มติกบง. (344)
ครั้งที่ 9 - วันพฤหัสบดี ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2548
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2548 (ครั้งที่ 9)
วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. ขอทบทวนมติการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. ข้อหารือในการออกตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตลาดน้ำมันโลก ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ระดับ 52.12 และ 57.75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.17 และ 0.88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจาก Hedge Fund เข้าซื้อในตลาดซื้อขายล่วงหน้า NYMEX และ IPE และพายุ Cindy พัด เข้าเขตอ่าวเม็กซิโก ทำให้โรงกลั่น 5 แห่งต้องปิดชั่วคราว ประกอบกับข่าวประชาชนในอิรักประท้วงรัฐบาล และ ขู่จะหยุดผลิตน้ำมันทางตอนใต้ของอิรัก ตลอดจนจากตลาดคาดว่าความต้องการซื้อน้ำมันจากสหรัฐอเมริกา ยังคงอยู่ในระดับสูง
2. ตลาดน้ำมันสิงคโปร์ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ระดับ 65.45 และ 64.35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.10 และ 0.05 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการซื้อในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับข่าวโรงกลั่น Deer Park (274,000 บาร์เรล/วัน) ของ Shell ในสหรัฐอเมริกาต้องเลื่อนการเดินเครื่อง เป็นครั้งที่ 3 และจาก IES ประกาศปริมาณสำรอง Light Distillates ของสิงคโปร์ลดลง 0.16 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 9.24 ล้านบาร์เรล ในส่วนของราคาน้ำมันดีเซล หมุนเร็วเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ระดับ 66.71 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 0.46 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จาก Pertamina ของอินโดนีเซียออกประมูลซื้อน้ำมันดีเซล จำนวน 2 Cargo ปริมาณรวมประมาณ 400,000 บาร์เรล
3. ตลาดน้ำมันไทย ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวมเป็น 0.80 บาท/ลิตร โดยปรับตามหลังตลาดโลก และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) เพิ่มขึ้น 4 ครั้ง และลดลง 1 ครั้ง รวมเป็น 1.60 บาท/ลิตร ส่วน ปตท. ปรับราคาดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 4 ครั้ง รวมเป็น 2.00 บาท/ลิตร โดยราคา ขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 25.74, 24.94 และ 22.99 บาท/ลิตร ตามลำดับ ทั้งนี้ นับแต่เริ่มดำเนินการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม - 12 กรกฎาคม 2548 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินอุดหนุนตรึงราคาน้ำมันไปแล้วรวมประมาณ 92,071 ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 13 มิถุนายน 2548 รัฐได้ยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซล มีผลทำให้หนี้ตรึงราคาน้ำมันจะ ไม่เพิ่มขึ้นอีก
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ขอทบทวนมติการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ได้มีมติเห็นชอบ แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้จำกัดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียม (LPG) สูงสุด เพื่อยุติการไหลออกของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและให้กองทุนน้ำมันฯ จะสามารถชำระหนี้ได้หมดภายในปี 2547 โดยกำหนดให้ (1) เดือนกรกฎาคม 2546 จำกัดอัตราชดเชยไม่เกิน 3 บาท/กก. ซึ่งเป็นระดับไม่สูงกว่ารายได้ของกองทุนน้ำมัน (2) เดือนกรกฎาคม 2547 จำกัดอัตราชดเชยไม่เกิน 2 บาท/กก. และ (3) เดือนกรกฎาคม 2548 ให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ซึ่งต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2547 กบง. ได้มีมติให้กำหนดอัตราเงินชดเชยสูงกว่าเพดานสูงสุด 3 บาท/กก. ได้เป็นการชั่วคราว โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจกำหนดอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG เกินกว่าอัตราเงินชดเชยสูงสุดได้ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์
2. เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2547 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 3 บาท/กก. ได้มีผลบังคับใช้ในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2547 โดยอัตราเงินชดเชยจริงสูงสุดเท่ากับ 3.0711 บาท/กก. และเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2548 ได้เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. มีผลบังคับใช้ในช่วงวันที่ 1 มกราคม 2548 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2548 โดยอัตราเงินชดเชยจริงสูงสุดเท่ากับ 2.2816 บาท/กก. และต่อมาเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2548 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เห็นชอบให้ขยายเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ดังกล่าวออกไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2548
3. การตรึงราคาก๊าซ LPG ได้กำหนดระยะเวลาไม่เกินเดือนกรกฎาคม 2548 ทั้งนี้ต่อมารัฐบาลมีนโยบายให้มีการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ภายในปี 2548 เนื่องจากรัฐบาลได้มีการประกาศ ลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล และหากดำเนินการยกเลิกการตรึงราคาก๊าซ LPG จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ราคาสินค้าและอัตราค่าขนส่ง และประชาชน และปัจจุบันอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 3.1554 บาท/กก. ขณะที่รัฐบาลได้กำหนดอัตราเงินชดเชยสูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. แต่ได้รับการผ่อนผันจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2548 ซึ่งการจ่ายเงินชดเชยราคา LPG คาดว่าจะมีแนวโน้มเกิน 3 บาท/กก. เนื่องจากครึ่งปีหลังความต้องการก๊าซ LPG เพื่อความอบอุ่นจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องขยายเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. ต่อไปอีกจนถึงสิ้นปี 2548 พร้อมทั้งขอให้มีการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ภายในปี 2548 ด้วย
มติของที่ประชุม
เห็นควรอนุมัติขยายระยะเวลาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
1. ให้ขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากเดือนกรกฎาคม 2548 เป็นภายในปี 2548
2. ให้ขยายระยะเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. จากเดือนกรกฎาคม 2548 เป็นภายในปี 2548
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2548 กบง. ได้อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชยใน โครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ในวงเงิน 94,254,060.54 บาท โดยจ่ายให้แก่บริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 58,775,024.94 บาท สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และจ่ายให้แก่บริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.62 บาท เพื่อจ่ายชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548
2. ต่อมาสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพ.) และกรมสรรพสามิต ได้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินชดเชยในโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องให้กับบริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด แล้ว แต่สำหรับบริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด บริษัทขอรับเงินในนามของบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ซึ่ง สบพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ได้ เนื่องจาก กบง. ไม่ได้มีมติเห็นชอบอนุมัติจ่ายเงินให้กับบริษัทดังกล่าว
3. เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอให้มีการปรับปรุงแก้ไขมติ กบง. เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2548 เรื่องดังกล่าวในข้อ 2.2 ใหม่ โดยเปลี่ยนข้อความเป็น “…สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2547 และจ่ายให้แก่บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.60 (สามสิบห้าล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสามสิบห้าบาท หกสิบสตางค์) เพื่อจ่ายชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548…"
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 6) เรื่อง การชดเชยราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ในข้อ 2 เป็นดังนี้
"2. เห็นชอบอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชยในโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ในวงเงิน 94,254,060,54 บาท (เก้าสิบสี่ล้านสองแสนห้าหมื่นสี่พันหกสิบบาทห้าสิบสี่สตางค์) โดยจ่ายให้แก่บริษัท น้ำมัน ทีพีไอ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 58,775,024.94 บาท (ห้าสิบแปดล้านเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันยี่สิบสี่บาทเก้าสิบสี่สตางค์) สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียว ตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และจ่ายให้แก่บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.62 บาท (สามสิบห้าล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสามสิบห้าบาทหกสิบสองสตางค์) เพื่อจ่าย ชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 โดยทั้งนี้ จำนวนเงินดังกล่าว เป็นการจ่ายจากกองทุนฯ ให้กับชาวประมงก่อนและจะเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนฯ เมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนได้หมดตามจำนวนเงินที่จ่ายชดเชยไป"
เรื่องที่ 4 ข้อหารือในการออกตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
1. ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ได้นำเสนอประเด็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนของการออกตราสารหนี้ของ สบพ. เนื่องจาก กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2548 ได้อนุมัติให้ สบพ. เปิดบัญชีสำหรับการออกตราสารหนี้ได้ 3 บัญชี ซึ่ง สบพ. ได้ดำเนินการแล้ว นอกจากนี้ กองทุนน้ำมันฯ ยังมีค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารกองทุนฯ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยจะจัดสรรเงินให้กับงานบริหารของ หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนฯ ได้แก่ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สนพ. เป็นต้น และโครงการศึกษาวิจัยต่างๆ ที่หน่วยงานต่างๆ ขอเงินสนับสนุนมาตลอดปี โดยไม่มีการกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ ชัดเจนหรือโดยไม่จำกัดจำนวน แต่ขณะนี้เมื่อจะออกตราสารหนี้ความจำเป็นในเรื่องรายรับ - รายจ่ายของกองทุนฯ ต้องมีความชัดเจนและมีจำนวนที่แน่นอน เพื่อแสดงให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ ดังนั้น สบพ. จึงขอเสนอให้กันเงินจำนวน 100 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนฯ และโครงการศึกษาและวิจัยด้านพลังงานของหน่วยงานต่างๆ พร้อมนี้ ผู้อำนวยการ สนพ. ได้เสนอขอเงินสนับสนุนที่จะกันไว้ดังกล่าวให้กับโครงการเกี่ยวกับ NGV ด้วย
2. ประธานฯ ได้มีข้อคิดเห็นว่า ไม่ควรนำเงินกองทุนฯ มาใช้สนับสนุนโครงการ NGV เนื่องจากจะทำให้ผู้ลงทุนไม่มีความมั่นใจในฐานะกองทุนฯ ที่มีค่าใช้จ่ายแบบไม่มีหลักเกณฑ์ จึงเห็นควรให้นำเสนอโครงการ NGV เสนอขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่มีวัตถุประสงค์สอดคล้องมากกว่า สำหรับในกรณี การกันเงินกองทุนฯ เพื่อการบริหารกองทุนฯ จำนวน 100 ล้านบาท อาจจะมากเกินไป ควรตัดส่วนที่ เป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนโครงการศึกษาและวิจัยของหน่วยงานต่างๆ ที่มีจำนวนไม่จำกัดออก โดยให้ยุติการให้เงินสนับสนุนโครงการศึกษาและวิจัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า เพื่อให้กระแสการเงินของกองทุนฯ มีความ แน่นอนและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมอบหมายให้ สบพ. จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของงบบริหารของกองทุนฯ จากหน่วยงานต่างๆ เพื่อนำเสนอที่ประชุมต่อไป
3. นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ สบพ. ได้ขอหารือในประเด็นการออกตราสารหนี้ของ สบพ. โดยไม่มีกระทรวงการคลังค้ำประกันจึงไม่มีผู้รับผิดชอบหนี้ของกองทุนฯ ที่เกิดจากการออกตราสารหนี้เมื่อกองทุนฯ ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ โดย สบพ. ได้มีหนังสือขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยออกหนังสือรับรองสภาพคล่องของตราสารหนี้กองทุนฯ แล้ว ขณะเดียวกัน สบพ. ไม่มีอำนาจในการกำหนดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนจึงทำให้ผู้ลงทุนขาดความมั่นใจในตราสารหนี้ของ สบพ. ทำให้การขายตราสารหนี้ของ สบพ. ทำได้ยาก
4. ประธานฯ ได้เสนอความเห็นว่า สบพ. ควรจะจัดทำบัญชีรายรับ - รายจ่ายของกองทุน (Clash - flow) ให้ชัดเจน โดยจัดทำเป็นแผน 5 ปี พร้อมทั้งชี้แจงให้ผู้ลงทุนทราบนโยบายด้านราคาพลังงานและการกำหนดอัตราเงินกองทุนฯ ส่งเข้า ที่มี กบง. และ กพช. เป็นผู้กำหนด และฝ่ายเลขานุการฯ ได้รับที่จะเจรจาหารือร่วมกับ สบพ. และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ สำหรับใช้ชี้แจงแก่นักลงทุน ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยุติการอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้สนับสนุนโครงการศึกษาและวิจัยต่างๆ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้สำหรับโครงการศึกษาและวิจัยที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ไปแล้วและมีความผูกพันไปยังงบประมาณปีถัดไปให้ดำเนินการต่อไปจนสิ้นสุดระยะเวลาของโครงการ
2. มอบหมายให้ สนพ. และ สบพ. รับไปดำเนินการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ระยะ 5 ปี เพื่อใช้แสดงต่อผู้ลงทุนให้เกิดความเชื่อมั่นในตราสารหนี้ของกองทุนฯ และนำเสนอต่อคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป
ครั้งที่ 8 - วันพุธ ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2548
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2548 (ครั้งที่ 8)
วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2548 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ขอเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์) ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการฯ ติดประชุมที่รัฐสภา จึงมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานในการประชุมครั้งนี้ แทน
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.54 และ 5.60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด เนื่องจากนักลงทุนกลับเข้าซื้อภายหลังมีข่าวกลุ่มมุสลิมขู่โจมตี สถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไนจีเรีย และจากข่าวสหภาพแรงงานของบริษัท Statoil ขู่หยุดงานประท้วง ซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังการผลิตของ Statoil ประมาณ 920,000 บาร์เรล/วัน ประกอบกับตลาดกังวลว่าอุปทาน น้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกา อาจตึงตัวหลังจากมีข่าวโรงกลั่น ExxonMobil ต้องหยุดดำเนินการหน่วย Fluid Catalytic Cracker (208,000 บาร์เรล/วัน) เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 28 มิถุนายน อยู่ที่ระดับ 54.02 และ 58.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.95 และ 4.87 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันเบนซินในตลาด NYMEX หลังจากมีข่าวโรงกลั่น ExxonMobil ในสหรัฐอเมริกา ต้องหยุดดำเนินการ ส่งผลให้ตลาดคาดว่า Arbitrage จากเอเซียไปขายในตะวันตกสามารถทำได้ ประกอบกับความต้องการซื้อน้ำมันเบนซินในภูมิภาคมีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โรงกลั่นในไต้หวันและเกาหลีอยู่ในช่วงปิดซ่อมบำรุงประจำปี ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.59 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากที่คาดว่า อุปทานจากตะวันออกกลางจะลดลงเนื่องจากเข้าสู่ช่วง Peak Demand ในหน้าร้อนประกอบกับความต้องการซื้อในภูมิภาคเอเซีย เช่น จีน อินเดีย และเวียดนามยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2548 อยู่ที่ระดับ 63.10, 61.30 และ 69.14 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 5 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร รวมเป็น 2.00 บาท/ลิตร ในเดือนมิถุนายน และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) เพิ่มขึ้น 6 ครั้ง รวมเป็น 2.40 บาท/ลิตร โดยที่ ปตท. ปรับราคาดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 5 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร รวมเป็น 2.00 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2548 อยู่ที่ระดับ 24.54, 23.74 และ 20.99 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของ ปตท. อยู่ที่ระดับ 20.59 บาท/ลิตร ทั้งนี้นับแต่เริ่มดำเนินการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม - 24 มิถุนายน 2548 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินอุดหนุนตรึงราคาน้ำมันไปแล้วรวมประมาณ 90,657 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในการปรับข้อมูลด้านพลังงานให้ถูกต้องและเป็นชุดเดียวกันก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและสาธารณชนต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. จากวิธีปฏิบัติเดิม ตามความในข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 11 และข้อ 11 แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ให้ผู้ผลิตและนำเข้ามันเชื้อเพลิงส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและขอรับเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง โดยแยกวิธีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และขอรับเงินชดเชยออกจากกัน ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตและ กรมศุลกากร คือ 1) กรมสรรพสามิต ผู้ผลิตส่งเงินเข้ากองทุนฯ พร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ภายใน 10 วัน นับจากวันที่นำน้ำมันออกจากโรงกลั่น และ 2) กรมศุลกากร ผู้นำเข้าส่งเงินเข้ากองทุนฯ พร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ก่อนวันนำเข้า โดยที่กองทุนฯ จะจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นงวดๆ ในแต่ละเดือน เช่น ผู้ผลิตและผู้นำเข้าเชื้อเพลิงขอรับเงินชดเชยงวดวันที่ 10 - 31 มีนาคม และจะได้รับการจ่ายเงินชดเชยคืนภายในวันที่ 7 พฤษภาคม 2547 ซึ่งทำให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าต้องรับภาระเงินชดเชย
2. ในปัจจุบันวิธีปฏิบัติจะทำตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2547 เรื่อง การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง ซึ่งได้กำหนดให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้รับการชดเชยลดราคาน้ำมันผ่านกระบวนการเรียกเก็บเงินกองทุนฯ โดยให้รับการชดเชยด้วยวิธีการหักลบกันระหว่างอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ กับอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดและจำนวนเดียวกัน ทั้งนี้ การขอรับเงิน ชดเชยและการส่งเงินเข้ากองทุน ให้เป็นไปตามระเบียบกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรที่ได้ปฏิบัติในปัจจุบัน โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นไป
3. ในการประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่อง การชี้แจงนโยบายการยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซล และแนวทางการดำเนินการหลังการยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) เสนอให้เปลี่ยนวิธีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และการขอรับเงินชดเชยจากวิธีการหักลบกันระหว่างอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ กับอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดและจำนวนเดียวกัน เป็นการแยกอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยออกจากกัน เพื่อให้มีเงินสดไหลเข้ามาในบัญชีกองทุนฯ ตามรายรับจากเงินส่งเข้ากองทุนที่เกิดขึ้นจริง และ สบพ. สามารถบันทึกบัญชีกองทุนได้ถูกต้องครบถ้วน ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่า สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและไถ่ถอนตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนด
4. ปัจจุบันรัฐบาลได้ยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ทำให้ไม่มีการจ่ายเงินชดเชยที่ผันแปรกับราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ยังคงมีอัตราชดเชยคงที่สำหรับน้ำมันดีเซล ซึ่งจะลดลงจนเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2548 และต้องกลับไปใช้ระบบการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และการขอรับเงินชดเชยแบบเดิม จึงขอเสนอให้ยกเลิกระบบการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และการขอรับเงินชดเชยตามข้อ 2 และกลับไปใช้ระบบการส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยตามข้อ 1 ให้เหมือนกับวิธีปฏิบัติเดิมซึ่งเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการทั่วไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกระบบการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการขอรับเงินชดเชย โดยให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้รับการชดเชยลดราคาน้ำมันผ่านกระบวนการเรียกเก็บเงินกองทุนฯ โดยให้รับการชดเชยด้วยวิธีการหักลบกันระหว่างอัตราเงินส่งเข้ากองทุนกับอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดและจำนวนเดียวกัน และให้กลับไปใช้ระบบการส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยตามความในข้อ 8, 9, 10 และ 11 แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมัน เชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2547 โดยให้ผู้ผลิตและนำเข้ามันเชื้อเพลิงส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและขอรับเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง แยกวิธีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และขอรับเงินชดเชยออกจากกัน ทั้งนี้การขอรับเงินชดเชยและการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ให้เป็นไปตามระเบียบกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2548 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 3 ขอเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2548 ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติ เห็นชอบให้ "สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 ให้เป็นไปตามร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.... ตามที่ สบพ. เสนอ ทั้งนี้ ต้องระบุวัตถุประสงค์การแก้ไขระเบียบ ดังกล่าวให้ชัดเจน"
2. โดยการขอแก้ไขร่างระเบียบกระทรวงพลังงานฯ ดังกล่าว สบพ. ได้ขอเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ตามประเภทที่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงพลังงานเพิ่มขึ้น 2 บัญชี จึงทำให้บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเป็น 3 บัญชี ได้แก่ 1) บัญชีเงินฝากชื่อ "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" เพื่อรับโอนเงินจากส่วนราชการที่รับเงินจากผู้ที่มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามกฎหมาย 2) บัญชี เงินฝากออมทรัพย์ ชื่อ "เงินตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" สำหรับเก็บรักษาเงินที่ได้รับจากการขายตราสารหนี้ เพื่อนำไปจ่ายชำระหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดให้กับผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชย หรือผู้มีสิทธิได้รับคืน จากกองทุนฯ และค่าใช้จ่ายในการออกตราสารหนี้ ตลอดจนจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยตราสารหนี้ และ 3) บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชื่อ "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" สำหรับรับโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" และ "เงินตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" เพื่อเก็บรักษาเงินดังกล่าวไว้จ่ายดอกเบี้ยตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดจ่ายและไถ่ถอนตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนตามข้อกำหนดสิทธิ
3. ตามที่ สบพ. ขอเปิดบัญชีเงินฝากที่ 3 เพื่อให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่ากระแสเงินของกองทุนน้ำมันฯ จะมีการบริหารจัดการเป็นไปอย่างชัดเจน โดยให้มีการจัดสรรรายรับของกองทุนน้ำมันฯ ส่วนหนึ่งสะสมไว้สำหรับจ่ายดอกเบี้ยและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดแยกออกจากค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันฯ
4. จากการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อจะออกเสนอขายตราสารหนี้พบว่า นักลงทุนยังคงมีความกังวลประเด็นที่ว่า สบพ. อาจไม่สามารถสะสมเงินไว้ในบัญชีได้ครบถ้วน เมื่อครบกำหนดเวลาจ่ายดอกเบี้ยในแต่ละงวดและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ของ สบพ. อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจจะทำให้อันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของ สบพ. ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ และทำให้ตราสารหนี้ของ สบพ. ไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนมากเท่าที่ควร ซึ่งทำให้ต้นทุนด้านดอกเบี้ยตราสารหนี้ของ สบพ. จะสูงกว่าที่ควรจะเป็น
5. เพื่อให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่า สบพ. จะมีเงินครบถ้วนเพื่อจ่ายดอกเบี้ยและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดเวลา สบพ. จึงเห็นควรให้มีการสะสมเงินจำนวนหนึ่ง (ประมาณร้อยละ 5 ของจำนวนเงินต้นรวมของพันธบัตรที่ออกไปแล้วในแต่ละช่วง) เพื่อสำรองไว้สำหรับจ่ายดอกเบี้ยและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ ในกรณีที่ครบกำหนดเวลาจ่ายดอกเบี้ยและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ แต่เงินในบัญชีเงินไถ่ถอนตราสารหนี้มีไม่เพียงพอ โดยขอแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 เพื่ออนุญาตให้ สบพ. เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เพิ่มเติม 1 บัญชี จากที่ขอเพิ่มเติมที่ได้รับความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2548 เป็นบัญชีที่ 4 คือ (4) บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชื่อ "เงินสะสมสำรองเพื่อไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" สำหรับโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" และ "เงินตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" เพื่อเก็บรักษาเงินดังกล่าว ไว้จ่ายดอกเบี้ยตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดจ่าย และไถ่ถอนตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนตามข้อกำหนดสิทธิในกรณีที่ครบกำหนดจ่ายดอกเบี้ยตราสารหนี้และ/หรือครบกำหนดเวลาไถ่ถอนตราสารหนี้ตามข้อกำหนดสิทธิแล้ว แต่เงินในบัญชีที่ 3 มีไม่เพียงพอ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ สบพ. ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 โดยให้ สบพ. เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชื่อ "เงินสะสมสำรองเพื่อไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" เพิ่มขึ้น 1 บัญชี นอกเหนือจากที่ กบง.ได้อนุมัติให้แก้ไขร่างระเบียบกระทรวงพลังงานดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2548 เพื่อให้การบริหารตราสารหนี้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
2. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนตราสารหนี้ของ สบพ. ที่รัฐบาลไม่ได้ค้ำประกัน และให้เป็นไปตามหลักปฏิบัติทั่วไป จึงเห็นชอบให้ผู้จัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทำสัญญาข้อตกลงกับผู้แทนผู้ถือ ตราสารหนี้ในการคุ้มครองสิทธิผู้ถือตราสารหนี้เมื่อกองทุนน้ำมันฯ ผิดสัญญา เช่น สามารถระงับการจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ชื่อ "เงินสะสมสำรองเพื่อไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" และบัญชีเงินฝากชื่อ "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" เพื่อประโยชน์ของผู้ถือตราสารหนี้ เป็นต้น
ครั้งที่ 7 - วันพฤหัสบดี ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2548
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 7)
วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2548 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การชดเชยส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์สองเดือนแรกในไตรมาส 2 ปี 2548 เฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 4.94 และ 3.19 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 จากการคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันโลก โดย Energy Information Administration (EIA), International Energy Agency (IEA) และโอเปคได้ปรับเพิ่ม World Oil Demand ปี 2548 อยู่ที่ระดับ 84.8 , 84.3 , และ 84.0 ล้านบาร์เรล/วัน ตามลำดับ และ Goldman Sachs ได้คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นถึง 105 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้กองทุน Hedge Funds เข้าซื้อสะสมระยะสั้น ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2548 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์อยู่ที่ระดับ 46.35 และ 50.98 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์สองเดือนแรกในไตรมาส 2 ได้ปรับตัวสูงขึ้นทุกผลิตภัณฑ์เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 4.06 และ 4.37 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ด้วยอุปทานที่ยังคงตึงตัวเนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันปิดซ่อมบำรุง และความต้องการใช้น้ำมันเบนซินในภูมิภาคที่มีอย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 6.32 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ตามราคาน้ำมันเพื่อความอบอุ่น (Heating Oil) ในขณะที่เกาหลีใต้และไต้หวันได้ลดการส่งออกลง เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันปิดซ่อมบำรุงและต้องเก็บสำรองไว้ใช้ในประเทศ สำหรับราคาน้ำมันสำเร็จรูป ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2548 น้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด, ดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเตา อยู่ที่ระดับ 55.23 53.90, 62.92, 61.44 และ 39.99 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงสองเดือนแรกในไตรมาส 2 ปี 2548 ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยได้ปรับตัวสูงขึ้น 2.18 และ 3.04 บาท/ลิตร ตามลำดับ จากการที่ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาเบนซินเพิ่มขึ้น 5 ครั้ง ลดลง 1 ครั้ง และรัฐบาลได้ปรับการตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นไว้ที่ระดับ 18.19 บาท/ลิตร ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2548 ราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และ ดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 22.14 , 21.34 และ 18.19 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สำหรับไตรมาส 2 ค่าการตลาดและค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 0.1197 บาท/ลิตร และ 0.4514 บาท/ลิตร ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 มาอยู่ที่ระดับ 0.9909 บาท/ลิตร และ 1.7924 บาท/ลิตร
5. สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในระยะสั้นคาดว่าราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจะยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรท์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 43 - 45 และ 48 - 50 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ และราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์จะเคลื่อนไหวที่ระดับ 53 - 57 และ 56 - 59 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากปัจจัยอุปสงค์น้ำมันโลกอยู่ในระดับสูง ขณะที่อุปทานค่อนข้างตึงตัวและจำกัด ตลอดจนการปรับเปลี่ยนคุณภาพน้ำมันของประเทศในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป
6. รัฐบาลได้ปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล โดยที่น้ำมันดีเซลได้ปล่อยลอยตัวราคาแบบมีการจัดการ (Manage float) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2548 เป็นต้นไป ดังนั้น ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2548 กองทุนน้ำมันฯ จึงมีภาระการจ่ายชดเชยสะสมทั้งสิ้น 80,065 ล้านบาท แยกเป็นเงินชดเชยน้ำมันเบนซินและดีเซล หมุนเร็วจำนวน 6,975 ล้านบาท และ 73,090 ล้านบาท ตามลำดับ
7. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนพฤษภาคม 2548 ปรับตัวสูงขึ้น 5.0 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 421.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 12.4816 บาท/กก. (เป็นระดับเพดานของก๊าซ LPG สูงสุด 315 เหรียญสหรัฐ/ตัน) อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 1.8364 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 99.66 ล้านบาท/เดือน และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2548 มีเงินสดสุทธิ 1,275 ล้านบาท หนี้สินค้างชำระ 80,065 ล้านบาท แยกเป็นภาระผูกพัน 53 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 7,655 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 140 ล้านบาท หนี้การตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงช่วงวันที่ 1 เมษายน 2548 ถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2548 ประมาณ 9,097 ล้านบาท หนี้เงินกู้และดอกเบี้ย 63,000 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 78,790 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การชดเชยส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อเดือนพฤษภาคม 2545 ได้อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยเห็นชอบในหลักการให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงานและภาษีสรรพสามิต ในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป และลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งต่อมาเดือนพฤษภาคม 2547 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งมาตรการหนึ่งคือ มาตรการด้านราคา โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานพิจารณายกเว้นการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว
2. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ได้มีมติเรื่องการยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยให้ยกเว้นการส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว โดยไม่รวมถึงการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่ได้มีการจ่ายเงินชดเชยตามนโยบายตรึงราคาน้ำมัน และมอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) กรมการค้าภายใน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปหารือร่วมกับกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำมาผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์
3. ต่อมากระทรวงพลังงานได้มีนโยบายที่จะกำหนดให้ส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ 1.50 บาท และเมื่อเดือนเมษายน 2548 กบง. ได้มีมติให้ผู้อำนวยการ สนพ. เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มหรือลดอัตราลดส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล ในกรณีที่เพิ่มหรือลดอัตราส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง โดยการกำหนดอัตราส่งเข้ากองทุนดังกล่าวต้องทำให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) สามารถจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้น ตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนดจ่าย แต่ทั้งนี้ อัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวจะต้องไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร
4. ในการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ปัจจุบันยังไม่มีมติของคณะกรรมการใดกำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างดังกล่าว เพื่อให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ที่ระดับ 1.50 บาท/ลิตร จึงเห็นควรขอความเห็นชอบดังนี้
4.1 ขอความเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้อนุมัติออกประกาศชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานประกาศชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่อไป
4.2 มอบหมายให้กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงานร่วมกันจัดทำระบบการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้ตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้อนุมัติออกประกาศชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเรื่อง ชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์
2. มอบหมายให้กรมสรรพสามิต และสถาบันบริหารกองทุนพลังงานร่วมกันจัดทำระบบการจ่ายงินชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้ตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์
ครั้งที่ 6 - วันศุกร์ ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2548
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 6)
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2548 เวลา 09.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ข้อเสนอการออกและการจำหน่ายตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
4. การชดเชยราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาะสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้น และอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 41.41 และ 47.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนส่งผลให้การผลิตและการขนส่งน้ำมันต้องหยุดชัก ประกอบกับ จากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2548 ที่ประชุมกลุ่มโอเปคได้มีมติให้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบขึ้นจากระดับ 27 ล้านบาร์เรล/วัน เป็นที่ระดับ 27.50 ล้านบาร์เรล/วัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 เป็นต้นไป ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 45.84 และ 53.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์เฉลี่ยในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 ปรับตัวสูงขึ้น 3.31 และ 3.41 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จาก ความต้องการซื้อของอินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้น 1.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อของอินเดียเพิ่มขึ้นเนื่องจากรัฐบาลประกาศใช้น้ำมันดีเซล 0.035% ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 ขณะที่ไต้หวัน เกาหลีใต้และจีนลดการส่งออก เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันปิดซ่อมบำรุงประจำปี ราคาเฉลี่ยเดือนมีนาคม 2548 ของน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 59.47, 58.73 และ 62.58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยของไทยในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวลดลงจากการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 โดยรัฐบาลได้ปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันเบนซินเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2547 แต่ยังคงตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไว้ที่ระดับ 18.19 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 1 เมษายน 2548 อยู่ที่ระดับ 22.09 , 21.29 และ 18.19 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ระดับ 0.8856 บาท/ลิตร โดยค่าการตลาดเฉลี่ยในเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 0.9034 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นในช่วงไตรมาส 1 ปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ระดับ 1.3293 บาท/ลิตร ค่าการกลั่นเฉลี่ยโดยรวมเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 1.5574 บาท/ลิตร
5. รัฐบาลได้ปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันเบนซิน แต่ยังคงตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนั้นอัตราชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 3.56 บาท/ลิตร และตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2548 กองทุนน้ำมันฯ มีภาระการจ่ายชดเชยสะสมทั้งสิ้น 78,370 ล้านบาท แยกเป็นเงินชดเชยน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วจำนวน 6,975 ล้านบาท และ 71,395 ล้านบาท ตามลำดับ
6. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนเมษายน 2548 ปรับตัวสูงขึ้น 37.20 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 416.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 12.2242 บาท/กก. (เป็นระดับเพดานของก๊าซ LPG สูงสุด 315 เหรียญสหรัฐ/ตัน) อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 2.1543 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 408 ล้านบาท/เดือน และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 1 เมษายน 2548 2548 มีเงินสดสุทธิ 258 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 63,572 ล้านบาท แยกเป็นภาระผูกพัน 197 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 5,606 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 152 ล้านบาท หนี้การตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงช่วงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2548 ประมาณ 7,745 ล้านบาท หนี้เงินกู้ 49,780 ล้านบาท ดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ประมาณ 92 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ ติดลบ 63,314 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้รายงานผลการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2547 - เดือนมีนาคม 2548 โดยได้อนุมัติเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้นจำนวน 481,036,288.86 บาท ให้กับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กรมสรรพสามิต สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ข้อเสนอการออกและการจำหน่ายตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง แยกเป็นอนุมัติเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 จำนวน 8,000 ล้านบาท วันที่ 24 สิงหาคม 2547 จำนวน 30,000 ล้านบาท และวันที่ 21 ธันวาคม 2547 จำนวน 25,000 ล้านบาท ซึ่งการอนุมัติการกู้เงินครั้งสุดท้ายนี้มีมติประกอบให้ สบพ. ดำเนินการออกพันธบัตรและเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป เพื่อให้กองทุนฯ มีสภาพคล่องเพียงพอในการจ่าย ชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. สบพ. ได้กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศโดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่และระยะเวลาครบกำหนดชำระ 12 เดือน แบ่งเป็น 3 ครั้ง โดยครั้งละ 8,000, 30,000 และ 25,000 ล้านบาท ตามลำดับ และ สบพ. ได้จ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันให้กับผู้ประกอบการแล้ว จำนวน 58,762 ล้านบาท และเหลือวงเงินกู้จำนวน 8,590 ล้านบาท สำหรับจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงงวดเดือนมีนาคม 2548 ซึ่งจะต้องจ่ายในเดือนพฤษภาคม 2548
3. เงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท จะทยอยครบกำหนดชำระคืนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 เป็นต้นไป ซึ่งในเดือนมิถุนายน 2548 มีเงินกู้ครบกำหนดชำระคืนจำนวน 3,000 ล้านบาท แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมากองทุนฯ มีภาระการจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับสูง จึงทำให้ สบพ. ไม่สามารถสะสมรายรับของกองทุนฯ เพื่อใช้ชำระหนี้ที่ครบกำหนดชำระคืนได้ เนื่องจากปัจจุบันกองทุนฯ มีรายรับจากน้ำมันเบนซิน ก๊าด และเตา ประมาณ 252 ล้านบาท/เดือน แต่มีรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาน้ำมันดีเซลจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ จ่ายชดเชยราคา LPG และรายจ่ายภาวะผูกพันเป็นจำนวนมาก ทำให้กองทุนฯ มีรายจ่ายมากกว่ารายรับประมาณ 190 ล้านบาท/เดือน
4. นอกจากนี้ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2548 กองทุนฯ มีหนี้สะสมชดเชยราคา LPG ประมาณ 7,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจาก สบพ. จ่ายชำระหนี้ในส่วนนี้ประมาณ 260 ล้านบาท/เดือน ขณะที่การชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวอยู่ที่ประมาณ 450 ล้านบาท/เดือน ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตเกิดความไม่มั่นใจ ในนโยบายของรัฐ และอาจทำให้เกิดการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวภายในประเทศได้ และเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2548 พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มีผลบังคับใช้ ซึ่งตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวห้ามมิให้กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานของรัฐค้ำประกันหนี้ที่เกิดขึ้นหรือตั้งงบประมาณรายจ่าย ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงไม่สามารถค้ำประกันเงินกู้ให้ สบพ. ได้อีกต่อไป และ สบพ. ไม่มีทรัพย์สินใดที่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ได้ จึงทำให้ สบพ. ไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้
5. เพื่อให้กองทุนฯ มีเงินชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้นที่ครบกำหนดและสามารถจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และเพื่อให้ สบพ. สามารถบริหารภาระหนี้และบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนฯ ได้ สบพ. จึงเสนอให้ สบพ. ควรจัดหาเงินกู้ระยะยาวให้กับกองทุนฯ โดยการออกตราสารหนี้และเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป และเมื่อภาระชดเชยราคาน้ำมันดีเซลยุติจึงจะสะสมรายรับจากเงินส่งเข้ากองทุนฯ ชำระคืนหนี้ตราสารหนี้ดังกล่าว
6. ในการออกและเสนอขายตราสารหนี้ของ สบพ. จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์การดำเนินการออกและเสนอขายตราสารหนี้ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ส่วนการเสนอขายตราสารหนี้ของ สบพ. ได้คำนึงถึงความต้องการของนักลงทุนประกอบกับจำนวนเงินที่กองทุนฯ จำเป็นต้องใช้ในการชำระหนี้และจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และความสามารถในการชำระหนี้ของกองทุนฯ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ตลอดจนการจัดทำโครงสร้างตราสารหนี้ที่ดีและบริหารจัดการกระแสเงินของกองทุนฯ อย่างชัดเจน และหากมีการปรับราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้มให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเพื่อลดภาระการชดเชยจากกองทุนฯ และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ เพื่อเพิ่มเติมรายได้ให้กองทุนฯ จะสามารถลดความกังวลของนักลงทุนและเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ของ สบพ. ได้
7. เพื่อให้ตราสารหนี้ของ สบพ. มีโครงสร้างที่ดี ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ "AA" และลดความกังวลของนักลงทุน ซึ่งจะทำให้ตราสารหนี้ของ สบพ. ได้รับความสนใจจากนักลงทุนขอได้จึงเห็นควรขอเห็นชอบในประเด็นดังนี้
7.1 เห็นควรให้ สบพ. ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้กับนักลงทุนทั่วไปจำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (ไม่เกินแปดหมื่นห้าพันล้านบาทถ้วน) โดยเสนอขายเป็นชุดๆ ตามจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลาและอายุไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนฯ หรือไม่
7.2 เห็นควรให้ สบพ. ไปเจรจาผ่อนเวลาการชำระหนี้ในส่วนที่ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป ซึ่งหากสามารถเจรจาได้สำเร็จ ให้หนี้ในส่วนที่ผ่อนเวลาการชำระหนี้และหนี้ ที่เกิดจากการออกตราสารหนี้รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (ไม่เกินแปดหมื่นห้าพันล้านบาทถ้วน) หรือไม่
7.3 เห็นควรให้ทยอยลดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวลงเรื่อยๆ โดยกำหนดให้ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมไม่เกิน 1.50 บาท/กก. และตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมไม่เกิน 0.50 บาท/กก. หรือไม่
7.4 เห็นควรให้ทยอยลดอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นศูนย์ในที่สุด โดยกำหนดให้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2548 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่เกิน 1.00 บาท/ลิตร และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นศูนย์หรือไม่
7.5 เห็นควรให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารราปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล ในกรณีที่การเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง โดยการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวต้องทำให้ สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนดจ่าย แต่ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวจะต้องไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร หรือไม่
7.6 เห็นควรให้แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2548 ตามร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง พ.ศ. 2547 ที่ สบพ. เสนอ หรือไม่
7.7 เห็นควรให้ สบพ. ตรวจสอบยอดเงินในบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" ทุกๆ 3 เดือน เพื่อพิจารณาถึงความสามามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและชำระเงินคืนต้นที่ครบกำหนด และหากพบว่าไม่เพียงพอให้แจ้งให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทราบ เพื่อพิจารณาปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป หรือไม่
7.8 เห็นควรให้โอนสิทธิการบริหารบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" ให้ตัวแทนชำระเงินเป็นผู้บริหารบัญชีดังกล่าวภายใต้สัญญาที่มีการตกลงร่วมกันกับ สบพ. หรือไม่
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้กับนักลงทุน ทั่วไปจำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (ไม่เกินแปดหมื่นห้าพันล้านบาท) โดยเสนอขายเป็นชุดๆ ตามจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลาและอายุไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบให้ สบพ. ไปเจรจาผ่อนเวลาการชำระหนี้ในส่วนที่ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ซึ่งหากสามารถเจรจาได้สำเร็จ ให้หนี้ในส่วนที่ผ่อนเวลาการชำระหนี้และหนี้ที่เกิดจากการออกตราสารหนี้รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (แปดหมื่นห้าพันล้านบาท)
3. เห็นชอบให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล ในกรณีการเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง โดยการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวต้องทำให้ สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนดจ่าย แต่ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซลรวมแล้วจะต้องไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร
4. เห็นชอบให้ สบพ. แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 ให้เป็นไปตามร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามที่ สบพ. เสนอ ทั้งนี้ ต้องระบุวัตถุประสงค์การแก้ไขระเบียบดังกล่าวให้ชัดเจน
5. เห็นชอบให้ สบพ. ทำหน้าที่ตรวจสอบยอดเงินในบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" อย่างต่อเนื่อง เพื่อพิจารณาถึงความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นที่ครบกำหนด และหากพบว่าไม่เพียงพอให้แจ้งให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทราบ เพื่อพิจารณาปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป
6. เห็นชอบให้โอนสิทธิการบริหารบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ให้ตัวแทนชำระเงินเป็นผู้บริหารบัญชีดังกล่าวภายใต้สัญญาที่มีการตกลงร่วมกันกับ สบพ."
เรื่องที่ 4 การชดเชยราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว)
สรุปสาระสำคัญ
1. จากรัฐบาลได้มีมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2548 ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (น้ำมันเขียว) สูงกว่าราคาน้ำมันบนบก ชาวประมงจึงหันมาใช้น้ำมันบนบกแทน ดังนั้น เพื่อลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเป็นการผลักดันให้ชาวประมงหันกลับไปใช้น้ำมันเขียว คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุม เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ได้มีมติเรื่อง ข้อเสนอการลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเห็นชอบในหลักการให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมง ไม่ให้สูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก โดยให้จ่ายชดเชยในส่วนต่างของราคาน้ำมันเขียวที่สูงกว่าน้ำมันดีเซลบนบก และให้เรียกคืนเมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้หมด และมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการจัดระบบการชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนฯ รวมทั้งการเพื่อป้องกันการนำน้ำมันที่ได้รับการ ชดเชยไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
2. ผลการดำเนินโครงการฯ ในการจำหน่ายน้ำมันเขียว และการจ่ายเงินชดเชยตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2548 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2548 พบว่าการจำหน่ายน้ำมันเขียวและจำนวนเงินชดเชยมีปริมาณ 29,146,302 ลิตร เป็นเงิน 58,775,024.93 บาท และการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียว (ขาดแคลน) และจำนวนเงินชดเชยมีปริมาณ 12,658,547 ลิตร เป็นเงิน 35,479,035.62 บาท รวมเป็นเงินที่จ่ายชดเชยทั้งสิ้น 94,254,060.54 บาท
3. เพื่อให้การแก้ไขปัญหาโครงการน้ำมันเขียวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอความเห็นชอบ ดังนี้
3.1 ขอความเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้อนุมัติออกประกาศชดเชยหรือประกาศส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) สำหรับกรณีน้ำมันเขียวแพงกว่าบนบกและกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลนได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2548 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2548 และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันเขียวแพงกว่าน้ำมันบนบกหรือกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลน ให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถสั่งการให้ออกประกาศชดเชยได้ทันที โดยไม่ต้องนำเข้า กบง. เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
3.2 ขอความเห็นชอบวงเงินในการจ่ายเงินชดเชยโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ตามข้อ 2 เป็นจำนวนเงินชดเชยทั้งสิ้น 94,254,060.54 บาท (เก้าสิบสี่ล้าน สองแสนห้าหมื่นสี่พันหกสิบบาทห้าสิบสี่สตางค์) ทั้งนี้ จำนวนเงินดังกล่าวเป็นการจ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ให้ชาวประมงก่อน และจะเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันฯ เมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำลงกว่าราคาน้ำมันดีเซล บนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนได้หมดตามจำนวนเงินที่จ่ายชดเชยไป
3.3 มอบหมายให้กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงานร่วมกันจัดทำระบบการชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้ตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้อนุมัติออกประกาศชดเชยราคาน้ำมัน หรือประกาศการส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ในกรณีราคาน้ำมันเขียวแพงกว่าน้ำมันดีเซลบนบก และกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลนได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานต่อไป แต่ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันเขียวแพงกว่าน้ำมันดีเซลบนบก หรือกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลนในระยะต่อไป เห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถสั่งการให้ออกประกาศชดเชยราคาน้ำมันหรือส่งคืนเงินเข้ากองทุนฯ ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณา/อนุมัติจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
2. เห็นชอบอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชยในโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ในวงเงิน 94,254,060.54 บาท (เก้าสิบสี่ล้านสองแสนห้าหมื่นสี่พันหกสิบบาทห้าสิบสี่สตางค์) โดยจ่ายให้แก่บริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 58,775,024.94 บาท (ห้าสิบแปดล้าน เจ็ดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันยี่สิบสี่บาทเก้าสิบสี่สตางค์) สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียว ตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และจ่ายให้แก่บริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.62 บาท (สามสิบห้าล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสามสิบห้าบาทหกสิบสองสตางค์) เพื่อจ่ายชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 โดยทั้งนี้ จำนวนเงินดังกล่าวเป็นการจ่ายจากกองทุนฯ ให้กับชาวประมงก่อนและจะเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนฯ เมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนได้หมดตามจำนวนเงินที่จ่ายชดเชยไป
3. มอบหมายให้กรมสรรพสามิต และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ร่วมกันจัดทำระบบการจ่ายชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และให้ สบพ. เป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนฯ
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 ได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers : SPP) งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 โดยการดำเนินการรับซื้อ ไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้รับข้อเสนอขายไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 144 ราย มี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้ารวม 91 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 81 ราย และอยู่ระหว่างการเจรจา 10 ราย หากทุกโครงการแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ ปริมาณรับซื้อไฟฟ้าทั้งสิ้นจะ เท่ากับ 2,519.3 เมกะวัตต์
2. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 มี SPP 69 ราย ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว และปริมาณเสนอขายไฟฟ้ารวม 2,228.8 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจำนวน 19, 4 และ 1 โครงการ ปริมาณ 1,413, 196 และ 9 เมกะวัตต์ ตามลำดับ นอกจากนี้ เป็นโครงการที่ใช้พลังงานนอก รูปแบบเป็นเชื้อเพลิง 41 โครงการ จำนวน 375.8 เมกะวัตต์ และที่ใช้เชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า 1 โครงการ จำนวน 45 เมกะวัตต์
3. สนพ. ได้มี "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" โดยใช้เงินจาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ปัจจุบัน มีผู้ผลิตรายเล็ก ได้รับอนุมัติการจัดสรรเงินจากคณะกรรมการกองทุนฯ จำนวน 20 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้ารวม 243.3 MW คิดเป็นวงเงินสนับสนุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,400 ล้านบาท สำหรับโครงการของบริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติให้รอผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) แล้วให้ สนพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติเงินสนับสนุนภายในวันที่ 30 กันยายน 2547
4. เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2547 กฟผ. ได้ลงนามในหนังสือยืนยันการรับเงินกองทุนฯ กับ สนพ. โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,400 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายให้กับ SPP จำนวน 20 ราย ตามหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ กฟผ. กฟผ. กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ได้ดำเนินการลงนามในหนังสือสัญญาขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่ม เรียบร้อยแล้ว 6 ราย และกำลังตรวจสัญญา 6 ราย โดยที่มีการยกเลิกสัญญา 1 ราย และยังไม่ดำเนินการใดๆ 4 ราย ในการนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมการไตรภาคี เพื่อทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาครีรวม 18 คณะ
5. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Firm จะต้องยื่นหลักค้ำประกันให้กับ กฟผ. จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่
5.1 หลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอ SPP ต้องยื่นหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอ พร้อมคำร้องการขายไฟฟ้าในวงเงินเท่ากับ 500 บาทต่อกิโลวัตต์ ตามปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายให้กับ กฟผ. ทั้งนี้ กฟผ. จะคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอให้แก่ SPP ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกภายใน 30 วัน หลังจากแจ้งผลการ คัดเลือกข้อเสนอ
5.2 หลักค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ SPP จะต้องยื่นหลักค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ ในวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในวงเงินเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 5 ของมูลค่าปัจจุบันของค่าพลังไฟฟ้าที่จะได้รับทั้งหมดตามสัญญา โดยใช้อัตราส่วนลด (Discount Rate) เท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าจะคืนหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ ให้แก่ SPP เมื่อ SPP ได้เริ่มต้นปฏิบัติตามสัญญาฯ ถูกต้องครบถ้วนแล้ว
5.3 หลักค้ำประกันการยกเลิกสัญญาฯ SPP จะต้องยื่นหลักค้ำประกันการยกเลิกสัญญาฯ ก่อนวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาฯ ในวงเงินเท่ากับร้อยละ 10 ของค่าพลังไฟฟ้าที่ SPP จะได้รับในระยะเวลา 5 ปีแรกของสัญญาฯ โดย กฟผ. จะคืนหลักค้ำประกันดังกล่าวเมื่ออายุสัญญาสิ้นสุด หรือเมื่อการไฟฟ้าได้เรียกเก็บเงินค่าพลังไฟฟ้าครบถ้วนในกรณีที่สัญญาฯ ถูกยกเลิกก่อนครบอายุสัญญา
6 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2545 บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) ได้ยื่นคำร้องการขายไฟฟ้าประเภท Firm อายุสัญญา 25 ปี ให้ กฟผ. โดยเสนอขายพลังไฟฟ้าเข้าระบบ 20.2 เมกะวัตต์ ที่ใช้เศษไม้ยางพารา และกะลาปาล์มเป็นเชื้อเพลิง และได้วางหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าเป็นหนังสือค้ำประกัน จำนวนเงิน 10,100,000 บาท โดย กฟผ. ได้ตอบรับซื้อไฟฟ้าจากบริษัทฯ เมื่อ วันที่ 25 ตุลาคม 2545 ทั้งนี้ บริษัท ได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และได้ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้น โดยอัตราเงินที่ได้รับสนับสนุนเท่ากับ 0.18 บาท/kWh และกำหนดวันสิ้นสุดการพิจารณาเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวันที่ 30 กันยายน 2547 เมื่อถึงวันที่กำหนด โครงการยังไม่ได้รับการพิจารณา รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าของบริษัท และไม่คุ้มค่าการลงทุน บริษัทฯ จึงแจ้งยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้า พร้อมทั้งขอรับคืนหลักค้ำประกันการยื่นเข้อเสนอขายไฟฟ้าจาก กฟผ.
7. ต่อมาเดือนตุลาคม 2547 สนพ. ได้แจ้งสงวนสิทธิ์สิ้นสุดการพิจารณาเงินสนับสนุนโครงการให้บริษัท กัลฟ์ฯ เพื่อให้บริษัททำเรื่องขอคืนหลักค้ำประกันจาก สนพ. เนื่องจากการพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของ สผ. ยังไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งบริษัทได้ขอรับคืนหลักประกันซองข้อเสนอโครงการจาก สนพ. เรียบร้อยแล้ว และต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2547 บริษัทได้ขอยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้าและขอรับคืนหลักประกันการยืนข้อเสนอขายไฟฟ้าจาก กฟผ. ทั้งนี้ บริษัท กัลฟ์ฯ (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) ไม่ได้ ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กับ กฟผ. เนื่องจากผลการพิจารณา EIA จาก สผ. ได้เลยระยะเวลาที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด กฟผ. จึงเห็นว่าควรยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้าของบริษัทฯ และเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าของบริษัทฯ ต่อไป ซึ่งในการประชุม กพช. เมื่อเดือนกรกฎาคม 2547 ได้มีมติให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้วินิจฉัยปัญหาจากการปฏิบัติตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ในประเด็นที่ไม่ใช่ด้านนโยบายและเสนอ กพช. เพื่อทราบต่อไป
8. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า จากการที่บริษัทฯ ต้องรอผลการพิจารณารายงานผลกระทบด้าน สิ่งแวดล้อมจาก สผ. ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด จึงเป็นผลให้ ข้อเสนอโครงการของบริษัท กัลฟ์ฯ (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) เป็นอันสิ้นสุดการพิจารณาเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งทำให้ บริษัทฯ ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับรายได้ การลงทุน และการจัดหาเงินกู้ให้กับโครงการ บริษัทฯ จึงได้ขอยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้า และขอรับคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าดังกล่าว ทั้งนี้ โดยบริษัทฯ มิได้มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP นอกจากนี้ การยกเลิกคำร้องการขายไฟฟ้าของบริษัท ไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดหาไฟฟ้าของ กฟผ. เนื่องจากมีปริมาณพลังไฟฟ้าเพียง 20.2 เมกะวัตต์ และหากบริษัทฯ มีความพร้อมในการผลิตไฟฟ้าสามารถยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ได้ใหม่ จึงควรให้บริษัทฯ สามารถยกเลิกคำร้องการขายไฟฟ้าได้ โดยให้ กฟผ. คืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้ากับบริษัท
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ สนพ. และ กฟผ. รับไปพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อกำหนดของระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าและสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
ครั้งที่ 5 - วันจันทร์ ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2547
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2547 (ครั้งที่ 5)
วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2547 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าของปี 2547
4. การยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
5. การขอยุติเงินทดรองจ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร
7. ข้อเสนอการลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้กล่าวเกี่ยวกับปัญหาราคาน้ำมันแพงที่เกิดขึ้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เดินทางไปพบปะหารือกับหน่วยงาน IEA ของทวีปยุโรปและได้รับทราบว่าแนวโน้มปริมาณการผลิตน้ำมันของโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการใช้ ซึ่งคาดว่าแนวโน้มราคาน้ำมันน่าจะอ่อนตัวลงในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง และในการประชุมของกลุ่มประเทศ G7 ที่ผ่านมา ไม่ได้มีการหารือประเด็นราคาน้ำมันแต่อย่างไร
สำหรับยุทธศาสตร์ของประเทศที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแบ่งเป็น 2 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์เชิงตั้งรับ และยุทธศาสตร์เชิงรุก โดยที่ยุทธศาสตร์เชิงตั้งรับจะเป็นนโยบายเกี่ยวกับการใช้พลังงานที่มีอยู่ในประเทศให้เกิดประสิทธิภาพและประหยัดที่สุด รวมทั้งการใช้มาตรการตรึงราคาน้ำมันที่ดำเนินการอยู่ ทั้งนี้ระดับราคาน้ำมันของไทยอยู่ระดับที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก ดังนั้น ระยะต่อไปรัฐบาลจะเริ่มคลายตัวด้านราคาน้ำมันให้เป็นไปตามกลไกตลาดโดยคาดว่าเมื่อสิ้นฤดูหนาว ส่วนยุทธศาสตร์เชิงรุกจะเป็นนโยบาย เกี่ยวกับการจัดหาแหล่งพลังงานให้เพิ่มมากขึ้น โดยขณะนี้ไทยได้เริ่มเข้าร่วมสัมปทานปิโตรเลียมในต่างประเทศมากขึ้น เช่น ปตท. สผ. ได้รับสัมปทานแหล่งขุดเจาะก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นในประเทศพม่า หรือการเข้าร่วมลงทุนในประเทศโอมาน ซึ่งถือว่ารัฐบาลไทยได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตน้ำมันโลก นอกจากนี้รัฐบาลได้ดำเนินการเชิงรุก โดยการเพิ่มการผลิตพลังงานภายในประเทศให้มากขึ้น และลดการนำเข้าพลังงานลง ด้วยการสนับสนุนให้ประชาชนมีทางเลือกการใช้เชื้อเพลิงให้มากขึ้น เช่น Bio Fuel รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าจากเชื้อเพลิงโดยเฉพาะ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใช้ผลผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกก๊าซ เพื่อสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาสเกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายหนึ่งที่รัฐบาลได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้ว
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สาระสำคัญ
1. ความต้องการใช้และการผลิตน้ำมันดิบโดยรวม เดือนสิงหาคมได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 82.6 และ 83.4 ล้านบาร์เรล/วัน ตามลำดับ จากกลุ่มโอเปคได้มีมติจะปรับเพิ่มโควต้าการผลิตขึ้นอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน เป็น 27.0 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 เป็นต้นไป และปริมาณการผลิตน้ำมันของประเทศนอกกลุ่มโอเปคเดือนสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 47.6 ล้านบาร์เรล/วัน
2. ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3 ปี 2547 ได้ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ประมาณ 2.90 - 7.23 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยในเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 38.56 และ 42.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากบริษัทน้ำมัน Yukos ของ รัสเซียเกิดปัญหาด้านการเงินจะต้องจ่ายภาษีคืนให้แก่รัฐเป็นเงิน 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจากการเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรของ Hedge Funds รวมทั้งข่าวผู้ก่อการร้าย AI Queda ขู่จะโจมตีสถาบันการเงิน 5 แห่ง ของ สหรัฐอเมริกา แต่ในเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 34.92 และ 41.45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากมติที่ประชุมกลุ่มโอเปค เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2547 ให้ปรับเพิ่มโควต้าการผลิตอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน ประกอบกับซาอุดิอารเบียได้ปรับลดราคาน้ำมันดิบชนิดหนัก (กำมะถันสูง) ลง 2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามในช่วงกลางเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นจากพายุ Herricane Ivan เข้าสู่อ่าวเม็กซิโกได้ส่งผลให้การผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกต้องหยุดชะงัก
3. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยในไตรมาส 3 ปี 2547 ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงไตรมาส 2 โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และเตาปรับตัวสูงขึ้น 2.40, 2.57, 7.58, 7.69 และ 0.91 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 46.52 และ 45.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามราคาแนฟทา ซึ่งมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่องจากปิโตรเคมี และความต้องการซื้อของอินโดนีเซียที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 45.40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ด้วยอุปทานลดลงจากโรงกลั่นน้ำมันญี่ปุ่นปิดฉุกเฉิน และน้ำมันจากตะวันออกกลางที่เข้าในภูมิภาคเอเซียลดลง ส่วนน้ำมันก๊าดและเตาปรับตัวสูงอยู่ที่ระดับ 48.08 และ 29.67 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ดังนั้นราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซลหมุนเร็วและเตา ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 51.50, 50.62, 52.29, 50.36 และ 30.93 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ และเดือนกันยายนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ให้ปรับตัวลดลง จากตลาดคาดว่าความต้องการซื้อของเอเซียและตะวันตกจะลดลงหลังสิ้นสุดฤดูท่องเที่ยวในช่วงเดือนกันยายน ในขณะที่จีนมีแผนจะส่งออกเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยอุปสงค์จากเวียดนามและจีน เพิ่มขึ้น และน้ำมันดีเซลจากตะวันออกกลางเข้ามายังภูมิภาคเอเซียลดลง สำหรับน้ำมันก๊าดได้ปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการซื้อในภูมิภาคยังคงสูง ขณะที่น้ำมันเตาปรับตัวลดลงจากความต้องการซื้อในภูมิภาคต่ำกว่าอุปทาน ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92, ก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และเตา เฉลี่ยอยู่ระดับ 47.99, 47.16, 53.21, 51.46 และ 29.63 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
4. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยของไทยในช่วงไตรมาส 3 ปี 2547 ปรับตัวสูงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินไตรมาส 3 จำนวน 5 ครั้ง รวม 3 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 20 กันยายน อยู่ที่ระดับ 21.79, 20.99 และ 14.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ค่าการตลาดเฉลี่ยในไตรมาส 3 ปี 2547 เท่ากับไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 1.2060 บาท/ลิตร จากรัฐบาลตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นมา โดยค่าการตลาดเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน คงที่อยู่ใน 1.2060 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 1.1202, 0.8981 และ 1.4438 บาท/ลิตร ตามลำดับ
6. แนวโน้มราคาน้ำมันดิบคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 35 - 40 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จากการคาดการณ์ของ IEA อยู่ที่ระดับ 82.2 ล้านบาร์เรล/วัน และปี 2548 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 84.0 ล้านบาร์เรล/วัน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่อาจจะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงได้จากการเพิ่มกำลังการผลิตของประเทศกลุ่มโอเปค/ประเทศนอกกลุ่มโอเปค และการควบคุมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจีนได้จะทำให้อุปสงค์น้ำมันจะชะลอตัวลง
7. แนวโน้มราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ คาดว่าราคาน้ำมันเบนซินจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 46 - 58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มีอุปสงค์เข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งจากในภูมิภาคและนอกภูมิภาค ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 48 - 54 ต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อในภูมิภาคที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อุปทานจากตะวันออกกลางเข้ามาในภูมิภาคเอเซียลดลง
8. ผลการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นมา รัฐบาลได้มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน 8 ครั้งๆ ละ 0.60 บาท/ลิตร รวม 4.80 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 22 กันยายน 2547 อยู่ที่ระดับ 21.79, 20.99 และ 14.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ระดับ 0.975 และ 0.8902 บาท/ลิตร ตามลำดับ และอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 5.0212 บาท/ลิตร หรือประมาณ 269 ล้านบาท/วัน และมีจำนวนเงินชดเชยสะสมทั้งสิ้น 33,425 ล้านบาท แยกเป็นเงินชดเชยน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วประมาณ 2,619, 4,195 และ 26,611 ล้านบาท ตามลำดับ
9. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก เดือนกันยายนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 383 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 13.06 บาท/กก. (สูตรกำหนดราคาก๊าซ LPG ในประเทศกำหนดเพดานสูงสุดไว้ที่ 315 เหรียญสหรัฐ/ตัน) อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ 2.99 บาท/กก. หรือ 544 ล้านบาท/เดือน ทั้งนี้คาดการณ์ได้ว่าราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนตุลาคมยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 400 - 430 เหรียญสหรัฐ/ตัน และอัตราเงินชดเชยจะยังคงอยู่ในระดับ 2.99 บาท/กก. หรือ 554 ล้านบาท/เดือน
10. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 20 กันยายน 2547 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 361 ล้านบาท ยอดหนี้ค้างชำระ 26,637 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 4,916 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 106 ล้านบาท หนี้การตรึงราคาน้ำมันช่วงวันที่ 1 สิงหาคม 2547 - 20 กันยายน 2547 ประมาณ 10,130 ล้านบาท หนี้เงินกู้ 11,830 ล้านบาท และหนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนกันยายน 2547 16 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 26,637 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สาระสำคัญ
1. จากการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2546 ที่ประชุมได้เห็นชอบให้แยกงานพิจารณาอนุมัติการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงออก และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีก 1 ชุด โดยให้ กบง. ทำหน้าที่พิจารณาเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานเพื่อกลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
2. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2547 กบง. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน (ที่ปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมาย) เป็นประธานอนุกรรมการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอนุกรรมการ ซึ่งต่อมาคณะอนุกรรมการฯ ได้มีการจัดประชุมไปแล้วรวม 5 ครั้ง โดยมีการประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2547 และได้พิจารณาและอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ให้แก่โครงการต่างๆ ของหน่วยงานกระทรวงพลังงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 93,278,906 บาท (เก้าสิบสามล้าน สองแสนเจ็ดหมื่นแปดพันเก้าร้อยหกบาทถ้วน)
3. ผลการอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย
3.1 สำนักงานคณะกรรมการประสานการพัฒนายุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (สนพภ.) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในโครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทพัฒนาธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่ง และชุมชนในอนาคตบริเวณพื้นที่โครงการ (จำนวนเงิน 23 ล้านบาท) โครงการปรับปรุงแผนการดำเนินการและแผนปฏิบัติการขจัดคราบน้ำมันในทะเลในบริเวณพื้นที่โครงการ Sriracha Hub และ Strategic Energy Landbridge (จำนวนเงิน 14 ล้านบาท) และงบบริหารงานโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค ประจำปีงบประมาณ 2547 และ 2548 (จำนวน 4.99 ล้านบาท และ 3.83 ล้าน ตามลำดับ)
3.2 กรมธุรกิจพลังงาน ในโครงการศึกษาข้อกำหนดและมาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมในการควบคุมระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ (จำนวน 2 ล้านบาท) โครงการศึกษาและพัฒนาระบบการจัดการธุรกิจน้ำมัน (จำนวน 6,061,550 บาท) และโครงการศึกษาและพัฒนากฎหมาย LPG (จำนวน 818,100 บาท)
3.3 สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ได้อนุมัติงบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของสถาบัน สำหรับปี 2547 และปี 2548 เป็นจำนวนเงิน 9,964,600 บาท และจำนวนเงิน 12,899,800 บาท ตามลำดับ
3.4 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และหน่วยงานอื่นๆ ได้อนุมัติเงินงบประมาณปี 2547 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อโครงการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว จำนวนเงิน10,784,000 บาท และอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2548 ให้แก่กรมศุลกากร (663,600 บาท) กรมสรรพสามิต (1,184,724 บาท) และ สนพ. (3,068,856 บาท) ในวงเงินรวม 4,917,180 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าของปี 2547
สาระสำคัญ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปความเป็นมา ประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้า แนวทางการชดเชย รายได้ระหว่างการไฟฟ้า และข้อเสนอการชดเชยรายได้ของการไฟฟ้าในปี 2547 ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้เห็นชอบการชดเชยรายได้จากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ไปยังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในลักษณะเหมาจ่าย (Lump Sum Financial Transfer) ในปีงบประมาณ 2544 - 2546 เท่ากับ 8,153 8,589 และ 9,041 ล้านบาทต่อปี ตามลำดับ ต่อมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2546 ได้เห็นชอบการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในปีงบประมาณ 2547 เป็นการชั่วคราว ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง จำนวน 9,041 ล้านบาท โดย กฟน. รับภาระการชดเชยรายได้จำนวน 7,000 ล้านบาท และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระการชดเชยรายได้จำนวน 2,041 ล้านบาท โดยกำหนดเป็นส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. ขายให้ กฟน. เท่ากับ 17.54 สตางค์/หน่วย และส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่งที่ กฟผ. ขายให้ กฟภ. เท่ากับ 12.29 สตางค์/หน่วย ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อยุติการกำหนดเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าแล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ดังกล่าวย้อนหลังถึงเดือนตุลาคม 2546 ซึ่ง กฟภ. ขอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาปรับเงินชดเชยรายได้ค่าไฟฟ้าปี 2547 เป็นการเร่งด่วน โดยพิจารณาให้แต่ละการไฟฟ้ามีอัตราผลตอบแทนการลงทุนอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
2. สนพ. ได้ขอให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จัดทำประมาณการฐานะการเงินปีปฏิทิน 2547 (มกราคม - ธันวาคม 2547) เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปี 2547 โดยใช้ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง 6 เดือน (มกราคม - มิถุนายน 2547) และข้อมูลประมาณการ 6 เดือน (กรกฎาคม - ธันวาคม 2547) ซึ่งสามารถสรุปงบการเงินที่สำคัญได้ ดังนี้
ประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้าในปีปฏิทิน 2547
3. แนวทางการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปี 2547 จากการประชุมหารือร่วมกันระหว่างผู้บริหารของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และ สนพ. โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) เป็นประธานในการประชุม เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2547 ได้เห็นชอบให้มีการปรับเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า เป็นการชั่วคราว ตามแนวทางการพิจารณา ดังนี้
3.1 เนื่องจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ยังไม่มีการแปลงสภาพเป็นบริษัทและจดทะเบียนกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2547 ประกอบกับ ในปี 2547 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีนโยบายบัญชีที่แตกต่างกัน โดยการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายปิดบัญชีเป็นปีปฏิทิน ในขณะที่ กฟผ. ยังปิดบัญชีเป็นปีงบประมาณ ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในปี 2547 อยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน จึงควรพิจารณาการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าจากงบการเงินในปีปฏิทิน 2547 ภายใต้หลักเกณฑ์ทางการเงินที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน กล่าวคือ SFR ไม่ต่ำกว่าร้อยละ25 และ DSCR ไม่ต่ำกว่า 1.3 เท่า สำหรับ กฟผ. และ 1.5 เท่า สำหรับ กฟน. และ กฟภ.
3.2 การวิเคราะห์และปรับปรุงประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้าในปีปฏิทิน 2547
3.2.1 ฐานะการเงินของ กฟผ. : กฟผ. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2547 ประมาณ 28,643 ล้านบาท ในขณะที่ SFR ในปี 2547 เท่ากับร้อยละ -8.37 ซึ่งเป็นผลมาจาก (1) การประมาณการเงิน นำส่งรัฐจากการดำเนินงานในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2546 จำนวน 1,000 ล้านบาท มารวมในการคำนวณค่า SFR ของปีปฏิทิน 2547 และ (2) กฟผ. อ้างอิงการปิดบัญชีปฏิทินปี 2546 (วันที่ 31 ธันวาคม 2546 เป็น วันหยุดราชการ) ส่งผลให้จำนวนวันเจ้าหนี้ค่าซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. ลดลงจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน ซึ่ง กฟผ. ต้องหักเงินสดสำหรับจ่ายค่าซื้อไฟฟ้าเดือนพฤศจิกายน 2547 ในการคำนวณ Increase/(Decrease) in Working Capital เป็นจำนวน 12,291 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่งผลให้รายได้ในการคำนวณ SFR ของ กฟผ. ติดลบ 1,403 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อปรับปรุงการคำนวณ SFR ใน2 รายการดังกล่าวแล้ว กฟผ. จะมีฐานะการเงิน ที่ดีขึ้นมาก โดยมีค่าSFR ในปี 2547 สูงถึงประมาณร้อยละ 70 ซึ่งสามารถปรับเกลี่ยฐานะการเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้
3.2.2 ฐานะการเงินของ กฟน. : กฟน. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2547 ประมาณ2,668 ล้านบาท แบ่งเป็นกำไรสุทธิในเดือนมกราคม- มิถุนายน 2547 เท่ากับ 3,189 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2547 เท่ากับ 521 ล้านบาท และมีค่าSFR ในปี 2547 เท่ากับร้อยละ 11 ซึ่งเป็นผลมาจาก(1) กฟน.ประมาณการค่าความสูญเสียในระบบ (Loss Rate) ในเดือนกรกฏาคม- ธันวาคม 2547 สูงถึงร้อยละ 5.2 เมื่อกำหนดให้ กฟน. มีค่า Loss ตามมาตรฐานที่กำหนดคือร้อยละ 4.1 จะส่งผลให้ กฟน. สามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นเป็นเงินประมาณ 644 ล้านบาท และ (2) กฟน. ได้ออกพันธบัตรในปี 2547 เพื่อ Refinance หนี้เงินกู้เดิมเป็นจำนวนเงิน 5,700 ล้านบาท และได้จัดสรรเงินทุนสะสมเพื่อการชำระหนี้(Sinking Fund) ในวงเงินดังกล่าวในปี2547 เป็นเงินจำนวน 495 ล้านบาท ซึ่ง กฟน. ควรเริ่มกันเงินSinking Fund ในปีถัดไป ทั้งนี้ เมื่อปรับปรุงการคำนวณใน 2 รายการ ดังกล่าวแล้ว กฟน. จะมีฐานะการเงินผ่านเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีค่าSFR ในปี 2547 ประมาณร้อยละ 26.88 นอกจากนี้ ฐานะการเงินของ กฟน. ยังมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น ได้อีก ในกรณีโครงการประหยัดไฟกำไรสองต่อมีผู้เข้าร่วมโครงการน้อยกว่า 300 ล้านหน่วย ในเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2547 ตามที่ กฟน. ได้ประมาณการไว้
3.2.3 ฐานะการเงินของ กฟภ. : กฟภ. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2547 ประมาณ3,918 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก กฟภ. ประมาณการการรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. ในระดับแรงดันสูง ซึ่งค่าไฟฟ้ามีราคาถูกลดลง และประมาณการรับซื้อไฟฟ้าในระดับแรงดันต่ำซึ่งค่าไฟฟ้ามีราคาแพงเพิ่มขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อปรับสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าของ กฟภ. ให้ใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา จะทำให้กำไรสุทธิจากการดำเนินงานของ กฟภ. ในปี 2547 อยู่ในระดับประมาณ 4,438 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 520 ล้านบาท ส่งผลให้ค่า SFR ในปี 2547 ดีขึ้นเล็กน้อยเป็นประมาณร้อยละ 13.3
หากพิจารณาให้ กฟภ. มีค่าSFR เท่ากับร้อยละ 25 ตามเกณฑ์ทางการเงินที่กำหนด กฟภ. จะมีความต้องการรายได้เพิ่มอีกประมาณ 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก กฟภ. มีการประมาณการการปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานในช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2547 ประมาณ 500 ล้านบาท ประกอบกับหน่วยจำหน่ายของ กฟภ. มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากที่ประมาณการไว้ จึงอาจส่งผลให้ฐานะการเงินของ กฟภ. ดีขึ้นจากที่ประมาณการไว้ได้อีก ดังนั้น จึงเสนอให้มีการปรับเพิ่มเงินชดเชยรายได้ในปีปฏิทิน 2547 จากที่ได้รับในการประมาณการครั้งนี้ (9,601 ล้านบาท) อีกจำนวน 1,500 ล้านบาท โดยให้ กฟผ. เป็นผู้รับภาระการชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ซึ่งจะมีผลทำให้ค่า SFR ของ กฟภ. อยู่ในระดับร้อยละ22
ฐานะการเงินของการไฟฟ้าในปี 2547 ภายหลังการปรับจำนวนเงินชดเชยรายได้
4. ข้อเสนอแนวทางการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปี 2547
4.1 เห็นควรกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในเดือนมกราคม - ธันวาคม 2547 เท่ากับ 11,101 ล้านบาท เป็นการชั่วคราว โดย กฟน. และ กฟผ. รับภาระการชดเชยรายได้ให้กับ กฟภ. เท่ากับ 7,165 และ 3,936 ล้านบาท สำหรับเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2546 เห็นควรให้ปรับปรุงตามจำนวนเงินชดเชยรายได้ในปีปฏิทิน 2547 เป็นการชั่วคราวเท่ากับ 2,557 ล้านบาท โดย กฟน. และ กฟผ. รับภาระการ ชดเชยรายได้ให้ กฟภ. เท่ากับ 1,677 และ 880 ล้านบาท ตามลำดับ
จำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า
ตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547
หน่วย : ล้านบาท
เดือน | กฟน. | กฟผ. | รวม |
ตุลาคม - ธันวาคม 2546 | 1,677 | 880 | 2,557 |
มกราคม - ธันวาคม 2547 | 7,165 | 3,936 | 11,101 |
รวม | 8,842 | 4,816 | 13,658 |
ทั้งนี้ เมื่อได้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเดือนมกราคม - ธันวาคม2547 แล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าที่เหมาะสมในเดือนตุลาคม2546 -ธันวาคม 2547 อีกครั้งหนึ่ง
4.2 เห็นควรกำหนดหลักการในการจ่ายเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547 โดยนำส่วนต่างระหว่างเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 (13,658 ล้านบาท) กับเงินชดเชยรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในเดือนตุลาคม2546 - กันยายน 2547 มาเฉลี่ยจ่ายให้กับ กฟภ. ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547
4.3 เห็นควรมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้ารับไปดำเนินการปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ที่เหมาะสมระหว่างการไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 โดยพิจารณาจากฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในเดือนมกราคม- ธันวาคม 2547 ภายใต้ หลักเกณฑ์ทางการเงินที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน กล่าวคือ SFR ไม่ต่ำกว่าร้อยละ25 และ DSCR ไม่ต่ำกว่า 1.3 เท่า สำหรับ กฟผ. และ 1.5 เท่า สำหรับ กฟน. และ กฟภ.
4.4 เห็นควรกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. เป็นการชั่วคราว ผ่านส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้า ในระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศใช้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ ดังนี้
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2548
หน่วยซื้อไฟฟ้า ประมาณการปีปฏิทิน 2547 (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาท/หน่วย) |
|
กฟผ. ขาย กฟน. | 40,849 | 0.1754 |
กฟผ. ขาย กฟภ. | 78,119 | (0.1421) |
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 เท่ากับ 13,658 ล้านบาท เป็นการชั่วคราว โดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระการชดเชยรายได้ให้กับ กฟภ. เท่ากับ 8,842 และ 4,816 ล้านบาท ตามลำดับ
จำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า
ตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547
หน่วย : ล้านบาท
เดือน | กฟน. | กฟผ. | รวม |
ตุลาคม - ธันวาคม 2546 | 1,677 | 880 | 2,557 |
มกราคม - ธันวาคม 2547 | 7,165 | 3,936 | 11,101 |
รวม | 8,842 | 4,816 | 13,658 |
ทั้งนี้ เมื่อได้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเดือนมกราคม- ธันวาคม 2547 แล้วให้ นำมาปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าที่เหมาะสมในเดือนตุลาคม 2546 -ธันวาคม 2547 อีกครั้งหนึ่ง
2. เห็นชอบการกำหนดหลักการในการจ่ายเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547 โดย นำส่วนต่างระหว่างเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 (13,658 ล้านบาท) กับเงินชดเชยรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในเดือนตุลาคม2546 - กันยายน 2547 มาเฉลี่ยจ่ายให้กับ กฟภ. โดยตรงในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547
3. มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้ารับไปดำเนินการปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ที่เหมาะสมระหว่างการไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 โดยพิจารณาจากฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในเดือนมกราคม- ธันวาคม 2547 ภายใต้หลักเกณฑ์ ทางการเงินที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน กล่าวคือ SFR ไม่ต่ำกว่าร้อยละ25 และ DSCR ไม่ต่ำกว่า 1.3 เท่า สำหรับ กฟผ. และ 1.5 เท่า สำหรับ กฟน. และ กฟภ.
4. เห็นชอบกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. เป็นการชั่วคราว ผ่านส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าในระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศใช้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ ดังนี้
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2548
หน่วยซื้อไฟฟ้า ประมาณการปีปฏิทิน 2548 (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาท/หน่วย) |
|
กฟผ. ขาย กฟน. | 43,850 | 0.1754 |
กฟผ. ขาย กฟภ. | 83,402 | (0.1421) |
เรื่องที่ 4 การยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงานและภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป และลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้หลักการเดียวกับภาษีสรรพสามิต คือ ให้ยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนในส่วนเอทานอล 10% โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เท่ากับ 0.27 และ 0.0360 บาท/ลิตร ตามลำดับ
2. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2547 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มเติมให้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งมาตรการหนึ่ง คือ มาตรการด้านราคา โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานพิจารณายกเว้นการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าราคาของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 มาก ยิ่งขึ้น เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
3. ต่อมากระทรวงพลังงานได้รับแจ้งจาก ปตท. และบางจากว่า ราคาเอทานอลและราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์สูงขึ้นประมาณ 0.38 บาท/ลิตร เนื่องจากผู้ผลิตเอทานอล ได้แก่ บริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรูพ เทรดดิ้ง จำกัด และ บริษัท ไทยแอลกอฮอล์ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งปรับราคาจำหน่ายเอทานอลบริสุทธิ์ 99.5% เพิ่มขึ้น 0.75 บาท/ลิตร เป็น 12.75 บาท/ลิตร ซึ่ง มีผลทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในส่วน 9% ที่เป็นเอทานอลเพิ่มขึ้น 0.065 บาท/ลิตร และกลุ่มโรงกลั่น ได้แจ้งปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำมาผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์สูงขึ้น $1.31 ต่อบาร์เรล หรือประมาณ 0.34 บาท/ลิตร ทำให้ต้นทุนราคาแก๊สโซฮอล์ในส่วน 91% ที่เป็นน้ำมันเบนซินออกเทน 91 เพิ่มขึ้น 0.31 บาท/ลิตร จาก 2 ปัจจัยคือ ราคาเดิมต่ำกว่าต้นทุนจริง และต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นจากการปรับคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์
4. กระทรวงพลังงาน ได้ประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2547 เพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุนราคาแก๊สโซฮอล์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบให้ปรับต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์สูงขึ้น 0.27 บาท/ลิตร (แยกเป็นต้นทุนเอทานอลและน้ำมันเบนซินออกเทน 91 เพิ่มขึ้น 0.0675 และ 0.2025 บาท/ลิตร ตามลำดับ) และให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ขอความเห็นชอบยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่เปลี่ยนแปลง และความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์อยู่ที่ระดับ 0.50 บาท/ลิตร ทั้งนี้ กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยการปรับราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ลดลง 0.11 บาท/ลิตร
5. เพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุนราคาแก๊สโซฮอล์ที่ปรับตัวสูงขึ้น และให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีในการส่งเสริมการใช้และจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ สนพ.ได้เสนอขอความเห็นชอบ คือ
5.1 ขอความเห็นชอบยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่เปลี่ยนแปลง และความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์อยู่ที่ระดับเดิม 0.50 บาท/ลิตร
5.2 อย่างไรก็ตาม การยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตามข้อ 5.1 ไม่รวมถึงการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่ได้มีการจ่ายชดเชยตามนโยบายตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งในช่วงราคาน้ำมันขาลง รัฐบาลจะต้องเก็บเงินคืนเพื่อจ่ายคืนเงินกู้ต่อไป
6. การยกเว้นเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มี รายได้ลดลงประมาณ 1.35 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนกันยายน 2547 มีรายรับ 1,101 ล้านบาท และมีรายจ่ายชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 553 และ 7,058 ล้านบาท/เดือน ตามลำดับ และหากการผลิตและจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นไปเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ของกระทรวงพลังงาน คือ จำนวน 30 ล้านลิตร/เดือน ในปี 2547 - 2549 และจำนวน 90 ล้านลิตร/เดือน ในปี 2554 จะทำให้รายรับของกองทุนน้ำมันฯ ลดลง 8.1 ล้านบาท/เดือน ในปี 2547 - 2549 และ 24.3 ล้านบาท/เดือน ในปี 2554
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว ทดแทนต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่เพิ่มขึ้นในส่วนของราคาเอทานอล เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไว้ที่ระดับเดิม
2. การยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตามข้อ 1 ไม่รวมถึงการเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่ได้มีการจ่ายเงินชดเชยตามนโยบายตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งในช่วงราคาน้ำมันขาลง รัฐบาลจะต้องเก็บเงินคืนเพื่อจ่ายเงินกู้ต่อไป
3. มอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน กรมการค้าภายใน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปหารือร่วมกับกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำมาผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดต้องเกิดขึ้นกับประชาชน แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 การขอยุติเงินทดรองจ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2546 กบง. เห็นชอบให้มีการแก้ไขกฎระเบียบ รวมทั้งขั้นตอนการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ โดยให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่ผู้ผลิตและผู้นำเข้าภายใน 15 วัน นับจากวันที่ยื่นคำร้องขอรับเงินชดเชย และให้ปรับเพิ่มวงเงินทดรองจ่ายให้แก่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรซึ่งมีไว้สำหรับจ่ายชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการจ่ายชดเชยราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมันฯ
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 ได้มีมติอนุมัติให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) กระทรวงพลังงาน กู้ยืมเงินในวงเงิน 8,000 ล้านบาท ด้วยวิธีเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน และต่อมาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2547 สถาบันฯ ได้ดำเนินการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ โดยการกู้เงินเบิกเกินบัญชี จำนวน 8,000 ล้านบาท
3. ปัจจุบันฐานะเงินกองทุนน้ำมันฯ มีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันเป็นจำนวนสูง และสถาบันฯ ได้กู้เงินมาให้กองทุนเพื่อจ่ายชดเชยเพิ่มเติมอีกจำนวน 30,000 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อให้การบริหารเงินกองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และประหยัดต้นทุนในการกู้ยืมเงิน สถาบันฯ จึงขออนุมัติหลักการให้มีการยกเลิกวงเงินทดรองจ่ายที่กรมสรรพสามิต จำนวน 3,000 ล้านบาท และกรมศุลกากร จำนวน 100 ล้านบาท โดยสถาบันฯ จะเป็นผู้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินกองทุนให้กรมสรรพสามิต/ กรมศุลกากร เพื่อนำไปจ่ายชดเชยให้กับผู้ประกอบการที่ได้ยื่นขอรับเงินชดเชย ดังนี้
3.1 การจ่ายเงินชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ให้กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร แจ้งยอดเงินที่ได้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง ในแต่ละงวดเดือนภายในวันที่ 25 ของเดือน เพื่อสถาบันฯ จะได้แจ้งยอดเงินที่ต้องเบิกเงินกู้ให้กับสถาบันการเงินภายใน 5 วันทำการก่อนเบิกเงินกู้ ตามเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน
3.2 การจ่ายเงินชดเชยก๊าซ LPG ให้กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ทำหนังสือขอเบิกเงิน กองทุนตามจำนวนเงินที่ผู้ประกอบการได้ยื่นขอรับเงินชดเชยและได้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องครบถ้วนแล้ว ภายในวันที่ 10 ของเดือน
4. จากฐานะกองทุนน้ำมันฯ ที่มีรายรับไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย และสถาบันฯ ซึ่งเป็นกลไกที่จัดตั้งขึ้นทำหน้าที่บริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งมีภาระที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เบิกเกินบัญชีทุกเดือนและต้องชำระคืนเงินกู้เบิกเกินบัญชี และประกอบกับสถาบันฯ มีความพร้อมสามารถในการจ่ายเงินชดเชยโดยตรงให้กับผู้ประกอบการได้อย่างรวดเร็วแทนกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นว่าความจำเป็นในการมีเงินทดรองจ่ายไว้ที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรย่อมหมดความจำเป็น
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเลิกเงินทดรองจ่ายที่กรมสรรพสามิต จำนวน 3,000 ล้านบาท และกรมศุลกากร จำนวน 100 ล้านบาท โดยมอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชยตรงให้กับผู้ประกอบการตามหลักฐานการขอรับเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากรได้ตรวจสอบและรับรองถูกต้องแล้ว
2. เห็นชอบให้แก้ไขระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546
สรุปข้อเสนอการขอแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 ดังนี้
ส่วนที่ 1 ขอแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะ การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
1. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งได้ทำหน้าที่จัดหาเงินมาให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศไม่ให้สูงเกินกว่าระดับที่คณะรัฐมนตรีกำหนด พร้อมทั้งรับโอนงานบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ จากกรมบัญชีกลางมาดำเนินงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2547 และเพื่อให้สถาบันฯ สามารถดำเนินการในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และเกิดประโยชน์สูงสุด สถาบันฯ จึงมีหนังสือขอให้มีการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงดังนี้ คือ
(1) ข้อ 2 เพิ่มเติมข้อความ "สถาบัน หมายความว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546" และ "ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน"
(2) ข้อ 3 ขอแก้ไขเป็น "ให้ตั้งกองทุน เรียกว่า "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" ไว้ที่สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและเพื่อตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้คงที่อยู่ในระยะเวลาหนึ่ง ตามที่นโยบายรัฐบาลกำหนด"
(3) ข้อ 6 ขอแก้ไข จาก "ให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุน" เป็น "ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้จัดการกองทุน"
(4) ข้อ 7 ขอแก้ไขเป็น "(2) เป็นเงินค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของสถาบันตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ" และ "(5) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ"
(5) ข้อ 10 ข้อ 11 และข้อ 27 แก้ไขคำที่ใช้ว่า "ปลัดกระทรวงพลังงาน" เป็น "ผู้อำนวยการ"
2. แต่ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการดำเนินงานบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ของสถาบันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้มีปรับปรุงแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 ในประเด็นเกี่ยวกับข้อความข้อ 2, 10, 11 และ 27 ในคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 ตามที่สถาบันฯ ขอให้แก้ไข ทั้งนี้ เป็นการแก้ไขนิยามที่เกี่ยวข้องกับสถาบันซึ่งยังไม่ได้ถูกกำหนดไว้ และในส่วนข้อความข้อ 3, 6 และ 7 ในคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ขอให้คงเดิม เนื่องจากนโยบายการมีกองทุนน้ำมันฯ ขึ้น เป็นนโยบายรัฐบาลที่มอบให้ปลัดกระทรวงเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะผู้จัดการกองทุน และมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 3 ของพระราชกำหนด พ.ศ. 2516 ขณะเดียวกัน สถาบันฯ อาจของบประมาณจากงบประมาณประจำปีจากรัฐบาลและสามารถยื่นของบประมาณรายจ่ายประจำปีจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามข้อ 7 (2) ได้อยู่แล้ว
ส่วนที่ 2 ขอแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 ในส่วนของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
3. กระทรวงพลังงาน ได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปแล้ว 2 ขั้นตอน ซึ่งมีผลให้โรงบรรจุต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนี้ ห้ามบรรจุข้ามยี่ห้อ ห้ามบรรจุไม่เต็มน้ำหนัก และห้ามบรรจุถังผิดกฎหมาย และก่อนที่จะเริ่มดำเนินการปรับปรุงระบบการค้าฯ ใน ขั้นตอนสุดท้าย (ขั้นตอนที่ 3) ปรากฏว่าได้มีปัญหาการลักลอบกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการลักลอบบรรจุข้ามยี่ห้อ ซึ่ง สนพ. ได้ประสานความร่วมมือกับกรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยจัดชุดตำรวจเฉพาะกิจด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลวขึ้น เสริมกำลังเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน ออกตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายทั่วประเทศ เพื่อควบคุมไม่ให้โรงบรรจุกลับไปบรรจุข้ามยี่ห้อเช่นเดิม
4. ผลการดำเนินโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงเดือนตุลาคม 2546 - มิถุนายน 2547 มีผู้กระทำความผิด จำนวน 219 ราย แยกเป็นการกระทำผิดที่โรงบรรจุ 118 แห่ง สถานีบริการแก๊ส (ปั๊มแก๊ส) 94 แห่ง และร้านค้าปลีก 7 แห่ง โดยมี ข้อหาในการจับกุม จำนวน 251 ข้อหา จากผลการจับกุมดังกล่าว พบว่าปั๊มแก๊สซึ่งขออนุญาตจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเติมรถยนต์เป็นสถานที่กระทำความผิดและหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบธุรกิจก๊าซ หุงต้มมากที่สุด จำนวน 104 ข้อหา โดยที่รายชื่อปั๊มแก๊สที่ถูกจับกุมจะเป็น รายชื่อซ้ำที่จะถูกจับกุมมากกว่าหนึ่งครั้ง
5. สำหรับสาเหตุการลักลอบบรรจุถังก๊าซหุงต้มโดยผิดกฎหมายเกิดจาก 1) บทลงโทษตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 28 (ปว. 28) ค่อนข้างต่ำ ปรับไม่เกิน 5,000 บาท ทำให้ปั๊มก๊าซไม่เกรงกลัว 2) เนื่องจากปัจจุบันร้านค้าก๊าซไม่ได้สังกัดผู้ค้าก๊าซมาตรา 7 จึงสามารถนำถังก๊าซไปลักลอบบรรจุตามปั๊มก๊าซได้ และจะขาดการดูแลซ่อมบำรุงถังก๊าซตามที่กฎหมายกำหนด ก่อให้เกิดอันตรายกับสังคมได้
6. ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจึงควรเป็น
(1) แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ในข้อ 21 ให้สถานีบริการก๊าซมีความผิดหากบรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้มขายหรือจำหน่ายก๊าซให้กับผู้อื่น บทลงโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(2) จัดระเบียบร้านค้าก๊าซ ให้สังกัดผู้ค้าก๊าซมาตรา 7 โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เพื่อควบคุมให้ร้านค้าก๊าซนำถังก๊าซไปบรรจุตามยี่ห้อที่ตนสังกัด และหากร้านค้าก๊าซนำ ถังก๊าซไปบรรจุนอกยี่ห้อที่ตนสังกัด จะถูกยกเลิกการเป็นตัวแทนและห้ามขายก๊าซยี่ห้อดังกล่าว
(3) ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 เรื่อง การปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ความว่า "ให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง ประสานสำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเป็นค่าใช้จ่ายให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง" เนื่องจากความมุ่งหมายของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว มุ่งหมายให้โอนงานน้ำมันเถื่อนไปให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบจัดหางบประมาณแผ่นดินมาใช้แทนการใช้เงินกองทุนน้ำมัน ซึ่งในปัจจุบันได้มีการดำเนินการเรียบร้อยแล้ว โดยการดำเนินการดังกล่าวไม่รวมถึงการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับก๊าซหุงต้ม เนื่องจากไม่ใช่เรื่องหนีภาษี แต่เป็นเรื่องปัญหาความปลอดภัย และมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว มีความหมายกว้าง ทำให้ไม่สามารถใช้เงิน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาสนับสนุนการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับธุรกิจปิโตรเลียมเหลว ซึ่งปัจจุบันยังต้องดำเนินการปรับปรุงพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการจัดทำร่างแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 ตามการขอ แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ในข้อ 2, ข้อ 10 - 11, ข้อ 21 และข้อ 27 เพื่อดำเนินการต่อไป
2. เห็นชอบให้นำเสนอขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 เรื่อง การปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ต่อคณะรัฐมนตรี
เรื่องที่ 7 ข้อเสนอการลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือประชาชนโดยทั่วไป ด้วยการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลยังคงถูกตรึงราคาไว้ที่ระดับต่ำเช่นเดิมมาจนถึงปัจจุบัน
2. ชาวประมงที่ซื้อน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ได้รับความเดือดร้อนเพราะการตรึงราคาไม่ได้ครอบคลุมถึงโครงการฯจึงไม่ได้รับการชดเชย ดังนั้นราคาน้ำมัน ในโครงการฯจึงเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก จนใกล้เคียงกับราคาขายส่งของน้ำมันดีเซลบนบกที่ถูกตรึงราคาไว้ ทำให้ปริมาณจำหน่ายน้ำมันเขียวลดลง เนื่องจากชาวประมงบางส่วนต้องจอดเรือพักการทำประมง และบางส่วนหันมาซื้อน้ำมันบนฝั่งแทน ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ผลสืบเนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ทำให้กลุ่มประมงในบางจังหวัดเสนอขอให้มีการชดเชยราคาน้ำมันเขียว นอกจากนี้ชาวประมงที่ได้รับสัมปทานทำประมงในประเทศพม่าได้ซื้อน้ำมันบนบก เพื่อนำไปใช้ในการทำประมงแทนน้ำมันเขียว แต่เนื่องจากประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน กำหนดให้เรือที่มีความประสงค์จะเติมน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อใช้สำหรับเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ต้องส่งเงินคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ชาวประมงมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณลิตรละ 4 บาท และการซื้อน้ำมันบนบกราคาถูก อาจทำให้เกิดการลักลอบนำน้ำมันไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาน้ำมันสูงกว่า ทำให้เกิดการรั่วไหลของเงินชดเชยได้ และยังมีผลกระทบต่อการวางแผนการผลิตน้ำมันสำหรับโครงการน้ำมันเขียวของโรงกลั่นด้วย
4. ดังนั้นเพื่อลดภาระชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอนาคต และเป็นการผลักดันให้ชาวประมงหันกลับไปใช้น้ำมันเขียว และเพื่อป้องกันมิให้มีการน้ำมันบนบกที่ได้รับการชดเชยจากภาครัฐมีการลักลอบนำไปจำหน่ายยังต่างประเทศ สนพ. จึงได้ข้อเสนอแนวทางการแก้ไข ดังนี้
1) ขอความเห็นชอบ การตรึงราคาน้ำมันเขียวโดยการชดเชยในลักษณะของการให้ยืมและให้ส่งคืนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อในภายหลังตามหลักเกณฑ์เดียวกับการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงบนบก
2) ขอให้มอบหมาย สนพ.,กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต ร่วมกันจัดทำระบบการชดเชยและ ส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3) เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำน้ำมันที่ได้รับชดเชยไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการกำกับดูแลการจ่ายเงินชดเชยตามปริมาณน้ำมันเขียวที่ใช้จริงไม่ให้เกิดการรั่วไหล โดยขอให้มอบหมายหน่วยงานต่างๆ เช่น สนพ., กรมประมง, กรมศุลกากร, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รับไปดำเนินการ
4) ขอให้ช่วยเหลือชาวประมงขนาดเล็กได้ซื้อน้ำมันในราคาต่ำลงอีก โดยให้เรือประมงชายฝั่งขนาดเล็ก(ความยาวไม่เกิน 14 เมตร) รวมตัวเพื่อซื้อน้ำมันบนบกในราคาขายส่ง ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันถูกลงประมาณ ลิตรละ 50 - 75 สตางค์ และให้มีการจัดตั้งเรือสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทะเลอาณาเขต โดยมอบหมายให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี, กรมธุรกิจพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รับไปดำเนินการ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมง (โครงการน้ำมันเขียว) ไม่ให้สูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก โดยให้จ่ายเงินชดเชยในส่วนต่างของราคาน้ำมันเขียวที่สูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก และให้เรียกเก็บเงินคืนเมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก ไปจนเมื่อเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้หมด
2. มอบหมายให้ สนพ. กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตร่วมกันจัดทำระบบการชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันฯ
3. มอบหมายให้ สนพ. กรมประมง กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รับไปดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำน้ำมันที่ได้รับชดเชยไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
ครั้งที่ 4 - วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2546
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 4)
วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2547
3. การขยายระยะเวลาปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุน จำนวน 7 สตางค์ต่อหน่วย
4. การรับภาระของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจากการตรึงค่า Ft
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 ราคาน้ำมันดิบโอมานและดูไบเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 0.10 - 0.37 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในอิรัก และเหตุการณ์การก่อการร้ายอย่าง ต่อเนื่องในตะวันออกกลางและประเทศตุรกี ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์และ WTI ได้ปรับตัว ลดลง 0.27 - 0.56 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการคาดว่ากลุ่มโอเปคจะผลิตเกินโควต้าอยู่ประมาณ 1 ล้านบาร์เรล/วัน ในช่วง ต้นเดือนธันวาคมราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง 0.38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ทรงตัว จากผลการประชุมของโอเปค เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2546 ให้คงการผลิต ไว้ที่ระดับ 24.5 ล้านบาร์เรล/วัน ประกอบกับอิรักสามารถส่งออกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 0.35 ล้านบาร์เรล/วัน มาอยู่ที่ระดับ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน โดยราคาน้ำมันดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 27.52 และ 28.82 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้น 0.23 และ 1.27 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากจีนลดการส่งออกและโรงกลั่นปิดซ่อมบำรุง และอุปทานน้ำมันเข้ามาในภูมิภาคลดลง ประกอบกับความต้องการใช้ของออสเตรเลียเพิ่มขึ้น แต่ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 92 ปรับตัวลดลง 0.20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการส่งออกของไต้หวัน อินเดีย และประเทศในตะวันออกกลาง ประกอบกับออสเตรเลียชะลอการนำเข้า ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวสูงขึ้น 0.89 - 1.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อของเวียดนามและบังคลาเทศ ประกอบกับญี่ปุ่นลดการส่งออก เนื่องจากโรงกลั่นปิดซ่อมบำรุง ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวลดลง 0.24 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล โดยอุปทานในภูมิภาคเพิ่มขึ้นจากมีน้ำมันจากตะวันออกกลางเข้ามาขายในภูมิภาคเอเซีย ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 , น้ำมันก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเตา ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 37.48, 35.98, 37.78, 33.48 และ 25.84 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ในเดือนพฤศจิกายน ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ทรงตัว น้ำมันเบนซินออกเทน 91 สุทธิปรับขึ้น 0.10 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วสุทธิปรับขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกในช่วงต้นเดือนธันวาคม ไม่เปลี่ยนแปลง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 16.69 , 15.89 และ 14.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในเดือนพฤศจิกายน และช่วงต้นเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 1.2323 และ1.4320 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการกลั่นเฉลี่ยของเดือนพฤศจิกายนและช่วงต้นเดือนธันวาคม อยู่ที่ระดับ 0.7306 และ 0.9841 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนธันวาคม 2546 ปรับตัวสูงขึ้น 32 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ ในระดับ 312 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 11.84 บาท/กก. อัตราเงิน ชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 3.64 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 662 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันฯ มี รายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 982 ล้านบาท/เดือน จึงมีเงินไหลออกกองทุนฯ สุทธิ 80 ล้านบาท/เดือน ยอดเงินคงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 อยู่ในระดับ 2,449 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2546 รวม 5,292 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 2,843 ล้านบาท
6. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ให้จำกัดอัตราชดเชยราคาก๊าซ LPG ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2546 - มิถุนายน 2547 ไม่เกิน 3 บาท/กก. สนพ. จึงได้ดำเนินการออกประกาศ กบง. ฉบับที่ 70 พ.ศ. 2546 ปรับขึ้นราคาขายส่งก๊าซ LPG ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 0.9345 บาท/กก. ซึ่งจะทำให้ราคาขายส่ง/ราคาขายปลีกรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.00 บาท/กก. หรือ 15 บาท/ถัง 15 กก. เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2546 เป็นต้นไป
7. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะยังทรงตัวในระดับสูง ในช่วงปลายปี 2546 จึงคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 27 - 29 และ 29 - 32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อราคาน้ำมัน คือ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง การส่งออกของอิรัก และการผลิตของประเทศนอกกลุ่มโอเปคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรัสเซียและนอร์เวย์ ส่วนแนวโน้มของราคา น้ำมันเบนซินออกเทน 95 จะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 35 - 38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์ของออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ประกอบกับอุปทานในภูมิภาคลดลงจากจีนลดการส่งออก ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 32 - 36 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้นเนื่องจากประเทศต่างๆ ได้เริ่มเก็บสะสม น้ำมันเพื่อความอบอุ่น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2547
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 เรื่องการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยเห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค (กฟภ.) โดยได้กำหนดให้มีการชดเชยรายได้จาก กฟน. ไปยัง กฟภ. เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544-2546 ในลักษณะเหมาจ่าย (Lump Sum Financial Transfer) เท่ากับ 8,153 8,589 และ 9,041 ล้านบาทต่อปี ตามลำดับ ทั้งนี้ ให้นำจำนวนเงินชดเชยรายได้ดังกล่าวมาเฉลี่ยเป็นรายเดือน และให้ กฟน. นำส่งเงินชดเชยรายได้ให้แก่ กฟภ. เป็นรายเดือน ในปีงบประมาณนั้น ซึ่งอัตราการชดเชยรายได้ดังกล่าวสิ้นสุดลงในปีงบประมาณ 2546
2. ในการประชุมหารือเพื่อพิจารณาฐานะการเงินของการไฟฟ้า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2546 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้ว่าการการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้พิจารณาเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า ซึ่งที่ประชุมเห็นควรให้มีการชดเชยรายได้ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง โดยให้ กฟน. และ กฟภ. ซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. โดยมีส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าซื้อไฟฟ้าตั้งแต่ค่าซื้อไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2546 และ กฟภ. ได้มีหนังสือถึง สนพ. ขอให้พิจารณาดำเนินการเร่งนำเรื่องเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อขอความเห็นชอบวิธีปฏิบัติในการจ่ายเงินชดเชย รายได้เป็นการชั่วคราวตามแนวทางการหารือเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2546 เนื่องจาก กฟภ. ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินและการดำเนินงานของ กฟภ.
3. การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าก่อนเดือนตุลาคม 2543 จะเป็นการชดเชยรายได้ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง โดยการกำหนดเป็นส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง กล่าวคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะขายไฟฟ้าให้กับ กฟน. ในราคาค่าไฟฟ้าขายส่ง บวกส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า และขายให้ กฟภ. ในอัตรา ค่าไฟฟ้าขายส่ง และหักด้วยส่วนลดค่าไฟฟ้า
4. แนวทางการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2547 ให้มีการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในปีงบประมาณ 2547 เป็นการชั่วคราว ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง จำนวน 9,041 ล้านบาท เท่ากับจำนวน เงินชดเชยรายได้ในปีงบประมาณ 2546 โดย กฟน. จะรับภาระการชดเชย 7,000 ล้านบาท และ กฟผ. รับภาระการชดเชยรายได้ด้วย จำนวน 2,041 ล้านบาท ดังนี้
ส่วนเพิ่มส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวม VAT)
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546
หน่วยซื้อไฟฟ้า (ประมาณการปีงบประมาณ 2547) (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาทต่อหน่วย) |
|
กฟน. | 39,909 | 0.1754 |
กฟภ. | 73,563 | (0.1229) |
ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อยุติการกำหนดเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าแล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวน เงินชดเชยรายได้ดังกล่าวย้อนหลังถึงเดือนตุลาคม 2546
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในปีงบประมาณ 2547 เป็นการชั่วคราว ผ่านค่า ไฟฟ้าขายส่ง จำนวน 9,041 ล้านบาท โดย กฟน. รับภาระการชดเชยรายได้ จำนวน 7,000 ล้านบาท และ กฟผ. รับภาระการชดเชยรายได้ จำนวน 2,041 ล้านบาท ดังนี้
ส่วนเพิ่มส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวม VAT)
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546
หน่วยซื้อไฟฟ้า (ประมาณการปีงบประมาณ 2547) (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาทต่อหน่วย) |
|
กฟน. | 39,909 | 0.1754 |
กฟภ. | 73,563 | (0.1229) |
ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อยุติการกำหนดเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าแล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวน เงินชดเชยรายได้ดังกล่าวย้อนหลังถึงเดือนตุลาคม 2546
2. มอบหมายให้ สนพ. ดำเนินการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง ขายปลีก และการชดเชยรายได้ให้แล้วเสร็จก่อนการกระจายหุ้น กฟผ. เข้าตลาดหลักทรัพย์ และเตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำกับศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าต่อไป
3. มอบหมายให้คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า เร่งรัดการปรับปรุงข้อมูลการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าของประเทศให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2546 เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่
เรื่องที่ 3 การขยายระยะเวลาปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุน จำนวน 7 สตางค์ต่อหน่วย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ในการประชุมครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 35) เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2544 เห็นชอบให้มีการปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุน จำนวน 7 สตางค์/หน่วย เนื่องจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งปรับลดแผนการลงทุนในปีงบประมาณ 2544-2546 ลงจากแผนเดิม 55,000 ล้านบาท ส่งผลให้ความต้องการรายได้สมทบการลงทุนลดลง 14,000 ล้านบาท สามารถลดค่าไฟฟ้าให้ ประชาชนได้ 7 สตางค์/หน่วย เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2544 - กันยายน 2546 โดยมอบหมายให้ คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการ
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 86) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2544 และในการประชุมครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 87) เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2544 ได้มีมติรับทราบผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามมติ กพง. ดังกล่าว
3. การปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนจำนวน 7 สตางค์/หน่วย ตามมติ กพง. และ กพช. ข้างต้น ได้สิ้นสุดลงเมื่อเดือนกันยายน 2546 การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้มีหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ขอให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ขอความชัดเจนในการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย เพื่อเป็นหลักปฏิบัติสำหรับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ที่ยืดระยะเวลาไปจากมติ กพง. อีก 4 เดือน คือ เดือนตุลาคม 2546-มกราคม 2547 ทั้งนี้ กฟภ. เห็นว่า หากยังคงให้ กฟภ. รับภาระส่วนลดดังกล่าวต่อไปอีก สมควรให้มีการพิจารณาปรับโครงสร้างราคาขายส่งให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมโดยเร็วต่อไป
4. การดำเนินการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์ต่อหน่วย ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
4.1 คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในการประชุม ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 100) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการแบ่งรับภาระการปรับลดค่าไฟฟ้าจากการ ปรับลดแผนการลงทุนจำนวน 7 สตางค์/หน่วย โดยพิจารณาจากฐานะการเงินของการไฟฟ้า ในปี 2545 - 2546 ได้แก่ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. รับภาระ 4.2 0.6 และ 22 สตางค์/หน่วย ตามลำดับ
4.2 จากการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ผ่านการปรับค่า Ft เป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่ตุลาคม 2544 - กันยายน 2546 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ลดค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชนรวม 14,170 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 8,502 1,215 และ 4,453 ล้านบาท ตามลำดับ
5. ข้อเสนอแนวทางการขยายระยะเวลาการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย
5.1 เนื่องจากกระทรวงพลังงานมีนโยบายบรรเทาการเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้า โดยการตรึงค่า Ft ณ ระดับ 26.12 สตางค์/หน่วย สำหรับการเรียกเก็บจากประชาชนในเดือนมิถุนายน 2546 ถึงมกราคม 2547 ดังนั้น จึงควรให้มีการขยายระยะเวลาการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน ในช่วงเดือนตุลาคม 2546 - มกราคม 2547 ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการตรึงค่า Ft ดังกล่าว โดยให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง แบ่งรับภาระในลักษณะเดิม คือ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 4.2 6.6 และ 2.2 ล้านบาท ตามลำดับ โดย มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการต่อไป
5.2 การขยายระยะเวลาการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน จะมีผลกระทบต่อรายได้ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง รวม 2,550 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 1,530 219 และ 801 ล้านบาท ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย อันเนื่องมาจากการปรับลดการลงทุน ในการคำนวณค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ต่อไปจนกว่าจะมีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่
เรื่องที่ 4 การรับภาระของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจากการตรึงค่า Ft
ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ขอให้ที่ประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบการรับภาระจากการตรึงค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในช่วงเดือนมิถุนายน 2546 - มกราคม 2547 ประมาณ 3,743 ล้านบาท ตามมติของที่ประชุมเรื่องการปรับลดแผนการลงทุนและการเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า เมื่อวันพุธที่ 24 กันยายน 2546
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ กฟผ. รับภาระการตรึงค่า Ft ในช่วงเดือนมิถุนายน 2546-มกราคม 2547 จำนวนประมาณ 3,743 ล้านบาท (เป็นค่าประมาณการเบื้องต้น ซึ่งค่าจริงจะปรากฏเมื่อครบกำหนดการตรึงค่า Ft ในเดือนมกราคม 2547) ไปก่อน โดยให้ถือเป็นรายได้ค้างรับ และจะเกลี่ยไปในอนาคตในช่วงที่ค่าไฟฟ้าลดลง ทั้งนี้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี (ภายในปี 2549)
2. มอบหมายให้ กฟผ. ดำเนินการปรับปรุงใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าที่สอดคล้องกับมติข้อ 1 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2546 และจัดส่งให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายโดยเร็ว
ครั้งที่ 3 - วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 3)
วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. สถานการณ์พลังงานในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546
3. ยุทธศาสตร์พลังงานเพื่อการแข่งขันของประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนสิงหาคมปรับตัวสูงขึ้น 0.90 - 2.05 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อการร้ายในอิรัก และเริ่มมีการสะสมน้ำมันเพื่อความอบอุ่น ส่วนในเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลง 1.35 - 3.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานในช่วง ฤดูหนาวผ่อนคลายลง หลังจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบของโลกเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ในช่วงปลายเดือนราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากกลุ่มโอเปคมีมติปรับลดเพดานการผลิตมาอยู่ที่ระดับ 24.5 ล้านบาร์เรล/วัน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2546 เดือนตุลาคมราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.99 - 2.60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากตลาดคาดว่าอุปทานน้ำมันดิบจะตึงตัวในช่วงฤดูหนาว ประกอบกับมีปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ เช่น อิสราเอลและ ปาเลสไตน์ ปากีสถาน และอินเดีย โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 27.15 และ 28.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 2546 ปรับตัวสูงขึ้น 2.88 และ 2.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากจีนและไต้หวันได้ลดการส่งออกและโรงกลั่นน้ำมันของญี่ปุ่น 3 แห่ง ปิดดำเนินการจากเหตุไฟไหม้และปิดซ่อมบำรุง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวสูงขึ้น 3.21 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการซื้อของเวียดนามและฮ่องกงเพื่อใช้ในการทำประมง ในเดือนกันยายนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวลดลง 4.19 และ 3.81 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ อุปสงค์น้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาลดลง เนื่องจากสิ้นสุดฤดูท่องเที่ยว ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 1.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อุปทานเพิ่มขึ้นจากประเทศในตะวันออกกลาง จีน ไต้หวัน และอินเดีย ประกอบกับอินโดนีเซียชะลอการซื้อน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และในเดือนตุลาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวสูงขึ้น 2.41 และ 2.32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการที่จีนและไต้หวันลดการส่งออก ประกอบกับโรงกลั่นสิงคโปร์ลดการเดินเครื่อง และโรงกลั่น SPRC ของไทยมีแผนปิดซ่อมบำรุง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จีนและเกาหลีใต้ลดการส่งออกประกอบกับความต้องการซื้อของญี่ปุ่นเนื่องจากโรงกลั่นปิดซ่อมหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 35.93 34.53 และ 32.25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันของไทย ในเดือนสิงหาคมทุกผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวม 0.60 และ 0.50 บาท/ลิตร ในเดือนกันยายน ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 ปรับลง 4 ครั้ง รวม 1.20 และ 1.10 บาท/ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วปรับลง 3 ครั้ง รวม 0.70 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม 2546 มีการปรับราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 0.90, 0.90 และ 0.80 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซล หมุนเร็ว ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 16.69, 15.79 และ 14.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม อยู่ที่ระดับ 0.8572, 1.2742 และ 1.1350 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการกลั่นเฉลี่ยของเดือนสิงหาคม กั นยายน และตุลาคม อยู่ที่ระดับ 0.6482, 0.7279 และ 0.4525 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนตุลาคม 2546 ได้ปรับตัวลดลง 14.8 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ ในระดับ 258.0 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 9.56 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจาก กองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 1.36 บาท/กก. กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายชดเชยรวม 661 ล้านบาท/เดือน ยอดเงิน คงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2546 อยู่ในระดับ 1,646 ล้านบาท โดยมีเงิน ชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2546 รวม 4,556 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานการณ์พลังงานในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546
สรุปสาระสำคัญ
1. ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546 มีความต้องการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการใช้พลังงานปิโตรเลียมมากที่สุดในสัดส่วนถึงร้อยละ 45 รองลงมาได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน/ลิกไนต์ และไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้า ตามลำดับ ในขณะเดียวกันการผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ได้ เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 6.9 โดยเฉพาะการผลิตน้ำมันดิบซึ่งสูงถึงร้อยละ 31.8 รองลงมาคือ ก๊าซธรรมชาติและลิกไนต์ ตามลำดับ สำหรับการนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์ได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12.7 สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่ามาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ นอกจากนี้ มาจากการนำเข้าถ่านหินเพื่อใช้ทดแทนลิกไนต์ในภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้อัตราการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 62 ในปีก่อน เป็นร้อยละ 66 ในปีนี้ ทั้งนี้ โดยมีมูลค่าการนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2545 ถึงร้อยละ 27.9 โดยมีมูลค่าการนำเข้าพลังงานทั้งหมดประมาณ 279,979 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นมากในช่วงต้นปี และการเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่า
2. ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546 ปริมาณการผลิตและการใช้ก๊าซธรรมชาติได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยมีปริมาณการผลิตอยู่ที่ระดับ 2,105 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 และนำเข้าจากสหภาพพม่าเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) โดยนำเข้าจำนวน 701 ล้านลูกบาศก์ฟุต ต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 สำหรับน้ำมันดิบปริมาณการผลิตได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 97.0 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.8 แต่เนื่องจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทของประเทศคิดเป็นร้อยละ 18 ของความต้องการใช้ในการกลั่น จึงต้องมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศจำนวน 785 พันบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นมูลค่า 236,593 ล้านบาท ส่วนปริมาณการผลิตลิกไนต์ได้ลดลงร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการใช้ลิกไนต์เพื่อการผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) เสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนการใช้ลิกไนต์ในภาคอุตสาหกรรมลดลงถึงร้อยละ 51.4 เนื่องจากถูก ทดแทนด้วยถ่านหินนำเข้าซึ่งมีปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 59.9 โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 3,478 พันตัน เป็น 5,561 พันตัน
3. การใช้น้ำมันสำเร็จรูปในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 655 พันบาร์เรลต่อวัน โดยมีปริมาณการใช้น้ำมันเบนซิน ดีเซล และก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพิ่มขึ้นร้อยละ
4.3, 7.4 และ 2.1 ตามลำดับ ในขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันเตาและน้ำมันเครื่องบินลดลงร้อยละ 1.8 และ 2.4 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ปริมาณการผลิตยังคงสูงกว่าความต้องการภายในประเทศเป็นผลให้มีการส่งออกมากกว่านำเข้า โดยผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่มีการส่งออกมาก ได้แก่ LPG น้ำมันดีเซล เบนซิน และน้ำมันเครื่องบิน โดยมีการส่งออกสุทธิจำนวน 26, 20, 18 และ 3 พันบาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ ทั้งนี้ โดยมีการนำเข้า (สุทธิ) น้ำมันสำเร็จรูปจำนวน 9 พันบาร์เรลต่อวัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ยุทธศาสตร์พลังงานเพื่อการแข่งขันของประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ "ยุทธศาสตร์พลังงาน ครั้งที่ 1 : พลังงานเพื่อการแข่งขันของประเทศไทย" ขึ้น เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2546 ณ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลพลาซ่า โดยมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร) เป็นประธาน ซึ่งผลการประชุมดังกล่าวนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานของประเทศด้วยการลดสัดส่วนอัตราการเติบโตของการใช้พลังงานต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Energy Elasticity) จาก 1.4:1 เป็น 1:1 ภายในปี 2550 และได้กำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศ 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในภาคคมนาคมขนส่งและภาคอุตสาหกรรม 2) ยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานทดแทน 3) ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และ 4) ยุทธศาสตร์การปรับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค
2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์พลังงานดังกล่าว พร้อมทั้งให้ข้อสังเกตแก่กระทรวงพลังงานเพื่อนำไปประกอบการปรับปรุงยุทธศาสตร์ฯ เพิ่มเติมต่อไป โดยการดำเนินงานในปัจจุบันกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการประสานงานและร่วมมือกับส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณานำเอายุทธศาสตร์พลังงานมาปรับเป็นแผนปฏิบัติการด้านต่างๆ และเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ฯ ให้มีผลออกมาเป็นรูปธรรมอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ได้มีนโยบายรวมศูนย์การดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ภายใต้กระทรวงพลังงาน เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างมีเอกภาพและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เป็น หน่วยงานกลางในการประสานงานและบริหารจัดการงานด้านประชาสัมพันธ์ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม มีเอกภาพ และเกิดประสิทธิผลสูงสุด นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งโฆษกกระทรวงพลังงาน เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับนโยบาย ด้านพลังงานของกระทรวงไปสู่สาธารณชน รวมทั้งรับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการงานด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงาน
2. แม้กระทรวงพลังงานจะมีการดำเนินงานมา 1 ปีแล้ว ชื่อและภาพลักษณ์ของกระทรวงยังไม่เป็นที่รู้จักของประชาชนและสาธารณชนมากนัก ประกอบกับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านพลังงานที่จะดำเนินการ ต่อไปหลายเรื่องมีความซับซ้อน อาทิ ยุทธศาสตร์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม ยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานทดแทน ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน และยุทธศาสตร์การส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานในภูมิภาค เป็นต้น ดังนั้น การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินไปอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง และมีช่องทางในการสื่อสารที่มากเพียงพอที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายมีความรู้ ความเข้าใจ ด้านนโยบายพลังงานเป็นอย่างดี อันจะส่งผลให้ ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและตระหนักถึงบทบาทและความสำคัญของการดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน
3. การดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์จะดำเนินการในวงเงิน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยจะจัดจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ที่มีความรู้ ความเข้าใจในบทบาท ภารกิจ และนโยบาย พลังงานต่างๆ ของกระทรวงพลังงานเป็นอย่างดี ตลอดจนมีความชำนาญและมีประสบการณ์ในการประชาสัมพันธ์ด้านนโยบายพลังงาน เพื่อให้สามารถสนับสนุนภารกิจของการดำเนินนโยบายต่างๆ ของกระทรวงพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ที่จะดำเนินงานจะต้องมีความหลากหลาย และครอบคลุม สื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งนี้ กิจกรรมที่ดำเนินการควรประกอบด้วย การผลิตสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ การผลิตและเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ การโต้ตอบข่าว การตอบข้อสงสัยของสื่อมวลชน การจัดสัมภาษณ์ ผู้บริหาร จัดให้ผู้บริหารออกรายการในสื่อต่างๆ การจัดสัมมนาและดูงานสำหรับสื่อมวลชน การจัดแถลงข่าว การจัดทำรายการทางวิทยุ การพัฒนาบุคลากรด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงาน และการประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ภายในกระทรวงพลังงานทั้ง 12 ภูมิภาค ฯลฯ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงชื่อระเบียบวาระเป็น "การขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน" ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อให้สถานการณ์พลังงานมีเสถียรภาพ
2. อนุมัติการสนับสนุนค่าใช้จ่าย ในวงเงิน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) เพื่อดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน ทั้งนี้ โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปพิจารณาจัดทำรายละเอียดการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้มีความเหมาะสม ตลอดจนรับผิดชอบดูแลการจัดจ้างให้เป็นไปตามระเบียบราชการ โดยให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณาอนุมัติโครงการ
3. ให้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 เห็นชอบการเร่งรัดพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานกำหนดแนวทางแผนงานและโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาศูนย์กลางพลังงานฯ ครอบคลุมพื้นที่ Sriracha Hub และพื้นที่ Strategic Energy Landbrige ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานการพัฒนายุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (กพภ.) ขึ้น เพื่อประสานการพัฒนาตามแผนยุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาคให้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
2. คณะกรรมการ กพภ. ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2546 และได้กำหนดแนวทางการ ดำเนินงานและประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2547 ซึ่งต่อมาสำนักงานปลัด
กระทรวงพลังงานได้จัดทำรายละเอียดประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการบริหารโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค และเสนอขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในวงเงิน 4,998,370 บาท โดยแบ่งเป็นงบบุคลากร งบดำเนินการ (ค่าตอบแทนใช้สอยวัสดุ) งบลงทุน (ค่าครุภัณฑ์) และงบรายจ่ายอื่นๆ จำนวน 1,279,520 บาท 2,159,250 บาท 407,000 บาท และ 1,152,600 บาท ตามลำดับ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าค่าใช้จ่ายที่เสนอมาจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานในภูมิภาค ได้ในอนาคต นอกจากนั้นยังสามารถเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน ดังนั้นจึงเห็นควรให้ความเห็นชอบในการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงาน (Strategic Energy Landbridge) ในวงเงินดังกล่าวให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานตามที่เสนอมา
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงิน 4,998,370 บาท (สี่ล้านเก้าแสนเก้าหมื่นแปดพันสามร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) ให้คณะกรรมการประสานการพัฒนายุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (กพภ.) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (Strategic Energy Landbridge) ประจำปีงบประมาณ 2547
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2545 รับทราบผลการดำเนินงานและการบริหารงาน เงินนอกงบประมาณของกระทรวงการคลัง ในการโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนต่างๆ จากกระทรวงการคลังให้เจ้าของโครงการที่รับผิดชอบเป็นผู้ดำเนินการ ต่อมากระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้ประสานกับกระทรวงพลังงานเพื่อโอนงานตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ซึ่งกระทรวงพลังงานโดยความเห็นชอบของ ปลัดกระทรวงพลังงาน เห็นควรให้โอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเข้ามาอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงานโดยให้สถาบันบริหารกองทุน พลังงาน (องค์การมหาชน) รับไปดำเนินงานต่อไป
2. กรมบัญชีกลาง และ สนพ. ได้หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางขั้นตอนในการดำเนินงานเพื่อโอนงานการเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยการโอนงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกระทรวงพลังงานจะต้องมีการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2546 เพื่อให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทนปลัดกระทรวงการคลัง และนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งต่อไป หลังจากนั้นต้องประสานกับกรม บัญชีกลางในการแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อให้ปลัดกระทรวงพลังงานมีอำนาจในการออกระเบียบกระทรวงพลังงานแทน ทั้งนี้โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2546 สำหรับการดำเนินงานโอนงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้กับกระทรวงพลังงานจะต้องมีการขอแก้ไขพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งอาจใช้ระยะเวลานานเพราะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย
3. สนพ. ได้ยกร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาก่อนนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีลงนามต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ .. /2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้ยกร่างขึ้น โดยมีสาระสำคัญคือ เพื่อให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทนปลัดกระทรวงการคลัง พร้อมทั้งให้แก้ไขบางข้อความตามข้อสังเกตของที่ประชุม
2. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อทำหน้าที่พิจารณาเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และให้ กบง. ทำหน้าที่พิจารณาเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านพลังงานเพื่อกลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ทั้งนี้ โดยให้รองปลัดกระทรวงพลังงานซึ่งได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
ครั้งที่ 1 - วันพุธ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2546
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2546 (ครั้งที่ 1)
วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ชั้น 6
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2. การยกเลิกคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
3. โครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี"
4. ผลการตรวจสอบบัญชีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
5. การยกเลิกคณะอนุกรรมการที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานขึ้นแทนคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน การประชุมครั้งนี้จึงเป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในช่วงเดือนมกราคม 2546 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.1 - 2.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากเหตุการณ์ประท้วงในเวเนซูเอล่าที่ยังคงยืดเยื้อ ทำให้ปริมาณน้ำมันดิบหายไปจากตลาดโลกประมาณ 2.5 ล้านบาร์เรล/วัน ส่วนอุปทานในตลาดโลกได้ตึงตัว เนื่องจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ยังคงตึงเครียด โดยสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้ส่งกำลังทหารเพิ่มเติมเข้าไปในอ่าวเปอร์เซีย แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มโอเปคได้มีมติเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2546 ได้ปรับโควต้าการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 24 ล้านบาร์เรล/วัน ราคาน้ำมันดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 10 มกราคม 2546 อยู่ในระดับ 27.13 และ 30.00 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในช่วงเดือนมกราคม 2546 ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และการนำ Arbitrage Cargoes จากภูมิภาคเอเซียส่งออกไปจำหน่ายยังสหรัฐอเมริกา รวมทั้งโรงกลั่นน้ำมัน ของไต้หวันปิดซ่อมบำรุง ในขณะเดียวกันความต้องการในภูมิภาคได้เพิ่มสูงขึ้น ราคาเฉลี่ยของน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 และดีเซลหมุนเร็วได้เพิ่มขึ้น 2.5 และ 1.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 10 มกราคม 2546 อยู่ในระดับ 32.45 และ 32.43 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในช่วงเดือนมกราคม 2546 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วราคาไม่เปลี่ยนแปลง โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 13 มกราคม 2546 อยู่ในระดับ 16.79, 15.79 และ 14.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการกลั่นและค่าการตลาด ในเดือนมกราคม 2546 อยู่ที่ระดับ 1.32 บาท/ลิตร และ 0.84 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในไตรมาสที่ 1 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 26 - 32 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรักและการประท้วงในเวเนซูเอล่ายังไม่ยุติ แต่ปัญหาในส่วนนี้อาจจะบรรเทาลงเนื่องจากปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5 - 2.0 ล้านบาร์เรล/วัน สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ ในระดับ 28 - 35 และ 27 - 35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ และราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วในประเทศจะอยู่ที่ระดับ 15 - 17 , 14 - 16 และ 13 - 15 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลก เดือนมกราคม 2546 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 12.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ในระดับ 339.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 13.97 บาท/กิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 5.77 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 975 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายในการชำระหนี้ 400 ล้านบาท/เดือน รวมกองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 1,375 ล้านบาท/เดือน โดย กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 878 ล้านบาท/เดือน จึงมีเงินไหลออกจากกองทุนฯ สุทธิ 497 ล้านบาท/เดือน ยอดเงินคงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 9 มกราคม 2546 อยู่ในระดับ 6,754 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2545 รวม 10,953 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การยกเลิกคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ขึ้น ซึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สั่งและปฏิบัติราชการในสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติแทนนายกรัฐมนตรี) เป็นประธานกรรมการ และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานเป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่เสนอแนะนโยบายการบริหารและพัฒนา และมาตรการทางด้านพลังงาน รวมทั้ง เสนอความเห็นต่อ กพช. ต่อมาเมื่อมีการปรับโครงสร้างและปฏิรูประบบราชการของประเทศและได้มีการจัดตั้งกระทรวงพลังงานขึ้น ส่งผลให้มีการปรับปรุงองค์ประกอบของ กพง. ให้มีความเหมาะสม
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุม ครั้งที่ 5/2545 (ครั้งที่ 92) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้ง "คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน" ขึ้น เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน โดยให้มีองค์ประกอบของคณะกรรมการ จำนวน 11 คน และต่อมา กพช. ได้ออกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 4/2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน โดยให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 4/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2543 และให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานขึ้น ประกอบด้วย ประธานกรรมการและหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เป็นกรรมการและเลขานุการ พร้อมทั้งผู้แทน สนพ. เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ทั้งนี้มีหน้าที่เสนอแนะนโยบาย แผนการบริหารและพัฒนา และมาตรการทางด้านพลังงาน และกำหนดราคาและอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามกรอบและแนวทางที่ กพช. มอบหมาย รวมทั้ง เสนอแนะนโยบายและมาตรการทางด้านราคาพลังงาน และกำกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ทำหน้าที่พิจารณาและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ เกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และมาตรการอื่นๆ ที่จะออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยปฏิบัติงานในหน้าที่ตามความจำเป็น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี"
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ในการประชุม ครั้งที่ 4/2544 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการแลกเปลี่ยนถังขาวเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เลิกใช้ถังขาว และให้จ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อช่วยเหลือผู้ค้าก๊าซฯ ในการแลกเปลี่ยนถังขาวในวงเงิน 600 ล้านบาท และได้ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด เพื่อทำหน้าที่กำหนดวิธีการ มาตรการ และเงื่อนไขการผ่อนผันการบรรจุก๊าซฯ ลงถังขาว รวมถึงทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนถังขาว และในการตรวจนับถังขาวเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในการจ่ายเงินช่วยเหลือจากกองทุนน้ำมันได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ส่วนจังหวัดขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนถังขาว และตรวจนับถังใหม่และถังขาวที่นำมาแลกเปลี่ยนในโครงการแลกเปลี่ยนถังขาวในแต่ละจังหวัด
2. การจ่ายเงินช่วยเหลือฯ ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ทำหน้าที่ตรวจสอบหลักฐาน และรองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการกำกับฯ รับรองผลการตรวจสอบ เพื่อเสนอต่อเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อสั่งจ่ายเงินช่วยเหลือส่งไปยังกรมบัญชีกลางต่อไป การเบิกจ่ายเงินดังกล่าวมีการยืนยันความถูกต้อง โดยมีการตรวจนับจำนวนถังขาวที่ทำลายแล้ว ณ ศูนย์ทำลายของผู้ค้าก๊าซฯ แต่ละราย หากพบว่าจำนวนถังขาวที่ทำลายแล้วต่ำกว่าจำนวนถังขาวที่ได้รับเงินช่วยเหลือ คณะอนุกรรมการกำกับฯ จะเรียกเงินคืนในส่วนถังขาวที่หายไป
3. ผลการดำเนินการแลกเปลี่ยนถังขาวภายใต้โครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ใน 10 พื้นที่ ได้ดำเนินการสิ้นสุดไปแล้ว โดยมีจำนวนถังขาวที่แลกเปลี่ยนได้ในเบื้องต้น ณ 30 พฤศจิกายน 2545 จำนวน 1,065,738 ใบ จำนวนถังขาวที่แลกเปลี่ยนได้แยกตามรายพื้นที่ ดังนี้ กทม. และปริมณฑล 204,204 ถัง ภาคกลาง 130,671 ถัง ภาคตะวันออก 64,932 ถัง ภาคตะวันตก 87,005 ถัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 70,298 ถัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 59,597 ถัง ภาคเหนือตอนล่าง 65,160 ถัง ภาคเหนือตอนบน 35,851 ถัง ภาคใต้ตอนบน 66,957 ถัง ภาคใต้ตอนล่าง 99,064 ถัง และส่วนขยายเวลา กทม. และปริมณฑล 40,701 ถัง ภาคกลางและภาคตะวันออก 120,592 ถัง พื้นที่พิเศษ 20,706 ถัง และจำนวนถังขาวที่แลกเปลี่ยนได้และที่ทำลายแล้ว ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2545 มีถังขาวที่ถูกทำลายแล้ว 87,858 ถัง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 82 จากจำนวนถังขาวที่แลกได้ 1,065,738 ถัง
4. การเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 ได้เบิกจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ค้าก๊าซฯ ตามหลักฐานการตรวจนับถังของคณะอนุกรรมการส่วนจังหวัดฯ ไปแล้ว ณ วันที่ 6 มกราคม 2546 เป็นจำนวนเงิน 228,094,645 บาท แยกตามรายผู้ค้าก๊าซฯ พบว่า บริษัท สยามแก๊สฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 43,606,180 บาท บริษัท ปตท.ฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 106,932,000 บาท บริษัท เวิลด์แก๊สฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 14,835,160 บาท บริษัท ยูเนี่ยนแก๊สฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 40,236,405 บาท บริษัท ยูนิคแก๊สฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 19,235,900 บาท และบริษัท แสงทองฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 3,249,000 บาท
5. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รายงานผลการจับกุมการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ตั้งแต่เริ่มโครงการ " รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ในช่วงเดือนมกราคม - ตุลาคม 2545 ปรากฏว่าได้มีการจับกุมผู้กระทำความผิด จำนวน 220 ราย เป็นข้อหาการลักลอบบรรจุก๊าซฯ ลงถังก๊าซหุงต้มในสถานีบริการก๊าซฯ 65 ราย บรรจุข้ามยี่ห้อ 50 ราย บรรจุก๊าซฯ ลงในถังที่ไม่ได้มาตรฐาน มอก. (ถังเถื่อน) 37 ราย เก็บก๊าซฯ ไว้จำหน่ายเกินกว่าปริมาณที่กฎหมายกำหนด 20 ราย จำหน่ายหรือบรรจุก๊าซฯ โดยไม่ติดผนึกลิ้น (ซีล) หรือใช้ผนึกลิ้นของผู้อื่น 13 ราย บรรจุก๊าซหุงต้มลงในถังขาว 5 ราย และข้อหาอื่นๆ 30 ราย
6. เนื่องจากยังมีถังขาวที่ตกค้างในพื้นที่ที่ได้สิ้นสุดการดำเนินการแลกเปลี่ยนไปแล้ว คณะอนุกรรมการกำกับฯ จึงได้กำหนดศูนย์แลกถังขาวตกค้างในพื้นที่พิเศษ (กรุงเทพฯ และปริมณฑล) ขึ้นเพื่อขยายเวลารับแลกถังขาวตกค้างทั่วประเทศ จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2546 โดยมีศูนย์การแลกถังขาวของผู้ค้าก๊าซฯ ประกอบด้วย บริษัท ปตท.ฯ ณ คลังน้ำมัน ปตท. ลำลูกกา อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี บริษัท สยามแก๊สฯ ณ บริษัท อุตสาหกรรมแก๊สสยาม บางนา กรุงเทพฯ บริษัท เวิลด์แก๊สฯ ณ บริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) รังสิต กรุงเทพฯ บริษัท ยูนิคแก๊สฯ ณ บริษัท ยูนิคแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมิคัลส์ สาขานนทบุรี บริษัท ยูเนียนแก๊สฯ ณ โรงบรรจุพลังพัฒนา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม และบริษัท แสงทอง ณ บริษัท แสงทองอุตสาหกรรมถังแก๊ส จำกัด อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร
7. ความสำเร็จจากการดำเนินการโครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ทั่วประเทศใน 10 พื้นที่รวมพื้นที่ส่วนขยาย ปรากฏว่าแลกถังขาวไปแล้วเป็นจำนวน 1,065,738 ใบ จากผลการแลกถังขาวดังกล่าว จะสามารถช่วยประชาชนให้เลิกใช้ถังขาวได้ประมาณ 1 ล้านครัวเรือน และเมื่อสิ้นสุดการรับแลกเปลี่ยนถังขาวในพื้นที่พิเศษ หรือโครงการนี้ดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถช่วยเหลือประชาชนให้เลิกใช้ถังขาวกว่า 1.2 ล้านครัวเรือน ก่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากการใช้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือนของประชาชน ซึ่งความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุการใช้ก๊าซฯหากสามารถป้องกันไว้ล่วงหน้าจะช่วยลดความสูญเสียที่ไม่สามารถประมาณค่าได้ทั้งของผู้ที่เกี่ยวข้องและประเทศชาติ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ผลการตรวจสอบบัญชีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ได้มีมติให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อมาคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ได้มีมติให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันไปใช้จ่าย ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม แต่เนื่องจากในปี 2545 หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ยังคงมีภาระผูกพันค้างจ่ายในปี 2546 ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี โดยให้มีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของหนี้ผูกพันที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2545 สามารถเบิกจ่ายหนี้ผูกพันเหลื่อมปีงบประมาณ 2546 ได้
2. จากการตรวจสอบบัญชีของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เกี่ยวกับส่วนราชการที่ได้รับเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2544 ได้ข้อสังเกตประกอบการตรวจบัญชีพบว่า เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณแล้ว มีหน่วยงานที่ไม่ส่งเงินเหลือจ่ายพร้อมทั้งดอกผลคืนกองทุนน้ำมันฯ ภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นสุดการดำเนินงานตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งประกอบด้วย
(1) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง) ได้ส่งเงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (งบปกติ) จำนวน 22,488,953.80 บาท พร้อมดอกผลจำนวน 278,862.59 บาท คืนกองทุนฯ หลังกลางเดือนพฤศจิกายน 2544 โดยครบถ้วนเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2545
(2) กรมศุลกากร ได้ส่งเงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (งบปกติ) จำนวน 452,476.24 บาท พร้อมดอกผล 7,175.44 บาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 28,056.75 บาท พร้อมดอกผลจำนวน 1,016.39 บาท คืนกองทุนฯ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2544
(3) กรมธุรกิจพลังงาน (กรมทะเบียนการค้าเดิมและกรมโยธาธิการเดิม) ซึ่งกรมทะเบียนการค้าเดิมได้ส่งเงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (งบปกติ) จำนวน 732,830.82 บาท พร้อมดอกผล 4,967.10 บาท คืนกองทุน เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2544 และในส่วนของกรมโยธาธิการเดิมได้ส่งเงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบโรงบรรจุก๊าซหุงต้ม จำนวน 1,322,395.20 บาท พร้อมดอกผลจำนวน 807.84 บาท คืนกองทุนฯ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544
3. ในปีงบประมาณ 2543 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจพบว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมธุรกิจพลังงาน หรือกรมทะเบียนการค้า (เดิม) ได้ส่งเงินคืนล่าช้ากว่ากำหนด และสำนักงานตำรวจ แห่งชาติได้ชี้แจงในการประชุมคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ครั้งที่ 1/2545 (ครั้งที่ 38) ได้มีการส่งเงินคืนตามกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ แต่เกิดความล่าช้าในขั้นตอนของการอนุมัติ ซึ่ง กพง. ได้กำชับให้ทั้งสองหน่วยงานปฏิบัติตามมติอย่างเคร่งครัด
4. สำหรับปีงบประมาณ 2545 การส่งเงินเหลือจ่ายคืนให้กับกองทุนน้ำมันฯ ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว แต่มีส่วนของหนี้ผูกพันที่เกิดขึ้นในปี 2545 ที่หน่วยงานสามารถเบิกจ่ายหนี้ผูกพันเหลื่อมปีงบประมาณ 2546 ได้ ซึ่งในส่วนการคืนเงินเหลือจ่ายงบผูกพันในปี 2546 สนพ. จะได้ดำเนินการประสานงานให้หน่วยงานที่ส่งเงินคืน ล่าช้า ให้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัดในการคืนเงินเหลือจ่ายงบผูกพัน ปี 2546
5. เพื่อให้เกิดความชัดเจนของการคืนเงินกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นสมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมธุรกิจพลังงาน (ในส่วนของกรมโยธาธิการและกรมทะเบียนการค้า) และกรมศุลกากรได้ชี้แจงให้ กบง. ทราบเหตุผลการคืนเงินกองทุนน้ำมันฯ ล่าช้า
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 การยกเลิกคณะอนุกรรมการที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 ของพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ จำนวน 21 คณะ ประกอบด้วย ด้านปิโตรเลียม, ไฟฟ้า, และอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 11, 9, และ1 คณะ ตามลำดับ เพื่อให้การดำเนินงานนโยบายด้านปิโตรเลียม ไฟฟ้า และอนุรักษ์พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
2. เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2545 ได้มีมติอนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่แทน กพง. และต่อมา ได้มีคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ 4/2545 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2545 ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสอดคล้องและเหมาะสมกับอำนาจและหน้าที่ของ กบง. และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจึงขอเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณายกเลิกคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นโดย กพง. ที่หมดความจำเป็นออกไปรวม 16 คณะ ดังนี้
(1) คณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด (คำสั่ง กพง. ที่ 3/2543)
(2) คณะอนุกรรมการปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ของรัฐเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2540)
(3) คณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซิน (คำสั่ง กพง. ที่ 4/2539)
(4) คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (พิเศษ) (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2539)
(5) คณะอนุกรรมการพิจารณาความปลอดภัยเกี่ยวกับธุรกิจปิโตรเลียมเหลว (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2539)
(6) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการปรับปรุงโครงสร้างของ ปตท. และการส่งเสริมการค้าเสรีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม (คำสั่ง กพง. ที่ 4/2538)
(7) คณะอนุกรรมการร่างกฎหมายปฏิบัติงานศุลกากรในเขตต่อเนื่อง (คำสั่ง กพง. ที่ 3/2538)
(8) คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์และส่งเสริมการตั้งสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2536)
(9) คณะอนุกรรมการประเมินผลกระทบน้ำมันลอยตัว (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2536)
(10) คณะทำงานศึกษาการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2544)
(11) คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2544)
(12) คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2541)
(13) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2540)
(14) คณะอนุกรรมการเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากประเทศมาเลเซีย (คำสั่ง กพง. ที่ 5/2538)
(15) คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าเอกชน (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2538)
(16) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานหมุนเวียน (คำสั่ง กพง. ที่ 7/2539)
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ยกเลิกคณะอนุกรรมการฯ ที่แต่งตั้งขึ้นโดย กพง. ที่หมดความจำเป็นออกไปทั้ง16 คณะ โดยจะคงมีคณะอนุกรรมการฯ ภายใต้การกำกับ ดูแลของ กบง. อีก 5 คณะ ได้แก่
(1) คณะอนุกรรมการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและคำสั่งนายกรัฐมนตรี (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2543)
(2) คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (คำสั่ง กพง. ที่ 4/2545)
(3) คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า (คำสั่ง กพง. ที่ 4/2544)
(4) คณะอนุกรรมการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2542)
(5) คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า (คำสั่ง ที่ กพง. 3/2544)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน รวม 16 คณะ ตามข้อ 2 และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการที่เหลืออยู่ 5 คณะ ตามข้อ 3 ให้เหมาะสมตามสภาพการณ์ปัจจุบัน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. จากคำสั่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ที่ 3/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาดลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2543 เพื่อทำหน้าที่กำหนดวิธีการ มาตรการ และเงื่อนไขในการผ่อนผันการบรรจุก๊าซฯ ลงถังขาว รวมทั้งเร่งรัดการผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนถังขาวจากตลาด ตลอดจนทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนถังขาว
2. ในปัจจุบันหน้าที่รับผิดชอบของคณะอนุกรรมการกำกับฯ ประกอบด้วย การกำกับดูแลโครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ซึ่งได้ดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2545 โดยขณะนี้ โครงการฯ ดังกล่าวได้เสร็จสิ้นแล้ว แต่เนื่องจากยังมีถังขาวตกค้างในมือประชาชน ในพื้นที่ที่ได้สิ้นสุดการแลกเปลี่ยนไปแล้ว คณะอนุกรรมการฯ จึงได้กำหนดศูนย์แลกถังขาวตกค้างในพื้นที่พิเศษ (กทม. ปริมณฑล) เพื่อขยายเวลารับ แลกถังขาวตกค้างทั่วประเทศ จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2546 นอกจากนี้ ทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและเสนอจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ค้าก๊าซฯ จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในการแลกเปลี่ยนถังขาวในวงเงิน 600 ล้านบาท โดยขณะนี้การดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และยังคงค้างการจ่ายเงินของพื้นที่ 9 และ 10 และพื้นที่พิเศษที่ขยายเวลารับแลกถังขาวตกค้างทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าการดำเนินการเบิกจ่ายเงินในการแลกเปลี่ยนถังขาวจะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน 2546
3. พระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ทำให้การปฏิบัติงานตามโครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ ผู้ค้าก๊าซได้ เนื่องจากได้มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของประธานคณะอนุกรรมการฯ และอนุกรรมการฯ บางส่วน มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยงาน ทำให้องค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ เปลี่ยนไป และเพื่อให้คณะอนุกรรมการฯ สามารถปฏิบัติงานต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับฯ ขึ้นใหม่ ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้ดำเนินการยกร่างคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ที่ .../2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน สำนักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยมีอำนาจหน้าที่คงเดิม และให้บรรดาคำสั่ง มติ ประกาศ และการปฏิบัติงานทั้งหลายของคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด (เดิม) ที่มีผลใช้บังคับอยู่ในวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป จนกว่าจะได้มีคำสั่ง มติ หรือประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามคำสั่งนี้ออกใช้บังคับแทน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด ตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินการของหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้เสนอให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน อนุมัติจัดสรรงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสนับสนุนการปฏิบัติงานแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการจัดสรรงบประมาณในช่วงปี 2539 - 2545 ได้มีการสนับสนุนเงินแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองทัพเรือ กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสรรพสามิต กรมธุรกิจพลังงาน (กรมทะเบียนการค้า) และ สนพ. รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 2,279.3 ล้านบาท
2. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบในการแก้ปัญหาภาระหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลงานด้านการป้องกันและปราบปรามการกระความทำผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม และรับไปดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป และกรมสรรพสามิตได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลังให้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2546 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม และสำนักงบประมาณได้จัดสรรยอดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2546 เพื่อการดังกล่าวให้กับ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 300,000,000 บาท
3. กรมธุรกิจพลังงานได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมประจำปี 2546 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 15,450,000 บาท (สิบห้าล้านสี่แสนห้าหมื่นบาทถ้วน) ซึ่งได้เสนอขอรับการสนับสนุนเงินค่าจ้างเหมาลูกจ้างปฏิบัติงานเพื่อปฏิบัติงานในโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ปีงบประมาณ 2546 เป็นเงิน 560,880 บาท (ห้าแสนหกหมื่นแปดร้อยแปดสิบบาทถ้วน) รวม 2 โครงการ ได้แก่
1) โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติงานค่าจ้างเหมาเจ้าหน้าที่และพนักงาน จำนวน 5 อัตรา เวลา 1 ปี เป็นจำนวนเงิน 339,360 บาท ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานทะเบียนการค้า จำนวน 1 อัตรา และเจ้าพนักงานทะเบียนการค้า จำนวน 3 อัตรา รวมทั้งพนักงานขับรถ จำนวน 1 อัตรา
2) โครงการจัดเก็บ วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อสนับสนนุการปราบปรามลักลอบนำเข้าส่งออก และการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าจ้างเหมาเจ้าหน้าที่และพนักงาน จำนวน 3 อัตรา เวลา 1 ปี เป็นจำนวนเงิน 221,520 บาท ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานทะเบียนการค้า จำนวน 2 อัตรา และเจ้าพนักงานทะเบียนการค้า จำนวน 1 อัตรา
4. ต่อมากรมสรรพสามิต ได้ประสานให้กรมธุรกิจพลังงานปรับค่าจ้างเหมาเป็นค่าจ้างชั่วคราว และจ้างได้เพียง 10 เดือน (ธันวาคม 2545 - กันยายน 2546) เป็นเงิน 450,800 บาท และสำนักงบประมาณได้อนุมัติเงินประจำงวดที่ 1 ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างลูกจ้างชั่วคราว ประมาณร้อยละ 50 เป็นเงิน 227,400 บาท เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2545 แต่เนื่องจากกรมธุรกิจพลังงานได้มีการจ้างลูกจ้างปฏิบัติงานแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2545 เป็นต้นมา และภารกิจที่ปฏิบัติเป็นงานต่อเนื่องจากปีงบประมาณ 2545 แต่ไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนในช่วงเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน 2545 จึงขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าจ้างลูกจ้างปฏิบัติงานในโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม รวม 2 เดือน (ตุลาคม - พฤศจิกายน 2545) รวมเป็นเงิน 90,160 บาท
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีความเห็นว่า การขอเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อการดังกล่าวข้างต้น ของกรมธุรกิจพลังงานอาจจะขัดกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ซึ่งได้มีมติให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 ทั้งนี้ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณในการจัดสรรงบประมาณตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไป และหากมีความจำเป็นคงต้องขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งจำนวนงบประมาณดังกล่าวไม่มากนัก การขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีอาจไม่คุ้มค่าและไม่เหมาะสม ดังนั้นกรมธุรกิจพลังงานควรจะขอโอนเงินจากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติแล้ว มาเพื่อใช้จ่ายเป็นค่าจ้างชั่วคราวปฏิบัติงานของกรมธุรกิจพลังงานในช่วง 2 เดือนดังกล่าว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงานไปหารือกับกรมสรรพสามิตจัดหาเงินเพื่อใช้เป็นค่าจ้างลูกจ้างปฏิบัติงานในโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ของกรมธุรกิจพลังงาน จำนวน 8 อัตรา รวม 2 เดือน (ตุลาคม - พฤศจิกายน 2545) เป็นเงินทั้งสิ้น 90,160 บาท (เก้าหมื่นหนึ่งร้อยหกสิบบาท)
ครั้งที่ 37 - วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 12/2551 (ครั้งที่ 37)
เมื่อวันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ อาคาร 7 ชั้น 11 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การส่งเสริมการใช้ E85 ของประเทศไทยแบบบูรณาการ
3. มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
4. ข้อเสนอการปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
5. แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552
6. แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มาตรการด้านราคา และการกำกับดูแล
7. แผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV
8. แผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าเนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ติดเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี จึงได้ มอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยเดือนกันยายน 2551 อยู่ที่ระดับ 95.90 และ 103.61 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 16.95 และ 12.97 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย จะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกลดลง และสถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์หลายแห่งในยุโรป ประสบปัญหาทางการเงินส่งผลให้รัฐบาลต้องเข้าช่วยเหลือ รวมทั้งข่าวท่าขนส่งน้ำมัน Dos Bocas ซึ่งเป็นหนึ่งในท่าขนส่งน้ำมันหลักของประเทศเม็กซิโกกลับมาดำเนินงานได้ตามปกติ หลังจากปิดดำเนินการ ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยเดือนตุลาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 62.42 และ 76.62 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 28.48 และ 26.99 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากข่าว GDP ของประเทศสหรัฐฯ ในไตรมาส 3 ปี 2551 ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.3 รุนแรงที่สุดในรอบ 7 ปี และท่าขนถ่ายน้ำมันของเม็กซิโกทั้ง 3 แห่ง กลับมาดำเนินการได้ตามปกติภายหลังปิดฉุกเฉิน เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสปรับตัวลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 49.84 และ 57.41 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2550 รวมทั้งข่าวรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอิรักรายงานว่า ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของประเทศอิรักเดือนตุลาคม 2551 เพิ่มขึ้น 60,000 บาร์เรล/วัน มาอยู่ที่ 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน และต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 10 ธันวาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสปรับตัวลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 41.56 และ 44.61 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวโอเปคไม่ปรับลดปริมาณการผลิต ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2551 และตลาดวิตกกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายภูมิภาคทั่วโลก จะทวีความรุนแรงขึ้น และอาจใช้เวลานานในการฟื้นตัว
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนกันยายน 2551 อยู่ที่ระดับ 107.10, 104.82 และ 118.93 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 8.40, 9.16 และ 13.24 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและข่าวจีนที่มีแผนส่งออกน้ำมันเบนซินในเดือนตุลาคม 2551 ที่ระดับ 1.78 ล้านบาร์เรล รวมทั้งเวียดนามยังคงชะลอการนำเข้าน้ำมันดีเซลในเดือนตุลาคม 2551 และ ในเดือนตุลาคม 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 79.49, 77.19 และ 83.98 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้วตามราคาน้ำมันดิบ และความกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่มีมากเกินความต้องการหลังจากโรงกลั่นต่างๆ จากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวันและอินเดียส่งออกน้ำมันเบนซินมากขึ้น ประกอบกับเวียดนามอาจลดปริมาณการนำเข้า ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 48.41, 47.45 และ 68.77 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและอุปสงค์น้ำมันเบนซินในภูมิภาคเบาบาง และอุปสงค์น้ำมันดีเซลในออสเตรเลียมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากการปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทดแทน และต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 10 ธันวาคม 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 38.48, 37.02 และ 58.73 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากจีนมีแผนส่งออกน้ำมันดีเซลเดือนธันวาคม 2551 ปริมาณ 1.12 ล้านบาร์เรล เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศเบาบาง
3. เดือนกันยายน 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลดลง 0.10 บาท/ลิตร, เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 1.10 บาท/ลิตร, น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซล หมุนเร็ว B5 ลดลง 2.30 บาท/ลิตร เดือนตุลาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลดลง 6.00 บาท/ลิตร, เบนซิน 91 ลดลง 6.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 4.40 บาท/ลิตร, น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 7.90 และ 8.20 บาท/ลิตร ตามลำดับ ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลดลง 4.40 บาท/ลิตร, เบนซิน 91 ลดลง 5.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 5.00 บาท/ลิตร, ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 1.80 และ 2.30 บาท/ลิตร ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 11 ธันวาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลดลง 0.60 บาท/ลิตร, เบนซิน 91 ลดลง 1.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 1.40 บาท/ลิตร, ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลงชนิดละ 1.20 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 26.59, 21.39, 16.89, 16.09, 15.59, 19.84 และ 18.34 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สำหรับสถานการณ์ก๊าซ LPG ช่วงเดือนธันวาคม 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 152 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 338 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามปริมาณน้ำมันดิบและอุปทานในตลาดมีมาก ขณะที่อุปสงค์โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจปิโตรเคมีลดลง ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศอยู่ที่ระดับ 10.9960 บาท/กิโลกรัม ปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ณ พฤศจิกายน 2551 อยู่ที่ระดับ 93,460.97 ตัน ราคาก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 21.0553 บาท/กิโลกรัม อัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 10.593 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 940.15 ล้านบาท โดยมีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน - 30 พฤศจิกายน 2551 รวมทั้งสิ้น 446,414.46 ตัน คิดเป็นหนี้ชดเชย 7,947.68 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนพฤศจิกายน 2551 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 11 ราย แต่ผลิต 9 ราย มีกำลังการผลิตรวม 1.57 ล้านลิตร/วัน ผลิตจริง 0.92 ล้านลิตร/วัน และราคา เอทานอลแปลงสภาพไตรมาส 4 ปี 2551 อยู่ที่ 22.11 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2551 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 10.5 และ 10.9 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ โดยมีสถานีบริการรวม 4,171 แห่ง ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2551 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 16.89 และ 16.09 บาท/ลิตร ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 9.70 และ 5.30 บาท/ลิตร ตามลำดับ และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในช่วงเวลาเดียวกันมีปริมาณ 0.11 และ 0.12 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ โดยมีสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 180 แห่ง ราคาขายปลีกอยู่ที่ 15.59 บาท/ลิตร ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 11.00 บาท/ลิตร
6. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล ในเดือนพฤศจิกายน 2551 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 10 ราย กำลังการผลิตรวม 2.90 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ย 1.34 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2551อยู่ที่ 25.11 และ 21.11 บาท/ลิตร ตามลำดับ การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2551 มีปริมาณ 13.34 และ 14.11 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ โดยมีสถานีบริการรวม 2,866 แห่ง ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.20 บาท/ลิตร มีราคาขายปลีกที่สถานี ปตท. ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2551 อยู่ที่ 20.14 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.50 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 16,097 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 7,787 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 7,461 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 8,310 ล้านบาท โดยที่ยังมีหนี้นำเข้า LPG จาก ปตท. ถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2551 อยู่ประมาณ 7,948 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การส่งเสริมการใช้ E85 ของประเทศไทยแบบบูรณาการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้รับทราบผลการหารือและศึกษาดูงานเกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ ณ สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ระหว่างวันที่ 8 -15 มิถุนายน 2551 ของกระทรวงพลังงาน ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2551 ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการผลิตการใช้ E85 กระทรวงพลังงานได้นำเสนอร่างวาระแห่งชาติการส่งเสริมการใช้ E85 ของประเทศไทยแบบบูรณาการ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นควรให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาเพื่อให้ได้ข้อยุติก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
2. ตั้งแต่ปี 2547 รัฐบาลได้ส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล โดยทดแทนการใช้ MTBE ในน้ำมันเบนซิน 95 และทดแทนเนื้อน้ำมันในเบนซิน 91 มีเป้าหมายการใช้เอทานอล 2.4 ล้านลิตรต่อวัน ภายในปี 2554 โดยไทย มีวัตถุดิบที่เหลือจากการบริโภค อุตสาหกรรมในประเทศและการส่งออก สนับสนุนการผลิตเอทานอลขั้นต่ำ 2.95 ล้านลิตรต่อวัน ณ เดือนกันยายน 2551 ความต้องการใช้แก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับ 9.72 ล้านลิตรต่อวัน คิดเป็น เอทานอล 0.97 ล้านลิตรต่อวัน และจากมาตรการสนับสนุนเอทานอลของภาครัฐ ส่งผลให้มีโรงงานได้รับอนุญาต 47 ราย กำลังผลิตรวม 12.3 ล้านลิตรต่อวัน โดยเดือนกันยายน 2551 มีการผลิต 11 ราย กำลังผลิต 1.58 ล้านลิตรต่อวัน สามารถผลิตจริง 8 ราย กำลังผลิตเฉลี่ย 0.85 ล้านลิตรต่อวัน นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2552 อีก 9 ราย กำลังผลิตเฉลี่ย 2.19 ล้านลิตรต่อวัน รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 3.77 ล้านลิตรต่อวัน มีสถานีบริการจำหน่ายแก๊สโซฮอล 4,132 แห่ง ปริมาณการจำหน่าย 291.69 ล้านลิตร หรือเฉลี่ย 9.72 ล้านลิตรต่อวัน
3. กระทรวงพลังงานได้กำหนด Road Map การส่งเสริมการใช้ E85 โดยในปี 2551 - 2552 เริ่มทดลอง Fleet และนำเข้ารถยนต์ FFV เชิงพาณิชย์ประมาณ 1,000 คัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน และ เปิด Line การผลิตรถ FFV ในประเทศตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป การส่งเสริมการใช้ E85 ตาม Road Map ข้างต้น จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ 447,377 ล้านบาท ภายใน 10 ปีข้างหน้า
4. สำหรับแนวทางส่งเสริมการใช้ E85 ประกอบด้วยมาตรการ ดังนี้
4.1 มาตรการด้านภาษีรถยนต์ ปี 2551 - 2552 ลดอากรนำเข้ารถยนต์ FFV (Flexible Fuel Vehicle) จากร้อยละ 80 เหลือร้อยละ 60 จำนวน 1,000 คัน ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ซีซี จากร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 22 และขนาดความจุกระบอกสูบมากกว่า 2,000 ซีซี จากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 27
4.2 มาตรการส่งเสริมวัตถุดิบ การผลิตเอทานอล และน้ำมัน E85 ครบวงจร เพื่อสนับสนุนการส่งเสริมการใช้ E85 และเพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว โดยส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตอ้อยเป็น 15 ตัน/ไร่ และ มันสำปะหลังเป็น 5 ตัน/ไร่ เพิ่มพื้นที่การเพาะปลูกในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าและที่ราชพัสดุ พิจารณาราคา เอทานอลให้สอดคล้องกับวัตถุดิบในประเทศ กำหนดราคา E85 ให้มีราคาขายปลีกต่ำกว่าแก๊สโซฮอล 95 (E10) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 สนับสนุนการผลิตน้ำมัน E85 ครบวงจร รวมทั้งจัดทำโครงการ Fleet รถยนต์ E85 ตลอดจนสนับสนุนเงินทุนส่งเสริมจากรัฐในการวิจัยและพัฒนาพันธุ์วัตถุดิบและการใช้เซลลูโลสเป็นวัตถุดิบ ในการผลิตเอทานอล การพัฒนารถยนต์ FFV เป็นต้น
4.3 เพื่อให้การส่งเสริมการใช้ E85 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม ควรให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการตามแผนงาน/โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการการส่งเสริมการใช้ E85 แบบครบวงจรให้แล้วเสร็จในระยะเวลาที่กำหนด
5. เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีการพิจารณาเรื่อง การส่งเสริมการใช้ E85 ของประเทศไทยแบบบูรณาการ และได้มีมติดังนี้
5.1 เห็นชอบให้มีการส่งเสริมการใช้น้ำมัน E85 เป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลทางปฏิบัติในระยะเวลาที่กำหนดตามแผนปฏิบัติการการส่งเสริมการใช้ E85 ครบวงจร โดยให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินงานและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
5.2 เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง ลดอากรนำเข้า จากร้อยละ 80 เหลือเป็นร้อยละ 60 สำหรับรถยนต์ Flex Fuel Vehicle (FFV) ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี จำนวนไม่เกิน 2,000 คัน ที่จะนำเข้าประเทศไทย ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552
5.3 เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 ให้กับรถยนต์ FFV ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี ที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร จำนวนไม่เกิน 2,000 คัน ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 ให้กับรถยนต์ FFV ที่ผลิต และต้องจำหน่ายภายในราชอาณาจักร ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และหลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไป มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ FFV ให้สอดคล้องกับโครงสร้างภาษีรถยนต์ประเภทอื่นทั้งระบบต่อไป
ทั้งนี้กระทรวงพลังงานได้นำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 แล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 ได้มีมติเห็นชอบการยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซ LPG และยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการส่งออกก๊าซ LPG ยังคงนโยบายราคาก๊าซ ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศต่อไป โดยเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากก๊าซ LPG ในระดับที่เพียงพอสำหรับชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซภูมิภาคและเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG โดยกำหนดเพดานที่ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 60 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 40 โดยให้ทยอยปรับสัดส่วนการผลิตระหว่างโรงแยกก๊าซและโรงกลั่นน้ำมันไปสู่ระดับจริง คือร้อยละ 60 ต่อร้อยละ 40 รวมทั้งได้มอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม
2. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. ได้เห็นชอบยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซ LPG โดยปรับราคาขายส่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.20 บาท/กิโลกรัม จากราคา 16.81 บาท เป็น 18.01 บาท/กิโลกรัม ต่อมาในวันที่ 4 มกราคม 2551 ได้เห็นชอบการปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG เท่ากับ ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 5 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2551 และในวันที่ 30 มกราคม 2551 ได้เห็นชอบราคา ณ โรงกลั่น ก๊าซ LPG ของเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ปรับตัวเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 20 สตางค์ จากราคา 18.01 เป็น 18.21 บาท/กิโลกรัม
3. ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 กบง. ได้มีมติ ดังนี้ (1) ให้คงราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น เท่ากับต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกร้อยละ 5 ของเดือนมีนาคม 2551 ไว้จนถึงประมาณเดือนกรกฎาคม 2551 แล้วจึงจะพิจารณาดำเนินการปรับสูตรราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นให้เหมาะสมกับสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง (2) ให้คงราคาก๊าซหุงต้มในภาคครัวเรือนไว้ ณ ระดับราคาเดือนมีนาคม 2551 ส่วนก๊าซ LPG ที่นำไปใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม (ยกเว้นปิโตรเคมี) ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปชำระหนี้เงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG (3) ให้จ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าตามปริมาณที่นำเข้าตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป และ (4) ให้จัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลและตรวจสอบการนำก๊าซ LPG ไปจำหน่ายในสาขาอื่น และคณะกรรมการป้องกันการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG และเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเรื่อง 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทยทุกคน และมีมติให้ชะลอการปรับราคาก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนเพื่อลดแรงกดดันค่าใช้จ่ายในภาคครัวเรือน จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาพลังงานเป็นระยะเวลา 6 เดือน (1 สิงหาคม 2551 - 31 มกราคม 2552)
4. ปัจจุบันราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ประกอบด้วย ราคาของโรงแยกก๊าซฯ และราคาส่งออก (ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมัน) ในสัดส่วนร้อยละ 95 ต่อ 5 ซึ่งเป็นระดับราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตในประเทศที่สัดส่วน ร้อยละ 60 ต่อ 40 และราคาตลาดโลก ทั้งนี้ราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 18.13 บาท/กิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าต้นทุน การผลิตจริงในประเทศที่ระดับ 23.24 บาท/กิโลกรัม และราคาตลาดโลกที่ระดับ 24.48 บาท/กิโลกรัม ขณะที่การจัดหาก๊าซ LPG ในประเทศมาจากโรงแยกก๊าซฯ ประมาณร้อยละ 60 และจากโรงกลั่นน้ำมันประมาณ ร้อยละ 40 ส่วนความต้องการใช้หลักจะอยู่ในภาคครัวเรือนประมาณร้อยละ 46 และในภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรมและภาคปิโตรเคมีร้อยละ 17, 15 และ 22 ตามลำดับ
5. การที่รัฐบาลกำหนดราคาขายปลีก LPG อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าต้นทุนที่ควรจะเป็น ทำให้ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ส่งผลให้ปริมาณการผลิต LPG ในประเทศไม่เพียงพอ และต้องนำเข้าโดย ปตท. ตั้งแต่เดือนเมษายน - ตุลาคม 2551 จำนวน 375,953 ตัน คิดเป็นภาระชดเชยการนำเข้าของ ปตท. ประมาณ 7,423 ล้านบาท ขณะเดียวกันขีดความสามารถในการนำเข้า ขนส่ง และกระจายก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาคจำกัดไม่พอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และเพื่อแก้ไขปัญหา ควรปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ให้สะท้อนราคาที่แท้จริงมากขึ้น และเพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ชะลอการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มออกไปอีก 6 เดือน จึงพิจารณาปรับขึ้นราคาเฉพาะก๊าซ LPG ที่ใช้ในรถยนต์และอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหา 1) การส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการใช้ก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมอาจไม่ครบถ้วน 2) การลักลอบนำก๊าซ LPG จากโรงบรรจุก๊าซไปจำหน่ายในสถานีบริการหรือโรงงานอุตสาหกรรม และ 3) การนำถังก๊าซ LPG ในครัวเรือนไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและยานพาหนะ รวมทั้งการลักลอบถ่ายเทก๊าซ LPG จากถังในครัวเรือนไปใช้ในยานพาหนะและโรงงานอุตสาหกรรม
6. สำหรับมาตรการการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG ประกอบด้วย
6.1 มาตรการด้านราคา แบ่งเป็น 1) การแก้ไขปัญหาในระยะสั้น โดยปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ให้สะท้อนราคาที่แท้จริงและสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คือ ปรับขึ้นราคา ก๊าซ LPG เฉพาะในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม 2) แนวทางการเพิ่มส่วนต่างราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมโดยใช้วิธีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 3) แนวทาง การลดภาระจากการนำเข้าก๊าซ LPG และ 4) เร่งความพร้อมของสถานีบริการก๊าซ NGV และมีมาตรการจูงใจ ให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV มากขึ้น
6.2 มาตรการจูงใจ เพื่อชะลอความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้ที่ประหยัดและเพื่อทดแทนน้ำมันในภาคครัวเรือน ขนส่ง และอุตสาหกรรม โดยการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจและรณรงค์ให้ใช้ก๊าซ LPG อย่างประหยัด
6.3 การเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับก๊าซ LPG ของคลังนำเข้าและขยายขีดความสามารถของการขนส่งและการกระจายก๊าซ LPG ของคลังภูมิภาค รวมทั้งปรับเพิ่มอัตราการสำรองตามกฎหมายของก๊าซ LPG ในปัจจุบัน ที่ระดับร้อยละ 0.5 ของปริมาณการค้าให้สูงขึ้นในอัตราเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศได้มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศแล้ว
6.4 แนวทางการแก้ไขปัญหาจากการกำหนดราคาก๊าซ LPG เป็น 2 ราคา LPG ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็น 2 ระยะ เพื่อแก้ไขปัญหาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไม่ครบถ้วน 2) กำหนดให้ติดตั้งมิเตอร์ที่โรงบรรจุก๊าซทุกแห่งและเปรียบเทียบปริมาณก๊าซ LPG ที่บรรจุลงในถังก๊าซ LPG กับปริมาณที่โรงบรรจุรับก๊าซ LPG จากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบนำก๊าซ LPG จากโรงบรรจุก๊าซไปจำหน่ายในสถานีบริการหรือโรงงานอุตสาหกรรม และ 3) การแก้ไขปัญหาการนำถังก๊าซ LPG ในครัวเรือน ไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ยานพาหนะและการถ่ายเทก๊าซ LPG จากถังก๊าซ LPG
7. เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีการพิจารณาเรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และได้มีมติดังนี้
7.1 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG
7.1.1 แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG ในส่วนของมาตรการราคา
1) เห็นชอบให้ยกเลิกหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น โดยวิธีการกำหนดเพดานให้ประกอบด้วยต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 60 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 40 และกำหนดราคาฐานตามต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550
2) เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG ในส่วนของมาตรการราคา ดังนี้ (1) หลักการการจัดสรรปริมาณก๊าซ LPG ที่ผลิตได้ในประเทศ ให้กับปริมาณความต้องการในภาคครัวเรือนและปิโตรเคมีเป็นลำดับแรก ส่วนปริมาณการผลิตก๊าซ LPG ที่เหลือจากการจัดสรรข้างต้นจะถูกนำไปจัดสรรให้กับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมเป็นลำดับต่อไป ทั้งนี้ หากปริมาณการผลิตก๊าซ LPG ที่เหลือจากการจัดสรรในลำดับแรกไม่เพียงพอกับปริมาณความต้องการใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ให้มีการนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศมารองรับในส่วนที่ขาด (2) หลักการการกำหนดส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เท่ากับ 6 บาท/กิโลกรัม หรือ 3.24 บาท/ลิตร โดยให้ กบง. พิจารณาทบทวนการคำนวณตามหลักการการกำหนดส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และ (3) แนวทางการเพิ่มส่วนต่างราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมโดยวิธีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นเดือนละ 2 บาท/กิโลกรัม (1.08 บาท/ลิตร) เป็นเวลา 3 เดือนโดยเดือนแรกเพิ่มขึ้น 2 บาท/กิโลกรัม เดือนที่สองเพิ่มขึ้นเป็น 4 บาท/กิโลกรัม และเดือนที่สามเพิ่มขึ้นเป็น 6 บาท/กิโลกรัม และตั้งแต่เดือนที่สี่เป็นต้นไป ให้ใช้อัตราที่เพิ่มขึ้นเป็น 6 บาท/กิโลกรัม โดยทยอยปรับเพิ่มส่วนต่างระหว่างราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมให้เท่ากับ 6 บาท/กิโลกรัม (3.24 บาท/ลิตร) โดยมอบหมายให้ กบง. รับไปดำเนินการพิจารณาในรายละเอียดต่อไป
3) เมื่อการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG ในส่วนของมาตรการราคาโดยเฉพาะการชำระหนี้จากการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ได้หมดแล้ว มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทบทวนและนำเสนอ กพช. พิจารณาหลักการในการคำนวณราคาก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้นต่อไป
4) เห็นชอบมาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV จำนวนไม่เกิน 20,000 คัน ให้แล้วเสร็จภายในเวลาประมาณ 4 เดือน ดังนี้ (1) จัดสรรจำนวนรถแท็กซี่ที่ประสงค์จะเปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV ประมาณ 5,000 คัน/เดือน แยกเป็นรถแท็กซี่ใหม่ 800 คัน/เดือน และรถแท็กซี่เก่า 4,200 คัน/เดือน (2) สำหรับรถแท็กซี่ใหม่ทาง ปตท. จะออกค่าถังก๊าซ NGV 28,000 บาท/คัน และกองทุนน้ำมันฯ โดยกระทรวงพลังงานจะออกค่าติดตั้ง 12,000 บาท/คัน (3) รถแท็กซี่เก่าที่ติดตั้งก๊าซ LPG ปตท. จะออกค่าติดตั้งและค่าถังก๊าซ NGV 40,000 บาท/คัน และกองทุนน้ำมันฯ โดยกระทรวงพลังงานจะออกค่าชดเชยอุปกรณ์ก๊าซ LPG เก่า 3,000 บาท/คัน โดยรถแท็กซี่เก่าต้องคืนซากอุปกรณ์ก๊าซ LPG ให้กับกระทรวงพลังงานเพื่อนำไปทำลายซากต่อไป
7.1.2 แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG ในส่วนของมาตรการจูงใจ โดยประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนทั้งในภาคครัวเรือน ขนส่งและอุตสาหกรรมใช้ก๊าซ LPG อย่างประหยัดและให้ประชาชนเข้าใจถึงระบบการกำหนดราคาก๊าซ LPG รวมทั้งรณรงค์ในประเด็นราคาขายปลีกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตามตลาดโลก ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่มีการใช้ LPG ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้ก๊าซ NGV ให้ได้ภายในเดือนเมษายน 2552 บริหารและจัดการ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงความก้าวหน้าการขยายระบบเครือข่ายการให้บริการ NGV อย่างทั่วถึงความสะดวกสบายของรถที่ใช้ NGV ที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
7.1.3 เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับก๊าซ LPG ของคลังนำเข้าและขยายขีดความสามารถของการขนส่งและการกระจายก๊าซ LPG ของคลังภูมิภาค รวมทั้ง ปรับเพิ่มอัตราการสำรองตามกฎหมายของ ก๊าซ LPG จากในปัจจุบัน ที่ระดับร้อยละ 0.5 ของปริมาณการค้า ให้สูงขึ้นในอัตราที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศได้มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศแล้ว ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาขีดความสามารถในการนำเข้า ขนส่ง และกระจายก๊าซ LPG ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ
7.1.4 แนวทางการแก้ไขปัญหาจากการกำหนดราคาก๊าซ LPG เป็น 2 ราคา ดังนี้
1) กำหนดวิธีการคำนวณปริมาณจำหน่ายก๊าซ LPG ที่ได้รับการยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็น 2 ระยะ ดังนี้ (1) ช่วง 6 เดือนแรก ใช้ปริมาณจำหน่ายก๊าซ LPG ในปี 2550 เฉลี่ยรายเดือน คำนวณปริมาณก๊าซ LPG ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ (2) ช่วงหลังจาก 6 เดือนไปแล้ว กำหนดให้โรงบรรจุก๊าซทุกแห่งติดตั้งมิเตอร์เพื่อตรวจสอบปริมาณก๊าซ LPG ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ อาจกำหนดให้เติมสาร Marker ในก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนด้วยได้
2) กำหนดให้ติดตั้งมิเตอร์ที่โรงบรรจุก๊าซทุกแห่งและเปรียบเทียบปริมาณก๊าซ LPG ที่บรรจุลงในถังก๊าซ LPG กับปริมาณที่โรงบรรจุรับก๊าซ LPG จากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบนำก๊าซ LPG จากโรงบรรจุก๊าซไปจำหน่ายในสถานีบริการหรือโรงงานอุตสาหกรรม และใช้บทลงโทษผู้กระทำความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งนายกฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3) การแก้ไขปัญหาการนำถังก๊าซ LPG ในครัวเรือน ไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ยานพาหนะและการถ่ายเทก๊าซ LPG จากถังก๊าซ LPG ดังนี้ (1) ออกกฎหมายควบคุมการใช้ถังก๊าซ LPG ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยใช้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2552 (2) ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงอันตรายจากการใช้ถังก๊าซ LPG ผิดประเภทและการถ่ายเทก๊าซ และ (3) ใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ จับกุม และดำเนินคดีโดยเคร่งครัด ตามความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งนายกรัฐมนตรี
7.2 มอบหมายให้ สนพ. กรมธุรกิจพลังงาน และกรมการค้าภายใน รับผิดชอบในการติดตามและกำกับดูแลค่าการตลาดของก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคต่อไปโดยเร็ว แล้วรายงานผลการดำเนินการให้ กบง. ทราบต่อไป
7.3 เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการต่างๆ ภายใต้ กพช. จำนวน 5 คณะ ดังนี้ 1) คณะกรรมการป้องกันและตรวจสอบการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน 2) คณะกรรมการกำกับดูแลและตรวจสอบการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวผิดประเภทและความปลอดภัย 3) คณะกรรมการติดตามตรวจสอบปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 4) คณะกรรมการดำเนินการประชาสัมพันธ์การปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และ 5) คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มรถแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวมาเป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์
7.4 มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลทางปฏิบัติในระยะเวลาที่กำหนดตามตารางแสดงแผนปฏิบัติงานการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG
ทั้งนี้กระทรวงพลังงานได้นำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 แล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ข้อเสนอการปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549 ได้มีมติเห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซลเพิ่มขึ้นอีก 1.50 บาท/ลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาท/ลิตร เป็น 4.00 บาท/ลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2551 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในอัตรา 1.00, 0.90 และ 0.50 บาท/ลิตร ตามลำดับ และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ลงอีก 0.15 บาท/ลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือ ในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบันที่ยังไม่เอื้อต่อการส่งเสริมพลังงานทดแทน เพื่อแก้ไขปัญหาปริมาณปาล์มน้ำมันที่มีมากกว่าความต้องการ และยังส่งผลทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีเสถียรภาพพอที่จะใช้ในการบริหารระดับราคามิให้เพิ่มสูงขึ้นโดยฉับพลันหลังสิ้นสุดนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน
2. ผลการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2551โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2551 เมื่อพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2551 พบว่า กลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลมีโครงสร้างราคาเป็นไปตามหลักการบริหารจัดการการจัดโครงสร้างราคาน้ำมันเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทน โดยที่ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 (4.3074 บาท/ลิตร) มากกว่า ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 (4.1749 บาท/ลิตร) และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 (22.59 บาท/ลิตร) ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 (23.89 บาท/ลิตร) ส่วนกลุ่มน้ำมันไบโอดีเซลมีโครงสร้างราคาเป็นไปตามหลักการบริหารจัดการการจัดโครงสร้างราคาน้ำมันเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทน โดยค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 (3.4547 บาท/ลิตร) มากกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 (2.7358 บาท/ลิตร) และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 เท่ากับ 1.00 บาท/ลิตร แต่ในช่วง 4 สัปดาห์ ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาเอทานอลยังอยู่ในระดับเดิม ทำให้โครงสร้างราคา ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2551 ไม่เป็นไปตามหลักการการส่งเสริมพลังงานทดแทนข้างต้น
3. แนวทางในการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.1 เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลในตลาดโลกมีการปรับขึ้น-ลง อย่างรวดเร็ว ส่วนราคาเอทานอลและไบโอดีเซลมีการปรับขึ้น-ลง ทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันไม่เป็นไปตามหลักการเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนตาม จึงต้องทบทวนการกำหนดหลักเกณฑ์โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง แต่เนื่องจากการกำหนดหลักเกณฑ์โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ดังนั้นจึงเห็นควรให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้เป็นไปตามหลักการส่งเสริมพลังงานทดแทน
3.2 จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถปรับลดราคาขายปลีกได้ทัน โดยการปรับราคาจะปรับได้ไม่เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันเบนซิน 91 อยู่ในระดับสูง ดังนั้นเพื่อทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเพิ่มเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ ในการบริหารจัดการการส่งเสริมพลังงานทดแทน จึงเห็นควรปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จาก 4.00 บาท/ลิตร เป็น 7.00 บาท/ลิตร และขอปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน 95 จากเดิม 4.00 บาท/ลิตร เป็น 7.00 บาท/ลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จากเดิม 0.15 บาท/ลิตร เป็นอัตราชดเชย 0.30 บาท/ลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามโครงสร้างราคาน้ำมันใหม่ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 101 ล้านบาท/วัน เป็น 103 ล้านบาท/วัน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบให้ขยายเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล เพิ่มขึ้น 3.00 บาท/ลิตร จากเดิม 4.00 บาท/ลิตร เป็น 7.00 บาท/ลิตร
3. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 3.00 บาท/ลิตร จากเดิม 4.00 บาท/ลิตร เป็น 7.00 บาท/ลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ปรับลดลง 0.45บาท/ลิตร จากเดิมอัตราส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.15 บาท/ลิตร เป็นอัตราชดเชย 0.30 บาท/ลิตร
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 5 แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2551-2555 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 173,679,300 บาท พร้อมทั้งเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ สำหรับปีงบประมาณ 2551 กบง. ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน ดังนี้ 8,125,400 บาท, 20,532,400 บาท, 2,111,200 บาท, 867,200 บาท และ 1,486,800 บาท ตามลำดับ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 41,093,000 บาท และงบค่าใช้จ่ายอื่น จำนวน 350 ล้านบาท ภายใต้กรอบงบประมาณปี 2551 - 2555 ที่ กบง. ได้อนุมัติ
2. ตามแผนการใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2551-2555 ในงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ทั้ง 5 หน่วยงานที่ได้รับเงินสนับสนุน ได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยมีผลการใช้จ่ายเงินตามที่ได้รับอนุมัติของปีงบประมาณ 2551 ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2551 ค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 24,780,410 บาท เงินคงเหลือ 16,312,590 บาท และในปี 2551 หน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงพลังงาน ได้แก่ สป.พน. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และ สนพ. ได้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการใช้แก้ปัญหาภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย กบง. ได้อนุมัติเงินรวมเป็นเงิน 317.93 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 กบง. ได้มีมติให้ระงับการเบิกจ่ายเงินในโครงการเกี่ยวกับประชาสัมพันธ์บางส่วนของปีงบประมาณ 2551 ได้แก่ 1) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน 2) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ระยะที่ 3 3) โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคา LPG 4) โครงการประชาสัมพันธ์สนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ และ 5) การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ตามที่คณะกรรมการบริหารงานประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงานเสนอ
3. ผลการดำเนินโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ พบว่า โครงการที่ถูกระงับการเบิกจ่าย 5 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการด้านประชาสัมพันธ์ ทำให้มีเงินส่งคืนกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 105.5 ล้านบาท และโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว 1 โครงการ คือ โครงการพัฒนาช่างผู้ชำนาญการในการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ส่วนโครงการอื่นอยู่ระหว่างดำเนินการ
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2551 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชี 16,097 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 7,787 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 7,461 ล้านบาท และงบบริหารโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 8,310 ล้านบาท
5. สำหรับปีงบประมาณ 2552 หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ได้ขอปรับปรุงแผน การใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2552 ใหม่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 41,619,400 บาท มีรายละเอียดดังนี้ คือ
5.1 สป.พน. ได้ขอปรับเพิ่มงบในหมวดค่าจ้างชั่วคราว และหมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ พร้อมทั้งขอตัดรายจ่ายค่าจ้างเหมาบริการผู้ประสานงานในพื้นที่ออก ส่วนงบรายจ่ายอื่น ได้ขอเพิ่มโครงการศึกษาวิจัยและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ เนื่องจากกระทรวงพลังงานจะต้องเป็นเจ้าภาพ การประชุมระหว่างประเทศในปี 2552 ภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน ทำให้ยอดเงินรวมขอรับการสนับสนุนของ สป.พน. เพิ่มขึ้นเป็นเงินปีละ 23.2147 ล้านบาท (เดิม 8.1254 ล้านบาท) หรือยอดรวมปี 2552 - 2555 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 92.8558 ล้านบาท
5.2 สนพ. ในปีงบประมาณ 2552 ได้ขอปรับลดทุกหมวดรายจ่ายลง โดยในหมวดรายจ่ายอื่นๆ ได้ปรับลดค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศ ค่าจ้างที่ปรึกษาด้านพลังงานลง ทำให้ สนพ. จะมีค่าใช้จ่ายเป็นเงิน ปีละ 12.5952 ล้านบาท (เดิม 20.5324 ล้านบาท) หรือยอดรวมปี 2552 - 2555 เป็นจำนวนเงิน 50.3808 ล้านบาท
5.3 กรมสรรพสามิต ได้ขอปรับเพิ่มงบลงทุนในหมวดครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง โดยขอจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์เลเซอร์ชุดใหม่เพิ่ม จำนวนเงินรวม 0.5050 ล้านบาท และขอเพิ่มหมวดค่าจ้างชั่วคราวเพิ่มขึ้น 1 ตำแหน่ง ทำให้ยอดเงินค่าใช้จ่ายรวมของกรมสรรพสามิต ในปี 2552 เพิ่มขึ้นเป็น 2.6068 ล้านบาท (เดิม 1.8011 ล้านบาท) และมียอดรวมปี 2552 - 2555 เป็นจำนวนเงิน 8.8762 ล้านบาท
5.4 กรมศุลกากร ได้ขอปรับจำนวนเงินในหมวดค่าจ้างชั่วคราวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2551 และวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ทำให้มียอดค่าใช้จ่ายรวมในปี 2552 เพิ่มขึ้น เป็นจำนวนเงิน 0.9119 ล้านบาท (เดิม 0.8672 ล้านบาท) และมียอดรวมปี 2552 - 2555 เป็นจำนวนเงิน 3.6476 ล้านบาท
5.5 สบพน. ได้ของบประมาณเพื่อดำเนินการจ้างบุคลากรตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฯ จำนวน 1 ตำแหน่ง ทำให้ สบพน. มียอดค่าใช้จ่ายรวมในปี 2552 เป็นจำนวนเงิน 1.4868 ล้านบาท (เท่ากับปีงบประมาณ 2551) โดยมียอดรวมปี 2552-2555 เป็นจำนวนเงิน 6.3181 ล้านบาท
6. สำหรับการขอรับเงินสนับสนุนโครงการในปี 2552 มีหน่วยงานในกระทรวงพลังงาน คือ กรมธุรกิจพลังงาน ได้จัดทำโครงการเพื่อขอรับเงินสนับสนุน จำนวน 2 โครงการ ซึ่งเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2551 อบน. ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในโครงการต่างๆ จำนวน 2 โครงการ จำนวนเงินรวม 7,120,750 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
6.1 โครงการฝึกอบรมช่างติดตั้งระบบก๊าซธรรมชาติสำหรับรถใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกอบรม ช่างติดตั้งระบบก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ให้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนส่งใช้ก๊าซธรรมชาติกับรถยนต์ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น ดำเนินการโดยจัดฝึกอบรมภาคทฤษฎีและปฏิบัติให้แก่บุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป จำนวน 15 รุ่นๆ ละ 45 คน ใช้ระยะเวลาฝึกอบรม 5 วัน โดยใช้สถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน ศรีราชา เป็นสถานที่ฝึกอบรม วงเงินงบประมาณรวม 4,520,750 บาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 - ธันวาคม 2552
6.2 โครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบถัง อุปกรณ์ และการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์โดยสารสาธารณะ จำนวน 1,160 คัน ให้ปลอดภัย และเพื่อป้องกันอุบัติภัยอันเกิดจากถัง อุปกรณ์ NGV ในรถยนต์โดยสารสาธารณะในส่วนภูมิภาค ที่มีจำนวนผู้ตรวจและทดสอบไม่เพียงพอ ดำเนินการโดยจัดจ้างผู้ตรวจและทดสอบรถที่ใช้ NGV เพื่อตรวจและทดสอบรถยนต์โดยสารสาธารณะ ซึ่งมีจำนวนรถที่จะตรวจสอบรวม 12 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น นครราชสีมา ลำปาง นครศรีธรรมราช และกรุงเทพฯ เป็นต้น วงเงินงบประมาณรวม 2,600,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 60 วัน
7. สำหรับการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ ในปี 2552 - 2555 ประกอบด้วย เงินสนับสนุนให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนน้ำมันฯ รวม 5 หน่วยงาน และค่าใช้จ่ายอื่น มียอดรวมเป็นเงินประมาณ 162.8855 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น สป.พน.จำนวน 92.8588 ล้านบาท สนพ. จำนวน 50.3808 ล้านบาท กรมสรรพสามิต จำนวน 8.8762 ล้านบาท กรมศุลกากร จำนวน 3.6476 ล้านบาท สบพน. จำนวน 6.3181 ล้านบาท ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร จำนวน 0.8040 ล้านบาท
8. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2551 และวันที่ 17 ตุลาคม 2551 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้พิจารณาเรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555และได้มีมติดังนี้
8.1 รับทราบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551 ของหน่วยงานต่างๆ
8.2 เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555 ให้หน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนเงินรวม 162.8855 ล้านบาท พร้อมทั้งเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ ในปีถัดไปได้ ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป
8.3 เห็นชอบอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของกรมธุรกิจพลังงาน จำนวน 2 โครงการ จำนวนเงินรวม 7,120,750 บาท ดังต่อไปนี้ 1) โครงการฝึกอบรมช่างติดตั้งระบบก๊าซธรรมชาติสำหรับรถใหญ่ วงเงิน 4,520,750 บาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 - ธันวาคม 2552 และ 2) โครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย วงเงิน 2,600,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 60 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551 ของหน่วยงานต่างๆ
2. อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555 ให้หน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนเงินรวม 162.8855 ล้านบาท (หนึ่งร้อยหกสิบสองล้านแปดแสนแปดหมื่นห้าพัน ห้าร้อยบาทถ้วน) พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2552 - 2555 ปีละ 300 ล้านบาท รวม 1,200 ล้านบาท (หนึ่งพันสองร้อยล้านบาทถ้วน) โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้
3. อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 ให้หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 41,619,400 บาท (สี่สิบเอ็ดล้านหกแสนหนึ่งหมื่นเก้าพันสี่ร้อยบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
การอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | หมวด ค่าจ้าง ชั่วคราว |
หมวด ค่าตอบแทน ใช้สอย และวัสดุ |
หมวด ค่าครุภัณฑ์ |
หมวด รายจ่าย อื่นๆ |
ค่าใช้จ่าย ในการออก พันธบัตร |
รวม |
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 1.8309 | 12.1678 | - | 9.2160 | - | 23.2147 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 0.3399 | 5.6553 | - | 6.6000 | - | 12.5952 |
3. กรมสรรพสามิต | 1.0882 | 1.0016 | 0.5050 | 0.0120 | - | 2.6068 |
4. กรมศุลกากร | 0.5396 | 0.3723 | - | - | - | 0.9119 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 0.9900 | 0.4968 | - | - | 0.8040 | 2.2908 |
รวม |
4.7886 | 19.6938 | 0.5050 | 15.8280 | 0.8040 | 41.6194 |
4. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของกรมธุรกิจพลังงาน จำนวน 2 โครงการ จำนวนเงินรวม 7,120,750 บาท (เจ็ดล้านหนึ่งแสนสองหมื่นเจ็ดร้อยห้าสิบบาทถ้วน) ดังต่อไปนี้
4.1 โครงการฝึกอบรมช่างติดตั้งระบบก๊าซธรรมชาติสำหรับรถใหญ่ วงเงิน 4,520,750 บาท (สี่ล้านห้าแสนสองหมื่นเจ็ดร้อยห้าสิบบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 - ธันวาคม 2552
4.2 โครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย วงเงิน 2,600,000 บาท (สองล้านหกแสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 60 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน
เรื่องที่ 6 แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มาตรการด้านราคา และการกำกับดูแล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยมีรายละเอียดตามเรื่องที่ 3.3 ข้อ 7
2. เพื่อรองรับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งได้เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยเฉพาะในส่วนมาตรการราคา ได้กำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวแยกออกตามประเภทการใช้โดยเฉพาะในส่วนของปัญหาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไม่ครบถ้วน ปัญหาการลักลอบนำก๊าซปิโตรเลียมเหลวจากโรงบรรจุก๊าซไปจำหน่ายในสถานีบริการหรือโรงงานอุตสาหกรรม และปัญหาการนำก๊าซปิโตรเลียมเหลวในครัวเรือนไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ยานพาหนะ ซึ่งจำเป็นต้องแก้ไขและเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ในประเด็นสำคัญๆ ดังนี้ 1) คำนิยามศัพท์ 2) การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซ ให้สามารถกำหนดอัตราเงินสำหรับก๊าซแยกตามประเภทการใช้ได้ 3) การกำหนดบทบาทและหน้าที่ของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ในประเด็นส่งเงินเข้ากองทุน และการติดตั้งมาตรวัดปริมาณการจ่ายก๊าซจากถังเก็บก๊าซ 4) การกำหนดบทบาทและหน้าที่ของ ธพ. และผู้ว่าราชการจังหวัดในประเด็นตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนเงินที่ผู้ค้าน้ำมันนำส่งเข้ากองทุน และการกำหนดบทปรับเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2551 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และขอความเห็นชอบให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้ สนพ. ประกาศกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ตามแนวทางการเพิ่มส่วนต่างราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมโดยวิธีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นเดือนละ 2 บาท/กิโลกรัม (1.08 บาท/ลิตร) โดยเดือนแรกเพิ่มขึ้น 2 บาท/กิโลกรัม เดือนที่สองเพิ่มขึ้นเป็น 4 บาท/กิโลกรัม และเดือนที่สามเพิ่มขึ้นเป็น 6 บาท/กิโลกรัม และตั้งแต่เดือนที่สี่เป็นต้นไปให้ใช้อัตราที่เพิ่มขึ้นเป็น 6 บาท/กิโลกรัม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2551 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประกาศกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมตามแนวทางการเพิ่มส่วนต่างราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมโดยวิธีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 2 บาท/กิโลกรัม (1.08 บาท/ลิตร) หลังจากนั้นมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาทบทวนและปรับปรุงข้อสมมติฐานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และนำเสนอต่อประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ หลังจากนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ แล้ว มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานนำเรื่องเสนอต่อประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณากำหนดวันปรับเพิ่ม อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 2 บาท/กิโลกรัม (1.08 บาท/ลิตร) ต่อไป
เรื่องที่ 7 แผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในส่วนของมาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ NGV จำนวน 20,000 คัน ในระยะเวลา 4 เดือน ดังนี้ 1) จัดสรรจำนวนรถแท็กซี่ที่มีความประสงค์จะเปลี่ยนมาใช้ NGV ประมาณ 5,000 คัน/เดือน แยกเป็นรถแท็กซี่ใหม่จำนวน 800 คัน/เดือน และรถแท็กซี่เก่าจำนวน 4,200 คัน/เดือน เป็นเวลา 4 เดือน 2) สำหรับรถแท็กซี่ใหม่ทาง ปตท. จะออกค่าถัง NGV 28,000 บาท/คัน และกองทุนน้ำมันฯ โดยกระทรวงพลังงานจะออกค่าติดตั้ง 12,000 บาท/คัน 3) สำหรับรถแท็กซี่เก่าที่ติดตั้งก๊าซ LPG ปตท. จะออกค่าติดตั้งและค่าถัง NGV 40,000 บาท/คัน และกองทุนน้ำมันฯ จะออกค่าชดเชย 3,000 บาท/คัน โดยรถแท็กซี่เก่าต้องคืนซากอุปกรณ์ก๊าซ LPG ให้กับกระทรวงพลังงานเพื่อนำไปทำลายซากต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มรถแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมมาเป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการรถแท็กซี่ จากการดำเนินการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม
2. เพื่อรองรับมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น และเพื่อให้สามารถดำเนินการปรับราคาก๊าซ LPG ได้ทันที ตามมาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ NGV จำนวน 20,000 คัน ในระยะเวลา 4 เดือน ทาง ปตท. จะรับภาระในการให้เงินช่วยเหลือประมาณ 190.4 ล้านบาท/เดือน (รวม 761.6 ล้านบาท) และกองทุนน้ำมันฯ รับภาระให้เงินช่วยเหลือประมาณ 22.2 ล้านบาท/เดือน (คิดเป็นเงิน 88.8 ล้านบาท)
3. คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2551 ได้พิจารณาแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ NGV ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการรถแท็กซี่ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และเห็นควรนำเสนอแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ NGV ต่อ กบง. เพื่อพิจารณา ดังนี้
3.1 ให้ ธพ. และ ปตท. เตรียมความพร้อมทางด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ คือ 1) ตรวจสอบมาตรฐานของอู่ติดตั้ง NGV ให้มีมาตรฐานตามที่ได้กำหนดไว้ และตรวจสอบให้มีความพร้อมในการรองรับรถแท็กซี่ที่จะเข้ามาติดตั้ง NGV ได้ 2) ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) โดยจัดทำรายละเอียดมาตรฐานของอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถังก๊าซ NGV) เพื่อให้สามารถดำเนินการตรวจสอบมาตรฐานของอุปกรณ์ได้ 3) กำหนดให้มีช่างติดตั้งที่ผ่านการฝึกอบรม 4) กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง และ 5) การติดตามการบริการหลังการขาย โดยกำหนดให้อู่ติดตั้งจะต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้ง
3.2 เมื่อได้รับการติดตั้ง NGV แล้วเสร็จ ให้ ธพ. เป็นผู้บริหารจัดการในส่วนเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ทั้งในส่วน 3,000 บาท สำหรับรถแท็กซี่เก่า และ 12,000 บาท สำหรับรถแท็กซี่ใหม่ โดย ธพ. เป็นผู้จัดทำรายละเอียดการดำเนินการเพื่อเสนอต่อ สบพน. ต่อไป
3.3 ให้สมาคมผู้ประกอบการรถแท็กซี่เป็นผู้ดำเนินการในการบริหารจัดการจำนวนรถแท็กซี่จะปรับเปลี่ยนจาก LPG เป็น NGV ในแต่ละวัน
3.4 ให้ สนพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV
3.5 ให้คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มรถแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวมาเป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ เป็นผู้ติดตามและประเมินผลและรายงานให้ กบง. ทราบเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอ กบง. เพื่อขอความเห็นชอบอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV ในวงเงิน 88.8 ล้านบาท และแผนการดำเนินการของแผนงานฯ ดังกล่าว
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ตามที่เสนอโดยคณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มรถแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวมาเป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ตามข้อ 3 (ในส่วนสรุปสาระสำคัญ)
2. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ประจำปีงบประมาณ 2552 ในวงเงิน 88.8 ล้านบาท (แปดสิบแปดล้านแปดแสนบาทถ้วน) สำหรับแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
เรื่องที่ 8 แผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในส่วนของการประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนทั้งในภาคครัวเรือน ขนส่งและอุตสาหกรรมใช้ก๊าซ LPG อย่างประหยัดและให้เข้าใจระบบการกำหนดราคาก๊าซ LPG รวมทั้งการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์มาเป็น NGV ภายในเดือนเมษายน 2552 ตลอดจนบริหารจัดการและประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงความก้าวหน้าการขยายระบบเครือข่ายการให้บริการ NGV อย่างทั่วถึง ต่อมา เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการประชาสัมพันธ์การปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อติดตามความก้าวหน้าการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ภาครัฐจะประกาศปรับโครงสร้างก๊าซปิโตรเลียมเหลว รวมถึงให้เข้าใจในสถานการณ์พลังงานและมาตรการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐไปยังประชาชน
2. เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 คณะกรรมการดำเนินการประชาสัมพันธ์การปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้พิจารณาจัดทำแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อรองรับกับแนวทางการประชาสัมพันธ์ตามมติคณะรัฐมนตรี โดยที่ประชุมฯ ได้รับทราบแผนงานและโครงการการประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับ LPG ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ของ สนพ. และ ธพ. พร้อมทั้งมีความเห็นว่าโครงการประชาสัมพันธ์ของ สนพ. มีข้อจำกัดที่จะรองรับกับแนวทางประชาสัมพันธ์ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 โดยเฉพาะในส่วนขอบเขตงานและกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งระยะเวลาดำเนินโครงการดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในเดือนมกราคม 2552 ในขณะที่โครงการประชาสัมพันธ์ของ ธพ. เป็นโครงการเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านพลังงานโดยรวม โดยมีงาน LPG เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่ประชุมฯ จึงเห็นควรให้จัดทำแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อรองรับกับแนวทางการประชาสัมพันธ์ตามมติดังกล่าวเป็นการเฉพาะ โดยมอบหมายให้ สนพ. เป็นผู้ดำเนินการจัดทำรายละเอียด เพื่อเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
3. สนพ. ได้จัดทำแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มีระยะเวลา 6 เดือน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจและยอมรับนโยบายการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG เป็น 2 ราคา และส่งเสริมการใช้ก๊าซ LPG ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อประชาสัมพันธ์มาตรการของรัฐในด้านต่างๆ อาทิ การป้องกันก๊าซขาดแคลน การกักตุน ลักลอบ บทลงโทษ มาตรการช่วยเหลือของรัฐ ต่อกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนเพื่อเตรียมความพร้อมในกรณีทยอยการปรับขึ้นราคา LPG ในอนาคต ต่อกลุ่มเป้าหมายภาคขนส่งและอุตสาหกรรมที่ใช้ LPG เป็นเชื้อเพลิง ผู้ประกอบการแท็กซี่ ภาคครัวเรือน และกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ หน่วยงานภายให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
4. สำหรับแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จะใช้งบประมาณรวมทั้งหมด 30 ล้านบาท ดำเนินการโดยผ่านสื่อต่างๆ ดังนี้
4.1 ผลิตสารคดีโทรทัศน์ ความยาว 2 นาที จำนวน 25 ตอน แทรกในรายการโทรทัศน์ เผยแพร่ ไม่น้อยกว่า 100 ครั้ง และซื้อเวลาในรายการโทรทัศน์ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญหรือพิธีกรชี้แจงให้รายละเอียดข้อมูล ไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง (งบประมาณ 10 ล้านบาท)
4.2 ผลิตสารคดีวิทยุ ความยาว 1 นาที จำนวน 25 ตอน ในคลื่นกลุ่มผู้นำความคิด กลุ่มผู้ขับขี่แท็กซี่ กลุ่มประชาชนในต่างจังหวัดทุกภูมิภาค เผยแพร่ไม่น้อยกว่า 300 ครั้ง (งบประมาณ 3 ล้านบาท)
4.3 เปิดคอลัมน์ถาม - ตอบ ในสื่อหนังสือพิมพ์ ขนาด 4 x 6 นิ้ว จำนวนไม่น้อยกว่า 40 ครั้ง (งบประมาณ 6 ล้านบาท)
4.4 สกู๊ปในสื่อสิ่งพิมพ์ ขนาดจูเนียร์ เพจ ขาว - ดำ 20 ครั้ง ใน หนังสือพิมพ์ 3 ฉบับ (งบประมาณ 2 ล้านบาท)
4.5 จัด press visit ดังนี้ 1) เยี่ยมชมโรงงานบรรจุก๊าซเพื่อชี้แจงการติดตั้งมิเตอร์ป้องกันการลักลอบก๊าซ LPG ในต่างจังหวัด 2 ครั้ง 2) ตรวจสถานีบริการน้ำมัน เพื่อตรวจสอบคุณภาพก๊าซและมาตรฐานของสถานีบริการก๊าซ NGV ใน กทม. 1 ครั้ง ต่างจังหวัด 1 ครั้ง 3) รายงานผลการตรวจคุณภาพของอู่ติดตั้ง NGV โดยกรมการขนส่งทางบกและกรมธุรกิจพลังงาน และ 4) จัดสัมมนาไปยังกลุ่มเป้าหมายอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซ LPG และได้รับผลกระทบโดยตรงเพื่อสร้างความเข้าใจ และยอมรับนโยบายการปรับราคา รวมถึงรับทราบมาตรการการช่วยเหลือจากภาครัฐ และวิธีประหยัดพลังงาน (งบประมาณ 4 ล้านบาท)
4.6 ดำเนินงานสื่อมวลชนสัมพันธ์อื่นๆ อาทิ 1) จัดส่ง Fact Sheet ข้อมูลความรู้ LPG เพื่อสร้างความเข้าใจแก่สื่อต่างๆ 2) จัดส่ง Fact Sheet ให้พลังงานจังหวัดทุกจังหวัด รับทราบข้อมูลความรู้ LPG และประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนในท้องที่ และ 3) จัดผู้บริหารให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ครอบคลุม สื่อโทรทัศน์ วิทยุ และสิ่งพิมพ์ (งบประมาณ 3 ล้านบาท)
4.7 ผลิตและเผยแพร่ โปสเตอร์ แผ่นพับ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และผู้ที่อาจได้รับผลกระทบในอนาคต เพื่อให้รู้วิธีเตรียมพร้อมและใช้ก๊าซอย่างประหยัดและถูกวิธี ทั้งนี้จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิ กรมขนส่งทางบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานการคุ้มครองผู้บริโภค ปตท. สมาคมผู้ค้าปลีกก๊าซ LPG สำนักเขตการศึกษาทั่วประเทศ เป็นต้น (งบประมาณ 2 ล้านบาท)
4.8 เผยแพร่ข้อมูล สร้างความเข้าใจผ่านเว็บไซต์ อาทิ เว็บไซต์ของกระทรวงพลังงาน สนพ. และเว็บไซต์หน่วยงานราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง และการประชาสัมพันธ์อื่นๆ ตามสถานการณ์
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอ กบง. เพื่อขอความเห็นชอบแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับแผนงานฯ ดังกล่าว ในวงเงิน 30 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในข้อ 4 (ในส่วนสรุปสาระสำคัญ) ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการปรับแก้ไขแผนงานดังกล่าวได้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตามความเหมาะสม
2. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ประจำปีงบประมาณ 2552 สำหรับแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในวงเงิน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน
ครั้งที่ 36 - วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2551 (ครั้งที่ 36)
วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ อาคาร 7 ชั้น 11 กระทรวงพลังงาน
1. การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) เป็นประธานในที่ประชุม
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานพิจารณาปรับอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้เหมาะสมเพื่อเตรียมรองรับการสิ้นสุดการดำเนินงานตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์ได้ขอความร่วมมือจากกระทรวงพลังงานให้ช่วยดูแลเรื่องพืชพลังงานซึ่งมีผลผลิตล้นตลาด ทำให้ราคาตกต่ำ เกษตรกรได้รับ ความเดือดร้อน โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันและมันสำปะหลัง ประกอบกับเกิดความผันผวนของราคาน้ำมัน ในตลาดโลก ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศอยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสม และค่าการตลาดของน้ำมันในปัจจุบันอยู่ระดับสูง ซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล จึงได้ขอนัดประชุม กบง. ในครั้งนี้ เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งขอถอนวาระที่ 4.1 เรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555 ออก เพื่อให้คณะกรรมการมีเวลาพิจารณาวาระที่ 3.1 อย่างละเอียด
เรื่องที่ 1 การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน โดยลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม 2552 ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้แถลงนโยบายพลังงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.1 นโยบายการกำกับดูแลพลังงานให้มีความเหมาะสม มีเสถียรภาพสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนโดยเฉพาะในประเด็นการกำกับนโยบายราคาและโครงสร้างราคาน้ำมัน ให้เป็นไปตามกลไกตลาดโลก สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและดูแลความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันที่สูงมากจนผิดปกติในปัจจุบัน
1.2 นโยบายการส่งเสริมพลังงานทดแทนโดยเฉพาะเอทานอลและไบโอดีเซลเพื่อเป็นพลังงานที่คนไทยพึ่งพาตัวเองได้ ยกระดับราคาสินค้าเกษตร ช่วยลดการนำเข้าน้ำมัน ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและเป็นทางเลือกพลังงานที่สำคัญในภาวะน้ำมันแพง
2. เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ครม. ได้มีมติมอบให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาเพิ่มอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อเสริมสร้างให้กองทุนน้ำมันฯ มีเสถียรภาพพอที่จะรองรับกับกำหนดการสิ้นสุดนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ซึ่งจะมีการกลับมาใช้อัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันตามเดิม ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 โดยกองทุนน้ำมันฯ จะบริหารจัดการเพื่อทำให้ราคาขายปลีกน้ำมัน ในประเทศไม่ปรับตัวสูงขึ้นทันที
3. กระทรวงพลังงานได้พิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 22 ตุลาคม 51 ซึ่งได้พบปัญหาในการดำเนินการเพื่อสนองนโยบายตามข้อ 1 ดังนี้ คือ 1) ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในปัจจุบันสูงมากกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม และ 2) โครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการส่งเสริมพลังงานทดแทน ทั้ง เอทานอลและไบโอดีเซล ทั้งนี้ หลักการการจัดโครงสร้างราคาน้ำมันเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทนควรเป็น ดังนี้
3.1 การจูงใจผู้จำหน่ายเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทนมีหลักการ ดังนี้ 1) ค่าการตลาดของน้ำมัน ที่เป็นพลังงานทดแทนต้องสูงกว่าน้ำมันปกติ และ 2) น้ำมันที่มีส่วนผสมของพลังงานทดแทนมาก ต้องมี ค่าการตลาดสูงกว่าน้ำมันที่มีส่วนผสมของพลังงานทดแทนน้อย
3.2 การจูงใจผู้ใช้เพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทนมีหลักการ ดังนี้ 1) ราคาขายปลีกของน้ำมันที่เป็นพลังงานทดแทนต้องต่ำกว่าน้ำมันปกติ และ 2) น้ำมันที่มีส่วนผสมของพลังงานทดแทนมาก ต้องมีราคา ขายปลีกต่ำกว่าน้ำมันที่มีส่วนผสมของพลังงานทดแทนน้อย แต่เมื่อพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบันกลับไม่เป็นไปตามหลักการข้างต้น
4. เพื่อแก้ไขปัญหาปริมาณปาล์มน้ำมันที่มีมากกว่าความต้องการ จำเป็นต้องส่งเสริมให้มีผู้ใช้ ไบโอดีเซลมากขึ้น โดยการเพิ่มส่วนต่างราคาราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 กับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ให้มากขึ้นกว่าปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 0.70 บาทต่อลิตร
5. เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบันที่ยังไม่เอื้อต่อการส่งเสริมพลังงานทดแทน ปัญหาปริมาณปาล์มน้ำมันที่มีมากกว่าความต้องการ จึงเห็นควรให้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือในการบริหารและจัดการอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามสถานการณ์ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม กรณีค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และกรมการค้าภายในติดตามและดูแลค่าการตลาดให้มีความเหมาะสมต่อไป
6. เมื่อใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือในการบริหารและจัดการอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ฯ เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาน้ำมันปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการส่งเสริมพลังงานทดแทน และแก้ไขปัญหาปริมาณปาล์มน้ำมันที่มีจำนวนมากกว่าความต้องการ ซึ่งช่วยส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีเสถียรภาพพอที่จะใช้ในการบริหารระดับราคาไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นโดยฉับพลันหลังสิ้นสุดนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือนฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอมีข้อเสนอดังนี้
6.1 ขอความเห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในอัตรา 1.00, 0.90 และ 0.50 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และ ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ลงอีก 0.15 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ทั้งนี้ จากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับสุทธิเพิ่มขึ้น 24.32 ล้านบาทต่อวัน จากระดับปัจจุบัน 80.60 ล้านบาทต่อวัน เป็น 104.92 ล้านบาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 729.58 ล้านบาทต่อเดือน จากระดับปัจจุบัน 2,417.90 ล้านบาท ต่อเดือน เป็น 3,147.48 ล้านบาทต่อเดือน
6.2 ขอความเห็นชอบในหลักการการใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ ตามหลักการการจัดโครงสร้างราคาน้ำมันเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทนตามข้อ 3 โดยมอบหมายให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินนำส่งกองทุนน้ำมันฯ ครั้งละไม่เกิน 0.50 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ มอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมัน แก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในอัตรา 1.00, 0.90 และ 0.50 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ลงอีก 0.15 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ทั้งนี้ มอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป