มติกบง. (344)
กบง. ครั้งที่ 104 - วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2555 (ครั้งที่ 104)
เมื่อวันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล
2. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
3. การชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบเกี่ยวกับการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อเช้าวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 ซึ่งได้หารือเกี่ยวกับราคาสินค้าแพง และการสำรวจตลาดสินค้าของรัฐมนตรี โดยพบว่าราคาสินค้ามีทั้งที่สูงขึ้นและลดลง แต่การนำเสนอข่าวส่วนใหญ่เป็นราคาสินค้าที่สูงขึ้นมากกว่า โดยมีการอ้างถึงสาเหตุบางอย่างเกิดจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นในส่วนของกระทรวงพลังงานต้องมีการพิจารณาราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม พร้อมทั้งต้องมีการหารือกับกระทรวงพาณิชย์และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือในเรื่องนี้ร่วมกันด้วย
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เกี่ยวกับแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล เดือนละ 1 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง. พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม
2. เพื่อให้การดำเนินการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละเดือน กบง. เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555 จึงได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณามอบหมายให้ กบง. กำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. กบง. ได้มีการประชุมและมีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จำนวน 4 ครั้ง ได้แก่ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555, 15 กุมภาพันธ์ 2555, 15 มีนาคม 2555 และวันที่ 10 เมษายน 2555 โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และวันที่มีผลบังคับใช้ ดังนี้
ชนิดน้ำมันเชื้อเพลิง | อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (บาทต่อลิตร) | ||||
อัตราเดิม | 16 ม.ค.55 | 16 ก.พ.55 | 16 มี.ค.55 | 16 เม.ย.55 | |
น้ำมันเบนซิน 95 | 0.00 | 1.00 | 2.00 | 3.00 | 4.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 0.00 | 1.00 | 2.00 | 3.00 | 4.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 0.20 | 1.20 | 2.20 | 2.20 | 2.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.40 | -0.40 | 0.60 | 0.60 | 0.60 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.80 | -1.80 | -0.80 | -0.80 | -0.80 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -13.50 | -13.60 | -12.60 | -12.60 | -12.60 |
น้ำมันดีเซล | 0.00 | 0.60 | 0.60 | 0.60 | 0.60 |
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยวันที่ 2 พฤษภาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 116.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 131.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 132.83 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูงส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศสูงตามไปด้วย โดย ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 31.63, 43.45 และ 40.03 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
5. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 3,740 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 26,857 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 26,508 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 349 ล้านบาท ดังนั้นกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 23,117 ล้านบาท
6. เนื่องจากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง การปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน ดังนั้นเพื่อรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อและบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนจากภาวะราคาน้ำมันแพง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซลในอัตราเดิม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซลในอัตราเดิม ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | อัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (บาทต่อลิตร) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 4.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 4.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 2.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 0.60 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.80 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -12.60 |
น้ำมันดีเซล | 0.60 |
เรื่องที่ 2 แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ดังนี้ (1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีก NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555 (2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ถึงเดือนเมษายน 2555 (3) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (4) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) โดยปรับพร้อมกับการขึ้นราคา NGV 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (5) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และ (6) มอบหมายให้ กบง. พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ
2. การดำเนินการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV โดย กบง. ได้ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยของก๊าซ NGV ลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนเมษายน 2555 โดยได้ออกประกาศ กบง. เรื่องอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ จำนวน 5 ฉบับ มีผลให้ปัจจุบันอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ NGV อยู่ที่อัตรากิโลกรัมละ 0.00 บาท การปรับลดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ NGV ดังกล่าว ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2555 ปรับเพิ่มขึ้น 2.00 บาทต่อกิโลกรัม จาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.50 บาทต่อกิโลกรัม
3. การศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซ NGV โดยกระทรวงพลังงานได้จัดตั้งคณะทำงานศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซ NGV ซึ่งคณะทำงานฯ ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ดำเนินการจัดจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ เพื่อศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซ NGV ซึ่งเดิมศึกษาโดยสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTIT) เพื่อให้ผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง โดยในขณะนี้สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ และคณะทำงานฯ อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลการศึกษาฯ เพื่อให้ได้ข้อสรุปในการจัดทำข้อเสนอแนวทางการปรับราคาก๊าซ NGV เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพิจารณาต่อไป
4. การดำเนินการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG โดย กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ออกประกาศกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง เพื่อปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง แล้วรวม 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 16 เมษายน 2555 เดือนละหนึ่งครั้งๆ ละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) รวมเป็นเงิน 3.00 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งปรับเพิ่มขึ้นจาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 21.13 บาทต่อกิโลกรัม และอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 2.8036 บาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอ แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาก่อนวันที่ 16 พฤษภาคม 2555 โดยขอความเห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน (16 พฤษภาคม 2555 ถึง 15 สิงหาคม 2555) และขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 2.8036 บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน (16 พฤษภาคม 2555 ถึง 15 สิงหาคม 2555)
เรื่องที่ 3 การชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอโครงการแทรกแซงมันสำปะหลังปี 2554/55 ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2555 ราคารับจำนำหัวมันสด (ตามเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งที่ร้อยละ 25) อยู่ที่ 2.75 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 10 ล้านตัน จำกัดการรับจำนำอยู่ที่ 250 ตันต่อราย และจะมีการปรับขึ้นราคาการรับจำนำทุกเดือนๆ ละ 5 สตางค์
2. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2554 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ได้เสนอแนวการเพิ่มการใช้เอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังประมาณ 200,000 ลิตรต่อวัน เป็น 400,000 ลิตรต่อวัน โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ รักษาสมดุลราคา ดังนั้น กระทรวงพลังงาน จึงมีโครงการส่งเสริมการรับซื้อเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังสำหรับการใช้เป็นเชื้อเพลิงให้มากขึ้น ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2555 กบง. ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาแนวทางการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) หารือกับสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตรวจสอบข้อกฎหมายเกี่ยวกับการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ในโครงการและจ่ายชดเชยโดยตรงให้กับโรงงานเอทานอลเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย
3. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2555 ได้มีการประชุมแนวทางการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลตำรวจโทวิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) เป็นประธาน และได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตรวจสอบข้อกฎหมายในการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ตามโครงการและการจ่ายเงินชดเชยตรงให้กับโรงงานเอทานอล พร้อมทั้งประสานกรมสรรพสามิตเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลราคาอ้างอิงเอทานอลจากกากน้ำตาล และรายงานผลให้ทราบต่อไป
4. เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2555 สนพ. และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้เข้าร่วมประชุมชี้แจงกับคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) ในประเด็นการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาเอทานอลผลิตจากมันสำปะหลัง ซึ่งคณะกรรมการมีความเห็นว่าเอทานอลมิใช่น้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น กบง. จึงไม่มีอำนาจกำหนดให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เป็นเงินจ่ายชดเชยเอทานอลให้แก่โรงงานเอทานอล แต่สามารถสั่งจ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ โรงกลั่นได้ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 10 ซึ่งบัญญัติให้การชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิง (ในที่นี้ หมายถึง การชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล) กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2553 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1 ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ก็มีการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่แล้ว
5. เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2555 สนพ. ได้หารือร่วมกับ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) พพ. และผู้ค้ามาตรา 7 เพื่อหาข้อสรุปแนวทางการส่งเสริมการรับซื้อเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังสำหรับเป็นเชื้อเพลิง แต่เนื่องจากผู้ค้ามาตรา 7 มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับผู้ผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลและมันสำปะหลังอยู่แล้ว ดังนั้นหากต้องการให้มีการรับซื้อเอทานอลตามปริมาณเป้าหมาย 400,000 ลิตรต่อวัน จึงจำเป็นต้องขยายเวลาการรับซื้อเอทานอลจาก 2 เดือน เป็น 5 เดือน
6. สรุปรายละเอียดโครงการ
6.1 เป้าหมายการรับซื้อมันสำปะหลังและเอทานอลเพื่อใช้ในการผลิตแก๊สโซฮอลตามโครงการ
1) มันสำปะหลัง 150,000 ตัน หรือมันเส้น 64,172 ตัน โดยประมาณ
2) เอทานอล 400,000 ลิตรต่อวัน คิดเป็นจำนวนเอทานอล 24,400,000 ลิตร
6.2 บริษัทผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง เข้าร่วมโครงการ 2 ราย ปริมาณการผลิต 24.4 ล้านลิตร ได้แก่ บริษัท ทรัพย์ทิพย์ จำกัด คิดเป็นจำนวนเอทานอล 13 ล้านลิตร และบริษัท พี.เอส.ซี สตาร์ช โปรดักส์ (มหาชน) คิดเป็นจำนวนเอทานอล 11.4 ล้านลิตร
6.3 ผู้ผลิตเอทานอล จะรับซื้อมันเส้นจากคลังกลางของโครงการตามสัดส่วนการผลิตเอทานอลในราคารับจำนำมันสำปะหลังเฉลี่ยย้อนหลัง 4 เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม 2555 ที่ราคาเฉลี่ย 2.825 บาทต่อกิโลกรัม และใช้ราคารับซื้อมันเส้นเป็นราคาเดียวจนเสร็จสิ้นโครงการในเดือนกันยายน 2555
6.4 ผู้ค้ามาตรา 7 เข้าร่วมโครงการ 3 ราย คือ (1) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับซื้อเอทานอลจาก บริษัททรัพย์ทิพย์ฯ 12.2 ล้านลิตร และ บริษัท พี.เอส.ซี สตาร์ชฯ 4.0 ล้านลิตร (2) บริษัท บางจาก จำกัด (มหาชน) รับซื้อเอทานอลจาก บริษัท พี.เอส.ซี สตาร์ชฯ 7.4 ล้านลิตร และ (3) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) รับซื้อเอทานอลจากบริษัททรัพย์ทิพย์ฯ 0.8 ล้านลิตร
7. แนวทางการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง
7.1 วิธีการชดเชย
1) ชดเชยราคาแก๊สโซฮอลที่สูงขึ้นจากการใช้เอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังในโครงการมาผสม เมื่อเทียบกับเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลในแต่ละเดือน ให้แก่ผู้ค้ามาตรา 7 ที่เข้าร่วมโครงการ โดยคำนวณจากปริมาณเอทานอลที่ขอชดเชยแล้วจะไม่เกินกว่าปริมาณเอทานอลที่รับซื้อจากผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังที่ซื้อจากคลังกลาง (อคส.) (ปตท. ไม่เกิน 16.2 ล้านลิตร บางจาก ไม่เกิน 7.4 ล้านลิตร และไทยออยล์ไม่เกิน 0.8 ล้านลิตร)
2) พพ. เป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานความถูกต้องของปริมาณ และราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอลรับซื้อจากเอทานอลในโครงการ (อคส.) รวมทั้งปริมาณที่จำหน่ายให้ผู้ค้ามาตรา 7 และแจ้งให้ ธพ. ทราบ
3) ธพ. เป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานการจำหน่ายแก๊สโซฮอลและจำนวนเงินที่ขอชดเชย ของผู้ค้ามาตรา 7 สอบยันความถูกต้องกับหลักฐานที่ พพ. ส่งให้ ธพ. ตรวจสอบ เพื่อแจ้งให้ สนพ. ดำเนินการต่อไป
4) สนพ. ออกประกาศ กบง. กำหนดอัตราเงินชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังในโครงการฯ และทำหนังสือแจ้งให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ค้ามาตรา 7
7.2 อัตราการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล
8. สมมุติฐานราคาเอทานอลจากกากน้ำตาลเฉลี่ยเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน 2555 ที่ราคา 19.3 บาทต่อลิตร เงินชดเชย ราคาเอทานอลจะเท่ากับ 7.412 บาทต่อลิตร ดังนั้น วงเงินขอชดเชยแก๊สโซฮอลจะเท่ากับ 180 ล้านบาท ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง ในวงเงิน 180 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทางการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังดังนี้
1.1 วิธีการชดเชย
1) ชดเชยราคาแก๊สโซฮอลที่สูงขึ้นจากการใช้เอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังในโครงการมาผสม เมื่อเทียบกับเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลในแต่ละเดือน ให้แก่ผู้ค้ามาตรา 7 ที่เข้าร่วมโครงการ โดยคำนวณจากปริมาณเอทานอลที่ขอชดเชยแล้วจะไม่เกินกว่าปริมาณเอทานอลที่รับซื้อจากผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังที่ซื้อจากคลังกลาง (อคส.) (ปตท. ไม่เกิน 16.2 ล้านลิตร บางจาก ไม่เกิน 7.4 ล้านลิตร และไทยออยล์ไม่เกิน 0.8 ล้านลิตร)
2) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานความถูกต้องของปริมาณ และราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอลรับซื้อจากเอทานอลในโครงการ (อคส.) รวมทั้งปริมาณที่จำหน่ายให้ผู้ค้ามาตรา 7 และแจ้งให้กรมธุรกิจพลังงานทราบ
3) กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานการจำหน่ายแก๊สโซฮอลและจำนวนเงินที่ขอชดเชยของผู้ค้ามาตรา 7 สอบยันความถูกต้องกับหลักฐานที่ พพ. ส่งให้ ธพ. ตรวจสอบ เพื่อแจ้งให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการต่อไป
4) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานกำหนดอัตราเงินชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังในโครงการฯ และทำหนังสือแจ้งให้ สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน จ่ายเงินชดเชยให้ผู้ค้ามาตรา 7
1.2 อัตราการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล
2. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง ในวงเงิน 180 ล้านบาท (หนึ่งร้อยแปดสิบล้านบาทถ้วน)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 ให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีกไตรมาสละ 1 ครั้ง จำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม ต่อมาคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG โดยภาคครัวเรือน ให้ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 ภาคขนส่ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ให้ปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (ปรับราคาไปแล้ว 4 เดือน รวม 3 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 1.64 บาทต่อลิตร) และภาคปิโตรเคมี กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 1 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
2. สถานการณ์ก๊าซ LPG โดยในไตรมาสแรกของปี 2555 การจัดหาก๊าซ LPG มาจากการผลิตในประเทศร้อยละ 74 (จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติร้อยละ 64 และจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีร้อยละ 36) และนำเข้าร้อยละ 26 ส่วนความต้องการใช้หลักอยู่ในภาคครัวเรือนประมาณร้อยละ 41 ส่วนที่เหลืออยู่ในภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม และภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีประมาณร้อยละ 15, 9 และ 35 ตามลำดับ ทั้งนี้ ในช่วงปี 2550 - ไตรมาสแรกของปี 2555 อัตราการขยายตัวของความต้องการใช้ก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนโดยเฉลี่ยร้อยละ 9 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของ GDP และอัตราการขยายตัวของจำนวนครัวเรือน จึงเป็นไปได้ว่าส่วนหนึ่งของก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนมีการรั่วไหลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน หรือนำไปใช้ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม โดยพบว่าเมื่อเริ่มปรับราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 เป็นต้นมา ปริมาณใช้ก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมลดลงอย่างต่อเนื่อง
3. ปัจจุบันก๊าซหุงต้มที่จำหน่ายในประเทศถูกตรึงราคาไว้ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ได้ปรับราคาไปแล้ว 4 ครั้งๆ ละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม ราคาจำหน่าย ณ วันที่ 23 เมษายน 2555 เท่ากับ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าราคาก๊าซหุงต้ม 3 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในภาคอุตสาหกรรม ได้ปรับราคาครบถ้วนตามมติคณะรัฐมนตรีแล้วจำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม รวม 12 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีราคาจำหน่าย 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคาจำหน่ายก๊าซ LPG ในประเทศเพื่อนบ้าน ณ วันที่ 4 เมษายน 2555 ในประเทศ ลาว พม่า กัมพูชา มาเลยเซีย และเวียดนาม อยู่ที่ 49, 34, 45, 20 และ 59 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ขณะที่ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศไทยอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม
4. เนื่องจากก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม มีราคาแตกต่างกัน ส่งผลให้มีการนำก๊าซ LPG ไปใช้ข้ามสาขาหรือผิดประเภท ดังนี้ (1) การลักลอบนำก๊าซ LPG จากโรงบรรจุก๊าซไปจำหน่ายข้ามสาขา ส่งผลให้เงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในสาขาขนส่งและอุตสาหกรรมไม่ครบถ้วน (2) การนำถังก๊าซหุงต้มไปใช้ในยานพาหนะ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน (3) การการลักลอบถ่ายเท LPG จากถังก๊าซหุงต้ม หรือรถขนส่งก๊าซ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ปัจจุบันยังไม่พบการกระทำผิดดังกล่าว และ ( 4) การนำถังก๊าซหุงต้มไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมแทนการใช้ถังเก็บขนาดใหญ่หรือถัง Bulk ปัจจุบันยังไม่มีความผิดเนื่องจากกฎหมายอนุญาตให้ตั้งถังก๊าซหุงต้มขนาด 48 กิโลกรัมได้ 20 ใบ (ไม่เกิน 1,000 กิโลกรัม) แต่อาจส่งผลให้ความปลอดภัยลดลง และ เนื่องจากก๊าซ LPG ในประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบมีราคาสูงกว่าก๊าซหุงต้มที่จำหน่ายในประเทศมาก ทำให้มีการลักลอบส่งออกก๊าซ LPG ที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบกและทางทะเล
5. เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2555 คณะอนุกรรมการกำหนดแนวทางปฏิบัติงานในการป้องกันและตรวจสอบการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ได้เห็นชอบให้ ขอความร่วมมืองานปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ปนม. ตร.) ออกตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG ข้ามสาขา
6. ธพ. ได้ติดตามข้อมูลปริมาณจำหน่ายก๊าซให้โรงบรรจุก๊าซและสถานีบริการที่มีความผิดปกติ ดังนี้ (1) โรงบรรจุก๊าซในจังหวัดตามแนวชายแดนและจังหวัดใกล้เคียงที่มียอดจำหน่ายสูงผิดปกติ จำนวน 173 แห่ง ใน 31 จังหวัด และ (2) สถานีบริการจำหน่ายก๊าซ LPG ที่มียอดจำหน่ายผิดปกติหรือมีพฤติกรรมน่าสงสัยทั่วประเทศ จำนวน 405 แห่ง ซึ่ง ธพ. ได้ประสาน ปนม. ตร. จัดส่งชุดปฏิบัติการในส่วนกลาง เพื่อร่วมดำเนินการตรวจสอบ 12 ชุดปฏิบัติการๆ ละ 15 คน รวม 180 คน มีเวลาปฏิบัติงานได้เดือนละประมาณ 14 วัน ตรวจสอบโรงบรรจุก๊าซและสถานีบริการจำนวน 578 แห่ง จะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 5 เดือน รวมระยะเวลาปฏิบัติงาน 70 วัน
7. ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบโรงบรรจุก๊าซและสถานีบริการก๊าซ LPG ทั่วประเทศ จำนวน 578 แห่ง เป็นจำนวน 13,584,000 บาท โดยขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 7 เดือน (ระยะเวลา ปนม.ตร. ดำเนินงาน 5 เดือน และระยะเวลาสำหรับเบิกจ่ายเงิน 2 เดือน)
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2555 ให้กรมธุรกิจพลังงาน เพื่อดำเนินงานโครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้านจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงิน 13,584,000 บาท (สิบสามล้านห้าแสนแปดหมื่นสี่พันบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 7 เดือน โดยให้สามารถเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นจริง โดยสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการได้
กบง. ครั้งที่ 103 - วันอังคารที่ 10 เมษายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2555 (ครั้งที่ 103)
เมื่อวันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 09.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล
2. แนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG และ NGV ในภาคขนส่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับการรณรงค์ประหยัดพลังงาน ในกิจกรรม "ปิดไฟ ช่วยชาติ" ในวันที่ 10 เมษายน 2555 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งการจัดกิจกรรม "ปิดไฟ ช่วยชาติ" เป็นผลมาจากการคาดการณ์ความต้องการใช้พลังงานจะสูงสุด ในวันที่ 10 เมษายน 2555 ช่วงเวลาประมาณ 14.00-15.00 น. ประกอบกับเป็นช่วงที่ประเทศพม่าหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติเนื่องจากมีการหยุดซ่อมแซมประจำปี และโรงไฟฟ้าในประเทศบางแห่งจำเป็นต้องปิดซ่อมแซมเพื่อฟื้นฟูหลังน้ำท่วม ส่งผลให้การส่งกระแสไฟฟ้ากำลังสำรองไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้น เพื่อสร้างความตระหนักของทุกภาคส่วนให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้พลังงาน ให้เกิดความประหยัดอย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงพลังงานจึงจัดกิจกรรมดังกล่าว ด้วยการปิดไฟที่ไม่จำเป็นอย่างน้อย 1 ดวง ให้พร้อมกันในช่วงเวลา 14.00 - 15.00 น.
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เกี่ยวกับแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล เดือนละ 1 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง. พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม
2. เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในเดือนมกราคม 2555 โดยน้ำมันเบนซิน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95, 91, E20 ปรับเพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ชดเชยเพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และเพื่อให้การดำเนินการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละเดือน กบง. จึงได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอ กพช. พิจารณามอบหมายให้ กบง. กำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ
3. ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป โดยน้ำมันเบนซิน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 ปรับเพิ่มขึ้นชนิดละ 1.00 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้คงไว้ที่อัตราเดิม จากการทยอยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร ทำให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 91, E20 และ E85 อยู่ที่อัตรา 0.60, -0.80 และ -12.60 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เคยกำหนดไว้เดิม ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554 ที่อัตรา 0.10, -1.30 และ -13.50 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ดังนั้น กบง. จึงได้มีมติให้ สนพ. จัดทำข้อเสนอการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ นำเสนอ กพช. โดยการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแต่ละชนิดไม่สูงเกินกว่าอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 1 เมษายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 4,011 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 26,845 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 20,318 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 347 ล้านบาท ดังนั้นกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 22,834 ล้านบาท
5. เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 จึงต้องปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร โดยให้คงอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลในอัตราเดิม และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วยังคงอัตราที่ 0.60 บาทต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2555 เป็นต้นไป จากการปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 เพิ่มขึ้น 1.07 บาทต่อลิตร ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 กับน้ำมันเบนซิน 91 เพิ่มขึ้นจาก 2.35 บาทต่อลิตร เป็น 3.42 บาทต่อลิตร และส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 กับน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้นจาก 6.30 บาทต่อลิตร เป็น 7.37 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 10 ล้านบาท จากติดลบวันละ 70 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 60 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 3.00 | 4.00 | +1.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 3.00 | 4.00 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 2.20 | 2.20 | - |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 0.60 | 0.60 | - |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.80 | -0.80 | - |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -12.60 | -12.60 | - |
น้ำมันดีเซล | 0.60 | 0.60 | - |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 แนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG และ NGV ในภาคขนส่ง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ดังนี้ (1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีก NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555 (2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ถึงเดือนเมษายน 2555 (3) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (4) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) โดยปรับพร้อมกับการขึ้นราคา NGV 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (5) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และ (6) มอบหมายให้ กบง. พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ
2. การดำเนินการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ออกประกาศ กบง. เรื่อง อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ จำนวน 4 ฉบับ ซึ่งการปรับลดอัตราเงินชดเชยดังกล่าวส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 15 เมษายน 2555 ปรับเพิ่มขึ้น 1.50 บาทต่อกิโลกรัม จาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.00 บาทต่อกิโลกรัม
3. การดำเนินการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG สนพ. ได้ออกประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง จำนวน 4 ฉบับ มีผลทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงวันที่ 15 เมษายน 2555 ปรับเพิ่มขึ้น 2.25 บาทต่อกิโลกรัม จาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.38 บาทต่อกิโลกรัม
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ในอัตรา 0.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2555 เป็นต้นไป (2) ขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 2.8036 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2555 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2555 (3) ขอความเห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ และ เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง และ(4) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ในอัตรา 0.00 บาท ต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2555 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 2.8036 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2555 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2555
3. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง
4. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
กบง. ครั้งที่ 102 - วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2555 (ครั้งที่ 102)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้สอบถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดประชุมทางไกล (Teleconference) ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า จะประสานหารือกับผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่ามีกฎหมายใดที่รองรับการจัดประชุมทางไกล เมื่อได้ข้อสรุปผลการหารือแล้วจะรายงานให้ประธานฯ ทราบต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เกี่ยวกับแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล เดือนละ 1 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง. พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม
2. เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในเดือนมกราคม 2555 โดยน้ำมันเบนซิน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95, 91, E20 ปรับเพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ชดเชยเพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และเพื่อให้การดำเนินการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละเดือน กบง. จึงได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอ กพช. พิจารณามอบหมายให้ กบง. กำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ
3. ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป โดยน้ำมันเบนซิน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 ปรับเพิ่มขึ้นชนิดละ 1.00 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้คงไว้ที่อัตราเดิม จากการทยอยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร ทำให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 91, E20 และ E85 อยู่ที่อัตรา 0.60 -0.80 และ -12.60 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เคยกำหนดไว้เดิม ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554 ที่อัตรา 0.10 -1.30 และ -13.50 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ดังนั้น กบง. จึงได้มีมติให้ สนพ. จัดทำข้อเสนอการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ นำเสนอ กพช. โดยการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแต่ละชนิดไม่สูงเกินกว่าอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 11 มีนาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 3,824 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 24,961 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 24,807 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 154 ล้านบาท ดังนั้นกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 21,137 ล้านบาท
5. เนื่องจากยังไม่ได้มีการประชุม กพช. ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 จึงต้องปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร โดยให้คงอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลในอัตราเดิม และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วยังคงอัตราที่ 0.60 บาทต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2555 เป็นต้นไป จากการปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 เพิ่มขึ้น 1.07 บาทต่อลิตร ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 กับน้ำมันเบนซิน 91 เพิ่มขึ้นเป็น 2.35 บาทต่อลิตร และส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 กับน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้นเป็น 6.30 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 9 ล้านบาท จากติดลบวันละ 146 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 137 ล้านบาท
6. จากมติ กบง. เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ที่มอบหมายให้ สนพ. จัดทำข้อเสนอการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ นำเสนอต่อ กพช. โดยการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแต่ละชนิดไม่สูงเกินกว่าอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554 หากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกสูงขึ้นต่อเนื่อง อาจทำให้ขาดความยืดหยุ่นคล่องตัวในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ดังนั้นฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ยกเลิกมติ กบง. เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ที่มอบหมายให้ สนพ. จัดทำข้อเสนอการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว นำเสนอต่อ กพช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแต่ละชนิดไม่สูงเกินกว่าอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 2.00 | 3.00 | +1.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 2.00 | 3.00 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 2.20 | 2.20 | - |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 0.60 | 0.60 | - |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | 0.80 | 0.80 | - |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -12.60 | -12.60 | - |
น้ำมันดีเซล | 0.60 | 0.60 | - |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2555 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ที่มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจัดทำข้อเสนอการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว และนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแต่ละชนิดไม่สูงเกินกว่าอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554
ที่ประชุมฯ ได้มีการหารือในเรื่องต่างๆ โดยสรุปได้ดังนี้
1. ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบเกี่ยวกับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 32.33 บาทต่อลิตร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประชาชน ปัจจุบันผู้ประกอบการด้านขนส่ง ได้แก่ ผู้ประกอบการรถโดยสารขนส่งสาธารณะ ได้มีการเรียกร้องขอปรับขึ้นราคาค่าโดยสาร ทั้งนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ผู้ประกอบการยอมรับได้อยู่ที่ไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร หากราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร จะไม่มีการปรับราคาค่าโดยสารขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่อัตรา 0.60 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาค่าโดยสารอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว
2. รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ความเห็นว่า คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ได้เคยมีการพิจารณาว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 3 บาท คือ จากเดิมกำหนดไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร ปรับเพิ่มเป็น 33 บาทต่อลิตร จึงจะมีการพิจารณาเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าโดยสาร และอาจมีผู้ประกอบการรถโดยสารฯ บางรายที่ใช้ก๊าซ NGV จะเรียกร้องขอขึ้นค่าโดยสารโดยใช้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นฐาน ซึ่งกระทรวงพลังงานควรมีการประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนและผู้ประกอบการเข้าใจที่ถูกต้อง
3. ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลตำรวจโทวิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) ได้แจ้ง ที่ประชุมฯ เกี่ยวกับความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการกำหนดแนวทางการชดเชยราคาเอทานอล ที่ผลิตจากมันสำปะหลัง โดยพบว่าข้อมูลการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังที่มีอยู่ไม่ถูกต้อง จึงได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ของคณะกรรมการเอทานอลฯ ไปประสานกรมสรรพสามิตเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ (นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์) ได้มีความเห็นว่า กระทรวงพาณิชย์มีสต๊อกมันเส้นอยู่จำนวนหนึ่ง ที่ต้องการให้โรงงานผลิตเอทานอลช่วยรับซื้อ โดยอาจเปิดรับซื้อโดยตรงหรือซื้อผ่านองค์กรคลังสินค้า (อคส.) และปลัดกระทรวงพลังงานได้มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ถ้ามีสูตรราคาเอทานอลที่เหมาะสมแล้ว กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ควรหารือร่วมกับกรมการค้าภายใน เพื่อพิจารณากลไกการระบายมันสำปะหลังจากโกดังของ อคส. ไปยังโรงงานผลิตเอทานอล รวมถึงมาตรการตรวจสอบเพื่อจ่ายเงินชดเชย
4. ฝ่ายเลขานุการฯ (นายสุชาลี สุมามาลย์) ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า สนพ. ได้มีหนังสือหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตรวจสอบข้อกฎหมายเกี่ยวกับการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ในการรับซื้อเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งได้ประสานกรมสรรพสามิตเพื่อตรวจทานข้อมูลตัวเลขการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง ซึ่ง สนพ. จะได้สรุปข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อนำเสนอคณะกรรมการฯ ในการประชุมต่อไป
5. รองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายศิริศักดิ์ วิทยอุดม) มีความเห็นว่า ควรมีการทบทวนการกำหนดระยะเวลาการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง โดยไม่จำเป็นต้องปรับพร้อมกับการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV แต่ควรปรับตามสถานการณ์ราคาพลังงาน ทั้งนี้ เพื่อให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 101 - วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2555 (ครั้งที่ 101)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. การศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)
3. การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV
5. แนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
6. การส่งเสริมการรับซื้อเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงมันสำปะหลัง ปี 2554/2555
7. สถานการณ์พลังงานเดือนกุมภาพันธ์ 2555
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในช่วงเช้าของวันนี้ กระทรวงพลังงานได้หารือร่วมกับผู้บริหารโรงกลั่นน้ำมัน เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับภาวะวิกฤติกรณีอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งโรงกลั่นได้ให้ความร่วมมือสนับสนุนนโยบายของกระทรวงพลังงานในการจัดทำแนวทางการเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันในประเทศ ซึ่งโรงกลั่นสามารถเพิ่มปริมาณการสำรองน้ำมันจากเดิม 55 วัน เพิ่มขึ้นเป็น 64 วัน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ดังนี้ (1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีก NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555 (2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ถึงเดือนเมษายน 2555 (3) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (4) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) โดยปรับพร้อมกับการขึ้นราคา NGV 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (5) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (6) มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ
2. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ (1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - ธันวาคม 2555 (2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยของก๊าซ NGV ลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เดือนเมษายน 2555 (3) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ออกประกาศ กบง. เรื่อง อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ จำนวน 3 ฉบับ ดังนี้ (1) ฉบับที่ 10 โดยกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 ในอัตรากิโลกรัมละ 1.50 บาท (2) ฉบับที่ 16 กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป ในอัตรากิโลกรัมละ 1.50 บาท และ (3) ฉบับที่ 28 กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป ในอัตรากิโลกรัมละ 1.00 บาทส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555 ปรับเพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 9.50 บาทต่อกิโลกรัม
3. กบง. เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) เห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง (3) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ในช่วงวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรา 0.7009 บาทต่อกิโลกรัม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ก่อนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555
4. สนพ. ได้ออกประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง จำนวน 3 ฉบับ ดังนี้ (1) ฉบับที่ 3 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มตามระยะเวลาและในอัตราที่เพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 16 - 31 มกราคม 2555 อัตรากิโลกรัมละ 0.7009 บาท และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 เพิ่มขึ้นในอัตรากิโลกรัมละ 0.7009 บาทต่อเดือน สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2556 ที่อัตราราคากิโลกรัมละ 10.4154 บาท (2) ฉบับที่ 19 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรากิโลกรัมละ 0.7009 บาท เป็นต้นไป และ (3) ฉบับที่ 27 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป ในอัตรากิโลกรัมละ 1.4018 บาท
5. ฝ่ายเลขานุการฯได้เสนอประเด็นให้ กบง. พิจารณาดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ในอัตรา 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2555 ถึงวันที่ 15 เมษายน 2555 (2) ขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 2.1027 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2555 ถึงวันที่ 15 เมษายน 2555 (3) ขอความเห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ และเรื่องการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง (4) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ในอัตรา 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2555 ถึงวันที่ 15 เมษายน 2555
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 2.1027 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2555 ถึงวันที่ 15 เมษายน 2555
3. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง
4. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงานเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
เรื่องที่ 2 การศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)
สรุปสาระสำคัญ
1. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เรื่อง นโยบายการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในระดับราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และคงอัตราเงินชดเชยในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2554 จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 (2) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555 (3) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555 (4) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบให้ กบง. รับไปพิจารณาหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป
2. จากผลการศึกษาทบทวนการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติและการศึกษาต้นทุนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ธันวาคม 2553 ของสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ยังมีผู้ประกอบการหรือประชาชนบางกลุ่มที่ต้องการให้มีการสอบทานข้อมูล เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน กระทรวงพลังงานจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซ NGV ขึ้น โดยมีผู้อำนวยการ สนพ. เป็นประธาน และผู้แทนกลุ่มผู้ประกอบการรถที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิงร่วมเป็นคณะทำงาน โดยคณะทำงานฯ ได้มีการประชุมร่วมกันแล้ว 2 ครั้ง และได้เห็นชอบให้ สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษา เพื่อศึกษาทบทวนเพื่อสอบทานข้อมูลและหลักเกณฑ์การคิดต้นทุนก๊าซ NGV เพื่อให้การกำหนดราคาขายก๊าซ NGV มีความถูกต้อง เป็นธรรม สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และได้รับการยอมรับจากภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอโครงการการศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ดังนี้ (1) วัตถุประสงค์ เพื่อสอบทานและศึกษาข้อมูลและหลักเกณฑ์การคิดต้นทุนก๊าซ NGV สำหรับใช้ในการกำหนดราคาขายก๊าซ NGV ในประเทศ และเพื่อเสนอแนะแนวทางการกำหนดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่มีความชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม (2) ขอบเขตการศึกษาวิจัย เป็นการศึกษาวิจัยต้นทุนราคาก๊าซ NGV แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ การศึกษาทบทวนต้นทุนราคาเนื้อก๊าซธรรมชาติ การศึกษาทบทวนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสำหรับก๊าซ NGV และดำเนินการจัดประชุมสัมมนาทางวิชาการผลการศึกษาวิจัยเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนอย่างน้อย 2 ครั้ง (3) วงเงินงบประมาณ 1,500,000 บาท และ (4) ให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 18 เมษายน 2555 ทั้งนี้ไม่รวมระยะเวลาในการเบิกจ่าย
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2555 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เพื่อดำเนินงานโครงการการศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ในวงเงิน 1,500,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาทถ้วน) มีระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินงาน ณ วันที่ 10 เมษายน 2555 โดยไม่รวมระยะเวลาในการเบิกจ่าย
เรื่องที่ 3 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ดังนี้ (1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึง ธันวาคม 2555 (2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555 และ (3) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบให้ กบง. รับไปพิจารณาหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป
2. กบง. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 ได้มีมติเห็นชอบโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.) โดยมีวงเงินบัตรเครดิต 3,000 บาท และส่วนลดราคาขายปลีก NGV จากการใช้บัตรเครดิตและเงินสดรวมวงเงิน 9,000 บาท ซึ่งการให้ส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - 31 ธันวาคม 2558
3. เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2555 กลุ่มผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุกขนส่งได้เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ซึ่งเห็นชอบการทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงธันวาคม 2555 ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ได้หารือกับกลุ่มผู้ร้องเรียน และได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อทบทวนการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ กลุ่มรถโดยสารประจำทางสาธารณะและรถบรรทุกขนส่ง โดยมีภาครัฐและกลุ่มผู้ประกอบการร่วมเป็นคณะทำงาน
4. การดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะกลุ่มอื่น โดยเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555 กบง. ได้มอบหมายให้ ปตท. รับไปดำเนินการจัดทำบัตรส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV และเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรส่วนลดสำหรับรถร่วมโดยสารประจำทาง ขสมก. รถมินิบัสร่วม ขสมก. และรถสองแถวร่วม ขสมก. ต่อไป
5. คณะทำงานทบทวนการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV กลุ่มรถโดยสารประจำทางสาธารณะได้มีการประชุม เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งได้พิจารณาถึงผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซ NGV ต่อกลุ่มรถโดยสารประจำทางสาธารณะที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 หมวด 1 - 4 ที่ปัจจุบันถูกควบคุมค่าโดยสารโดยกรมการขนส่งทางบก โดยได้มีความเห็นให้ ปตท. รับไปดำเนินการจัดทำบัตรส่วนลดเพิ่มเติมแก่กลุ่มรถโดยสารที่อยู่ภายใต้หมวด 1 - 4 ที่ยังไม่ได้รับบัตรส่วนลด (กลุ่มรถโดยสารประจำทางที่วิ่งในต่างจังหวัด) ต่อไป ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ปตท. จำเป็นต้องนำเสนอต่อคณะกรรมการ ปตท. เพื่อขอความเห็นชอบการดำเนินการ ดังนั้น ปตท. จึงได้มีหนังสือถึง สนพ. เพื่อขอให้ สนพ. มีหนังสือยืนยันให้ ปตท. ดำเนินการ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ กบง. พิจารณามอบหมายให้ ปตท. จัดทำบัตรส่วนลดเพิ่มเติมแก่กลุ่มรถโดยสารที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 หมวด 1 - 4 (กลุ่มรถโดยสารประจำทางที่วิ่งในต่างจังหวัด) และเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรส่วนลดต่อไป
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดทำบัตรส่วนลดเพิ่มเติมแก่กลุ่มรถโดยสารที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 หมวด 1 - 4 (กลุ่มรถโดยสารประจำทางที่วิ่งในต่างจังหวัด) และเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรส่วนลดต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ผ่อนผันให้บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) สามารถจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91, 95 แก๊สโซฮอล 91 E10, 95 E10, E20, E85 น้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ที่ใช้ผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล ที่มีคุณภาพไม่เป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานยูโร 4 ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 5 มีนาคม 2555 รวม 65 วัน ตามระยะเวลาที่บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครองที่ให้ระงับโครงการที่ดำเนินการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด (วันที่ 29 กันยายน - 2 ธันวาคม 2552) ทำให้ไม่สามารถผลิตน้ำมันเบนซินมาตรฐานยูโร 4 ได้ในระยะเวลาที่กำหนดไว้ (1 มกราคม 2555)
2. เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ สนพ. ออกประกาศ กบง. ฉบับที่ 8 พ.ศ.2555 กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่วนเพิ่มสำหรับโรงกลั่นที่ไม่สามารถผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 จำหน่ายภายในราชอาณาจักร จากที่เรียกเก็บจากโรงกลั่นอื่นที่สามารถผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงวันที่สามารถจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ ดังนี้ น้ำมันเบนซิน 95, 91, เบนซินพื้นฐาน ที่อัตรา 0.48 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 ที่อัตรา 0.43 บาทต่อลิตรน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ที่อัตรา 0.37 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ที่อัตรา 0.07 บาทต่อลิตร
3. บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ได้ขอให้ ธพ. พิจารณาขยายระยะเวลาการผ่อนผันการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 แก๊สโซฮอล 91 E10 แก๊สโซฮอล 95 E10 เบนซินพื้นฐานชนิดที่ 1 และเบนซินพื้นฐานชนิดที่ 2 ออกไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2555 ดังนั้น เพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำมันกลุ่มเบนซิน ธพ. โดยความเห็นชอบของกระทรวงพลังงานได้พิจารณาขยายระยะเวลาการผ่อนผันเป็นการชั่วคราวให้บริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด สามารถจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 แก๊สโซฮอล 91E10 แก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่ 1 และน้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่ 2 ที่มีคุณภาพไม่เป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานยูโร 4 ได้ ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม ถึงวันที่ 30 เมษายน 2555 และให้บริษัทฯ ชดเชยความเสียหาย โดยส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากไม่สามารถผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ทันตามกำหนดเวลาอีก 0.48 บาทต่อลิตร จากเดิมที่เคยถูกเรียกเก็บไปแล้ว 0.48 บาทต่อลิตร
4. โดยทั่วไป น้ำมันที่ส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศจะมีมูลค่าลดลง หรือต่ำกว่าการจำหน่ายในประเทศ โดยกรณีน้ำมันเบนซินจะลดลงประมาณ 2 - 3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาเรล หรือ ประมาณ 0.48 บาทต่อลิตร (เดือนกุมภาพันธ์ 2555 ปตท.ส่งออกน้ำมันเบนซิน 91 ยูโร 3 ได้รับมูลค่าลดลง เมื่อเทียบกับราคาในประเทศ 0.45 บาทต่อลิตร) ดังนั้น หากผ่อนผันให้ SPRC จำหน่ายน้ำมันภายในประเทศได้โดยไม่ต้องส่งออก ควรมีการปรับ หรือเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จาก SPRC ในส่วนของน้ำมันที่ไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4 ตามมูลค่าที่ลดลงเนื่องจากการส่งออก ในอัตรา 0.48 บาทต่อลิตร โดยเพิ่มจากเดิมที่กำหนดให้ส่ง 0.48 บาทต่อลิตร รวมเป็นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเพิ่ม 0.96 บาทต่อลิตร
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเพิ่มสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในราชอาณาจักรที่ไม่ได้มาตรฐานน้ำมันยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2555 จนถึงวันที่สามารถจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ ดังนี้
ชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิง | อัตราเงินส่งเข้ากองทุน ส่วนเพิ่ม | |
น้ำมันเบนซิน 95 | 0.96 | บาทต่อลิตร |
น้ำมันเบนซิน 91 | 0.96 | บาทต่อลิตร |
น้ำมันเบนซินพื้นฐาน | 0.96 | บาทต่อลิตร |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 0.86 | บาทต่อลิตร |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 0.86 | บาทต่อลิตร |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 |
0.77 0.14 |
บาทต่อลิตรบาทต่อลิตร |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
เรื่องที่ 5 แนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ซึ่งเห็นชอบดังนี้ 1) นโยบายการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ประกอบด้วยแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ก๊าซ NGV และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และ 2) แนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันฯ ดังนี้ (1) เห็นชอบแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันฯ โดยการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน วงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาประมาณ 1 ปี โดยให้ สบพน. ขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้คืนได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม หากกรณีกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องคงเหลือ ไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ และวงเงินสินเชื่อเป็นวงเงินที่สถาบันการเงินรับรองการเบิกเงินได้อย่างแน่นอน (Committed Line) และ (2) หากรัฐบาลมีการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ ก็ตาม ที่อาจส่งผลกระทบถึงฐานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ และ/หรือ ความสามารถในการชำระหนี้ของ สบพน. ให้ กพช. มีมาตรการในการให้ความคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ของ สบพน. ให้ได้รับชำระหนี้อย่างครบถ้วนตามกำหนดเวลา
2. เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 คณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้พิจารณาแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันฯ ซึ่งที่ประชุมฯ มีความเห็นว่า การกู้ยืมจากธนาคารออมสินจะมีค่าธรรมเนียมที่แพงกว่าธนาคารกรุงไทยร้อยละ 0.1 ต่อปีของวงเงินสินเชื่อ ในขณะที่ธนาคารกรุงไทย ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมใดๆ ซึ่ง สบพน. ได้ให้โอกาสธนาคารออมสิน ทบทวนผลการพิจารณาโดยของดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวแล้ว แต่ธนาคารออมสินไม่สามารถแจ้งผลการพิจารณาได้ทันตามกำหนด ทั้งนี้ สบพน. มีความจำเป็นต้องเบิกใช้สินเชื่อเป็นการด่วนในช่วงต้นเดือน มกราคม 2555 จึงไม่อาจขยายระยะเวลาการพิจารณาแก่ธนาคารออมสินได้อีก ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้ สบพน. กู้ยืมเงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในวงเงิน 10,000 ล้านบาท เพียงแห่งเดียว เพื่อมิให้วงเงินสินเชื่อรวมเกินกว่าที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554
3. สบพน. ได้ลงนามในเอกสารคำขอสินเชื่อธุรกิจ และสัญญารับชำระหนี้กับธนาคารกรุงไทย เป็นจำนวนเงิน 10,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2555 และเริ่มทยอยเบิกเงินกู้ ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ซึ่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 สบพน. เบิกเงินกู้ไปแล้วทั้งสิ้น 5,303 ล้านบาท โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ระยะเวลา 90 วัน
4. เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 กบง. ได้มีมติ (1) เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ในอัตรา 1.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555 เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 1.4018 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555 และเห็นชอบการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อลิตร '>โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป จากการกำหนดอัตราเงินชดเชย และการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กบง. ส่งผลต่อฐานะกองทุนฯ ณ วันที่ 4 มีนาคม 2555 โดยกองทุนมีฐานะสุทธิติดลบ 20,063 ล้านบาท
5. การเพิ่มขึ้นของราคาก๊าซ LPG CP รายเดือนในช่วง ปี 2554 ถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าราคาก๊าซ LPG CP ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 มีราคาเฉลี่ย 1,022 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวสูงขึ้นจากปี 2554 ค่อนข้างมาก ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ประมาณ 160,222 ตัน และในเดือนมีนาคม 2555 ประมาณ 180,000-198,000 ตัน สูงกว่าช่วงที่ผ่านมา (ปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ปี 2554 เฉลี่ย 119,922 ตันต่อเดือน) เนื่องจากโรงแยกก๊าซในประเทศ (โรงแยกก๊าซที่ 6 และโรงแยกก๊าซที่ 1) ปิดซ่อมบำรุง จึงต้องนำเข้าก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนกำลังการผลิตที่หายไป
6. สบพน. ได้จัดทำประมาณการงบกระแสเงินสด เพื่อประเมินผลกระทบจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาก๊าซ LPG และการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 โดยจัดทำเป็น 6 กรณีศึกษา และใช้สมมติฐาน อัตราแลกเปลี่ยน 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ประมาณอัตราเงินชดเชย LPG เป็นดังนี้
อัตราเงินชดเชย (บาท/กก.) | ||
กรณีราคา LPG 1,100 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน | กรณีราคา LPG 1,200 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน | |
LPG นำเข้าจากต่างประเทศ | -25.6370 | -28.7370 |
LPG จากโรงกลั่นในประเทศ | -18.0705 | -20.4265 |
สรุปการประมาณการ ตามกรณีศึกษาต่างๆ ดังนี้
กรณีศึกษาที่ | สมมติฐาน | ผลกระทบต่อกระแสเงินสดของกองทุนฯ | |||
ปริมาณนำเข้า LPG (ตัน/เดือน) | ระยะเวลาจ่ายเงินชดเชย | วงเงินกู้ที่ต้องการ รวม (ล้านบาท) | เดือนที่วงเงินกู้ เริ่มเกิน 10,000 ล้านบาท | ระยะเวลาชำระคืนหนี้ นับจากเบิกเงินกู้ | |
กรณีศึกษาที่ 1 ราคาก๊าซ LPG เท่ากับ 1,100 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ในปี 2555 และ 850 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ในปี 2556* | |||||
1 | 130,820-149,730 | 1 เดือน นับจากเกิดภาระหนี้ | 21,700 | มีนาคม 2555 | 24 เดือน (ธันวาคม 2556) |
กรณีศึกษาที่ 2 ราคาก๊าซ LPG เท่ากับ 1,200 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ในปี 2555 และ 850 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ในปี 2556* | |||||
2 | 170,000 | 1 เดือน นับจากเกิดภาระหนี้ | 35,600 | มีนาคม 2555 | 33 เดือน (กันยายน 2557) |
หมายเหตุ * ประมาณการราคาก๊าซ LPG ในปี 2556 เท่ากับ 850 เหรียญสหรัฐฯ/ต้น โดยคำนวณจากราคาเฉลี่ยในปี 2554
จากประมาณการทั้งสองกรณีศึกษา กองทุนน้ำมันฯ มีความต้องการวงเงินสินเชื่อเกินกว่าวงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยเริ่มเกินวงเงินในเดือนมีนาคม 2555 เป็นต้นไป และมีระยะเวลาชำระคืนเกินว่า 1 ปี ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554
7. เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 คณะอนุกรรมการด้านจริยธรรม ธรรมาภิบาล และบริหารความเสี่ยง สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้มีมติเห็นควรให้ สบพน. เตรียมจัดหาเงินกู้เพิ่มอีกประมาณ 20,000 ล้านบาท (รวมวงเงินกู้เดิม 10,000 ล้านบาท เป็นวงเงินกู้ทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท) เพื่อเสริมสภาพคล่องของกองทุนฯ รวมทั้งขยายระยะเวลาการชำระคืนหนี้ให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดของกองทุนฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2555 คณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้เห็นชอบให้เสนอเรื่องแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันฯ วงเงินเพิ่มเติมอีกประมาณ 20,000 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินกู้ทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี และขยายระยะเวลาชำระคืนหนี้ วงเงินกู้เดิม 10,000 ล้านบาท จากระยะเวลาชำระหนี้ 1 ปี เป็น 3 ปี ต่อ กบง. พิจารณาต่อไป และมอบหมายให้ สนพ. ศึกษาแนวทางปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ในกรณีที่กองทุนน้ำมันฯ ต้องกู้เพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท ซึ่งการขยายระยะเวลาชำระคืนหนี้ในครั้งนี้ เป็นไปตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ซึ่งเห็นชอบแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันฯ โดยการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน วงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาประมาณ 1 ปี โดยให้ สบพน. ขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้คืนได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม หากกรณีกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องคงเหลือไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการขยายระยะเวลาการชำระคืนหนี้วงเงินกู้ยืมเดิม 10,000 ล้านบาท จาก 1 ปี เป็นระยะเวลา 3 ปี และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และ/หรือออกตราสารหนี้ เพิ่มอีกในวงเงิน 20,000 ล้านบาท มีระยะเวลาการชำระหนี้ภายใน 3 ปี ซึ่งจะทำให้ สบพน. มีวงเงินกู้ยืมทั้งสิ้นไม่เกิน 30,000 ล้านบาท โดยให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้คืนได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม หากกรณีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสภาพคล่องคงเหลือไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ และวงเงินสินเชื่อเป็นวงเงินที่สถาบันการเงินรับรองการเบิกเงินได้อย่างแน่นอน (Committed Line)
2. หากรัฐบาลมีการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบถึงฐานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ/หรือ ความสามารถในการชำระหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ควรขอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีการประสานงานกับรัฐบาลเพื่อให้มีมาตรการในการให้ความคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงานให้ได้รับชำระหนี้อย่างครบถ้วนตามกำหนดเวลา
3. เห็นชอบให้เสนอแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามข้อ 1 และ 2 ต่อคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังได้มีมติเห็นชอบโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2554 ถึงเดือนพฤษภาคม 2555 มีเป้าหมายรับจำนำมันสำปะหลังทั้งสิ้น 15 ล้านตัน ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอโครงการแทรกแซงมันสำปะหลังปี 2554/55 โดยตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2555 ราคารับจำนำหัวมันสด (ตามเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งที่ร้อยละ 25) อยู่ที่ 2.75 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 10 ล้านตัน จำกัดการรับจำนำอยู่ที่ 250 ตันต่อราย และปรับขึ้นราคาการรับจำนำทุกเดือนๆ ละ 5 สตางค์ เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายการรับจำนำมันสำปะหลังของรัฐบาลและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง กระทรวงพลังงาน จึงมีโครงการส่งเสริมการรับซื้อเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังสำหรับการใช้เป็นเชื้อเพลิงให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้ดูดซับปริมาณมันสำปะหลังในระบบ และส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น
2. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ประชุมร่วมกับผู้ประกอบการโรงงานเอทานอล และขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงงานเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังที่รับซื้อมันสำปะหลังในโครงการ ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2555 กรมธุรกิจพลังงาน (ธ.พ.) ได้ประชุมร่วมกับ สนพ. พพ. และผู้ค้ามาตรา 7 เพื่อนำเสนอแนวทางการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการรับซื้อเอทานอลจากมันสำปะหลัง และขอความร่วมมือผู้ค้ามาตรา 7 ให้รับซื้อเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังในโครงการดังกล่าว
3. เป้าหมายปริมาณรับซื้อมันสำปะหลังและเอทานอลตามโครงการ มีปริมาณมันสำปะหลังที่รับซื้อตามโครงการจำนวน 75,000 ตันต่อเดือน และปริมาณเอทานอลที่จำหน่ายตามโครงการ 400,000 ลิตรต่อวัน หรือเป็นจำนวนทั้งสิ้น 24,400,000 ลิตร (เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2555) ซึ่งมีโรงงานเอทานอลที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 3 ราย คือโรงงานที่ 1, 2 และ 3 มีโควตาเบื้องต้นที่ผลิตและจำหน่ายเอทานอลในโครงการ จำนวน 3,050,000 ลิตร 10,657,000 ลิตร และ 10,657,000 ลิตร ตามลำดับ ซึ่งโรงงานที่ 1 และ 2 จะตั้งจุดรับจำนำที่ลานมันของบริษัท รับซื้อมันสดในเดือนมีนาคม 2555 ตั้งแต่วันที่ กบง. มีมติเห็นชอบโครงการ โดยซื้อให้ครบจำนวนภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2555 ราคารับจำนำมันสด 2.80, 2.85 และ 2.90 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนมีนาคม เมษายน และพฤษภาคม ตามลำดับ และโรงงานที่ 3 ซึ่งไม่มีลานมัน จะรับซื้อมันเส้นที่ผลิตจากลานมันในโครงการ โดยมีต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่เกิน 50 กิโลเมตรแรก)
4. การชดเชยราคาเอทานอล
เงินชดเชย = ราคาเอทานอลจากมันสำปะหลัง (Cost Plus) - ราคาอ้างอิงเอทานอลจากกากน้ำตาล
โดย ราคาเอทานอลจากมันสำปะหลัง (Cost Plus) ที่นำมาคิดจะแบ่งเป็น 2 กรณี
1) กรณีผู้ผลิตเอทานอลเป็นจุดรับจำนำ(ลานมัน)
สถานที่รับจำนำ, แปรสภาพ และโรงงานเอทานอลเป็นสถานที่เดียวกัน ทำให้ราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอลซื้อจาก อคส. ไม่มีต้นทุนการขนส่งมันเส้นจากลานมันไปคลังกลาง ซึ่งจะมีวิธีการคิดราคาเอทานอลจากมันสำปะหลัง (Cost Plus)
= (ต้นทุนวัตถุดิบ + ค่าแปรสภาพเป็นมันเส้น*) + ค่าการผลิตเอทานอล
2) กรณีผู้ผลิตเอทานอลเป็นคลังกลางเก็บมันเส้น(ไม่มีลานมัน)
สถานที่รับจำนำ,แปรสภาพ และโรงงานเอทานอลเป็นคนละสถานที่ ทำให้ราคามันเส้นมีต้นทุนการขนส่งมันเส้นจากลานมันไปคลังกลางเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีวิธีการคิด ราคาเอทานอลจากมันสำปะหลัง (Cost Plus)
= (ต้นทุนวัตถุดิบ + ค่าแปรสภาพเป็นมันเส้น* +ค่าขนส่งมันเส้น**) + ค่าการผลิตเอทานอล
* ค่าแปรสภาพเป็นมันเส้น = 380 บาทต่อตัน (0.38 บาทต่อกิโลกรัม)
** ค่าขนส่งมันเส้น = 100 บาทต่อตัน (0.10 บาทต่อกิโลกรัม)
ราคาเอทานอลจากกากน้ำตาล เป็นราคาซื้อขายเอทานอลล่วงหน้า ในไตรมาสที่ 2 (เมษายน - มิถุนายน 2555) ในราคา 19.00 บาทต่อลิตร
5. วิธีการชดเชยราคาเอทานอล มีดังนี้ (1) โรงงานเอทานอลที่จะขอรับการชดเชยต้องแจ้งหลักฐานการรับซื้อมันสำปะหลัง/มันเส้น ซึ่งองค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงพาณิชย์ ออกเอกสารการสั่งจ่ายสินค้าที่ระบุปริมาณ, มูลค่า, ชื่อลานมัน/คลังสินค้าที่จ่ายมันเส้นให้โรงงานเอทานอล และลงชื่อจ่ายสินค้าโดยผู้มีอำนาจที่ได้รับมอบหมายจาก อคส. และปริมาณการขายเอทานอล ที่จะนำมาใช้แสดงต่อ พพ. (2) พพ. ตรวจสอบหลักฐานความถูกต้องของปริมาณและราคาการรับซื้อมันสำปะหลัง/มันเส้น และการขายเอทานอลที่จำหน่ายให้ผู้ค้ามาตรา 7 ซึ่งได้รับแจ้งจากโรงงานผลิตเอทานอลที่เข้าร่วมโครงการ และแจ้งยืนยันปริมาณและจำนวนเงินที่ขอชดเชยไปยัง สนพ. (3) สนพ. ทำหนังสือแจ้งให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) จ่ายเงินชดเชยให้โรงงานเอทานอล และ (4) สบพน. จ่ายเงินชดเชยให้โรงงานเอทานอล
6. ประมาณการวงเงินชดเชยขั้นสูงในวงเงิน 187,346,250 ล้านบาท โดยขอความเห็นชอบแนวทางการชดเชย และขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยการส่งเสริมการรับซื้อเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงมันสำปะหลัง ปี 2554/2555 ของกระทรวงพาณิชย์ ในวงเงิน 180 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการกำหนดแนวทางการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) เป็นประธานกรรมการ มีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ และมีผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นเลขานุการคณะกรรมการ
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประสานหารือกับสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตรวจสอบข้อกฎหมายเกี่ยวกับการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มาใช้ในโครงการและจ่ายชดเชยโดยตรงให้กับโรงงานเอทานอลเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย
3. เห็นควรให้คณะกรรมการฯ ที่จัดตั้งขึ้นตามข้อ 1 ดำเนินการสอบทานข้อมูลเกี่ยวกับราคาซื้อขายของเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลตามความเป็นจริง พร้อมทั้งกำหนดกลไกการตรวจสอบในการชดเชยราคาเอทานอล
เรื่องที่ 7 สถานการณ์พลังงานเดือนกุมภาพันธ์ 2555
สรุปสาระสำคัญ
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ได้รายงานสถานการณ์น้ำมันเชื้อเพลิง ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 สรุปได้ดังนี้
1) น้ำมันเบนซิน การใช้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2555 เพียงเล็กน้อย อยู่ที่ 20.5 ล้านลิตรต่อวัน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรัฐบาลเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและแก็สโซฮอลเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 แต่ราคาขายปลีกปรับตัวขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2555
2) น้ำมันดีเซล การใช้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2555 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้ที่ชะลอตัวลง ในเดือนมกราคม ประกอบกับเป็นช่วงฤดูพืชผลทางการเกษตร ทำให้มีการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อขนส่งสินค้าทางการเกษตรเพิ่มขึ้น
3) ก๊าซ LPG การใช้ลดลงจากเดือนมกราคม 2554 คิดเป็นร้อยละ 12 แบ่งเป็น (1) ภาคครัวเรือน ลดลงร้อยละ 5 แต่เมื่อเปรียบเทียบการใช้ต่อวันเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ซึ่งการใช้ก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังจากหมดช่วงวิกฤตอุทกภัยในเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2554 (2) ภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 หลังการใช้ได้ปรับลดลงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 ตามนโยบายการปรับเพิ่มราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมไตรมาสละ 3 บาทต่อกิโลกรัม และภาวะวิกฤตอุทกภัยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ปัจจุบันราคาขายปลีกอยู่ที่ 29.13 บาทต่อกิโลกรัม (3) ภาคขนส่ง ลดลงร้อยละ 8 เนื่องจากการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ในภาคขนส่งเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ 19.63 บาทต่อกิโลกรัม ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 และ (4) ภาคปิโตรเคมี ลดลงร้อยละ 20 เนื่องจาก โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 ของ ปตท. ได้ลดกำลังการผลิตลง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 100 - วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2555 (ครั้งที่ 100)
เมื่อวันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG และ NGV ในภาคขนส่ง
2. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล
3. เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2555
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG และ NGV ในภาคขนส่ง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ดังนี้ (1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีก NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555 (2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ถึงเดือนเมษายน 2555 (3) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (4) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) โดยปรับพร้อมกับการขึ้นราคา NGV 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (5) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (6) มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ
2. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ (1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - ธันวาคม 2555 (2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยของก๊าซ NGV ลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เดือนเมษายน 2555 (3) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ออกประกาศ กบง. เรื่อง อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ฉบับที่ 10 โดยกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 ในอัตรากิโลกรัมละ 1.50 บาท และฉบับที่ 16 กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป ในอัตรากิโลกรัมละ 1.50 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ปรับเพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 9.00 บาทต่อกิโลกรัม
3. กบง. เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) เห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง (3) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ในช่วงวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรา 0.7009 บาทต่อกิโลกรัม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ก่อนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555
4. สนพ. ได้ออกประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง จำนวน 2 ฉบับ โดยฉบับที่ 3 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มตามระยะเวลาและในอัตราที่เพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 16 - 31 มกราคม 2555 อัตรากิโลกรัมละ 0.7009 บาท และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 เพิ่มขึ้นในอัตรากิโลกรัมละ 0.7009 บาทต่อเดือน ไปสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2556 ที่อัตราราคากิโลกรัมละ 10.4154 บาท และฉบับที่ 19 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรากิโลกรัมละ 0.7009 บาท เป็นต้นไป
5. เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 และมติ กบง. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 จึงเสนอให้ปรับลดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ลง 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากชดเชย 1.50 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 1.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV เพิ่มขึ้นจาก 9.00 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 9.50 บาทต่อกิโลกรัม และเพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 และมติ กบง. เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 จึงเสนอปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง จาก 0.7009 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 1.4018 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นจาก 18.83 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 19.58 บาทต่อกิโลกรัม
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอให้ กบง. พิจารณาดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ในอัตรา 1.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555 (2) ขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ในอัตรา 1.4018 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555 (3) ขอความเห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ โดยขอยกเลิกข้อความในข้อ 2 และ เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง และ (4) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ในอัตรา 1.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555
2. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 1.4018 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2555
3. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ และ เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง โดยให้ยกเลิกข้อความในข้อ 2 ของร่างประกาศและให้ปรับข้อความในข้อ 3 เป็นข้อ 2 แทน
4. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554เกี่ยวกับแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล เดือนละ 1 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง. พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว อัตรา 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง. พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม
2. กบง. เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในเดือนมกราคม 2555 โดยให้ สนพ. ออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และให้ สนพ. นำเสนอ กพช. พิจารณามอบหมายให้ กบง. กำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ
3. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 มีเงินสดในบัญชี 2,988 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 20,623 ล้านบาท แยกเป็นหนี้อยู่ระหว่างการเบิกจ่ายชดเชย 20,469 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 154 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิติดลบ 17,635 ล้านบาท
4. ในการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร และให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ 0.60 บาทต่อลิตร จากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะมีผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น 1.07 บาทต่อลิตร ราคาน้ำมันดีเซลคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และกองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 21 ล้านบาท จากติดลบวันละ 142 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 121 ล้านบาท
5. จากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามข้อ 4 จะทำให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 แก๊สโซฮอล E20 และแก๊สโซฮอล E85 อยู่ในอัตรา 0.60 -0.80 และ -12.60 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าที่เคยกำหนดไว้เดิมเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 ที่อัตรา 0.10 -1.30 และ -13.50 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ดังนั้น จึงเห็นควรให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำข้อเสนอการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแต่ละชนิดไม่สูงเกินกว่าอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้แล้วนำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป นอกจากนี้ พบว่าส่วนต่างราคาของน้ำมันเบนซิน 91 กับแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 1.28 บาทต่อลิตร ขณะที่ส่วนต่างราคา ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554 อยู่ที่ 4.90 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ผู้ใช้น้ำมันเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซิน 91 มากขึ้น จากเดิม 8.30 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มเป็น 9.90 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่แก๊สโซฮอล 95 มีการใช้ลดลงจาก 6.05 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 4.96 ล้านลิตรต่อวัน ดังนั้น เพื่อจูงใจให้ผู้ใช้น้ำมันเปลี่ยนมาใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มมากขึ้น จึงควรขยายส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซิน 91 กับแก๊สโซฮอล 95 ให้มากขึ้น โดย ทยอยปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันเบนซิน 95 ให้มีส่วนต่างกับราคาแก๊สโซฮอล 95 ในระดับที่เหมาะสม และให้ สนพ. ติดตามประเมินผลการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในแต่ละเดือนพร้อมให้ความเห็นประกอบการพิจารณาของ กบง. ในการประชุมครั้งต่อๆ ไป
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลขึ้น 1.00 บาทลิตร ส่งผลให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 2.00 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 2.20 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 อยู่ที่ 0.60 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ชดเชยที่ 0.80 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ชดเชยที่ 12.60 บาทต่อลิตร โดยให้ สนพ. ไปออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป และให้ สนพ. จัดทำข้อเสนอการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันฯ โดยการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแต่ละชนิดไม่สูงเกินกว่าอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554 แล้วนำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 1.00 | 2.00 | +1.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 1.00 | 2.00 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.20 | 2.20 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -0.40 | 0.60 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -1.80 | -0.80 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -13.60 | -12.60 | +1.00 |
น้ำมันดีเซล | 0.60 | 0.60 | - |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจัดทำข้อเสนอการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแต่ละชนิดไม่สูงเกินกว่าอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554 นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
เรื่องที่ 3 เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2555
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณ นำระบบการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากล และมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ซึ่งกองทุนน้ำมันฯ เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป
2. เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2555 กรมบัญชีกลาง ได้รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง โดยได้ให้ความเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2554 ปรากฏว่าผลการดำเนินงานอยู่ที่ระดับ 3.8370 คะแนน (สูงกว่าค่าปกติ/สูงกว่า 3 คะแนน)
3. ในเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2554 สนพ. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กรมบัญชีกลาง และบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีบัญชี 2555 โดยสรุปเกณฑ์การประเมินผลฯ ดังนี้
3.1 ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ประกอบด้วย 4 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากความสามารถในการหาเงินกู้ของกองทุน (2) อัตราผลตอบแทนจากการบริหารเงินฝากของกองทุนฯ (3) ร้อยละของความสำเร็จของโครงการที่ใช้งบประมาณของกองทุนฯ เมื่อเทียบกับแผนงานโครงการที่อนุมัติ และ (4) การจัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 170 ให้กรมบัญชีกลาง
3.2 ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ประกอบด้วย 4 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) ร้อยละความคลาดเคลื่อนของการพยากรณ์ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 6 ประเภท เทียบกับข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) รอบ 12 เดือน (2) ร้อยละของการเผยแพร่การวิเคราะห์ภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้นตามประกาศ กบง. ทางเว็ปไซต์ของ สบพน. ได้ภายใน 1 วันทำการ หลังจากการรับแจ้งประกาศ กบง. จาก สนพ. และการเผยแพร่ภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้ประชาชนทราบรายสัปดาห์ (3) การรักษามาตรฐานระยะเวลาการจ่ายเงินให้หน่วยเบิกนับแต่วันที่ได้รับเอกสารในการจ่ายชดเชยตามประกาศ กบง. และ (4) การรักษามาตรฐานระยะเวลาในการจ่ายเงินให้หน่วยเบิกนับแต่วันที่ได้รับเอกสารในการจ่ายชดเชยก๊าซแอลพีจีนำเข้าจากต่างประเทศ
3.3 การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) ร้อยละของระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ และ (2) ระดับความสำเร็จของการนำข้อคิดเห็นจากการสำรวจความพึงพอใจไปปรับปรุง
3.4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย 6 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) บทบาทคณะกรรมการทุนหมุนเวียน (2) การบริหารความเสี่ยง (3) การควบคุมภายใน (4) การตรวจสอบภายใน (5) การบริหารจัดการสารสนเทศ และ (6) การบริหารทรัพยากรบุคคล
4. เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2554 กรมบัญชีกลางได้จัดส่ง "บันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2555 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" มาให้ และขอให้ผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว และส่งคืนกรมบัญชีกลาง ซึ่งการนำเสนอให้ผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงฯ จะต้องผ่านความเห็นชอบจาก กบง. ก่อน ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำเสนอ กบง. เพื่อขอความเห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีบัญชี 2555 และมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2555 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ เสนอประธาน กบง. ลงนามต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2555 และมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2555 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เสนอประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานลงนามต่อไป
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ได้รายงานสถานการณ์น้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงปี 2554 ถึงต้นปี 2555 สรุปได้ดังนี้
(1) น้ำมันเบนซิน ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2554 ได้มีการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 และ 95 ลง ทำให้ผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซิน 91 มากขึ้น จากเดิมเฉลี่ยครึ่งปีแรกของปี 2554 อยู่ที่ประมาณ 7.5 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 9 - 10 ล้านลิตรต่อวัน และในช่วงเวลาเดียวกัน น้ำมันเบนซิน 95 มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 และ 95 E10 มีปริมาณการใช้ลดลง น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E20 มีการใช้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากมีสถานีบริการน้ำมันฯ จำนวนน้อย น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นมากในช่วงเดือนธันวาคม 2554
(2) น้ำมันดีเซล ในช่วงต้นปี 2554 รัฐบาลมีนโยบายตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไว้ที่ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2554 ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซลเกรดเดียว คือน้ำมันดีเซล บี5 ซึ่งปัญหาของน้ำมันดีเซล บี5 คือ การขาดแคลนปาล์มน้ำมันเนื่องจากอาจมีการส่งออกปาล์มในช่วงราคาที่มาเลเซียสูงกว่าราคาในประเทศ ซึ่ง ธพ. ได้ประสานกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ ให้ช่วยควบคุมการส่งออกเพื่อให้สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบให้เพียงพอต่อการใช้ ทั้งนี้ ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล โดยในช่วงฤดูฝนปริมาณการใช้จะลดลงอยู่ในช่วง 48 - 50 ล้านลิตร และในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2554 ปริมาณการใช้จะเพิ่มสูงขึ้น
(3) ก๊าซ LPG มีปริมาณการใช้ประมาณ 500,000 - 550,000 ตันต่อเดือน อัตราการใช้ในภาพรวมเพิ่มประมาณร้อยละ 7 - 9 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าปกติ ในภาคอุตสาหกรรม ช่วงต้นปี 2554 มีปริมาณการใช้ประมาณ65,000 ตันต่อเดือน หลังจากทยอยปรับเพิ่มราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ทำให้ปริมาณการใช้ลดลงอยู่ประมาณ 50,000 ตันเดือน ในขณะเดียวกันปริมาณการใช้ในภาคครัวเรือนเพิ่มใกล้เคียงกับในปีก่อนหน้าคือร้อยละ 7 - 9 ส่วนในภาคขนส่ง แม้ว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับสูงแต่ปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ยังคงมีการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 อยู่ที่ประมาณ 60,000 - 70,000 ตันต่อเดือน และในเดือนมกราคม 2555 อยู่ที่ 92,000 ตันต่อเดือน และในภาคปิโตรเคมี ปกติมีการใช้อยู่ที่ประมาณ 190,000 - 200,000 ตันต่อเดือน
(4) มาตรการการป้องกันการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท ซึ่ง ธพ. ได้มีการประชุมชี้แจงผู้ค้าก๊าซ LPG ให้ทราบถึงขั้นตอนรายงานการค้าก๊าซ LPG และมาตรการในการตรวจสอบสถานประกอบการให้เห็นถึงผลกระทบที่จะตามมาและโทษของการลักลอบถ่ายเท LPG มีการให้ความรู้และขอความร่วมมือหน่วยงานราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของราคาก๊าซ LPG ในประเทศเพื่อนบ้านอยู่ในระดับสูงกว่าราคาในประเทศมาก ซึ่งทำให้เกิดการลักลอบถ่ายเทก๊าซ LPG ในแถบชายแดน จังหวัดสระแก้ว และ จังหวัดตาก เป็นต้น ซึ่ง ธพ. ได้มีมาตรการป้องกันและตรวจสอบการลักลอบ ได้แก่ การแก้ไขระเบียบ ธพ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การสั่งพักใช้หรือเพิกถอนการอนุญาตให้มอบหมายดำเนินการบรรจุก๊าซแทน พ.ศ. 2547 ให้มีบทลงโทษเข้มงวดขึ้น รวมทั้งจัดตั้งทีมงานตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายของโรงบรรจุก๊าซ และสถานีบริการในพื้นที่เป้าหมาย ประกอบด้วย ธพ., สำนักงานพลังงานจังหวัด เจ้าหน้าที่จากกรมศุลกากร และตำรวจ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 99 - วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2555 (ครั้งที่ 99)
เมื่อวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (2) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (3) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
ทั้งนี้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และพิจารณาการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ต่อไป
2. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 เห็นชอบแนวทาง การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง ดังนี้ (1)เห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาท/กก. (0.41 บาท/ลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง (3) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
3. สนพ. ได้ออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2555 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยตั้งแต่วันที่ 16 - 31 มกราคม 2555 ในอัตรา 0.7009 บาท/กก. และในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรา 1.4018 บาท/กก.
4. จากประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ดังกล่าว ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 หรือวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับข้อกฎหมายในการบังคับใช้จากการออกประกาศให้สอดคล้องกับมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 และเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดระยะเวลาบังคับใช้ สนพ. จึงได้ดำเนินการออกประกาศ ฉบับที่ 17 โดยให้การปรับขึ้นราคาในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป รวมทั้งการดำเนินการข้างต้นทำให้เกิดช่องว่างในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ระหว่างวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2555
5. ฝ่ายเลขานุการฯได้เสนอประเด็นให้ กบง. พิจารณาดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ในช่วงวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรา 0.7009 บาท/กก. (2) ขอความเห็นชอบในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2555 เป็นต้นไป โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในเดือนต่อๆไป (3) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ในช่วงวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรา 0.7009 บาทต่อกิโลกรัม
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณารายละเอียดในการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ซึ่งเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554
กบง. ครั้งที่ 98 - วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2555 (ครั้งที่ 98)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
3. การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้
1) ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในระดับราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และคงอัตราเงินชดเชย 2 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 15 มกราคม 2555 2) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึง ธันวาคม 2555 เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ใช้ NGV มากเกินไป 3) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555 และ 4) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป
2. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้
2.1 การปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 โดยทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - ธันวาคม 2555 และทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555
2.2 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.) ให้มีการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 -31 มกราคม 2555 ในอัตรา 0.50 บาท ต่อกิโลกรัม และให้ทยอยปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 3 ครั้ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2555 และให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมันเดือนละ 2.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ธันวาคม 2555 ทั้งนี้ เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนนี้ จะใช้เป็นเงินส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในโครงการบัตรเครดิตพลังงาน
3. เพื่อให้สามารถดำเนินการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ NGV ที่จำหน่ายให้รถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จึงได้ดำเนินการจัดทำร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2555 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น ทั้งนี้ ร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในขั้นต้นแล้ว
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ที่ .../2555 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. มอบให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบความถูกต้องของร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ .../2555 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง อีกครั้งก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การชะลอการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันดีเซล เป็นการชั่วคราว โดยมอบหมายให้ กบง. รับไปกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรกของรัฐบาล ต่อมาเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 กบง. ได้เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 จากเดิม 7.50 บาทต่อลิตร เป็น 0.00 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 91 จากเดิม 6.70 บาทต่อลิตร เป็น 0.00 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลจากเดิม 2.80 บาทต่อลิตร เป็น 0.00 บาทต่อลิตร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2554 เป็นต้นมา
2. เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล กบง. เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2554 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลง จาก 2.40 บาทต่อลิตร เป็น 1.40 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 จากเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.10 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.40 บาทต่อลิตร และให้ชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เพิ่ม จากชดเชย 1.30 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 2.80 บาทต่อลิตร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป และเนื่องจากน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 มีราคาเท่ากับน้ำมันเบนซิน 91 แต่ค่าความร้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ประมาณร้อยละ 3 ดังนั้น กบง. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 จึงได้เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลง จาก 1.40 บาทต่อลิตร เป็น 0.20 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 เป็นต้นไป
3. กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลเดือนละ 1 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง. พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง.พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม
4. เพื่อลดภาระการชดเชยและเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ จึงมีแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน เดือนละ 1 บาทต่อลิตร ไปจนสู่อัตรา 7.50 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และ (3) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ไปอยู่ที่ 5.00 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ไปอยู่ที่ 3.55 บาทต่อลิตร E20 ไปอยู่ที่ 2.50 บาทต่อลิตร และ E85 ไปอยู่ที่ชดเชย 12.66 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
5. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 10 มกราคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 110.80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 124.15 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 129.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเป็นดังนี้ น้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 40.92 บาท น้ำมันเบนซิน 91 ลิตรละ 36.97 บาท น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลิตรละ 35.69 บาท และน้ำมันดีเซลลิตรละ 29.99 บาท โดยค่าการตลาดน้ำมัน ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2554 อยู่ที่ลิตรละ 5.0867, 1.8436, 0.8742 และ 0.8726 บาท ตามลำดับ
6. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 6 มกราคม 2555 มีเงินสดในบัญชี 3,769 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 18,319 ล้านบาท แยกเป็นหนี้อยู่ระหว่างการเบิกจ่ายชดเชย 18,165 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 154 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิติดลบ 14,550 ล้านบาท
7. เพื่อให้การดำเนินการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละเดือน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทาง ดังนี้
7.1 ขอความเห็นชอบการกำหนดเวลาที่เหมาะสมในการนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาทยอยปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลในแต่ละครั้ง ให้คำนึงถึงผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
7.2 ขอความเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในเดือนมกราคม 2555 ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 0.00 | 1.00 | +1.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 0.00 | 1.00 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 0.20 | 1.20 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.40 | -0.40 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.80 | -1.80 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -13.50 | -13.60 | -0.10 |
น้ำมันดีเซล | 0.00 | 0.60 | +0.60 |
โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
8. จากการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้น ในส่วนของกองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 53.62 ล้านบาท จากติดลบวันละ 97.85 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 44.23 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในเดือนมกราคม 2555 ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 0.00 | 1.00 | +1.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 0.00 | 1.00 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 0.20 | 1.20 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.40 | -0.40 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.80 | -1.80 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -13.50 | -13.60 | -0.10 |
น้ำมันดีเซล | 0.00 | 0.60 | +0.60 |
และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณามอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) กำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 3 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ 1) ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในระดับราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และคงอัตราเงินชดเชย 2 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 15 มกราคม 2555 2) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึง ธันวาคม 2555 เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ใช้ NGV มากเกินไป 3) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555 และ 4) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบให้ กบง. รับไปหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป
2. เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.) กบง. ได้มีมติเห็นชอบโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ วงเงินบัตรเครดิต 3,000 บาท และส่วนลดราคาขายปลีก NGV จากการใช้บัตรเครดิตและเงินสดรวมวงเงิน 9,000 บาท ซึ่งการให้ส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - 31 ธันวาคม 2558 ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2554 กลุ่มผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุกขนส่งได้เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เกี่ยวกับการทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ได้เชิญกลุ่มผู้ร้องเรียนหารือร่วมกัน และผลการหารือได้กำหนดให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อทบทวนการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV โดยมีภาครัฐและกลุ่มผู้ประกอบการร่วมเป็นคณะทำงาน
3. เนื่องจากโครงการบัตรเครดิตพลังงาน เป็นการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้มีนโยบายขยายกลุ่มการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น ได้แก่ รถร่วมโดยสารประจำทาง ขสมก. รถมินิบัสร่วม ขสมก. และรถสองแถวร่วม ขสมก. โดยจัดทำบัตรส่วนลดราคาก๊าซ NGV ให้กับกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว รวมทั้งกลุ่มที่ได้รับสิทธิตามโครงการบัตรเครดิตพลังงานเดิมบางส่วน ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินส่วนลดให้กับกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV ในระยะแรกตามโครงการบัตรเครดิตพลังงานมี ปตท. เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการ ดังนั้น จึงเห็นสมควรมอบหมายให้ ปตท. เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดทำบัตรส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบัตรส่วนลดที่เกิดขึ้น
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับไปดำเนินการจัดทำบัตรส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV และเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรส่วนลดต่อไป
กบง. ครั้งที่ 97 - วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 39/2554 (ครั้งที่ 97)
เมื่อวันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
2. หลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามมาตรฐานยูโร 4
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (2) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (3) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และพิจารณาการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ต่อไป
2. การปรับราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอปรับราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 โดยเริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน และกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป เพื่อให้สามารถเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้จัดทำร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง
โครงสร้างราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
3. การปรับราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ดำเนินการการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เพื่อให้สามารถกำหนดให้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และจัดทำร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม โดยที่คำสั่งนายกรัฐมนตรี และร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานข้างต้นได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอประเด็นเพื่อพิจารณาดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) ขอความเห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (3) ขอความเห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (4) ขอความเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม (5) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป (6) มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ติดตาม ตรวจสอบเพื่อมิให้มีการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท และ (7) มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
3. เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../.... เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม
5. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
6. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ติดตาม ตรวจสอบเพื่อมิให้มีการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท
7. มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการจัดเก็บก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามมาตรฐานยูโร 4
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 ได้มีมติเห็นชอบนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยได้กำหนดมาตรการด้านพลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการพลังงานในรูปแบบต่างๆ คือ กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันสำเร็จรูปให้สูงขึ้นและให้ความสำคัญในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาธุรกิจพลังงาน โดยให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายและผู้ใช้ร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาปัญหาสิ่งแวดล้อม
2. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 เห็นชอบให้มีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยในอนาคต ตามแนวทางของมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงยูโร 4 และให้กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ ปรับลดปริมาณกำมะถันจากไม่สูงกว่า 500 ppm เป็นไม่สูงกว่า 50 ppm ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2549 กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ออกประกาศกำหนดลักษณะและคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอนาคต ให้มีผลบังคับใช้สำหรับน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันมีระยะเวลาในการปรับปรุงการผลิต
3. ปัจจุบันหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
4. การคำนวณต้นทุนส่วนเพิ่มของโรงกลั่น มีขั้นตอนดังนี้ (1) ศึกษาขบวนการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันในไทย (2) ศึกษาวิธีการและต้นทุนของประเทศอื่นๆ ที่ได้นำมาตรฐานยูโร 4 มาใช้ รวมถึงวิธีการ ขั้นตอนการปรับปรุงขบวนการกลั่น และต้นทุนส่วนเพิ่ม (3) วิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด และปรับปรุงข้อมูลต้นทุนให้ได้ต้นทุนที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคมากที่สุด และ (4) นำต้นทุนจากการวิเคราะห์มาคำนวณหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ทั้งนี้ สมมติฐานที่ใช้ในการกำหนดผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสม อายุของหน่วยกลั่นเท่ากับ 20 ปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใช้อัตรา MLR - 2% เนื่องจากกิจการกลั่นน้ำมันมีความมั่นคงและสามารถกู้ได้ในอัตราต่ำกว่าธุรกิจทั่วไป อัตราเงินเฟ้อให้เท่ากับ 3% อัตราทุนต่อหนี้เท่ากับ 1 : 1 ระยะเวลาผ่อนคืนเงินกู้เท่ากับ 10 ปี และอัตราแลกเปลี่ยนที่ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ
5. ผลกระทบจากการปรับน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 มีดังนี้ (1) ประโยชน์ที่ได้รับ ได้แก่ ลดการเกิดก๊าซโอโซนที่เกิดจากน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ลดปริมาณฝุ่นละอองจากเครื่องยนต์ดีเซล ลดปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และสารเบนซีนจากการใช้น้ำมันเบนซิน ลดผลกระทบทางด้านสุขภาพอนามัย เช่น ลดอัตราการเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร ลดอัตราผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง สามารถนำรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำ (รถยนต์ยูโร 4) เข้ามาใช้ในประเทศไทยได้ ซึ่งจะทำให้ลดการระบายมลพิษออกสู่บรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำอุปกรณ์กำจัดมลพิษมาใช้กับรถยนต์ดีเซล ซึ่งจะช่วยลดการระบายมลพิษออกสู่บรรยากาศได้มากขึ้น และ (2) การปรับเพิ่มต้นทุนน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 จะทำให้ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นประมาณ 0.48 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นประมาณ 0.43 บาทต่อลิตร
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอเสนอดังนี้
6.1 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่น เพื่อให้การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นสะท้อนต้นทุนการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 จึงควรปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ดังนี้
6.2 การปรับต้นทุนส่วนเพิ่มยูโร 4 ต้องคำนึงถึงสต๊อกที่คลังน้ำมันก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 และคุณภาพน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมัน ดังนั้น การปรับราคาหน้าโรงกลั่นจึงควรทยอยปรับเพื่อไม่ให้ผู้บริโภครับภาระจากการปรับราคาหน้าโรงกลั่นทันทีและคุณภาพที่ยังไม่ได้มาตรฐานยูโร4 โดยน้ำมันดีเซลใช้เวลาปรับคุณภาพให้ได้มาตรฐานยูโร 4 จากคลังไปจนถึงสถานีบริการน้ำมันประมาณ 9 สัปดาห์ ส่วนน้ำมันเบนซิน ในช่วงแรกยังมีน้ำมันจากโรงกลั่น SPRC เข้ามาในระบบ หลังจากสัปดาห์ที่ 9 SPRC จะนำเข้าน้ำมันเบนซินมาตรฐานยูโร 4 เข้ามาจำหน่าย ทำให้ใช้ระยะเวลาการเปลี่ยนน้ำมันเป็นมาตรฐานยูโร 4 ประมาณ 15 สัปดาห์ ดังนั้น จึงขอความเห็นชอบระยะเวลาและต้นทุนส่วนเพิ่มยูโร 4 สำหรับการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ดังนี้
6.3 เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) ถูกคำสั่งศาลปกครองระงับโครงการที่ดำเนินการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 2 ธันวาคม 2552 ทำให้การดำเนินการติดตั้งการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ล่าช้า SPRC ได้ยื่นหนังสือขอผ่อนผันคุณภาพน้ำมันเบนซินกับกรมธุรกิจพลังงาน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับโรงกลั่นอื่นที่ผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ตามกำหนด จึงควรกำหนดให้ SPRC ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่วนเพิ่มสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในราชอาณาจักรที่ผลิตไม่ได้มาตรฐานน้ำมันยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงวันที่สามารถจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ ดังนี้
โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ดังนี้
2. เห็นชอบระยะเวลาและต้นทุนส่วนเพิ่มยูโร 4 สำหรับการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ดังนี้
3. เห็นชอบให้โรงกลั่นน้ำมันบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเพิ่มสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในราชอาณาจักรที่ผลิตไม่ได้มาตรฐานน้ำมันยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงวันที่สามารถจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
กบง. ครั้งที่ 96 - วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 38/2554 (ครั้งที่ 96)
เมื่อวันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า นายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) จะเป็นประธานในพิธีเปิดตัวโครงการบัตร เครดิตพลังงาน เพื่อช่วยลดภาระค่าเชื้อเพลิงให้กับกลุ่มผู้ประกอบการรถแท็กซี่ รถสามล้อ และรถตู้ร่วม ขสมก. NGV ในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในวันที่ 15 ธันวาคม 2554 เวลาประมาณ 9.30 น. ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
เรื่องที่ 1 การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 ได้เห็นชอบโครงการบัตรเครดิตพลังงาน โดยสรุปได้ดังนี้
1.1 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิง ประมาณ 81,275 คัน (ผู้ขับรถ 156,275 คน) ประกอบด้วย (1) รถแท็กซี่ ประมาณ 75,000 คัน (ผู้ขับรถ 150,000 คน) (2) รถตุ๊กตุ๊ก ประมาณ 1,675 คัน (ผู้ขับรถ 1,675 คน) (3) รถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก. ประมาณ 4,600 คัน (ผู้ขับรถ 4,600 คน) โดยมีหลักการการให้บัตรเครดิตพลังงาน คือ จัดทำบัตรเครดิตพลังงานให้คนขับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิงเป็น "รายบุคคล" และพื้นที่ให้บริการคือสถานีบริการก๊าซ NGV ที่เข้าร่วมโครงการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ประมาณ 200 แห่ง
1.2 วิธีการใช้บัตรเครดิตพลังงาน ต้องใช้บัตร 2 ใบควบคู่กัน คือ บัตรเติมก๊าซ NGV เป็นบัตร Magnetic ประจำรถแต่ละคัน ออกโดย ปตท. เพื่อแสดงสิทธิของรถที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 81,275 ใบ และมี บัตรเครดิตพลังงาน เป็นบัตร Magnetic +Chip รายบุคคล ออกโดยธนาคารกรุงไทย เพื่อแสดงสิทธิการได้รับวงเงินเครดิตพลังงานเป็นรายเดือน จำนวน 156,275 ใบ
1.3 เงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตพลังงาน (1) วงเงินเครดิต 3,000 บาทต่อบัตร ผู้ใช้บัตรจะได้รับเครดิตพร้อมส่วนลดตามกำหนดจนครบวงเงิน (2) เมื่อใช้วงเงินครบ 3,000 บาท แต่ยังไม่ถึงรอบการชำระเงิน ผู้ใช้บัตรยังคงได้รับส่วนลดตามกำหนด โดยต้องชำระเป็นเงินสดแทนแต่ไม่เกินวงเงิน 3,000 บาท (3) ธนาคารจะตัดยอดชำระเงินทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน และกำหนดวันที่ต้องชำระเงินภายในสิ้นเดือน (4) การชำระเงินต้องชำระเต็มวงเงินเท่านั้น (ไม่สามารถชำระบางส่วนได้) เมื่อชำระเงินแล้ววงเงินจะกลับไปที่ 3,000 บาท หากไม่ชำระเงินตามระยะเวลา ที่กำหนดให้ถือว่าผิดเงื่อนไขการใช้บัตรฯ และต้องเสียค่าธรรมเนียมในการชำระล่าช้า ดังนั้น ผู้ใช้บัตรจะไม่ได้รับส่วนลดและต้องชำระค่าก๊าซ NGV ด้วยเงินสด และ (5) ในกรณีที่ผู้ใช้บัตรไม่ชำระเงินตามกำหนดเกิน 2 เดือน ธนาคารจะยกเลิกสิทธิการใช้บัตรดังกล่าวและขึ้นบัญชีไม่สามารถสมัครได้อีก
1.4 สำหรับอัตราเงินชดเชยส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้เท่ากับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมัน และมีระยะเวลาการใช้บัตรเครดิตพลังงานเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2558 และการให้ส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - 31 ธันวาคม 2558
2. สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เรื่อง ปรับราคาแก๊ส โดยขอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาเพิ่มวงเงินในการเติมก๊าซ NGV ในราคาที่ได้ส่วนลดจากเดือนละไม่เกิน 6,000 บาทต่อคน เป็นไม่เกินเดือนละ 9,000 บาทต่อคน เนื่องจากสันนิบาตสหกรณ์ฯ แจ้งว่าการเติมก๊าซ NGV ของแท็กซี่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 300 บาทต่อคน
3. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่า การเพิ่มวงเงินเติมก๊าซ NGV เป็นเดือนละ 9,000 บาทต่อคน จะสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ขับขี่รถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะและสอดคล้องกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือนมากขึ้น จึงเสนอการเปลี่ยนแปลงเฉพาะในส่วนของเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน จากเดิม "วงเงินเครดิต 3,000 บาทต่อบัตร โดยผู้ใช้บัตรจะได้รับเครดิตพร้อมส่วนลดตามกำหนดจนครบวงเงิน เมื่อใช้วงเงินครบ 3,000 บาท แต่ยังไม่ถึงรอบการชำระเงิน ผู้ใช้บัตรยังคงได้รับส่วนลดตามกำหนด โดยต้องชำระเป็นเงินสดแทน แต่ไม่เกินวงเงิน 3,000 บาท" เป็น "แต่ไม่เกินวงเงิน 6,000 บาท" ทั้งนี้ รายละเอียดอื่นๆ ของโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน โดยเพิ่มวงเงินในการเติมก๊าซ NGV ในราคาที่ได้ส่วนลดจากเดือนละไม่เกิน 6,000 บาทต่อคน เป็นไม่เกินเดือนละ 9,000 บาทต่อคน โดยมีวงเงินเครดิต 3,000 บาทต่อบัตร โดยผู้ใช้บัตรจะได้รับเครดิตพร้อมส่วนลดตามกำหนดจนครบวงเงิน เมื่อใช้วงเงินครบ 3,000 บาท แต่ยังไม่ถึงรอบการชำระเงิน ผู้ใช้บัตรยังคงได้รับส่วนลดตามกำหนด โดยต้องชำระเป็นเงินสดแทนแต่ไม่เกินวงเงิน 6,000 บาท
2. เห็นชอบให้ปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินการในข้อ 4.5 ของโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ให้สอดคล้องกับขั้นตอนการดำเนินการในปัจจุบัน ดังนี้
" 4.5 ขั้นตอนการดำเนินการ
(1) ลงนามความร่วมมือโครงการบัตรเครดิตพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) วันที่ 29 พฤศจิกายน 2554
(2) เริ่มใช้บัตรเครดิตพลังงานในโครงการนำร่องจำนวน 150 คัน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไป
(3) เปิดรับสมัครเข้าโครงการ โดยมีจุดรับสมัครเข้าโครงการบัตรเครดิตพลังงานแบบ "One Stop Service" ที่รองรับคนจำนวนมาก ระหว่างวันที่ 15 - 23 ธันวาคม 2554
(4) ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไป เปิดรับสมัครเข้าโครงการได้ที่บริษัทติดตั้งก๊าซ NGV มาตรฐานที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับรอง ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล"
ทั้งนี้ รายละเอียดอื่นๆ ของโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554
กบง. ครั้งที่ 95 - วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 37/2554 (ครั้งที่ 95)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)
2. โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง
3. แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555
4. ผลการตรวจสอบการเบิก-จ่ายและควบคุมเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553 โดยเห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2573 (PDP2010) ซึ่งเป็นแผนหลักในการพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้ากำลัง การรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านพลังงานที่ยั่งยืน และการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อให้การวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้จัดประชุมหารือเรื่อง แนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (ระบบ Smart Grid) ในประเทศไทย เพื่อร่วมระดมความคิดในการวางแนวทางศึกษาและพัฒนาระบบ Smart Grid ที่ชัดเจน และมีประสิทธิภาพ โดยวางแนวทางศึกษาและพัฒนาให้สอดคล้องกับนโยบายพลังงาน และเป้าหมายของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2573 (PDP2010) ที่ใช้ในปัจจุบัน
3. ระบบ Smart Grid หมายถึง ระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และสื่อสาร มาบริหารจัดการ การควบคุมการผลิต การส่ง และการจ่ายพลังงานไฟฟ้า สามารถรองรับการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทางเลือกที่สะอาด หรือระบบแหล่งผลิตไฟฟ้ากระจายตัว (Distributed Generation: DG) และระบบบริหารการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งให้บริการกับผู้เชื่อมต่อกับโครงข่ายผ่านมิเตอร์อัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความมั่นคง และมึคุณภาพเชื่อถือได้
4. การพัฒนาระบบ Smart Grid ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจำเป็นหลัก 2 ด้าน คือ (1) สถานการณ์ทางด้านพลังงานและด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงจากทรัพยากรธรรมชาติ การช่วยส่งเสริมการผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทน และการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (2) โครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงาน ได้แก่ การเพิ่มความมั่นคงของระบบกำลังไฟฟ้า การเพิ่มคุณภาพในการให้บริการ และการรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในอนาคต
5. ระบบ Smart Grid ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลายอย่าง ได้แก่ เทคโนโลยีด้านการตรวจวัด การรับส่งสัญญาณข้อมูลและการทำงานร่วมกับอุปกรณ์และระบบไฟฟ้าอื่นๆ โดยองค์ประกอบทางด้านเทคโนโลยีของระบบ Smart Grid ทั้งหมด ประกอบด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology, ICT) เทคโนโลยีการผลิตพลังงานไฟฟ้า การส่งจ่ายไฟฟ้า (Distributed Generation) เทคโนโลยีการควบคุมโครงข่ายไฟฟ้าอัตโนมัติ (Substation Automation) และเทคโนโลยีมิเตอร์อัจฉริยะ (Advanced Metering Infrastructure: AMI) โดยประโยชน์ที่ได้จากการพัฒนาระบบ Smart Grid คือ (1) เพิ่มความเชื่อถือและความมั่นคงของระบบส่งจ่ายไฟฟ้า ผู้ใช้ไฟฟ้ามีส่วนร่วมในการทำงานของระบบ Smart Grid มากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของการไฟฟ้า ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดปริมาณการใช้น้ำมัน
6.เพื่อให้การศึกษาแนวทางการพัฒนา และการจัดทำร่างแผนการพัฒนาระบบ Smart Grid ในประเทศมีความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาด้านพลังงานของประเทศ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบ Smart Grid ภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) โดยมีผู้อำนวยการ สนพ. เป็นประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการประกอบด้วย ผู้แทน สนพ. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ผู้แทนการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ผู้แทนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม ผู้ทรงคุณวุฒิ (3 ท่าน) โดยมีผู้อำนวยการสำนักนโยบายไฟฟ้า สนพ. อนุกรรมการและเลขานุการ และผู้อำนวยการกลุ่มจัดหาพลังงานไฟฟ้า สนพ. เป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยคณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่เพื่อศึกษาแนวทางและจัดทำร่างแผนการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ของประเทศไทย และปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่ กบง. หรือประธาน กบง. มอบหมาย รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานต่อ กบง. ทราบ หรือพิจารณาเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบ Smart Grid โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ
เรื่องที่ 2 โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การเกิดปัญหาอุทกภัยรุนแรงในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลกระทบให้สถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง (สถานีบริการน้ำมัน สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว สถานีบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว รถขนส่งน้ำมัน และรถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว) ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เห็นว่าควรจะต้องสนับสนุนและช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการซ่อมแซมและฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ให้กลับมาให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยโดยเร็ว โดยจากการประเมินสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับผลกระทบและเสียหายจากน้ำท่วม ประกอบด้วย สถานีบริการน้ำมัน สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว สถานีบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว ประมาณ 1,200 แห่ง รถขนส่งน้ำมันและรถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว ประมาณ 900 คัน โดยประมาณการค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 600 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2554 ธพ. ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อขอความเห็นชอบโครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยขออนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินงาน ในวงเงิน 180 ล้านบาท และนำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
2. โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ให้สามารถซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ได้รับความเสียหายให้กลับคืนสู่สภาพการใช้งานปกติ สามารถเปิดให้บริการจำหน่ายน้ำมันที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยต่อประชาชนโดยเร็ว เป็นการป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ ลักษณะโครงการเป็นการช่วยเหลือภาระดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยแก่สถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ได้แก่ (1) สถานีบริการน้ำมัน ขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ จำนวน 270 500 และ 200 แห่ง ตามลำดับ (2) สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว ขนาดเล็ก 120 แห่ง และขนาดใหญ่ 70 แห่ง (3) สถานีบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว ขนาดเล็ก 30 แห่ง และขนาดใหญ่ 10 แห่ง (4) รถขนส่งน้ำมัน แบ่งเป็น รถสิบล้อ 500 คัน และรถกึ่งพ่วง 300 คัน และ (5) รถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว แบ่งเป็น รถสิบล้อ 50 คัน และรถกึ่งพ่วง 50 คัน
3. กระทรวงพลังงานโดย ธพ. ขออนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 180 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือภาระดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจฯ ซึ่งคิดดอกเบี้ยในอัตราคงที่ร้อยละ 8 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา โดยกระทรวงพลังงานจะชดเชยดอกเบี้ยให้ในอัตราคงที่ร้อยละ 5 ต่อปี เรียกเก็บดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลากู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 6 ปี โดยมีระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น (Grace Period) ไม่เกิน 2 ปี ในวงเงินอนุมัติสินเชื่อรวมของโครงการ จำนวน 600 ล้านบาท แก่สถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยซึ่งกู้เงินเพื่อนำไปฟื้นฟูและซ่อมแซมสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว โดยระยะเวลาดำเนินการให้สถานประกอบการยื่นกู้เงิน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 - มีนาคม 2555
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อดำเนินงาน "โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง" ในวงเงิน 180 ล้านบาท (หนึ่งร้อยแปดสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อจ่ายชดเชยภาระดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่สถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งกู้เงินจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ในวงเงินอนุมัติสินเชื่อรวมของโครงการจำนวนเงิน 600 ล้านบาท โดยชดเชยดอกเบี้ยให้ในอัตราคงที่ร้อยละ 5 ต่อปีของยอดหนี้โครงการ ระยะเวลาชดเชยไม่เกิน 6 ปีนับตั้งแต่วันเบิกเงินกู้งวดแรกของผู้กู้แต่ละราย โดยให้กรมธุรกิจพลังงาน ตรวจสอบเอกสารเบิกเงินชดเชยที่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยเรียกเก็บ กับข้อมูลการกู้เงินที่พลังงานจังหวัดจัดส่งให้ แล้วจัดส่งให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยโดยตรงต่อไป
ทั้งนี้ ในกรณีที่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ให้นำอัตราดังกล่าวไปปรับลดอัตราดอกเบี้ยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายชดเชย โดยในส่วนของผู้ประกอบการให้จ่ายดอกเบี้ยในอัตราคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี
เรื่องที่ 3 แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2551-2555 ให้หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 173,679,300 บาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2554 ให้หน่วยงานต่างๆ ข้างต้น เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 39,376,9000 บาท ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงิน 21,635,700 บาท, 9,957,000 บาท, 3,850,700 บาท, 1,494,400 บาท, 1,635,100 บาท ตามลำดับ และอนุมัติค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร 804,000 บาท
2. สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้รายงานผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารตามที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ 2554 จำนวน 39,376,900 บาท โดย ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 มีจำนวนเงินที่ใช้จ่ายจริงรวมทั้งสิ้น 18,826,175 บาท คิดเป็นร้อยละ 47.81 โดยพบว่า สป.พน. และ สบพน. มีจำนวนเงินที่ใช้จ่ายจริงต่ำกว่าที่ได้รับอนุมัติ โดย สป.พน. และ สบพน. มีการใช้จ่ายเงินเพียงร้อยละ 31.42 และ 4.88 ตามลำดับ โดยที่ สป.พน. ได้รับอนุมัติเงินในหมวดค่าตอบแทนใช้สอย และวัสดุ รวมเป็นเงิน 12.1678 ล้านบาท แต่มีการใช้จ่ายไปเพียง 3.089 ล้านบาท และในส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่ ค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศและค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาวิจัย ที่ขออนุมัติไว้รวมทั้งสิ้น 7.6370 ล้านบาท สป.พน. ไม่มีการเบิกจ่ายเงินในส่วนนี้ ส่วน สบ.พน. มีจำนวนเงินที่ใช้จ่ายจริงต่ำกว่าที่ได้รับอนุมัติมาก เนื่องจากไม่มีการใช้จ่ายเงินในหมวดค่าจ้างชั่วคราว (อัตราจ้างตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ สบพน.) จำนวนเงิน 1.1123 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 รายงานผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2554
(ข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554)
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | งบประมาณปี 2554 | ||
ได้รับอนุมัติ | จำนวนเงินที่ใช้จ่ายจริง | ||
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) | 21,635,700 | 6,798,393 | (31.42%) |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) | 9,957,000 | 7,404,342 | (74.36%) |
3. กรมสรรพสามิต | 3,850,700 | 3,612,518 | (93.81%) |
4. กรมศุลกากร | 1,494,400 | 690,144 | (46.18%) |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) | 1,635,100 | 79,828 | (4.88%) |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | 804,000 | 240,950 | (29.97%) |
รวม | 39,376,900 | 18,826,175 | (47.81%) |
หมายเหตุ สบพน. ได้ตั้งเบิกงบค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตรในปี 2554 จำนวน 804,000 บาท แต่ยังมีผู้ถือพันธบัตรบางรายยังไม่ได้มาทำการไถ่ถอนพันธบัตร
3. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2554 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 6,048ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 18,159 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 18,008 ล้านบาท และงบบริหารโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 151 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 12,111 ล้านบาท
4. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2554 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือถึงหน่วยงานต่างๆ ให้ทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ในปี 2555 ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ได้ขอปรับปรุงประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2555 ใหม่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 53,638,400 บาท ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานยกเว้น สบพน. ได้ปรับเพิ่มอัตราเงินเดือนในหมวดค่าจ้างชั่วคราวตามโครงสร้างอัตราเงินเดือนใหม่ และปรับเพิ่มเงินค่าครองชีพพิเศษ เพื่อให้อัตราจ้างบุคลากรเท่ากับ 15,000 บาทต่อเดือน ตามนโยบายของรัฐบาล
5. เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้มีการพิจารณาเรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555 และได้มีมติดังนี้ (1) รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2554 ของหน่วยงานต่างๆ (2) มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินงบริหารกองทุนน้ำมันฯปีงบประมาณ 2555 ตามความเห็นของที่ประชุม และให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป และ (3) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ จัดทำคำขอรับการสนับสนุนเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ เพื่อจัดส่งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ภายในเดือนมิถุนายนของทุกปี เพื่อให้สามารถอนุมัติเงินค่าใช้จ่ายได้ทันก่อนถึงปีงบประมาณถัดไป
6. หน่วยงานต่างๆ ได้ปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินฯ ใหม่ ตามมติ อบน. ดังนี้ (1) ปรับอัตราจ้างบุคลากรของทุกหน่วยงานไว้คงเดิมตามกรอบแผนการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ 2553 - 2555 ที่ได้เคยอนุมัติไว้แต่ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินเดือนในหมวดค่าจ้างชั่วคราวตามอัตราเงินเดือนใหม่ และปรับเพิ่มเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษ เพื่อให้อัตราจ้างบุคลากรเท่ากับ 15,000 บาทต่อเดือน ตามนโยบายของรัฐบาล (2) ในส่วนของ สป.พน. ให้คงจำนวนรถยนต์เช่า 12 ที่นั่ง จำนวน 1 คันตามเดิม และให้ตัดรายการในหมวดค่าครุภัณฑ์ออก พร้อมทั้งปรับลดค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศเหลือ 6 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาวิจัยคงเหลือ 2 ล้านบาท (3) ในส่วนของ สนพ. ให้ปรับลดค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศและค่าใช้จ่ายโครงการศึกษาวิจัย คงเหลือรายการละ 2 ล้านบาท และ (4) นำ โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของกรมสรรพสามิต งบประมาณ 2 ล้านบาท บรรจุเข้าในแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ หมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกรมสรรพสามิต ทั้งนี้ ทำให้ยอดรวมการขอรับการสนับสนุนเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2555 เพิ่มขึ้น 1.9015 ล้านบาท ซึ่งสรุปประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2555 ได้ตามตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2555
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | หมวดค่าจ้างชั่วคราว | หมวดค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ |
หมวดค่าครุภัณฑ์ | หมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ | รวม |
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 2.4945 | 12.4522 | - | 8.0600 | 23.0067 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 0.5400 | 2.2303 | - | 6.7200 | 9.4903 |
3. กรมสรรพสามิต | 3.2601 | 1.3436 | 0.0650 | 2.0240 | 6.6927 |
4. กรมศุลกากร | 0.6841 | 0.3442 | - | - | 1.0283 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | - | 1.1272 | - | - | 1.1272 |
รวม | 6.9787 | 17.4975 | 0.0650 | 16.8040 | 41.3452 |
หมายเหตุ : งบประมาณทุกหมวดรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปีงบประมาณ 2554 ของหน่วยงานต่างๆ
2. เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 41,345,200 บาท (สี่สิบเอ็ดล้านสามแสนสี่หมื่นห้าพันสองร้อยบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป ตามตารางที่ 2
เรื่องที่ 4 ผลการตรวจสอบการเบิก-จ่ายและควบคุมเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 หมวด 6 การตรวจสอบภายใน ข้อ 18 "ให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงานเพื่อนำเสนอคณะกรรมการทราบ" แเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2554 คณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้มีมติรับทราบสรุปผลการตรวจสอบดังกล่าว โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1.1 การตรวจสอบการจ่ายเงินงบโครงการ-ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ของกองทุนน้ำมันฯ ทุกโครงการที่ยังมิได้ปิดโครงการ สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 พบว่ามีการปฏิบัติงานเป็นไปตามที่ระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 กำหนดไว้ ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ 2554 จำนวน 5 โครงการ จำนวนเงินรวม 125,717,500 บาท ณ วันที่ตรวจสอบ ยังไม่มีการเบิกค่าใช้จ่าย
1.2 โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ และปิดโครงการแล้วระหว่างปีงบประมาณ 2553 ถึงเดือนมีนาคม 2554 มีการคืนเงินให้กองทุนน้ำมันฯ ถูกต้องครบถ้วนเป็นจำนวนเงิน 3,466,409.01 บาท และมีการใช้จ่ายเงินอยู่ในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ และส่วนใหญ่เอกสารการส่งดอกผลและเงินเหลือจ่ายมิได้ระบุวันสิ้นสุดโครงการชัดเจน เพียงแต่ระบุว่า "การดำเนินการดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว" ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีการส่งเงินคืนพร้อมดอกผลหรือรายรับอื่นใดทั้งหมดคืนกองทุนภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันสิ้นสุดการดำเนินงาน ตามที่ระเบียบกำหนดไว้
2. คณะกรรมการตรวจสอบได้มีข้อเสนอแนะว่า สบพน. ควรประสานกับหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ให้ระบุวันที่สิ้นสุดโครงการที่ชัดเจนในเอกสารการนำส่งดอกผลและคืนเงินเหลือจ่าย เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ