มติกบง. (344)
กบง. ครั้งที่ 8 - วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2557 (ครั้งที่ 8)
วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 14.30 น.
รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และน้ำมันดีเซลลง 2.10 0.60 0.20 และ 0.55 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ E85 ขึ้น 0.30 และ 1.52 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2557 อยู่ที่ 2.2284 1.3097 1.3458 1.4577 4.0406 และ 1.4536 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 11 กันยายน 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 5.40 1.91 และ 5.35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 95.80 110.39 และ 111.39 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 11 กันยายน 2557 อยู่ที่ 32.2871 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.2361 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 11 กันยายน 2557 อยู่ที่ 27.43 บาทต่อลิตร ลดลง 1.64 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 27 สิงหาคม 2557 ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 12 กันยายน 2557 อยู่ที่ 2.2844 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับ สูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม
ดังนั้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.70 บาทต่อลิตร ซึ่งผลจากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.5844 บาทต่อลิตร ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 37.52 ล้านบาท หรือ 1,125 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายรับ 1,716 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 2,841 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 กันยายน 2557 มีทรัพย์สินรวม 9,440 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 15,422 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 5,982 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ห็นชอบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 7 - วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2557 (ครั้งที่ 7)
วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.00 น.
รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
1. จากมาตรการเร่งด่วนในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันและก๊าซ ภายใต้นโยบายของหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในกรอบเป้าหมาย 3 ประเด็น ได้แก่ การจัดเก็บภาษี การจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ และการปรับค่าการตลาด ในการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 ได้มีมติให้ปรับโครงสร้างราคาน้ำมันดังนี้ (1) ปรับลดภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมัน แก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และ E85 จาก 7.00 6.30 6.30 5.60 และ 1.05 บาทต่อลิตร เหลือ 5.60 5.04 5.04 4.48 และ 0.84 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลขึ้นจาก 0.005 บาทต่อลิตร เป็น 0.75 บาทต่อลิตร (2) ปรับลดภาษีเทศบาลของน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และ E85 จาก 0.70 0.63 0.63 0.56 และ 0.105 บาทต่อลิตร เหลือ 0.56 0.504 0.504 0.448 และ 0.084 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และปรับเพิ่มภาษีเทศบาลของน้ำมันดีเซลขึ้นจาก 0.0005 บาทต่อลิตร เป็น 0.075 บาทต่อลิตร (3) ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และน้ำมันดีเซลจาก 11.85 4.85 2.75 และ 1.55 บาทต่อลิตร เป็น 9.75 4.25 2.55 และ 1.00 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จาก 0.50 บาทต่อลิตร เป็น 0.80 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 จากชดเชย 9.75 บาทต่อลิตร เหลือ 8.23 บาทต่อลิตร
ซึ่งจากมติ คสช. ดังกล่าวส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และ E20 ปรับตัวลดลง 3.89 2.13 1.70 และ 1.00 บาทต่อลิตร จาก 48.75 39.93 37.48 และ 34.98 บาทต่อลิตร เหลือ 44.86 37.80 35.78 และ 33.98 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ในระดับคงเดิมที่ 24.28 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้น 0.14 บาทต่อลิตร จาก 29.85 บาทต่อลิตร เป็น 29.99 บาทต่อลิตร และยังทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 และน้ำมันดีเซลลดลงจาก 5.3911 และ 1.7015 บาทต่อลิตร เหลือ 4.10 และ 1.560 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยค่าการตลาดของน้ำมันชนิดอื่นไม่เปลี่ยนแปลง
2. จากการปรับภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ (1) ราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลปรับตัวลดลง (2) กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลง 1,109 ล้านบาทต่อเดือน จาก 3,557 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 2,448 ล้านบาทต่อเดือน (3) รายได้จากภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 437 ล้านบาทต่อเดือน จาก 4,203 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 4,640 ล้านบาทต่อเดือน (4) รายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มของน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง 66 ล้านบาทต่อเดือน จาก 4,913 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 4,847 ล้านบาทต่อเดือน (5) ค่าครองชีพของประชาชนลดลง และ (6) ราคาพลังงานสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น
3. จากการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว ส่งผลให้ราคาขายปลีกของน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนแปลง และอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ดังนี้ (1) ในกรณีที่ราคาน้ำมันลดลง ผู้ค้าน้ำมัน และเจ้าของสถานีบริการจะเกิดการขาดทุนจากน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาสูง ซึ่งผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการอาจจะลดปริมาณน้ำมันคงเหลือ หรืออาจจะหยุดจำหน่ายชั่วคราว และอาจทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันได้ จึงจำเป็นต้องมีการจ่ายชดเชยน้ำมันคงเหลือ และ (2) ในกรณีที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น จะทำให้ผู้ค้าน้ำมันมีกำไรในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือซึ่งเป็นอัตราที่มากเกินไป จึงจำเป็นต้องกำหนดให้มีการส่งกำไรดังกล่าวเข้ากองทุนน้ำมันฯ
ทั้งนี้ ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2557 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และ E20 จะปรับลดลง 3.89 2.13 1.70 และ 1.00 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล จะปรับเพิ่มขึ้น 0.14 บาทต่อลิตร ทำให้ต้องมีการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อชดเชยราคาน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และน้ำมันเบนซินพื้นฐานในอัตรา 3.64 1.99 1.59 0.93 และ 1.54 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และมีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลขึ้น 0.14 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับมติของ คสช. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และน้ำมันดีเซลลง 2.10 0.60 0.20 และ 0.55 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ E85 ขึ้น 0.30 และ 1.52 บาทต่อลิตร ตามลำดับ พร้อมทั้ง เสนอให้ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และ E20 ลง 3.89 2.13 1.70 และ 1.00 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลขึ้น 0.14 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อชดเชยราคาน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และน้ำมันเบนซินพื้นฐานในอัตรา 3.64 1.99 1.59 0.93 และ 1.54 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และมีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลขึ้น 0.14 บาทต่อลิตร และเสนอให้มีการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือของผู้ค้าน้ำมัน และสถานีบริการ ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2557 และให้สามารถนำเงินชดเชย และเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันคงเหลือ ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2557 มาหักลบกันได้
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2557 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบอัตราเงินชดเชย และอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ และราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2557 ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
3. เห็นชอบให้ตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือของผู้ค้าน้ำมัน และสถานีบริการ ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2557 และให้สามารถนำเงินชดเชย และเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันคงเหลือ ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2557 มาหักลบกันได้ แล้วขอชดเชยหรือนำส่งกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนสุทธิ
กบง. ครั้งที่ 6 - วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2557 (ครั้งที่ 6)
วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 10.00 น.
รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร และกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลปรับเพิ่มขึ้น 0.70 บาทต่อลิตร ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ปรับเพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร โดยผู้ค้าได้มีการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 ลง 0.30 บาทต่อลิตร ประกอบกับราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 7 สิงหาคม 2557 อยู่ที่ 2.5414 1.6234 1.6596 1.7617 5.5897 และ 1.4675 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 3.60 0.17 และ 2.08 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 100.09 110.52 และ 115.83 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 20 สิงหาคม 2557 อยู่ที่ 32.0479 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.2231 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 20 สิงหาคม 2557 อยู่ที่ 30.11 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.14 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 6 สิงหาคม 2557 ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2557 อยู่ที่ 2.9457 1.9888 2.0231 2.0874 5.6503 และ 1.9853 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม
ดังนั้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน กลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน กลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.50 บาทต่อลิตร ซึ่งผลจากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 91 E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 2.4457 1.4888 1.5231 1.5874 5.1503 และ 1.4853 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 38.86 ล้านบาท หรือ 1,166 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายรับ 3,120 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 4,286 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 7,763 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 15,409 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 7,646 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 5 - วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2557 (ครั้งที่ 5)
วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 11.00 น.
รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2557 พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 3.3073 2.3772 2.4112 2.5219 6.4016 และ 1.7832 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุม เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน และกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาด ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2557 อยู่ที่ 2.7327 1.7998 1.8341 1.9419 5.8054 และ 1.3577 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 29 กรกฎาคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 2.51 6.00 และ 1.08 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 103.69 110.69 และ 117.91 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 5 สิงหาคม 2557 อยู่ที่ 32.2710 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.3228 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 6 สิงหาคม 2557 อยู่ที่ 29.97 บาทต่อลิตร ลดลง 0.12 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2557 อยู่ที่ 3.6570 2.7081 2.7440 2.8349 6.6070 และ 1.3886 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง 0.3228 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.20 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันเบนซิน (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 5.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 1.05 บาทต่อลิตร (3) ราคาเอทานอลที่ลดลง 0.78 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.08 บาทต่อลิตร เป็นต้น ซึ่งต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวลดลงดังกล่าว เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน กลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น
ดังนั้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน กลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลขึ้นลิตรละ 1.00 และ 0.70 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งผลจากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10, 91 E10, E20 และ E85 อยู่ที่ 2.6570 2.0081 2.0440 2.1349 และ 5.9070 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งยังอยู่ในระดับที่สูงกว่า ค่าการตลาดที่เหมาะสม ซึ่งผู้ค้าน้ำมันอาจจะพิจารณาปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน และกลุ่มน้ำมัน แก๊สโซฮอลลง 0.30 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าวจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 16.40 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 72.75 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 89.15 ล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 7,191 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 15,986 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 8,795 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 4 - วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2557 (ครั้งที่ 4)
วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.00 น.
1. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน จำนวน 11 คณะ
2. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน จำนวน 11 คณะ
1. เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2557 กบง. ได้มีมติมอบหมายให้ สนพ. ไปจัดตั้งคณะอนุกรรมการที่มีภาระกิจต้องดำเนินการต่อเนื่อง โดยคณะอนุกรรมการที่มีอำนาจหน้าที่คล้ายกันให้รวมเป็นคณะเดียว และนำเสนอร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการให้ประธาน กบง. พิจารณาและลงนามแต่งตั้งต่อไป
2. สนพ. ได้ดำเนินการพิจารณาอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย (1) ด้านแผน โครงสร้างราคา และความมั่นคงด้านพลังงาน (2) ด้านการอนุรักษ์พลังงานและประสิทธิภาพพลังงาน (3) ด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก และ (4) ด้านการต่างประเทศ และต่อมาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 ประธาน กบง. ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจำนวน 11 คณะ ได้แก่ (1) คณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (2) คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (3) คณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน (4) คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต (5) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศทั้งด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (6) คณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน (7) คณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) (8) คณะอนุกรรมการบริหารจัดการเชื้อเพลิงเอทานอลและไบโอดีเซล (9) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตพลังงานจากขยะ (10) คณะอนุกรรมการประสานนโยบายและความร่วมมือพหุภาคีด้านพลังงานกับต่างประเทศ และ (11) คณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศ เพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปอำนาจหน้าที่ และกรอบแผนการดำเนินงานเบื้องต้นของคณะอนุกรรมการทั้ง 11 คณะ ให้ที่ประชุมทราบ
เรื่องที่ 2 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2557 พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 2.5272 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 17 กรกฎาคม 2557 อยู่ที่ 1.5574 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 29 กรกฎาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคา น้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบและน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.50 และ 0.65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 106.20 และ 118.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนน้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวลดลง 6.79 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 116.69 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 29 กรกฎาคม 2557 อยู่ที่ 31.9482 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.3520 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 อยู่ที่ 29.85 บาทต่อลิตร ลดลง 1.36 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2557 อยู่ที่ 1.7832 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่า ค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.3520 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.23 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันเบนซิน (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 6.5667 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 1.23 บาทต่อลิตร (3) ราคาขายปลีกที่ลดลง 0.50 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.50 บาทต่อลิตร ส่วนปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.3520 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.25 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันเพิ่มขึ้น 0.48 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.08 บาทต่อลิตร (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 1.36 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.08 บาทต่อลิตร ดังนั้น ต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวลดลงดังกล่าว เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าการตลาดของน้ำมัน แก๊สโซฮอล 95 E10 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น
ดังนั้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน และกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลขึ้นลิตรละ 0.60 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.30 บาท ซึ่งผลจากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาด ของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.48 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10, 91 E10, E20 และ E85 อยู่ที่ 2.7073 1.7772 1.8112 1.9219 และ 5.8016 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณ 31.40 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 27.79 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 59.19 ล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 8,176 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 17,116 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 8,940 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 3 - วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2557 (ครั้งที่ 3)
วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.30 น.
รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2557 พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 0.4887 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.81 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2557 อยู่ที่ 1.2393 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคา น้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลง 6.01 3.78 และ 5.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 104.70 123.48 และ 118.34 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 15 กรกฎาคม 2557 อยู่ที่ 32.3002 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.3128 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ ของกรดไขมันของวันที่ 16 กรกฎาคม 2557 อยู่ที่ 31.21 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 1.44 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 23 มิถุนายน 2557 ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2557 อยู่ที่ 2.5272 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.3128 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.22 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 5.7267 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 1.10 บาทต่อลิตร (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 เพิ่มขึ้น 1.4400 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ ค่าการตลาดลดลง 0.09 บาทต่อลิตร ดังนั้นต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวลดลงดังกล่าว เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ที่ระดับ 1.50 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 1.00 บาท ซึ่งผลจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาด ของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.5272 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณ 58.99 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 31.20 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 27.79 ล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 13 กรกฎาคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 7,059 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 15,881 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 8,822 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร จาก 0.00 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 1.00 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 2 - วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2557 (ครั้งที่ 2)
วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 13.30 น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง(1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2557 พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 2.2657 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.56 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว และราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2557 อยู่ที่ 1.2844 บาทต่อลิตร โดยราคา ขายปลีกลดลง 0.14 บาทต่อลิตร จากเดิมอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร มาอยู่ที่ 29.85 บาทต่อลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 19 และ 20 มิถุนายน 2557 บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี่ จำกัด (มหาชน) ได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลขึ้นไปอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร ส่วนบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปอยู่ที่ 30.49 บาทต่อลิตร ในขณะที่ บริษัท ปตท. จำกัด ( มหาชน ) และ บริษัท บางจากปิโตรเลียม (จำกัด) มหาชน ยังคงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 29.85 บาทต่อลิตร
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคา น้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.01 6.92 และ 5.89 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 110.71 127.26 และ 124.16 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 20 มิถุนายน 2557 อยู่ที่ 32.6130 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.0137 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ ของกรดไขมันของวันที่ 23 มิถุนายน 2557 อยู่ที่ 29.77 บาทต่อลิตร ลดลง 0.50 บาทต่อลิตร จากวันที่ 12 มิถุนายน 2557 ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2557 อยู่ที่ 0.4887 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง 0.0137 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.01 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันเพิ่มขึ้น 5.8133 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 1.10 บาทต่อลิตร (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.03 บาทต่อลิตร ดังนั้นต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 1.50 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 1.01 บาท ซึ่งผลจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.4987 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงประมาณ 59.56 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 14.33 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 45.23 ล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2557 มีทรัพย์สินรวม 8,083 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 15,605 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 7,522 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.81 บาทต่อลิตร จาก 0.81 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 0.00 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2557 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2557 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ กบง. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทบทวนความจำเป็น ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการจำนวน 29 คณะ ที่แต่งตั้งภายใต้ กบง. ชุดเดิม เพื่อเสนอแต่งตั้งใหม่ ซึ่งจากการประสานงาน ได้ข้อสรุปว่ามีคณะอนุกรรมการ ที่มีภารกิจต้องดำเนินการต่อเนื่องจำเป็นต้องแต่งตั้งใหม่ จำนวน 13 คณะ มีคณะอนุกรรมการที่หมดภารกิจจำนวน 16 คณะ
2. คณะอนุกรรมการที่มีภารกิจต้องดำเนินการต่อเนื่องจำเป็นต้องแต่งตั้งใหม่ จำนวน 13 คณะ ได้แก่ (1) คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า (2) คณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (3) คณะอนุกรรมการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ (4) คณะอนุกรรมการโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน (5) คณะอนุกรรมการประสานนโยบายและความร่วมมือ พหุภาคีด้านพลังงานกับต่างประเทศ (6) คณะอนุกรรมการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน (7) คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (8) คณะอนุกรรมการ เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) (9) คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (10) คณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน (11) คณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน (12) คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต และ (13) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และในส่วนของคณะอนุกรรมการที่หมดภารกิจทั้งสิ้น จำนวน 16 คณะ เช่น คณะอนุกรรมการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและคำสั่งนายกรัฐมนตรี และคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าวต่อ กบง. เพื่อพิจารณา
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปจัดตั้งคณะอนุกรรมการที่มีภาระกิจต้องดำเนินการต่อเนื่อง โดยคณะอนุกรรมการที่มีอำนาจหน้าที่คล้ายกันให้รวมเป็นคณะเดียว และนำเสนอร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาและลงนามแต่งตั้งต่อไป
กบง. ครั้งที่ 1 - วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2557 (ครั้งที่ 1)
วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 10.30 น.
1. คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 55/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
2. คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (ชุดเดิม)
3. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. รักษาระดับราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้เท่ากับเดือนพฤษภาคม 2557
รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 55/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งการให้กระทรวงพลังงานแก้ไขคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการด้านพลังงาน และได้มีคำสั่ง คสช. ที่ 55/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ลงวันที่ 6 มิถุนายน 2557 โดยมีรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) เป็นประธานกรรมการ มีปลัดกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาและผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นกรรมการและ มีผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยมีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบาย แผนการบริหาร มาตรการด้านพลังงาน บริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กำหนดราคาและอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามกรอบและแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มอบหมาย รวมทั้งพิจารณาเสนอความเห็นต่อ กพช. และสามารถแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยปฏิบัติงานตามความจำเป็น
เรื่องที่ 2 คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (ชุดเดิม)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่แต่งตั้งภายใต้คำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ 4/2545 ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา รวม 29 คณะ ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการด้านปิโตรเลียม ด้านไฟฟ้า ด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ด้านต่างประเทศ และด้านอื่นๆ ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ตรวจสอบสถานะของคณอนุกรรมการ จำนวน 29 คณะ ดังกล่าวแล้ว ในเบื้องต้นสรุปได้ว่า คณะอนุกรรมการที่ยังมีภารกิจที่ต้องดำเนินการต่อไปมีจำนวน 16 คณะ และคณะอนุกรรมการที่หมดภารกิจที่ต้องดำเนินแล้วมีจำนวน 13 คณะ
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอให้พิจารณาทบทวน ปรับปรุง องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการทั้งหมด ให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารจัดการพลังงานของ คสช. เพื่อเสนอขอความเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นใหม่ภายใต้ กบง. (ชุดใหม่) ต่อไป
เรื่องที่ 3 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะ กองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2557 พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.1007 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2557 อยู่ที่ 1.3476 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ในส่วนของน้ำมันเบนซินและกลุ่มของน้ำมันแก๊สโซฮอลผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดทั้งสิ้น 4 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 16 พฤษภาคม 2557 1 มิถุนายน 2557 2 มิถุนายน 2557 และ 5 มิถุนายน 2557 จากการปรับราคาขายปลีกทั้ง 4 ครั้ง ส่งผลให้ราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินและกลุ่มของน้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดเพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร เมื่อเทียบกับวันที่ 15 พฤษภาคม 2557
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับคงเดิมที่ 105.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลง 1.40 และ 4.24 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 120.34 และ 118.27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 10 มิถุนายน 2557 อยู่ที่ 32.5993 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.0437 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 11 มิถุนายน 2557 อยู่ที่ 30.27 บาทต่อลิตร ลดลง 1.67 บาทต่อลิตร จากวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2557 อยู่ที่ 2.2657 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.0437 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.03 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 3.97 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.76 บาทต่อลิตร (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 1.67 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร (4) ค่าพรีเมียมเพิ่มขึ้น 0.12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.02 บาทต่อลิตร ดังนั้นต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวลดลงดังกล่าว เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 1.50 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.70 บาท ซึ่งผลจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.5657 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 41.28 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 18.69 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 22.59 ล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2557 มีทรัพย์สินรวม 5,935 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 13,474 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 7,539 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลที่อัตรา 0.56 บาทต่อลิตร จากเดิมที่จัดเก็บอยู่ที่อัตรา 0.25 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 0.81 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2557 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 4 รักษาระดับราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้เท่ากับเดือนพฤษภาคม 2557
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 16 กรกฎาคม 2556 เรื่อง แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน โดยเห็นชอบแนวทางปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยให้ปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม และเห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ทั้งในส่วนของครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือน โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป
2. จากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ที่เห็นชอบให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม และจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงเดือนมิถุนายน 2557 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนปรับเพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 5.00 บาทต่อกิโลกรัม โดยจากเดือนสิงหาคม 2556 อยู่ที่ 18.13 บาท ต่อกิโลกรัม เป็น 23.13 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนมิถุนายน 2557 แต่เนื่องจากการปรับเพิ่มราคาขายปลีก ก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนทั่วไป ดังนั้น หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงได้สั่งการให้รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) รักษาระดับราคา ก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ไว้ที่ 22.63 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือนในอัตรา 4.2056 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557 เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือนอยู่ที่ 22.63 บาทต่อกิโลกรัม
2. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือน และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
กบง. ครั้งที่ 189 - วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 15/2557 (ครั้งที่ 189)
วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.00 น.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
เพื่อให้ราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนและภาคขนส่งสะท้อนต้นทุนการจัดหามากขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือนและภาคขนส่งในส่วนของผู้ค้าก๊าซเป็นผู้นำส่งขึ้น 0.4673 บาทต่อกิโลกรัม จาก 4.2056 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 4.6729 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคาขายปลีก LPG ภาคครัวเรือนและภาคขนส่งเพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.63 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.13 บาทต่อกิโลกรัม และทำให้กองทุนน้ำมันมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณ 151 ล้านบาทต่อเดือน
ดังนั้น เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามที่เสนอ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอความเห็นชอบกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่ได้จำหน่ายก๊าซให้กับผู้บรรจุ ก๊าซหรือร้านค้าก๊าซ เพื่อจำหน่ายต่อให้กับภาคครัวเรือน และภาคขนส่ง ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 0.4673 บาทต่อกิโลกรัม จาก 4.2056 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 4.6729 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไป โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รวมทั้ง ขอความเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือน และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร จาก 3.70 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 4.30 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่ได้จำหน่ายก๊าซให้กับผู้บรรจุก๊าซหรือร้านค้าก๊าซ เพื่อจำหน่ายต่อให้กับภาคครัวเรือน และภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มขึ้น 0.4673 บาทต่อกิโลกรัม จาก 4.2056 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 4.6729 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไป โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
3. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือน และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง
กบง. ครั้งที่ 188 - วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 14/2557 (ครั้งที่ 188)
วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12.00 น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. ขอเสนอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และ E20 ลง 0.10 บาทต่อลิตร และให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของดีเซลขึ้น 0.90 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมัน แก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และ น้ำมันดีเซล ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2557 อยู่ที่ 3.2760 2.0953 2.1327 1.9828 และ 1.9607 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 17 ตุลาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 2.95 2.09 และ 2.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 85.05 99.65 และ 97.62 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 17 ตุลาคม 2557 อยู่ที่ 32.5598 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.0119 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 20 ตุลาคม 2557 อยู่ที่ 29.22 บาทต่อลิตร และราคาเอทานอล ณ เดือนตุลาคม 2557 อยู่ที่ 27.17 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ผู้ค้าน้ำมันมีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง 2 ครั้ง โดยเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2557 ได้ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน กลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร และเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2557 ได้ปรับลดราคา ขายปลีกน้ำมันเบนซิน และกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลลง 0.30 บาทต่อลิตร จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง และผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกลง ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2557 อยู่ที่ 2.2626 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม
ดดังนั้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.70 บาทต่อลิตร ซึ่งผลจากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.5626 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 36.46 ล้านบาท หรือ 1,094 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายรับ 5,122 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 6,216 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 15,330 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 17,315 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 1,985 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.70 บาทต่อลิตร จาก 3.00 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 3.70 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไป ป
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (2) สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่าย ให้ภาคขนส่งเพิ่มขึ้น 0.5888 บาทต่อกิโลกรัม จาก 3.6168 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 4.2056 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไป โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
เรื่อง ขอเสนอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานได้มีการกำหนดนโยบายและจัดทำแผนพลังงานต่างๆ แต่ไม่ได้รวมถึงการจัดทำแผนด้านน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นพลังงานประเภทที่มีการใช้ในสัดส่วนที่สูงมาก โดยเฉพาะภาคขนส่งใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสูงที่สุด ดังนั้น เพื่อให้การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการกำหนดนโยบายและแนวทางในการบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง
2. เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้น การประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง โดยมีปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานอนุกรรมการ และมีอนุกรรมการประกอบด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงานตามที่ปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมาย จำนวน 2 ท่าน อธิบดี กรมธุรกิจพลังงาน อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบาย และแผนพลังงาน ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก อธิบดีกรมการค้าภายใน เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ อธิบดี กรมสรรพสามิต ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม ผู้แทนสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ผู้แทนบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และผู้แทน กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม โดยมีผู้อำนวยการสำนักบริการธุรกิจและการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และมีผู้แทนกรมธุรกิจพลังงาน และผู้แทนกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
โดยคณะอนุกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้ (1) จัดทำแผน เสนอแนะนโยบาย มาตรการ และแนวทางในการบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง (2) ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันและสนับสนุนการดำเนินการตามแผนให้ลงสู่ภาคปฏิบัติ รวมทั้งกำกับดูแล ติดตาม และประเมินผลโครงการ (3) รายงานผลการดำเนินการต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อทราบเป็นระยะตามความเหมาะสม (4) มีอำนาจแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานได้ตามความเหมาะสม และ (5) ปฏิบัติงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานมอบหมาย
มติของที่ประชุม
เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง โดยให้เพิ่มเติม รองปลัดกระทรวงพลังงานที่ปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมาย เป็นรองประธานอนุกรรมการฯ