มติกบง. (344)
กบง. ครั้งที่ 118 - วันศุกร์ที่ 20 กรกฏาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 21/2555 (ครั้งที่ 118)
วันศุกร์ที่ 20 กรกฏาคม 2555 เวลา 16.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายนที ทับมณี) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
1.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
1.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
2. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 102.79, 119.08 และ 121.48 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 17 กรกฎาคม 2555) 1.94, 3.51 และ 3.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงตามไปด้วยโดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 20 กรกฎาคม 2555 ดังนี้
3. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,193 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 21,532 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 12,711 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 171 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 8,650 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 16,339 ล้านบาท
4. จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดีเซลตลาดโลก ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้กระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 22 ล้านบาท จากวันละ 115 ล้านบาท เป็นวันละ 93 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
(หน่วย : บาทต่อลิตร)
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 2.90 | 2.60 | -0.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 1.30 | 1.00 | -0.30 |
น้ำมันดีเซล | 1.00 | 0.60 | -0.40 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2555 เป็นต้นไป
ปลัดกระทรวงคมนาคม (นายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ) ได้มีความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราค่าโดยสารรถขนส่งสาธารณะ โดยเมื่อมีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล จะมีการปรับเพิ่มอัตราค่าบริการของรถโดยสารนอกระบบ ซึ่งกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างดำเนินการกำกับดูแลในส่วนนี้ ทั้งนี้ การที่รัฐบาลมีนโยบายรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลให้มีเสถียรภาพและราคาไม่สูงเกินไปจะส่งผลดีต่อประชาชน ซึ่งประธานฯ ได้ชี้แจงว่า ที่ผ่านมา กบง. ได้กำกับดูแลเกี่ยวกับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเป็นกรณีพิเศษ โดยในช่วงก่อนหน้านี้ที่ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในระดับสูง และกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะกองทุนติดลบ รวมทั้งมีการจ่ายเงินเพื่อชดเชยราคาน้ำมันและราคาก๊าซ LPG ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้น แต่ในปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะกองทุนดีขึ้นและมีรายรับจากการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้สามารถใช้กลไกของกองทุนน้ำมันฯ กำกับดูแลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน
กบง. ครั้งที่ 117 - วันพุธที่ 18 กรกฏาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 20/2555 (ครั้งที่ 117)
วันพุธที่ 18 กรกฏาคม 2555 เวลา 16.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปลัดกระทรวงพลังงาน กรรมการ (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
1.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
1.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
2. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 17 กรกฎาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 100.85, 115.57 และ 118.28 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 11 กรกฎาคม 2555) 4.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.00 และ 3.44 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงและราคาไบโอดีเซลที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงตามไปด้วย โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 18 กรกฎาคม 2555 ดังนี้
3. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,193 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 21,532 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 12,711 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 171 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 8,650 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 16,339 ล้านบาท
4. จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดีเซลตลาดโลก ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงและราคาไบโอดีเซลที่ปรับเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง ดังนั้น เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้กระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสาร และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 0.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงอยู่ที่ 29.83 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 28 ล้านบาท จากวันละ 148 ล้านบาท เป็นวันละ 120 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
(หน่วย : บาทต่อลิตร)
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 3.30 | 2.90 | -0.40 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 1.70 | 1.30 | -0.40 |
น้ำมันดีเซล | 1.50 | 1.00 | -0.50 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2555 เป็นต้นไป
รองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายคุรุจิต นาครทรรพ) ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า ตามที่กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 15,000 คัน ในวงเงินประมาณ 248 ล้านบาท ปัจจุบันได้มีรถแท็กซี่เข้าร่วมโครงการประมาณ 4,800 คัน ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 120 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นค่าอุปกรณ์ 79 ล้านบาท ค่าติดตั้ง 24 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการทำลายชุดอุปกรณ์ และถังก๊าซ LPG 12 ล้านบาท โดยประมาณ ซึ่งขณะนี้ได้มีการสั่งซื้อเพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบแล้วจำนวนประมาณ 3,000 ชุด ส่งมอบแล้วประมาณ 2,000 ชุด โดยมี รถแท็กซี่เข้ารับการติดตั้งแล้วประมาณ 1,100 คัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 116 - วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฏาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 19/2555 (ครั้งที่ 116)
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฏาคม 2555 เวลา 16.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. สถานการณ์การจัดหาน้ำมันเบนซินพื้นฐาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
1.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
1.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
2. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 11 กรกฎาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 96.45, 109.57 และ 114.84 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 5 กรกฎาคม 2555) 1.59 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.93 และ 0.34 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงและราคาไบโอดีเซลที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงตามไปด้วย โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2555 ดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2555
3. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 7,526 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 25,530 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 15,709 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 171 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 8,650 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 17,004 ล้านบาท
4. จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดีเซลตลาดโลก ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงและราคาไบโอดีเซลที่ปรับเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง โดยค่าการตลาดเฉลี่ยน้ำมันดีเซล 5 วัน (8 - 12 กรกฎาคม 2555) อยู่ที่ 1.1816 บาทต่อลิตร ดังนั้น เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้กระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสาร และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 0.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงอยู่ที่ 29.83 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 29 ล้านบาท จากวันละ 177 ล้านบาท เป็นวันละ 148 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร จาก 2.00 บาทต่อลิตร เป็น 1.50 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 สถานการณ์การจัดหาน้ำมันเบนซินพื้นฐาน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงกลั่นบางจาก ส่งผลให้หน่วยกลั่นที่ 3 กำลังการผลิต 80,000 บาร์เรลต่อวัน ต้องหยุดการผลิตประมาณ 3 เดือน จนถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2555 และหน่วยกลั่นที่ 2 กำลังการผลิต 40,000 บาร์เรลต่อวัน ต้องหยุดผลิตถึงช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2555 และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) จะหยุดซ่อมหน่วย FCC (หน่วยผลิตน้ำมันองค์ประกอบที่ใช้ผลิตเบนซินพื้นฐาน) ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม - วันที่ 7 กันยายน 2555 และหยุดซ่อมหน่วย CDU-1 HDT-1 และ HVU-1 ตั้งแต่วันที่ 5 - 29 สิงหาคม 2555 รวมทั้ง บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หยุดซ่อมหน่วย DCC (หน่วยผลิตเบนซิน) ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน ถึงวันที่ 9 ตุลาคม 2555 ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการผลิตเบนซินพื้นฐานไม่เพียงพอตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - กันยายน 2555
หมายเหตุ : น้ำมันเบนซิน 91 ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นน้ำมันที่ไม่ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันที่จำหน่ายในประเทศ จึงต้องส่งออก
2. เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2555 ธพ. ได้เชิญประชุมผู้ผลิตและผู้จำหน่ายน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล โดยสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาได้ดังนี้ (1) ให้ผู้ค้าน้ำมันนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐาน (ปตท. บางจาก เชลล์) (2) ให้โรงกลั่นน้ำมันผลิตเพิ่ม (SPRC) (3) ผ่อนผันคุณภาพน้ำมันบางตัวที่ไม่มีผลกระทบต่อเครื่องยนต์เป็นการชั่วคราว และ (4) ผ่อนผันการสำรองน้ำมันให้ผู้ค้าน้ำมันตามความจำเป็น โดยสรุปแนวทางการแก้ปัญหาได้ดังนี้
3. เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและรับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 โดยเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปแก้ไขปัญหาการผลิตและการนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐาน (G-Base) และนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาต่อไป
4. จากปัญหาเพลิงไหม้โรงกลั่นบางจาก ในเบื้องต้นคาดว่าโรงกลั่นบางจากจะต้องหยุดผลิตประมาณ 3 เดือน ประกอบกับโรงกลั่นไทยออยล์ต้องหยุดซ่อมบำรุงตามแผน ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการจัดหาน้ำมันเบนซินพื้นฐาน ทำให้ต้องนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐาน และนำน้ำมันสำรองตามกฎหมายที่มีอยู่ออกมาจำหน่ายจนกว่าโรงกลั่นทุกโรงจะกลับมาผลิตได้ตามปกติ และหลังจากนั้น จะต้องใช้ระยะเวลาในการจัดหาน้ำมันมาเก็บสำรองตามกฎหมายให้ครบถ้วนตามเดิมอีกระยะหนึ่ง ดังนั้น จึงเห็นควรเลื่อนกำหนดเวลายกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 ออกไปอีกระยะหนึ่งประมาณ 3 เดือนหลังจากที่โรงกลั่นบางจากกลับมาผลิตตามปกติ
มติของที่ประชุม
1. รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดหาและการผลิตน้ำมันเบนซินพื้นฐาน
2. เห็นชอบในหลักการให้เลื่อนกำหนดการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 ออกไปอีกระยะหนึ่งในเบื้องต้นประมาณ 3 เดือน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนน้ำมันเบนซินพื้นฐานและใช้กลไกราคาในการปรับความต้องการน้ำมันกลุ่มเบนซินแต่ละเกรดให้สมดุลกับความสามารถในการผลิตของโรงกลั่นในประเทศ และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
กบง. ครั้งที่ 115 - วันศุกร์ที่ 6 กรกฏาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 18/2555 (ครั้งที่ 115)
วันศุกร์ที่ 6 กรกฏาคม 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
1.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
1.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
ทั้งนี้ การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าวให้คำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ภาวะเงินเฟ้อของประเทศ การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. กบง. ได้มีมติปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปแล้ว 7 ครั้ง ดังนี้
ชนิดน้ำมัน/วันที่ประชุม | เดิม | 24 พ.ค.55 | 1 มิ.ย.55 | 5 มิ.ย.55 | 13 มิ.ย.55 | 21 มิ.ย.55 | 22 มิ.ย.55 | 4 ก.ค.55 |
น้ำมันเบนซิน 95 | 4.00 | 4.50 | 5.00 | 5.90 | 6.40 | 6.70 | 7.10 | 7.10 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 4.00 | 4.50 | 5.00 | 5.90 | 6.40 | 6.70 | 7.10 | 7.10 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 2.20 | 2.20 | 2.20 | 2.50 | 3.00 | 3.30 | 3.30 | 3.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 0.60 | 0.60 | 0.60 | 0.90 | 1.40 | 1.70 | 1.70 | 1.70 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.80 | -0.80 | -0.80 | -0.50 | -0.50 | -0.20 | -0.20 | -0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -12.60 | -12.60 | -12.60 | -12.30 | -12.30 | -12.00 | -12.00 | -12.00 |
น้ำมันดีเซล | 0.60 | 0.90 | 1.20 | 2.10 | 2.10 | 2.40 | 2.80 | 2.30 |
มีผลบังคับใช้ | 25 พ.ค.55 | 2 มิ.ย.55 | 6 มิ.ย.55 | 14 มิ.ย.55 | 22 มิ.ย.55 | 23 มิ.ย.55 | 5 ก.ค.55 |
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 98.19, 108.64 และ 114.50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ปรับเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 3 กรกฎาคม 2555) เท่ากับ 2.83, 3.33 และ 2.49 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงตาม ซึ่งผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2555 โดยมีราคาขายปลีกน้ำมันและค่าการตลาด ตามโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 6 กรกฎาคม 2555 ดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 7,457 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 25,418 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 15,247 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 171 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 10,000 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 17,961 ล้านบาท
5. เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้กระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสาร ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 0.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงอยู่ที่ 29.83 บาทต่อลิตร และกองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 17 ล้านบาท จากวันละ 192 ล้านบาท เป็นวันละ 175 ล้านบาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2555 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร จาก 2.30 บาทต่อลิตร เป็น 2.00 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2555 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 114 - วันพุธที่ 4 กรกฏาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 17/2555 (ครั้งที่ 114)
วันพุธที่ 4 กรกฏาคม 2555 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รายงานสถานการณ์เพลิงไหม้โรงกลั่นน้ำมันบางจาก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
1.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
1.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
ทั้งนี้ การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าวให้คำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ภาวะเงินเฟ้อของประเทศ การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. กบง. ได้มีมติปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปแล้ว 6 ครั้ง ดังนี้
ชนิดน้ำมัน/วันที่ประชุม | เดิม | 24 พ.ค. 55 | 1 มิ.ย. 55 | 5 มิ.ย. 55 | 13 มิ.ย. 55 | 21 มิ.ย. 55 | 22 มิ.ย. 55 |
น้ำมันเบนซิน 95 | 4.00 | 4.50 | 5.00 | 5.90 | 6.40 | 6.70 | 7.10 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 4.00 | 4.50 | 5.00 | 5.90 | 6.40 | 6.70 | 7.10 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 2.20 | 2.20 | 2.20 | 2.50 | 3.00 | 3.30 | 3.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 0.60 | 0.60 | 0.60 | 0.90 | 1.40 | 1.70 | 1.70 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.80 | -0.80 | -0.80 | -0.50 | -0.50 | -0.20 | -0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -12.60 | -12.60 | -12.60 | -12.30 | -12.30 | -12.00 | -12.00 |
น้ำมันดีเซล | 0.60 | 0.90 | 1.20 | 2.10 | 2.10 | 2.40 | 2.80 |
มีผลบังคับใช้ | 25 พ.ค. 55 | 2 มิ.ย. 55 | 6 มิ.ย. 55 | 14 มิ.ย. 55 | 22 มิ.ย. 55 | 23 มิ.ย. 55 |
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 95.21, 105.31 และ 112.01 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ปรับเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 21 มิถุนายน 2555) ที่ระดับ 4.54, 8.12 และ 4.94 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงตาม ซึ่งผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซล ขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2555 โดยมีราคาขายปลีกน้ำมันและค่าการตลาด ตามโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2555 ดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2555
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 7,457 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 25,418 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 15,247 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 171 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 10,000 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 17,961 ล้านบาท
5. เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้กระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสาร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 0.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงอยู่ที่ 29.83 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 29 ล้านบาท จากวันละ 221 ล้านบาท เป็นวันละ 192 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล 0.50 บาทต่อลิตร จาก 2.80 บาทต่อลิตร เป็น 2.30 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 รายงานสถานการณ์เพลิงไหม้โรงกลั่นน้ำมันบางจาก
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 เวลาประมาณ 7.00 น. ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่หน่วยกลั่นที่ 3 ของโรงกลั่นน้ำมันบางจาก กำลังการผลิต 80,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ของโรงกลั่นสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้สั่งหยุดการผลิตของหน่วยกลั่นดังกล่าวเป็นเวลา 1 เดือน
2. จากกำลังการผลิตน้ำมันของโรงกลั่นในประเทศรวมทั้งสิ้น 1,100,000 บาร์เรลต่อวัน โรงกลั่นบางจากมีกำลังการผลิต 120,000 บาร์เรลต่อวัน ผลิตจริง 99,191 บาร์เรลต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 9.8 ของการผลิตทั้งหมดของประเทศ การที่โรงกลั่นบางจากต้องหยุดผลิต ทำให้กำลังการผลิตของประเทศหายไป 99,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ทั้งสำรองตามกฎหมายและสำรองเพื่อการค้าของผู้ค้าน้ำมัน ได้แก่ น้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา และก๊าซ LPG สามารถใช้ได้ 22, 18, 42 และ 8 วัน ตามลำดับ และกรณีโรงกลั่นบางจากหน่วยที่ 3 หยุดการผลิต 1 เดือน กำลังการผลิตจะหายไป 80,000 บาร์เรลต่อวัน ยังคงเหลือกลั่นได้ประมาณ 40,000 บาร์เรลต่อวัน
ปริมาณน้ำมันที่ขาดไป 1 เดือน (ล้านลิตร) | Stock (ล้านลิตร) | ||
ชนิดน้ำมัน | ปริมาณ | บางจาก | ประเทศ |
เบนซิน | 27.0 | 11.2 | 161.0 |
แก๊สโซฮอล์ | 61.0 | 35.1 | 297.0 |
ดีเซล | 248.0 | 74.0 | 1061.0 |
Jet | 51.0 | 36.2 | 437.0 |
เตา | 71.0 | 56.0 | 300.0 |
LPG (ตัน) | 4,200.0 | 3,600.0 | 119,000.0 |
3. แนวทางการแก้ไขมีดังนี้ (1) บางจากจะนำสต๊อกน้ำมันที่มีอยู่มาใช้ โดยน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา จะสามารถใช้ได้ 16, 9 และ 24 วัน ตามลำดับ (2) ขอความร่วมมือโรงกลั่นอื่น เช่น ไทยออยล์ และ IRPC ให้เพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งในเบื้องต้นสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ประมาณ 35,000 บาร์เรลต่อวัน และ (3) ผู้ค้าน้ำมันรายอื่นที่รับน้ำมันจากโรงกลั่นบางจาก ได้แก่ ปตท. เชฟรอน และสยามเฆมี สามารถขอผ่อนผัน นำน้ำมันสำรองที่มีอยู่มาใช้ได้ ซึ่งจากแนวทางดำเนินงานดังกล่าว สามารถรองรับความต้องการใช้น้ำมันในช่วงที่หน่วยกลั่นที่ 3 ของโรงกลั่นบางจากต้องหยุดการผลิตประมาณ 1 เดือน โดยไม่กระทบกับการจัดหาและความต้องการใช้น้ำมันของประเทศ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 113 - วันจันทร์ที่ 2 กรกฏาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 16/2555 (ครั้งที่ 113)
วันจันทร์ที่ 2 กรกฏาคม 2555 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แนวทางและแผนงานการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ
2. การชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง
3. การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แนวทางและแผนงานการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 โดยรับทราบเหตุผล ความจำเป็นและแนวทางการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศในเบื้องต้น และเห็นชอบในหลักการให้มีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการศึกษาในรายละเอียดเพื่อจัดตั้งการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศต่อไป
2. กระทรวงพลังงาน กำหนดแนวทางการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
(1) ภาคเอกชน ตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มาตรา 20 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ทุกขณะโดยต้องสำรองไม่เกินร้อยละ 30 ของปริมาณการค้าประจำปี ซึ่งปัจจุบัน มีอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของภาคเอกชนอยู่ที่ร้อยละ 5 โดยได้พิจารณาให้เพิ่มอัตราสำรองตามกฎหมายเป็นร้อยละ 6 จะทำให้ประเทศไทยมีน้ำมันสำรองตามกฎหมายจากเดิม 36 วันของความต้องการใช้ในประเทศ หรือประมาณ 23.3 ล้านบาร์เรล เป็น 43 วันของความต้องการใช้ในประเทศ หรือประมาณ 28 ล้านบาร์เรล และ
(2) ภาครัฐ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยไม่มีการสำรองน้ำมันอื่นนอกเหนือไปจากการสำรองของภาคเอกชน แต่จากภาวะความผันผวนของราคาน้ำมันตลาดโลก จึงจำเป็นต้องมีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น ควรเพิ่มเติมการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงภาครัฐโดยจัดตั้งองค์กรเพื่อกำกับดูแล และบริหารจัดการน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ รวมทั้งจัดหาแหล่งเงินทุน
3. การพิจารณาเพิ่มอัตราสำรองตามกฎหมายจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6 ส่งผลให้ภาคเอกชนจำเป็นต้องก่อสร้าง หรือจัดหาสถานที่สำหรับเก็บสำรองตามอัตราใหม่ และเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อผู้ที่มีหน้าที่เก็บสำรองน้ำมันจนกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน จึงเห็นควรให้ภาคเอกชนมีเวลาในการเตรียมความพร้อม โดยให้ออกประกาศการเพิ่มอัตราสำรองตามกฎหมายภายในเดือนกรกฎาคม 2555 และให้มีผลบังคับใช้ใน 2 ปี หรืออย่างช้าภายในเดือนกรกฎาคม 2557 รวมถึงควรชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของโรงกลั่นน้ำมันจากการเก็บสำรองเพิ่มขึ้น โดยปรับราคาหน้าโรงกลั่น เพื่อมิให้เป็นภาระของผู้ค้าน้ำมันมากเกินไป และในส่วนของภาครัฐให้พิจารณารูปแบบองค์กรและการบริหารจัดการที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย และนำเสนอต่อ กพช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ภายในเดือนกันยายน 2555 และยกร่างกฎหมายจัดตั้งสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงภาครัฐและนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2555
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายของภาคเอกชนจากเดิมร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6 และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศกรมธุรกิจพลังงานเพื่อปรับเพิ่มอัตราสำรอง โดยให้มีผลบังคับใช้ภายใน 90 วัน และกรณีมีผู้ค้าน้ำมันที่ไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกำหนด ให้ขอผ่อนผันเป็นรายไป
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปพิจารณากำหนดราคาหน้าโรงกลั่น ให้เหมาะสม เพื่อชดเชยภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราสำรอง
3. เห็นชอบ แผนงานการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เรื่องที่ 2 การชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง
สรุปสาระสำคัญ
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 มีมติเห็นชอบแนวทางการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง โดย (1) การชดเชยราคาแก๊สโซฮอลที่สูงขึ้นจากการใช้เอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังในโครงการมาผสม เมื่อเทียบกับเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลให้แก่ผู้ค้ามาตรา 7 ที่เข้าร่วมโครงการ โดยคำนวณจากปริมาณเอทานอลที่ขอชดเชยแล้วจะไม่เกินกว่าปริมาณเอทานอลที่รับซื้อจากผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังที่ซื้อจากคลังกลาง (อคส.) (ปตท. ไม่เกิน 16.2 ล้านลิตร บางจาก ไม่เกิน 7.4 ล้านลิตร และไทยออยล์ไม่เกิน 0.8 ล้านลิตร) (2) อัตราการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล โดยใช้ราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอล จากคลังกลางเฉลี่ยในเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2555 เท่ากับ 7.3165 บาทต่อกิโลกรัม และ (3) อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง ในวงเงิน 180 ล้านบาท
2. เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติในหลักการให้ระบายมันเส้นจากสต๊อคของรัฐบาลที่จำนำไว้ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2554/55 เพื่อนำไปผลิตเอทานอลจำนวนประมาณ 65,000 ตัน ในราคาตันละ 7,947.90 บาท ซึ่งเป็นราคาตามที่คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังได้มีมติเห็นชอบไว้ ในส่วนการชดเชยต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้พิจารณาดำเนินการตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติม ซึ่งกระทรวงพลังงานคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายสำหรับเป็นค่าชดเชยส่วนต่างราคาเอทานอล ในวงเงินประมาณ 180 ล้านบาท ส่วนการชดเชยต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เป็นส่วนต่างของราคา (7,947.90-7,316.50) คาดว่าจะต้องใช้เงินชดเชยเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงพลังงานจะพิจารณาใช้เงินชดเชยส่วนต่างดังกล่าวจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้กระทรวงพาณิชย์หารือในรายละเอียดกับกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วดำเนินการต่อไปได้ แล้วให้รายงานผลการดำเนินการให้ คณะรัฐมนตรี ทราบต่อไป
3. กบง. เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2555 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง ในวงเงินเดิม 180 ล้านบาท ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 ซึ่งใช้ราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอลซื้อจากคลังกลางในราคา 7,316.50 บาทต่อตัน ซึ่งต่อมา กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้มีหนังสือแจ้งให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ทราบถึงมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังในการประชุมครั้งที่ 8/2555 วันที่ 22 มิถุนายน 2555 เห็นชอบการจำหน่ายมันเส้นให้โครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง โดยใช้มันเส้นตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2554/2555 ในราคาตันละ 7,947.90 บาท เพื่อใช้ผลิตเอทานอลตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2555
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ตรวจสอบระเบียบการใช้เงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานแล้ว พบว่า มีประเด็นข้อกฎหมายในการที่นำเงินกองทุนไปชดเชยราคามันสำปะหลังที่ใช้ในโครงการผลิตเอทานอล อาจผิดวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินของกองทุนอนุรักษ์พลังงานฯ จึงต้องพิจารณาขอรับสนับสนุนเงินกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นจากเดิมในวงเงิน 180 ล้านบาท เป็นวงเงิน 222 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นจากเดิมในวงเงิน 180 ล้านบาท เป็นในวงเงิน 222 ล้านบาท (สองร้อยยี่สิบสองล้านบาทถ้วน) โดยใช้ราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอลซื้อจากคลังกลางเฉลี่ยเท่ากับ 7.9479 บาทต่อกิโลกรัม
2. กำหนดระยะเวลาการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังเป็นเวลา 5 เดือน นับตั้งแต่วันที่มีการซื้อขายมันเส้นจากคลังกลางขององค์การคลังสินค้า (อคส.)
เรื่องที่ 3 การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ได้เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ยกเลิกมติ กพช. เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 ที่เห็นชอบให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีกไตรมาสละ 1 ครั้ง จำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2555 เห็นชอบมอบหมายให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ให้ราคาไม่เกินต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในแต่ละเดือนได้ตามความเหมาะสม ภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมายที่ว่า การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมให้พิจารณาจากต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะกรรมการบริการนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เห็นชอบในส่วนแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ดังนี้ (1) ถ้าราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเกิน 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมไว้ที่ 30.13 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) ถ้าราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกปรับตัวลดลง ทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน ต่ำกว่า 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมเป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่น
3. เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามมติ กบง. ดังกล่าว สนพ. ได้ออกประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้โรงงานอุตสาหกรรม จำนวน 2 ฉบับ ดังนี้ (1) ฉบับที่ 86 เดือนมิถุนายน 2555 ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) อยู่ที่ 714 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่งผลให้ต้นทุนก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นอยู่ที่ 27.89 บาทต่อกิโลกรัม สนพ. จึงออกประกาศกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึง 30 มิถุนายน 2555 ในอัตรา 9.12 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) ฉบับที่ 90 เดือนกรกฎาคม 2555 ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) อยู่ที่ 593 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่งผลให้ต้นทุนก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นอยู่ที่ 24.86 บาทต่อกิโลกรัม สนพ. จึงออกประกาศกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 กรกฎาคม 2555 ในอัตรา 6.29 บาทต่อกิโลกรัม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 112 - วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 15/2555 (ครั้งที่ 112)
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
1.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
1.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
ทั้งนี้ การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าวให้คำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ภาวะเงินเฟ้อของประเทศ การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2.ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2555 น้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ 90.67 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 97.19 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 107.07 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับลดลงจากวันก่อน 3.62, 4.66 และ 3.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศลดลงตามไปด้วยทำให้ค่าการตลาดน้ำมันอยู่ในระดับสูง โดย ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2555 ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ณ อยู่ที่ 1.8474, 5.5323 และ 2.3352 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,804 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 26,037 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 15,866 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 171 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 10,000 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 20,233 ล้านบาท
4. จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95, 91 และน้ำมันดีเซล 0.40 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ลดลง 0.40 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 26 ล้านบาท จากวันละ 175 ล้านบาท เป็นวันละ 201 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 6.70 | 7.10 | +0.40 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.70 | 7.10 | +0.40 |
น้ำมันดีเซล | 2.40 | 2.80 | +0.40 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2555 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 111 - วันพฤหัสที่ 21 มิถุนายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 14/2555 (ครั้งที่ 111)
เมื่อวันพฤหัสที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 ซึ่งได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 3/2555 (ครั้งที่ 142) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ จึงขอให้หน่วยงานต่างๆ เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ เตรียมการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศฉบับใหม่ หรือ PDP 2012 โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
1.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
1.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
ทั้งนี้ การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าวให้คำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ภาวะเงินเฟ้อของประเทศ การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2555 น้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ 94.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 101.85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 110.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับลดจากการประชุมครั้งก่อนหน้า (เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2555) ลงอีก 1.80, 3.95 และ 0.56 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศลดลง ทำให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับสูง โดย ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2555 ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 1.9492, 5.6155 และ 2.4160 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,804 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 26,037 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 15,866 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 171 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 10,000 ล้านบาท ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 20,233 ล้านบาท
4. จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95, 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล 0.30 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 95, 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ลดลง 0.30 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 23 ล้านบาท จากวันละ 152 ล้านบาท เป็นวันละ 175 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 6.40 | 6.70 | +0.30 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.40 | 6.70 | +0.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 3.00 | 3.30 | +0.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 1.40 | 1.70 | +0.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.50 | -0.20 | +0.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -12.30 | -12.00 | +0.30 |
น้ำมันดีเซล | 2.10 | 2.40 | +0.30 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2555 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 110 - วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 13/2555 (ครั้งที่ 110)
เมื่อวันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
(1) น้ำมันดีเซล
การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม
การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
(2) น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล
การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
ทั้งนี้ การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าวให้คำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกและภาวะเงินเฟ้อของประเทศ การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2555 น้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ 95.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 105.55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 110.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับลดลงจากวันก่อน 3.21, 4.44 และ 2.95 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศลดลงตามไปด้วยทำให้ค่าการตลาดน้ำมันอยู่ในระดับสูง โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันเบนซิน 91 ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2555 อยู่ที่ 1.5484 บาทต่อลิตร, 5.6104 บาทต่อลิตร และ 2.4147 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 6,161ล้านบาท หนี้สินกองทุน 27,225 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 16,893 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 332 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 10,000 ล้านบาท ดังนั้นกองทุนน้ำมันมีฐานะสุทธิติดลบ 21,064 ล้านบาท
3. จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ดังนั้น เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ ให้ดีขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95, 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล ลดลง 0.50 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 10 ล้านบาท จากวันละ 143 ล้านบาท เป็นวันละ 153 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 5.90 | 6.40 | +0.50 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 5.90 | 6.40 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 2.50 | 3.00 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 0.90 | 1.40 | +0.50 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2555 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 109 - วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 12/2555 (ครั้งที่ 109)
เมื่อวันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโย(นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ)บายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 มีมติเห็นชอบแนวทางการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง โดย (1) การชดเชยราคาแก๊สโซฮอลที่สูงขึ้นจากการใช้เอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังในโครงการมาผสม เมื่อเทียบกับเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลในแต่ละเดือน ให้แก่ผู้ค้ามาตรา 7 ที่เข้าร่วมโครงการ โดยคำนวณจากปริมาณเอทานอลที่ขอชดเชยแล้ว จะไม่เกินกว่าปริมาณเอทานอลที่รับซื้อจากผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังที่ซื้อจากคลังกลาง (อคส.) (ปตท. ไม่เกิน 16.2 ล้านลิตร บางจาก ไม่เกิน 7.4 ล้านลิตร และไทยออยล์ไม่เกิน 0.8 ล้านลิตร) (2) อัตราการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล โดยใช้ราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอลซื้อจากคลังกลางเฉลี่ยในเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2555 เท่ากับ 7.3165 บาทต่อกิโลกรัม และ (3) อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง ในวงเงิน 180 ล้านบาท
2. เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้ระบายมันเส้นจากสต๊อคของรัฐบาลที่จำนำไว้ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2554/55 เพื่อนำไปผลิตเอทานอลจำนวนประมาณ 65,000 ตัน ในราคาตันละ 7,947.90 บาท ซึ่งเป็นราคาตามที่คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังได้มีมติเห็นชอบไว้ ในส่วนการชดเชยต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้พิจารณาดำเนินการตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติม โดยให้กระทรวงพาณิชย์หารือในรายละเอียดกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วดำเนินการต่อไปได้ แล้วให้รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
3. คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังในการประชุมครั้งที่ 6/2555 เห็นชอบให้จำหน่ายมันเส้นแก่ผู้ผลิตเอทานอลที่ราคา 7,947.90 ต่อตัน หรือ 7.9479 บาทต่อกิโลกรัม ประกอบด้วย (1) ราคาหัวมันสด 6.8365 บาทต่อกิโลกรัม (2) ค่าแปลงสภาพหัวมันสดเป็นมันเส้น 0.3800 บาทต่อกิโลกรัม (3) ค่าขนมันเส้นจากลานมันมาส่งมอบ อคส. 0.2465 บาทต่อกิโลกรัม (4) ค่าเก็บรักษามันเส้นและค่าบริการจัดการของ อคส. 0.3115 บาทต่อกิโลกรัม และ (5) ค่าใช้จ่ายด้านการเงินของธนาคาร ธกส. 0.1734 บาทต่อกิโลกรัม
4. จากมติ กบง. เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบแนวทางการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมอทานอลจากมันสำปะหลัง โดยใช้ราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอลซื้อจากคลังกลางเฉลี่ยเท่ากับ 7.3165 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่ยังไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษามันเส้นและค่าบริหารจัดการ (อคส.) ต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านการเงิน (ธกส.) และมีการปรับต้นทุนค่าขนส่งมันเส้นจากลานมันมาส่งมอบที่คลังสินค้ากลาง ทำให้มีต้นทุนมันเส้นเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.631 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 7.9479 บาทต่อกิโลกรัม และคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบที่จะจำหน่ายมันเส้นให้แก่ผู้ผลิตเอทานอลในราคา 7.9479 บาทต่อกิโลกรัม เป็นราคาต้นทุนที่คำนวณจากราคาหัวมันสด ค่าแปลงสภาพหัวมันสดเป็นมันเส้น ค่าขนส่งมันเส้นจากลานมันมาส่งมอบที่คลังสินค้ากลาง และรวมค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษามันเส้น และค่าบริหารจัดการองค์การคลังสินค้า (อคส.) ตลอดจนต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เป็นส่วนต่างดังกล่าว โดยขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากผลิตจากมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นจากเดิมในวงเงิน 180 ล้านบาท เป็น ในวงเงิน 222 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง ในวงเงินชดเชย 180 ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 ซึ่งใช้ราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอลซื้อจากคลังกลางในราคา 7,316.50 บาทต่อตัน