานของ กฟผ. แล้ว สรุปได้ว่า (1) เสนอให้เลื่อนการหยุดซ่อมแหล่งก๊าซฯ จากแหล่งสินภูฮ่อมจากเดิมระหว่างวันที่ 21-30 กันยายน 2558 เป็นวันที่ 17-26 กันยายน 2558 เพื่อให้ตรงกับแผนหยุดซ่อมบำรุงประจำปีของโรงไฟฟ้า (2) การหยุดจ่ายก๊าซฯ จาก JDA-A18 ในเดือนเมษายน 2559 (12 วัน) จะไม่มีผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าภาคใต้ และยังคงสามารถบริหารจัดการเพื่อรองรับมาตรฐานความมั่นคง N-1 ได้ แต่จะมีผลทำให้การใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จำนวน 12 และ 16 ล้านลิตร ตามลำดับ (3) การหยุดจ่ายก๊าซฯ จากสหภาพ เมียนมาร์ (ยาดานา เยตากุน และซอติก้า) ในช่วงวันที่ 19-28 มีนาคม 2559 และ 9-18 เมษายน 2559 จะไม่มีผลกระทบต่อระบบไฟฟ้านครหลวงและยังคงสามารถบริหารจัดการเพื่อรองรับมาตรฐานความมั่นคง N-1 ได้ แต่จะมีผลทำให้ต้องใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลเพิ่มในเดือนเมษายน 2559 จำนวน 6 และ 1.3 ล้านลิตร ตามลำดับ
2. ตามแผนการทำงานของผู้ผลิตก๊าซฯ ข้างต้น อาจทำให้มีความจำเป็นต้องเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมันในปริมาณค่อนข้างสูงซึ่งจะมีผลกระทบต่อ Ft งวดเดือนมกราคม – เมษายน 2559 ดังนั้น ปตท. และ กฟผ. จึงอยู่ระหว่างเจรจาปรับเปลี่ยนกำหนดการหยุดซ่อมเพื่อลดผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า โดย กฟผ.ได้เสนอกรอบเวลาที่เหมาะสม ดังนี้ (1) ปรับเลื่อนกำหนดการหยุดผลิตของแหล่งยาดานาซึ่งจะส่งผลให้ต้องหยุดจ่ายก๊าซฯ จากสหภาพ เมียนมาร์ทุกแหล่ง จากเดือนมีนาคม 2559 เป็น 12-18 เมษายน 2559 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แหล่งเยตากุนหยุดผลิต และ (2) ปรับเลื่อนกำหนดการหยุดผลิตของแหล่ง JDA-A18 จากช่วงเดือนเมษายน 2559 เป็นระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน – 7 กรกฎาคม 2559 (12 วัน) สำหรับกระทรวงพลังงานมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ (1) กระทรวงพลังงานร่วมกับ กฟผ. และ บมจ. ปตท. ดำเนินงานหารือแผนการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติร่วมกันเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ให้ได้ข้อยุติและรายงาน กบง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ และ (2) สนพ. และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานจัดเตรียมมาตรการรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าว เช่น การรณรงค์การลดใช้พลังงานไฟฟ้า และมาตรการ Demand Response เป็นต้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนธันวาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ 466 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2558 จำนวน 55 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤศจิกายน 2558 อยู่ที่ 35.9366 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2558 ที่ 0.0614 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับเพิ่มขึ้น 0.7040 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 15.8011 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 16.5051 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.75 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.04 บาทต่อกิโลกรัม
2. เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันฯ ก๊าซ LPG ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,937 ล้านบาท จึงขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 3 แนวทาง ดังนี้ (1) คงราคาขายปลีกไว้ที่ 22.29 บาท ต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ 0.7040 บาทต่อกิโลกรัม จาก 0.6130 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 1.3170 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 557 ล้านบาทต่อเดือน (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ อีก 0.0778 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 0.6130 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 0.6908 บาทต่อกิโลกรัมซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 22.96 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 333 ล้านบาท/เดือน และ (3) คงอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.6130 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.75 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.04 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 11.30 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 312 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 1.3170 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 12 - วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 12/2558 (ครั้งที่ 12)
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 09.00 น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2558 ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 31.71 52.62 และ 43.27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 23 ธันวาคม 2558 อยู่ที่ 36.2308 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 24 ธันวาคม 2558 อยู่ที่ 29.37 บาทต่อลิตร และราคาเอทานอล ณ เดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ 25.00 บาทต่อลิตร ลดลง 3.11 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 12 มกราคม 2558
2. จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2558 อยู่ในระดับต่ำ ดังนี้ 30.76 23.80 23.38 21.44 18.79 และ 20.59 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ในขณะที่ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มีการอ้างอิงราคาน้ำมัน ไม่ได้ลดลงตามราคาน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 4.25 บาทต่อลิตร ต่ำกว่าน้ำมันเบนซินอยู่ 1.35 บาทต่อลิตร จึงเป็นโอกาสในการปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ของน้ำมันดีเซลให้ใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซิน โดยไม่ส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อให้สามารถ ปรับภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรดำเนินการ 2 ช่วง ดังนี้
2.1 ช่วง 1 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อสะสมไว้สำหรับ โอนเป็นภาษีสรรพสามิต ในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำหรือราคาปรับตัวลดลง ซึ่งในขณะนี้สามารถ ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้นได้ 0.70 บาทต่อลิตร จาก 0.05 บาทต่อลิตร เป็น 0.75 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณ 1,235 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายจ่าย 198 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 1,037 ล้านบาทต่อเดือน2.2 ช่วงที่ 2 ปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1 บาทต่อลิตร จาก 4.25 บาทต่อลิตร เป็น 5.25 บาทต่อลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1.18 บาทต่อลิตร ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต 1 บาทต่อลิตร ภาษีเทศบาล 0.10 บาทต่อลิตร และภาษีมูลค่าเพิ่ม 0.08 บาทต่อลิตร ดังนั้น เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น เห็นควรให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันดีเซลลดลง 1.10 บาทต่อลิตร จาก 0.75 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 0.35 บาทต่อลิตร พร้อมกับวันที่มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2558 มีทรัพย์สินรวม 49,301 ล้านบาท หนี้สินรวม 6,680 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 42,621 ล้านบาท โดยแยกเป็นส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิง 35,014 ล้านบาท และก๊าซ LPG 7,607 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพิ่มขึ้น 0.70 บาทต่อลิตร จาก 0.05 บาทต่อลิตร เป็น 0.75 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2558 และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เกี่ยวกับการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรืออัตราเงินชดเชย โดยกำหนดให้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป (Finished Products) ที่มีคุณภาพเป็นไปตามที่กรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
2. เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลงเท่ากับภาษีสรรพสามิตและภาษีเทศบาลที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลคงเดิม ในกรณีที่น้ำมันดีเซลคงเหลือ ณ คลังน้ำมันได้มีการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้เกินให้สามารถขอคืนได้ โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้วันเดียวกับการปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล
เรื่อง การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวล
สรุปสาระสำคัญ
1. สมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลและเครือข่ายได้ร้องเรียนต่อประธานกรรมการนโยบายแห่งชาติ ถึงความไม่เป็นธรรมจากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่มีมติให้ปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในระบบ Adder เป็นระบบ Feed-in Tariff (FiT) ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในรูปแบบ Adder ไม่สามารถเปลี่ยนเป็น FiT ได้ ซึ่งสมาคมฯ มีข้อเสนอให้แก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการ โดยการให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวลทุกรายที่ได้รับการสนับสนุนในรูปแบบ Adder มีสิทธิเปลี่ยนเป็นรูปแบบ FiT
2. ต่อมา ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำข้อร้องเรียนและข้อเสนอของสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลฯ เสนอต่อ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 ซึ่ง กพช. มีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับข้อเสนอของสมาคมฯ ไปศึกษาข้อเท็จจริง ตลอดจนชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อข้อร้องเรียนและข้อเสนอของสมาคมฯ ให้ได้มาซึ่งข้อยุติร่วมกัน ดังนั้น เพื่อให้ข้อร้องเรียนดังกล่าวได้รับการแก้ไข ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ ตรวจสอบและศึกษาข้อเท็จจริงของข้อร้องเรียนดังกล่าว ตลอดจนชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อข้อร้องเรียนหรือข้อเสนอของสมาคมฯ เพื่อให้มาซึ่งข้อยุติร่วมกัน และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาต่อ กบง. พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ เสนอคำสั่งให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานลงนามต่อไป
กบง. ครั้งที่ 14 - วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2559 (ครั้งที่ 14)
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.00 น.
1. รายงานความก้าวหน้าโครงการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
2. ความก้าวหน้าโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน
3. Roadmap การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
4. Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
5. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 เรื่องการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับปริมาณการใช้ ก๊าซ LPG ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยการดำเนินการระยะยาวได้มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการขยายระบบคลัง ท่าเรือนำเข้า และระบบคลังจ่ายก๊าซ ดังนี้ 1) ขยายระบบคลังและท่าเรือนำเข้าเขาบ่อยา 2) ขยายระบบคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะ 3) ขยายระบบคลังภูมิภาค และ 4) ขยายระบบขนส่งก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซฯ ไปคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะและคลังก๊าซเขาบ่อยา
2. เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 ครม. มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 เรื่อง หลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทน การลงทุน ตามหลักเกณฑ์ที่ กพช. เห็นชอบ โดยอยู่ในกรอบวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 48,599 ล้านบาท แบ่งเป็น ระยะที่ 1 ลงทุน 20,954 ล้านบาท และระยะที่ 2 ลงทุน 27,645 ล้านบาท
3. ความคืบหน้าในการก่อสร้าง ณ เดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ร้อยละ 97.66 โดยพร้อมที่จะเริ่มการดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน 2559 โดยมีรายละเอียดดังนี้ (1) งานขยายคลังและท่าเรือนำเข้า ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งประกอบด้วยการสร้างถังเย็น และ ท่าเรือ เพื่อรองรับการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นปัจจุบันการก่อสร้างแล้วเสร็จร้อยละ 98 (2) งานขยายคลังก๊าซบ้านโรงโป๊ะ จังหวัดชลบุรีประกอบด้วยงานปรับปรุง ระบบขนส่งทางรถไฟ และงานจัดซื้อตู้รถไฟ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับการรถไฟฯ (3) งานขยายคลังก๊าซภูมิภาค จำนวน 4 คลัง เสร็จสมบูรณ์แล้ว ประกอบด้วย คลังปิโตรเลียมขอนแก่น นครสวรรค์ สงขลา และสุราษฎร์ธานี (4) งานศึกษา Conceptual / LPG Optimization ได้ศึกษาเสร็จสิ้น และ (5) งานTechnical Assessment ได้ศึกษาเสร็จสิ้น
4. ความคืบหน้าในการพิจารณาการจ่ายผลตอบแทนการลงทุน เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 กพช. ได้มอบหมายให้ กบง. พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทน การลงทุนตามหลักเกณฑ์ที่ กพช. เห็นชอบ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ กบง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้มีการประชุมหารือกับ ปตท. เกี่ยวกับรายละเอียดของโครงการ ได้แก่ (1) ผลตอบแทนการลงทุน (2) เงินลงทุนรวม (3) ระยะเวลาโครงการ (4) ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วย ค่าบริหาร/ค่าบำรุงรักษา ค่าประกันภัย อัตราเงินเฟ้อ ค่าสาธารณูปโภค (5) ปริมาณการใช้ก๊าซ LPG (6) ค่าเสื่อมราคา (7) อัตราภาษี และ (8) วิธีการจ่ายผลตอบแทนการลงทุน
มติของที่ประชุม
รับทราบ
เรื่อง ความก้าวหน้าโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 ครม. ได้เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 โดยมอบหมายให้ กบง. พิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน และการบรรเทาผลกระทบกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร รวมทั้งอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2556 ให้ สนพ. ดำเนินงานโครงการจัดทำฐานข้อมูลร้านค้า หาบเร่ฯ และครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่ง สนพ. ได้จัดทำ “โครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน” โดยจัดจ้างมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) เป็นที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการฯ
2. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 ครม. ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 ที่ได้เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ให้ปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม และเห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยครัวเรือนรายได้น้อยช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 18 กิโลกรัมต่อ 3 เดือน และร้านค้า หาบเร่ฯ ช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 150 กิโลกรัมต่อเดือน
3. โครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการ ดังนี้ (1) จำนวนผู้มีสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีจำนวนผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด 7,932,695 สิทธิ์ แบ่งเป็นครัวเรือนรายได้น้อย 7,569,867 สิทธิ์ และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร 362,828 สิทธิ์ ซึ่งตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการฯ จนถึงปัจจุบัน ได้มีผู้มาขอขึ้นทะเบียนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง (2) จำนวนร้านค้าก๊าซ LPG ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีร้านค้าก๊าซ LPG ทั้งหมด 47,417 ร้าน (3) ยอดการใช้สิทธิ์ ตั้งแต่เริ่มโครงการฯ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีการใช้สิทธิ์ซื้อก๊าซ LPG ผ่านระบบ SMS ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 9,979,420 ครั้ง โดยมีปริมาณก๊าซ LPG ที่ช่วยเหลือจำนวนรวม 194 ล้านกิโลกรัม (4) ภาระชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการจนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 กองทุนน้ำมันฯ มีภาระช่วยเหลือทั้งสิ้น 348 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ปตท. มีภาระช่วยเหลือทั้งสิ้น 609 ล้านบาท และ (5) การชี้แจงและตอบข้อซักถามด้านการให้บริการข้อมูลแก่ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการรับเรื่องร้องเรียนและข้อติชมต่างๆ จะดำเนินการผ่าน www.lpg4u.net และศูนย์บริการร่วมกระทรวงพลังงาน
4. การดำเนินงานในระยะต่อไป บริษัท ปตท. ให้ความอนุเคราะห์รับผิดชอบการดำเนินโครงการฯ ต่อไปอีก 6 เดือน คือ ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน 2559 ในวงเงิน 500 ล้านบาท ส่วนผู้ดูแล ประสานงานโครงการฯ และเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมผู้บริหารกระทรวงพลังงานมีความเห็นว่า ควรอยู่ในความดูแลของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) โดย ธพ. ควรเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานและกำกับดูแลโครงการฯ ดังนั้น จึงเห็นควรเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน โดยให้ ธพ. เป็นเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ แทน สนพ.
มติของที่ประชุม
1. รับทราบการดำเนินงานโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนจนถึงสิ้นปี 2558 และการดำเนินงานโครงการฯในปี 2559
2. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคา ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน โดยให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และเห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบ จากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
เรื่อง Roadmap การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และ วันที่ 3 เมษายน 2558 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เห็นชอบการคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและ แหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบ ถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน
2. การนำเข้าเพื่อใช้ในประเทศ ปัจจุบันมีเพียงบริษัท ปตท. รายเดียวที่นำเข้าก๊าซ LPG ด้วยปริมาณ ที่กำหนดจากกรมธุรกิจพลังงาน เพื่อสมดุลการจัดหาต่อความต้องการภายในประเทศและป้องกันปัญหา การขาดแคลน การมีผู้นำเข้าเพียงรายเดียวทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน จึงมักเกิดคำถามถึงการผูกขาด ประสิทธิภาพการนำเข้าของ ปตท. เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอขั้นตอนเพื่อเปิดให้มีผู้นำเข้าก๊าซ LPG มากกว่า 1 ราย ดังนี้ (1) ระยะที่ 1 ยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่ไม่เอื้อต่อการให้ผู้ค้าก๊าซรายอื่นนำเข้า เช่น การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าที่ล่าช้า ความไม่พร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในการนำเข้า และมาตรการชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาค (2) ระยะที่ 2 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้า ด้วยราคานำเข้าที่ CP+85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (3) ระยะที่ 3 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้า ด้วยราคานำเข้าที่ CP+X เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และ (4) ระยะที่ 4 เปิดการประมูลการนำเข้าก๊าซ LPG เมื่อมีผู้นำเข้ามากกว่าหนึ่งรายและระบบธุรกิจพร้อมต่อการแข่งขันแล้ว ในระยะต่อไปจะเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในลักษณะเดียวกันกับธุรกิจน้ำมัน
3. หากเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG เลยในขณะนี้ อาจเกิดปัญหา (1) ด้านความมั่นคงด้านการจัดหาในส่วนการนำเข้า และ (2) ราคาตั้งต้นก๊าซ LPG ที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ซึ่งในทางกลับกันหากดำเนินการตาม roadmap เพื่อเปิดให้มีผู้นำเข้าก๊าซ LPG มากกว่า 1 รายก่อนและรอ 1 ปีในการเปิดเสรี ผู้ค้าก๊าซจะมีเวลาในการเตรียมตัวในการเข้าสู่ระบบแข่งขันเสรี และประเทศจะมีความมั่นคงด้านการจัดหาในการนำเข้า LPG
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการตาม Roadmap การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เรื่อง Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากโครงสร้างราคา NGV ในปัจจุบันยังคงคำนวณตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งจากการที่ สนพ. ได้ทบทวนต้นทุนภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจากการติดตามต้นทุน NGV ของ ปตท. พบว่า ราคาขายปลีก NGV ที่ได้จากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยฯ และต้นทุนของ ปตท. อยู่ที่ 14.32 และ 16.97 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ นอกจากนี้สถาบันวิจัยฯ ได้มีการคิดค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่เป็นส่วนของ ปตท. และส่วนที่เป็นของเอกชน โดยมีการแบ่งสัดส่วนตามปริมาณขายระหว่างสถานีบริการนอกแนวท่อกับสถานีบริการบนแนวท่อในอัตรา 55:45 ซึ่งค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้การดำเนินการสถานีบริการก๊าซ NGV มีประสิทธิภาพ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เปลี่ยนวิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายดำเนินการมาคำนวณเฉพาะในส่วนที่เป็นของเอกชนอย่างเดียว โดยใช้สัดส่วนการดำเนินธุรกิจจากสถานีหลักไปสถานีลูกต่อสถานีแนวท่อตามจริงคือ 60:40 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่คำนวณได้ลดลงจากเดิมที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะภาคเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม
2. หลักเกณฑ์การคิดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบัน ปตท. มีการคิดต้นทุนในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งเป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซ NGV ตามที่ สนพ. เสนอ โดยปัจจุบัน ปตท. ได้มีการคิดค่าขนส่งก๊าซ NGV สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ต้นทุนค่าขนส่งฯ จะอยู่ที่ 0.0167 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร แต่ปัจจุบัน สนพ. ได้มีการปรับปรุงต้นทุนค่าขนส่งฯ มาอยู่ที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลง ดังนั้น หากกำหนดให้ใช้อัตราค่าขนส่งฯ ที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร จะส่งผลให้สถานีที่อยู่ไกลจากสถานีหลักมากที่สุด (จังหวัดเชียงราย) มีค่าขนส่งอยู่ที่ 6.67 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมกับราคาก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตรแล้วจะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ 20.17 บาท ต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าควรให้มีการปรับค่าขนส่งฯจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยใช้อัตราค่าขนส่งฯ ที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในพื้นที่ห่างไกลจากแนวท่อสูงเกินไป
3. ตามที่ กบง. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ศึกษาเพิ่มเติมถึงความเป็นได้ ในการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาอุดหนุนในส่วนของก๊าซ NGV ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ปัจจุบันได้มีการจัดสรรเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่ได้เห็นชอบกรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้ลดการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง (Cross Subsidy) ซึ่งต่อมา กบง. เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กลุ่มน้ำมันสำเร็จรูป และกลุ่มก๊าซ LPG และมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การจัดสรรเงินประเดิมของกองทุนน้ำมันฯ ไม่มีเงินประเดิมในส่วนของก๊าซ NGV จึงไม่มีเงินประเดิมไว้ใช้สำหรับรักษาระดับราคาก๊าซ NGV โดยหากจะให้มีการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ได้จะต้องมีการจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ มาใช้สำหรับก๊าซ NGV ซึ่งจะต้องผ่านการเห็นชอบจาก กบง. โดยอาจจะต้องจัดสรรจากเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เป็นส่วนของน้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซ LPG เพราะที่ผ่านมา กบง. ยังไม่เคยมีการประกาศเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากผู้ใช้ ก๊าซ NGV ดังนั้น หากจะต้องมีการชดเชยราคาก๊าซ NGV จะต้องใช้เงินที่มีการจัดสรรไว้แล้วสำหรับน้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซ LPG ซึ่งถือเป็นการชดเชยข้ามกลุ่มประเภทเชื้อเพลิง และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557
4. เพื่อให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV สะท้อนต้นทุนการดำเนินงาน ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ แนวทางที่ 1 ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน โดยให้ปรับไปตามประมาณการราคาของเดือนมกราคม 2559 จากเดิมที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.92 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป และตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน แนวทางที่ 2 คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัมต่อไปจนกว่าต้นทุนราคาก๊าซ NGV จะลดลงมาเท่ากับ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม จึงจะปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุน ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน และ แนวทางที่ 3 ตั้งแต่ 21 มกราคม 2559 ถึง 15 กรกฎาคม 2559 ขอความร่วมมือ ปตท. กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ยกเลิกเพดานราคาและให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และให้มีการปรับราคาขายปลีก ก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน สำหรับแนวทางที่ 1 แนวทางที่ 2 และ แนวทางที่ 3 ขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัมสำหรับในส่วนของราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะต่อไปและปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 บาทต่อเดือนเป็น 10,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรถสาธารณะเดิม ที่ได้รับ 35,000 บาทต่อเดือนเป็น 40,000 บาทต่อเดือน โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พรบ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอความเห็นชอบการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยขอความร่วมมือ ปตท. ให้คิดค่าขนส่งโดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตรในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร แบบมีเงื่อนไข โดยตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 ขอความร่วมมือให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยในช่วงเวลาดังกล่าวหากต้นทุนราคา ก๊าซ NGV อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปลงเพื่อให้สะท้อนต้นทุน และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้ใช้ค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม ในการคำนวณราคาขายปลีกก๊าซ NGV และในส่วนของต้นทุนของราคาเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) ให้ใช้ราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมาในการคำนวณ และให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับในส่วนของราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะต่อไปและปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรถสาธารณะเดิมที่ได้รับ 35,000 บาทต่อเดือนเป็น 40,000 บาทต่อเดือน โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป โดยให้ ปตท. ไปหารือร่วมกับ สนพ. ถึงแนวทางการทยอยปรับค่าขนส่งดังกล่าว เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 19 มกราคม 2559 ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 23.80 48.30 และ 33.72 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา วันที่ 19 มกราคม 2559 อยู่ที่ 36.4505 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 20 มกราคม 2559 อยู่ที่ 32.37 บาทต่อลิตร และราคาเอทานอล ณ เดือนมกราคม 2559 อยู่ที่ 23.82 บาทต่อลิตร
2. จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 20 มกราคม 2559 อยู่ในระดับต่ำ ดังนี้ 30.06 23.10 22.68 20.74 17.89 และ 19.29 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ในขณะที่ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มีการอ้างอิงราคาน้ำมัน ไม่ได้ลดลงตามราคาน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ ฝ่ายเลขานุการพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซิน และ น้ำมันแก๊สโซฮอล อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเพื่อให้สามารถปรับภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรดำเนินการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อสะสมไว้สำหรับโอนเป็นภาษีสรรพสามิต ในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำ หรือราคาปรับตัวลดลง ซึ่งในขณะนี้สามารถปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้นได้ 0.60 บาทต่อลิตร จาก 6.15 0.05 0.005 และ -0.02 บาทต่อลิตร เป็น 6.75 0.65 0.605 และ 0.58 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ E85 ฝ่ายเลขานุการฯ จะประสานผู้ค้าปรับลดราคาขายปลีกลง 0.60 บาทต่อลิตร เพื่อให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณ 1,473 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายจ่าย 322 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 1,152 ล้านบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 มกราคม 2559 มีทรัพย์สินรวม 48,574 ล้านบาท หนี้สินรวม 6,349 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 42,225 ล้านบาท โดยแยกเป็นของน้ำมัน 34,944 ล้านบาท และก๊าซ LPG 7,281 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 15 - วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2559 (ครั้งที่ 15)
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
2. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 และการดำเนินการตาม Roadmap ในขั้นตอนที่ 2
4. หลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2558 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบ แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2558- 2579 (Oil Plan 2015) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ พร้อมทั้ง ได้เสนอแนะว่าควรมีการทบทวนแผนฯ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของแผนฯ อย่างมีนัยสำคัญ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการต่อไป โดยมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนฯ ต่อ กบง. ทุก 3 เดือน และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนฯ ตามมติ กพช. ดังกล่าว
2. การจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการบูรณาการระหว่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2558 - 2579 กับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 โดยเริ่มกระบวนการจัดทำแผนจากการพยากรณ์ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเดียวกับแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยจะมีการประเมินความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในกรณีฐาน (Business as Usual: BAU) ว่าในปี 2579 จะมีความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง 65,459 ktoe โดยตามแผนได้กำหนดแนวทางมาตรการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่งแบ่งแนวทางดำเนินการออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ (1) กำกับราคาเชื้อเพลิงในภาคขนส่งให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง (2) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงในยานยนต์ (3) ส่งเสริมการบริหารจัดการการใช้รถบรรทุกและรถโดยสาร และ (4) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง
3. จากการพยากรณ์ข้อมูลปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของปี 2569 และ 2579 พบว่า ความต้องการพลังงานในกรณีปกติ (Business-asusual : BAU) ของสาขาขนส่งจะอยู่ที่ 44,937 และ 65,459 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และรวมทุกสาขาจะอยู่ที่ 56,985 และ 79,338 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ตามลำดับ แต่ทั้งนี้หากมีแผนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan : EER 100%) ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของปี 2569 และ 2579 ของสาขาขนส่งจะอยู่ที่ 29,602 และ 35,246 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และรวมทุกสาขาจะอยู่ที่ 41,650 และ 49,125 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ตามลำดับ จากข้อมูลดังกล่าวกรมธุรกิจพลังงานจึงได้นำมาบริหารจัดการ โดยกำหนดเป็นหลักการจัดทำแผน 5 หลักการ ดังนี้ (1) สนับสนุนมาตรการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2558 - 2579 (Energy Efficiency Plan: EEP 2015) (2) บริหารจัดการชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม (3) ปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม (4) ผลักดันการใช้เชื้อเพลิงเอทานอลและไบโอดีเซล ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 (Alternative Energy Development Plan: AEDP2015) และ (5) สนับสนุนการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
รับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 และการดำเนินการตาม Roadmap ในขั้นตอนที่ 2
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและ แหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้มีการทบทวนต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (1) ต้นทุนจากโรงแยกฯ เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2559 ลดลง 0.3079 บาทต่อกิโลกรัม จาก 15.7621 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.4542 บาทต่อกิโลกรัม (2) คงต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก อ้างอิงราคาตลาดโลกที่ CP-20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เนื่องจากเป็นต้นทุนที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงฯ เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 10.0623. บาทต่อกิโลกรัม (3) คงต้นทุนก๊าซ LPG จากการนำเข้าอยู่ที่ CP + 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้ต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 13.8766 บาทต่อกิโลกรัม และ (4) ต้นทุนบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2559 อยู่ที่ 15.30 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 297 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนมกราคม 2559 จำนวน 66 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือน กุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 36.3261 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมกราคม 2559 จำนวน 0.15 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 1.2244 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 14.9550 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 13.7306 บาทต่อกิโลกรัม
2. กบง. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการ เรื่อง Roadmap การดำเนินการ เพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในขั้นต้นเป็นการส่งเสริมการแข่งขันให้เกิดขึ้นในส่วนของการนำเข้า โดยเปิดให้มีผู้นำเข้าก๊าซ LPG มากกว่าหนึ่งรายนอกเหนือไปจาก ปตท. ซึ่งการดำเนินการในระยะที่ 1 คือ ลดอุปสรรคของการนำเข้า ก๊าซ LPG ที่ผู้ประกอบการรายอื่นเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ประกอบด้วยมาตรการ ดังนี้ (1) เร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าที่ล่าช้า (2) มอบหมายให้ ปตท. เปิดบริการโครงสร้างพื้นฐาน LPG (ท่าเรือนำเข้า คลัง ท่อ) แก่ผู้นำเข้ารายอื่น (3) ยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาค ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตาม Roadmap การดำเนินการเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในระยะที่ 1 ตามมติ กบง. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาค ดังนี้ (1) ปรับลดการชดเชยค่าขนส่ง ในเดือนที่ราคาก๊าซ LPG Pool หรือราคา ณ โรงกลั่นซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นปรับตัวลดลง และ (2) มีบัญชีค่าขนส่งก๊าซ LPG เพื่อใช้ในการกำกับ ติดตามและดูแลราคาก๊าซ LPG ในพื้นที่ต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
3. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่ปรับตัวลดลง 1.2244 บาทต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ลง 0.6447 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.2331 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.4116 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 2 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.29 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 30 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 157 ล้านบาทต่อเดือน (ไม่มีการชดเชย ค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาคแล้ว) และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตาม Roadmap ในระยะที่ 1 ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอให้ใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ LPG อิงตามประกาศ กบง. ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซ ไปยังคลังก๊าซต่างๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยกำหนดให้ค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ ลำปาง ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี และสงขลา อยู่ที่ 1.0100 2.0100 1.4030 0.3357 และ 0.3561 บาทต่อกิโลกรัม โดยหลังยกเลิกการชดเชยค่าขนส่ง ยังคงควบคุมให้ราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซภูมิภาคในแต่ละพื้นที่ เพิ่มขึ้นจากเดิมได้ไม่เกินไปกว่าอัตราค่าขนส่งที่ระบุไว้ในบัญชีค่าขนส่ง ต่อไปอีกเป็นเวลาสามเดือน ซึ่งหากปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ลง 0.6447 บาทต่อกิโลกรัม จะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไม่ปรับตัวสูงขึ้นหลังยกเลิกการชดเชยค่าขนส่ง โดยในพื้นที่ที่ไม่มีการชดเชยค่าขนส่ง ราคาขายปลีกจะลดลง 2.00 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.29 บาท ต่อกิโลกรัม (หรือ 30 บาท/ถัง 15 กก.) ส่วนในพื้นที่ที่เคยได้รับการชดเชย ราคาขายปลีกจะปรับลงลดหลั่นกันไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ดังนี้
1.1 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 15.4542 บาทต่อกิโลกรัม1.2 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก เป็นราคาตลาดโลก (CP) ลบ 20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน1.3 กำหนดราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน1.4 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 15.30 บาทต่อกิโลกรัมโดยที่ CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียของเดือนนั้น เป็นสัดส่วนระหว่างโปรเปน กับ บิวเทน 60 ต่อ 40
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.4116 บาท
3. เห็นชอบยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งทุกคลังทั่วประเทศ
4 เห็นชอบยกเลิกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
4.1 ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ลงวันที่ 18 สิงหาคม 25464.2 ฉบับที่ 20 พ.ศ. 2551 เรื่อง การกำหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 31 มกราคม 25514.3 ฉบับที่ 91 พ.ศ. 2551 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551
5. เห็นชอบบัญชีค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังต่างๆ เพื่อประกอบการกำกับดูแลราคา ณ คลังภูมิภาค เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นข้อมูลควบคุมราคาขายปลีกก๊าซ LPG ดังนี้
คลังก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ กิโลกรัมละ 1.0100 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดลำปาง กิโลกรัมละ 2.0100 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดขอนแก่น กิโลกรัมละ 1.4030 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี กิโลกรัมละ 0.3357 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดสงขลา กิโลกรัมละ 0.3561 บาท
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันสูตรที่กระทรวงพลังงานใช้ในการคำนวณราคาเอทานอลมาจากมติ กบง. เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ที่ได้เห็นชอบการปรับปรุงวิธีการคำนวณและการกำหนดราคาเอทานอล โดยให้ใช้ราคา เอทานอลอ้างอิงจากการเปรียบเทียบราคาต่ำสุด ระหว่างราคาเอทานอลที่ผู้ผลิตรายงานต่อกรมสรรพสามิตกับราคาเอทานอลที่ผู้ค้ามาตรา 7 รายงานต่อ สนพ. โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการ ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ เดือนธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
2. ราคาเอทานอลเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 22.90 บาทต่อลิตร เป็นราคาจากกรมสรรพสามิต ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีต่างๆ ที่เคยใช้คิดสูตรราคาของทางกระทรวงพลังงานพบว่าใกล้เคียงกันไม่ว่าวิธีไหน โดยหากคิด Cost Plus ต้นทุนกลับไปเมื่อคิดแล้ววัตถุดิบราคาเอทานอลจากมันสำปะหลัง 22.64 บาทต่อลิตร คิดเป็นราคามันสดที่ 2.35 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ (2.24 บาทต่อกิโลกรัม) และราคาเอทานอลจากกากน้ำตาล 23.03 บาทต่อลิตร คิดเป็นราคากากน้ำตาล 4.05 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับราคาส่งออกน้ำตาลของทางศุลกากร (4.01 บาทต่อกิโลกรัม) โดยข้อมูลราคาเอทานอลของผู้ค้าน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 23.82 บาทต่อลิตร และราคาที่ประเทศบราซิลอยู่ที่ประมาณ 18.35 บาทต่อลิตร รวมค่าขนส่งมาถึงประเทศไทยจะอยู่ที่ประมาณ 22.35 บาทต่อลิตร ดังนั้น เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดจากราคาเอทานอลมากที่สุด ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ติดตาม และตรวจสอบ และมอบให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ประสานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำการวิจัยพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลัง ตลอดจนวิธีการปลูก และดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่สูงสุดต่อไป
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ติดตาม และตรวจสอบ เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดจากราคาเอทานอลมากที่สุดและมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำการวิจัยพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลัง ตลอดจนวิธีการปลูก และดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่สูงสุดต่อไป
เรื่อง หลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 และวันที่ 27 มกราคม 2559 คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้า จากขยะอุตสาหกรรมได้ประชุม เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การคัดเลือก กำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม และพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม โดยมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ ดังนี้ (1) ผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมต้องตั้งโรงไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม ตาม พ.ร.บ. การนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 หรือเขตประกอบการอุตสาหกรรม ตามมาตรา 30 ของ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 (2) สามารถนำขยะอุตสาหกรรมจากนิคมอุตสาหกรรมอื่นหรือจากโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรม เข้ามากำจัดร่วมได้โดยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มีอยู่ (3) นิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งโครงการต้องสามารถเชื่อมโยงระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าตามศักยภาพของระบบไฟฟ้า (4) สำหรับโครงการที่มีการกำจัดกากขยะอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายเป็นสิ่งปฏิกูลและวัสดุไม่ใช้แล้ว ต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด ภายใน 12 เดือนนับจากวันตอบรับซื้อ (5) ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจะต้องเสนอรายละเอียดเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในโครงการ โดยต้องเป็นเทคโนโลยีที่สามารถจัดการขยะอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและควบคุมมลพิษที่เกิดขึ้นได้ (6) หลังจากเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ หากมีผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนยื่นเสนอ เกินกำลังการผลิตติดตั้ง 50 เมกะวัตต์ ให้พิจารณาคัดเลือกตามความพร้อม โดยเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ รวมทั้งมีขอบเขตระยะเวลาในการก่อสร้างภายในปี 2562 และ (7) สำหรับประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริมมีดังนี้ 1) ขยะอุตสาหกรรม ตามคำนิยามของ “ขยะหรือกากอุตสาหกรรม” ทั้งที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตราย และ 2) ห้ามนำขยะชุมชนเข้ามากำจัดรวมในโครงการยกเว้นของเสียอันตรายจากชุมชน
2. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 กพช. ได้เห็นชอบให้การรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงจากขยะและพลังงานน้ำขนาดเล็ก ให้ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแข่งขันด้านราคา (Competitive Bidding) โดยให้ กกพ. เร่งดำเนินการออกประกาศรับซื้อและคัดเลือกโครงการไฟฟ้าจากขยะ (ชุมชนและอุตสาหกรรม) ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ เห็นควรเสนอให้ปรับอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม ตามคำสั่ง กบง. ที่ 5/2558 ในข้อ (1) “ออกหลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” โดยปรับเป็น “ออกหลักเกณฑ์การคัดเลือกสำหรับพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” เพื่อให้สอดคล้องกับมติ กพช. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 ที่ระบุให้ กกพ. เป็นผู้คัดเลือกโครงการโรงไฟฟ้าจากขย
มติของที่ประชุม
2.1 รับทราบผลการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม รวมทั้งประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม
2.2 ให้ปรับอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมตามคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานที่ 5/2558 ในข้อ (1) “ออกหลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” โดยปรับเป็น “ออกหลักเกณฑ์ การคัดเลือกสำหรับพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” เพื่อให้ กกพ. นำหลักเกณฑ์ที่คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมกำหนด ไปใช้ประกอบในการออกประกาศรับซื้อและพิจารณาคัดเลือกโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมต่อไป
กบง. ครั้งที่ 17 - วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2559 (ครั้งที่ 17)
เมื่อวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
2.รายงานความเคลื่อนไหวราคาเชื้อเพลิงชีวภาพ
3.ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ...
4.โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2559
5.แนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2558 มีมติเห็นชอบแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558-2579 (Gas Plan 2015) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้มีการทบทวนแผนฯเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของแแผนฯอย่างมีนัยสำคัญ และให้หน่อยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการต่อไป โดยมอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนฯต่อ กบง. ทุก 3 เดือน และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนฯ ตามมติ กพช. ดังกล่าว
2.การจัดทำแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan 2015) ให้รองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ ให้มีเพียงพอในอนาคต ได้ กำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน 4 ด้านสำคัญ คือ (1) ลดการใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งมีต้นทุน สูงขึ้นรวดเร็วจากการนำเข้า LNG (2) ยืดอายุแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติโดยกระตุ้นการสำรวจและพัฒนา แหล่งในประเทศและการใช้เทคโนโลยี เพื่อรักษาระดับการจัดหาให้ยาวนานขึ้น (3) การหาแหล่งและการบริหาร จัดการ LNG ที่มีประสิทธิภาพ และ (4) มีโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางด้านการแข่งขัน ทั้งทางกายภาพ และกติกา ที่สอดรับกับแผนจัดหา รวมทั้งวางกรอบแนวทางการจัดหาและบริหารจัดการ LNG ในอนาคตให้เกิดการแข่งขัน และเพื่อให้สอดคล้องกับแผน PDP 2015 จึงได้จัดทำคาดการณ์การใช้และการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว ภายใต้ แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558 – 2579 ใน 3 กรณี คือ (1) กรณีฐาน – คาดว่าความต้องการใช้
ก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (2) กรณีคิดความเสี่ยงด้านความต้องการใช้จากการชะลอโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน และความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผน AEDP และ EEDP ทำได้ 70% และ (3) กรณีสัมปทานที่จะสิ้นสุดอายุในปี 2565 และ 2566 ผลิตไม่ต่อเนื่อง
3.แผนดำเนินงานเพื่อรองรับแผนการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติระยะยาว จะดำเนินการใน 4 ด้าน คือ
3.1 ลดการใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งมีต้นทุนสูงขึ้นรวดเร็วจากการนำเข้า LNG โดย (1) ส่งสัญญาณ
ของราคา รวมถึงการปรับ Pool Pricing เพื่อให้ผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติรายใหม่ๆ พิจารณาต้นทุนเศรษฐศาสตร์
ของโครงการจากราคาก๊าซธรรมชาติที่อิงกับราคาก๊าซ LNG (2) ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากการกระจายเชื้อเพลิงตามแผน PDP 2015 ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า โดยดำเนินการพัฒนาโรงไฟฟ้า
ตามแผน PDP 2015 (3) เร่งมาตรการประหยัดพลังงานของก๊าซธรรมชาติเพื่ออุตสาหกรรมตามแผน EEP 2015 และ (4) ส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) สำหรับรถยนต์ขนส่งสาธารณะและรถบรรทุก
3.2 รักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศให้ยาวนานขึ้น โดยกระตุ้นการสำรวจและพัฒนาแหล่งในประเทศและการใช้เทคโนโลยี โดย (1) เปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ เพื่อสำรวจหาปิโตรเลียมอย่างต่อเนื่อง (2) บริหารจัดการสัญญาสัมปทานที่จะสิ้นสุด เพื่อรักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยให้คงที่อย่างต่อเนื่อง และ (3) บริหารจัดการแหล่งก๊าซในอ่าวไทย ในระยะสั้นจะจัดทำแผนการลดปริมาณ Bypass Gas ที่โรงแยกก๊าซเพื่อช่วยยืดอายุแหล่งผลิตแหล่งในประเทศและใช้ประโยชน์ก๊าซจากอ่าวไทยให้ได้ประโยชน์สูงสุด และ (4) พิจารณาพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน
3.3 การหาแหล่งและการบริหารจัดการ LNG ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ (1) เพิ่มจำนวนผู้จัดหาและจำหน่ายเพื่อสร้างการแข่งขันภายในประเทศ (2) เสริมสร้างความร่วมมือในการจัดหาก๊าซธรรมชาติระดับ AEC ผ่านทาง ASCOPE รวมทั้งพิจารณาจัดตั้ง AEC LNG Buyer Club และ (3) จัดตั้งสำนัก LNG เพื่อสนับสนุน และดูแลความเสี่ยงการจัดหา รวมถึงการจัดสร้างฐานข้อมูล และเครื่องมือการวิเคราะห์ในระยะ 20 ปีข้างหน้า รวมทั้งแนวนโยบายส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในด้านการจัดหา LNG ส่งผลให้จำนวนผู้จัดหาและผู้จำหน่ายเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงต้องมีแนวทางกำกับด้านการจัดหาและบริหารจัดการ LNG ที่เหมาะสม
3.4 มีโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางด้านการแข่งขันทั้งทางกายภาพ (โครงข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติและท่าเรือรับ LNG) และกติกาที่สอดรับกับแผนจัดหา (Third Party Access, TPA) เพื่อให้สามารถจัดหาก๊าซธรรมชาติเพียงพอต่อความต้องการใช้ในอนาคต
ทั้งนี้ การดำเนินงานตามแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558 – 2579 Gas Plan 2015 จะมีโครงการ/กิจกรรม ที่คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายใน ปี 2559 – 2560 ดังนี้ (1) การคาดการณ์ความต้องการใช้ก๊าซปี 59 เพื่อติดตามการใช้ก๊าซให้เป็นไปตามแนวแนวทางการชะลอการเติบโตของความต้องการใช้ก๊าซ (2) การบริหารจัดการแปลงสัมปทานที่จะหมดอายุ ในปี 2565-2566 เพื่อให้การผลิตก๊าซธรรมชาติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง (3) การเปิดให้ยื่นขอสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ (4) การบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวให้มีประสิทธิภาพ ลดก๊าซจากอ่าวที่ไม่ผ่านโรงแยกฯ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (5) การศึกษาแนวทางการกำกับดูแลด้าน LNG เพื่อให้มีแนวทางการบริหารจัดการและกำกับดูแล LNG อย่างเหมาะสม และสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันในธุรกิจ LNG และ (6) LNG Terminal
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานความเคลื่อนไหวราคาเชื้อเพลิงชีวภาพ
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงวิธีการคำนวณและการกำหนดราคาเอทานอล โดยให้ใช้ราคาเอทานอลอ้างอิงจากการเปรียบเทียบราคาต่ำสุด ระหว่างราคาเอทานอลที่ผู้ผลิตรายงานต่อกรมสรรพสามิตกับราคาเอทานอลที่ผู้ค้ามาตรา 7 รายงานต่อ สนพ. โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการ ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
2.สถานการณ์ราคาเอทานอลปัจจุบัน มีรายละเอียดดังนี้ (1) ราคาเอทานอลรายงานจากกรมสรรพสามิต อยู่ที่ 22.94 บาทต่อลิตร (2) ข้อมูลราคาเอทานอลรายงานจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 อยู่ที่ 23.82 บาทต่อลิตร (3) ราคาเอทานอลอ้างอิงจากการนำเข้าจากประเทศบราซิล อยู่ที่ 22.35 บาทต่อลิตร (4) ราคาเอทานอล คำนวณจากต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 22.08 บาทต่อลิตร โดยพิจารณาราคากากน้ำตาล 3.95 บาทต่อกิโลกรัม และราคามันสดที่ 2.05 บาทต่อกิโลกรัม ราคาเอทานอลอ้างอิงในเดือนมีนาคม 2559 อยู่ที่ 22.94 บาทต่อลิตร
3.ราคาไบโอดีเซลที่ใช้ในสูตรการคำนวณจะใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก(เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 ราคาไบโอดีเซลปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาผลปาล์มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงปิดฤดูกาลโดยในเดือนมกราคม 2559 ผลปาล์มทะลายเฉลี่ยขึ้นไปถึง 5.40 บาทต่อกิโลกรัม และ CPOเฉลี่ยจากกรมการค้าภายในปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 29.63 บาทต่อกิโลกรัม จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ราคาไบโอดีเซลเริ่มจะลดลง เนื่องจากผลปาล์มเริ่มเปิดฤดูกาล โดยราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์ – 6 มีนาคม 2559 ลิตรละ 31.76 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนลิตรละ 1.20 บาท และสต๊อค CPO เดือน มกราคม 2559 มีปริมาณ 260,856 ตัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 กบง. ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... และได้มีมติมอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... และนำเสนอต่อที่ประชุม กบง. ในการประชุมวันที่ 7 มีนาคม 2559 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอ กพช. ต่อไป
2. สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ได้ดำเนินการปรับร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามมติที่ประชุม กบง. เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 ดังนี้ (1) วัตถุประสงค์ข้อ (1) (2) (3) (5) และ (6) ยังคงเหมือนเดิม แต่เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้นจึงได้เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ข้อ (4) ลงทุนการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ สำหรับสนับสนุนการป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำมาใช้ในกรณีวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อประโยชน์ความมั่นคงทางด้านพลังงาน (2) องค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปรับเปลี่ยน ประธานกรรมการจากปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยตัดผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เพิ่มปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และปรับลดจำนวนผู้ทรงคุณวุฒิจากจำนวน 5 คน เป็นจำนวน 4 คน และ (3) โอนอำนาจหน้าที่ของ กบง. ในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงมาอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตาม พ.ร.บ. นี้
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นำร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2559
สรุปสาระสำคัญ
1.กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนมีนาคม 2559 อยู่ที่ 302 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 5 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 35.7695 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.5566 บาท ต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.0480 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.7306 บาทต่อกิโลกรัม (377.9808 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 13.6826 บาทต่อกิโลกรัม (382.5221 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2.เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซ LPG ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2559 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,188 ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไว้ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับลดการชดเชยกองทุนน้ำมันฯลง 0.0480 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.4116 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายประมาณ 130 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.3636 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 5 แนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
สรุปสาระสำคัญ
1.เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 กพช. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบ Adder เป็น Feed-in Tariff (FiT) และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานรับไปดำเนินการตามแนวทาง ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออกประกาศว่าด้วยการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (ไม่รวมพลังงานแสงอาทิตย์) ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากแบบ Adder เป็น FiT พ.ศ. 2558 (ประกาศ กกพ.) และประกาศ กกพ. (เพิ่มเติม) เพื่อดำเนินการตามมติ กพช. ดังกล่าว
2.สมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลและเครือข่าย (สมาคมฯ) ได้ร้องเรียนต่อประธาน กพช. ถึงความไม่เป็นธรรมจากมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่มีมติให้ปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder เป็นรูปแบบ FiT ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กมาก (VSPP) กลุ่มที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว ในรูปแบบ Adder เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถเปลี่ยนเป็น FiT ได้ โดยสมาคมฯ มีข้อเสนอให้พิจารณาแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการ โดยการให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากที่ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลทุกรายที่ได้รับการสนับสนุนในรูปแบบ Adder มีสิทธิเปลี่ยนเป็นแบบ FiT และได้รับอัตรา FiT ตามตาราง (FiT+FiT Premium)
3.ต่อมา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ กบง. รับข้อเสนอของสมาคมฯ ไปศึกษาข้อเท็จจริง ตลอดจนชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อข้อร้องเรียนและข้อเสนอของสมาคมฯ ให้ได้มาซึ่งข้อยุติร่วมกัน และเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2558 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล (คณะอนุกรรมการฯ) เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนหรือข้อเสนอของสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลดังกล่าว
4.คณะอนุกรรมการฯ ได้ประชุมเพื่อจัดทำข้อสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยมีการประชุมรวม 6 ครั้ง ในระหว่างวันที่ 20 มกราคม 2559 – 23 กุมภาพันธ์ 2559 โดยมีข้อสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาฯ ดังนี้ (1) มติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 มีความเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการกลุ่มที่จะอยู่ในระบบ Adder ตามเดิม โดยพิจารณาตามหลักปฏิบัติตามสัญญา (2) การดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลปัจจุบันกำลังประสบปัญหาเรื่องต้นทุนการดำเนินการและค่าเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (3) แนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม ประกอบด้วย อาทิ 1) ให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) สามารถเลือกที่จะอยู่ในรูปแบบ Adder อย่างเดิมต่อไปได้ตามเงื่อนไขเดิม หรือ 2) สามารถเลือกที่จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบ FiT (FiT+FiT Premium) ได้ โดยมีเงื่อนไข เช่น ได้รับอัตรา FiT และ FiT Premium ตามที่ กพช. ได้มีมติไว้ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 และมีอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าคงเหลือในรูปแบบ FiT เท่ากับอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่กำหนดไว้ 20 ปี หักลดด้วยระยะเวลาที่ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ไปแล้วและหักลดระยะเวลาการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีก 3 ปี เป็นต้น
5.เพื่อให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวลในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ จึงเห็นควรมอบหมายให้ กกพ. ในฐานะผู้กำกับดูแลกิจการไฟฟ้า เป็นผู้จัดทำระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องรองรับการเปลี่ยนรูปแบบจาก Adder เป็น FiT ตามแนวทางของคณะอนุกรรมการฯ พร้อมทั้งให้กำหนดช่วงเวลาที่จะดำเนินการปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบ FiT ให้ชัดเจน หากพ้นกำหนดช่วงเวลาดังกล่าว สิทธิในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายไฟฟ้าเป็นอันสิ้นสุดไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้อีก รวมทั้งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการกับ VSPP ภายหลังสิ้นสุดอายุสัญญาว่า ในอนาคตการต่อหรือไม่ต่อสัญญา VSPP ภาครัฐควรพิจารณาในกรอบผลประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ โดยมีทางเลือกในการดำเนินการ ดังนี้ (1) ไม่ต่ออายุสัญญาและยุติการดำเนินโครงการ หรือ (2) ต่ออายุสัญญา โดยให้โครงการขายไฟฟ้าในอัตราที่ไม่มากกว่าอัตราดังต่อไปนี้
1) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลประเภท VSPP ในรูปแบบ FiT ณ ช่วงเวลาดังกล่าว2) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลประเภท VSPP ในรูปแบบ Adder ณ ช่วงเวลาดังกล่าว 3) อัตราค่าไฟฟ้าขายส่งเฉลี่ย ณ ช่วงเวลาดังกล่าว เพื่ิอประโยชน์สูงสุดของภาครัฐ
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำแนวทางในการพิจารณาจำนวน 3 แนวทาง ดังนี้ (1) ตามข้อสรุป
ของคณะอนุกรรมการฯ สามารถเลือกเปลี่ยนจาก Adder เป็น FiT(สัญญาลด 3 ปี) (2) ให้ยกเลิกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่เกี่ยวกับช่วงการเปลี่ยนผ่าน (กลุ่ม 2 เฉพาะเชื้อเพลิงชีวมวล) ให้เปลี่ยนกลับมาเป็นระบบ Adder ทั้งหมดและ (3) ให้รอผลคำตัดสินของศาล และดำเนินการ
ตามแนวทางคำตัดสิน และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป